คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
เจสซี่
ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าทุกอย่างมันจะออกมาในรูปแบบนี้ ฉันทำอะไรผิดเหรอ ทำไมทุกอย่างที่กำลังไปได้สวยถึงพังลงในเวลาชั่วพริบตา งานศพของอลันผ่านไปอย่างเชื่องช้า เวลาที่ทรมาณที่สุดคือเวลาที่คนพยายามเข้ามาพูดให้กำลังใจฉันโดยที่พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการสูญเสียมันเป็นยังไง หลายคืนที่ผ่านมาฉันนอนโดยมีน้ำตาท่วมหน้า น้ำตามันไหลออกมาโดยไม่ขาดสาย ทุกอย่างมันดูแย่ไปหมด ทุกอย่างที่อยู่ในหัวฉันคืออลัน มองไปทางซ้าย มองไปทางขวาฉันก็เห็นแต่หน้าของอลัน ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าไม่มีวันอีกแล้วที่อลันจะกลับมา สายตาอันอบอุ่น มือที่นุ่มนวลนั่นจะไม่มีวันเป็นของฉันอีกแล้ว ฉันเคยมั่นใจว่ารักของเราจะต้องไปรอด ถึงคนจะคัดค้าน โดยเฉพาะแกรี่ พี่ชายของฉันเองที่เกลียดอลันเข้าไส้ แต่พวกเราก็ฟันผ่ามาได้นี่นา ความรักที่เราคิดว่าจะนิรันดร์ จะต้องจบลงเพียงเท่านี้เหรอ
โจ
อลันเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม เรารู้จักกันมาตั้งแต่อายุสิบสี่ เท่ากับว่าเราก็เป็นเพื่อนกันมาร่วมสิบห้าปีแล้ว ครึ่งชีวิตของผมเชียวนะที่ผมได้รู้จักกับผู้ชายคนนี้ ใครจะคาดคิดว่าอลันจะต้องมาตายจากไปตั้งแต่ตอนนี้ สงสารก็แต่เจส ที่ต้องแบกรับความรู้สึกอันรุนแรงนี้ไว้เพียงคนเดียว การแต่งงานของเขาทั้งสองมีแต่คนคัดค้าน แต่ทั้งสองก็ดื้อดึงแต่งกันจนได้ เวลานี้หลายคนคงจะแอบดีใจที่อลันพ้นๆ ไปจากชีวิตเจสได้สักที แต่ใครจะรู้ไหมว่า ถึงคนจะคิดว่าการที่ไม่มีอลันจะเป็นผลดีต่อเจส แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดคราวนี้ก็คือเจสเอง
ผมเกลียดที่สุดเวลาที่เจสร้องไห้ เธอเป็นคนเข้มแข็ง เพราะฉะนั้นคนแทบไม่ได้เห็นน้ำตาบนใบหน้าของเธอเลย แต่ตอนนี้คุณแทบจะมองไม่เห็นแววตาของเธอด้วยซ้ำ เพราะมีน้ำตานองอยู่เต็มสองเบ้าไปหมด ผมพยายามเข้าไปปลอบเธอ แต่ดูท่าว่าเธอจะไม่ได้ดีขึ้นเลย จอนนี่ สตีเฟ่น และแบร์รี่ กลุ่มเพื่อนที่พวกเราหกคนโตมาด้วยกันตอนนี้ก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านเจสกับอลัน ตั้งแต่จบงานศพเจสก็เอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง วันๆ ก็เอาแต่ร้องไห้ ข้าวปลาอะไรก็ไม่กิน เธอจะทำร้ายตัวเองไปจนถึงเมื่อไหร่ นะ
"ติ๊งต่อง.....ติ๊งต่อง...ติ๊งต่อง.ติ๊งต่อง..ติ๊งต่อง" เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น และรัวขึ้นเรื่อยๆ
"มาแล้วๆ หยุดกดกริ่งซักทีได้ไหม" ผมวิ่งไปที่หน้าประตู ใครกันนะที่กดกริ่งไม่ยอมหยุดอย่างนี้
ผมเปิดประตูอพาร์ตเมนต์ของเจส คนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นชายหนุ่มผมแดง หน้าตกกระ ผมยังไม่ทันพูดอะไรเขาก็เชิญตัวเองเข้ามาในอพาร์ตเมนต์แล้ว
"ทำไมนะ พวกนายถึงไม่โทรบอกฉันกันซักคน" ชายคนนั้นตัดพ้อ
"แล้วนี่นายรู้ได้ยังไงล่ะ" ผมสงสัย พวกเราไม่มีใครบอกเขาแล้วเขารู้ได้อย่างไร
ชายคนนี้คือแฮรี่ ซัตตัน เขาเป็นเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมของพวกเรา และที่สำคัญ เขาเคยหลงรักเจสอย่างหัวปักหัวปำ ถ้าใครจะดีใจเรื่องการตายของอลันมากที่สุด ก็คงจะเป็นแฮรี่คนนี้แหละ เหตุผลที่พวกเราตกลงกันว่าจะไม่บอกเขาน่ะเหรอ ก็เพราะกลัวเขาจะดีใจจนตัวสั่นน่ะสิ หวังว่าแฮรี่จะรู้ผิดชอบชั่วดีไม่มาขอเจสแต่งงานครั้งที่สามสิบแปดตอนนี้นะ
"เอาเหอะน่า ฉันรู้ก็แล้วกัน แล้วนี่เจสอยู่ไหน" เขาถามอย่างรีบเร่ง
"อยู่ในห้องนอน แต่นายไม่ต้องเข้าไปเลยนะ ขอร้อง" จอนนี่ห้ามเขาไว้ สตีฟเดินไปขวางไว้หน้าประตู แฮรี่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เขาแค่เป็นคนที่ไม่รู้จักกาละเทศะ ไม่รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด และที่สำคัญ ด้วยความที่เขาเป็นนักข่าวเขาไม่เข้าใจหรอกว่าบางครั้ง มีเรื่องที่ไม่รู้จะดีกว่า
"หลบไปนะสตีเฟ่น" เขาพยายามผลักสตีฟออก
"ไม่ ยังไงๆ นายก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไป" สตีฟยืนยัน
"ขอร้องเถอะนะ ฉันอยากจะปลอบใจเจสจริงๆ นะ"
"ปล่อยให้เขาเข้าไป" ผมบอก ถ้าพวกเราที่รู้จักเจสดีที่สุดยังจัดการกับเรื่องนี้ไม่ได้ แฮรี่เป็นใครมาจากไหน จะจัดการกับเรื่องนี้ได้ยังไง
แฮรี่หันไปขยิบตาเยาะเย้ยจอนนี่ จอนนี่หยุดหงิดมาก แต่เขาก็ไม่ลงมืออะไร รองจากเจสและอลันแล้ว คนที่ดื้อที่สุดในโลกก็คงจะเป็นแฮรี่นี่แหละ แฮรี่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ และไม่ว่าอะไรก็คงจะขวางเขาไม่ได้
แฮรี่ไม่แม้แต่จะเคาะประตูด้วยซ้ำ เขาเดินตรงเข้าไปที่เตียงที่เจสนอนอยู่และปิดประตูตามหลัง เจสหลับอยู่รึเปล่านะ หวังว่าแฮรี่จะไม่ปลุกเจส
เจส
"ออกไปนะ อย่ามายุ่งกับฉัน" ฉันไล่
แฮรี่เดินดุ่มๆ เข้ามาในห้อง เขาไม่สนใจคำไล่ กลับนั่งลงบนเตียง เขากระชากผ้าห่มของฉันออก แล้วจับตัวฉันให้นั่งตรง
"เธอก็รู้ว่าฉันไม่อยากเห็นเธอร้องไห้" เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
ฉันพยักหน้าเบาๆ
"เธอก็รู้ว่าถึงเธอร้องไห้มากแค่ไหนอลันก็จะไม่มีวันกลับมา"
ฉันพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง
"เจส ถึงเธอจะไม่มีอลันเธอก็ยังมีฉันนะ"
ฉันเริ่มเอะใจ นี่ถ้าแฮรี่คิดจะมาขอแต่งงานครั้งที่สามสิบแปดในเวลาแบบนี้ฉันคงเตะเขาออกไปนอกห้องแน่ๆ
"เธอยังมีฉัน มีโจ มีจอนนี่ สตีฟ แบร์รี่ และคนอีกเป็นร้อยที่พร้อมจะเป็นกำลังใจให้เธอนะ ถ้าเธอร้องไห้ คนที่รักเธอ เป็นห่วงเธอก็ต้องเสียน้ำตาไปด้วย เธอคงไม่อยากจะเห็นพวกเราร้องไห้ใช่ไหม"
"แฮรี่ ขอร้องล่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่พร้อมที่จะฟังเรื่องนี้นะ เธอช่วยออกไปก่อนได้ไหม"
"ถ้าเธอวิ่งหนีความจริงในตอนนี้ เธอก็จะต้องวิ่งหนีตลอดไป ยิ่งเธอเผชิญหน้ากับปัญหาเร็วขึ้นเท่าไหร่ เธอก็จะเจ็บน้อยลงเท่านั้นนะ"
"เธอรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับการสูญเสียคนที่เธอรักไปน่ะ"
แฮรี่นั่งก้มหน้าเงียบ ฉันเริ่มรู้สึกผิดที่ไปสะกิดใจเขาเข้า เมื่อสิบกว่าปีก่อนแม่ของเขาเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์เหมือนกัน สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างนั้นมันคงแย่น่าดู
"ขอร้องล่ะนะ ได้โปรด ออกไปเถอะ ฉันอยากอยู่คนเดียว" ฉันพยายามจะนุ่มนวลกับเขาให้มากที่สุด
"ฉันเคยอยู่ในสถานการณ์นี้มาก่อนจะเจส ถ้าเธอต้องการคำปรึกษาอะไรก็ โทรหาฉันได้ทุกเมื่อนะ ฉันจะเป็นกำลังใจให้เธอเสมอ"
"ขอบใจนะ แฮรี่" ฉันโล่งใจที่เขาออกจากห้องไปได้เสียที ฉันรู้ว่าเขาหวังดี แต่ฉันก็ไม่อยากที่คุยกับใครในตอนนี้ ฉันต้องการเวลาครุ่นคิดว่าฉันจะทำอย่างไรกับชีวิตของฉันต่อไป โลกนี้ช่างไม่มีอะไรยุติธรรม ทั้งๆ ที่ฉันรักอลันมากขนาดนี้ เขาหรือฉันทำอะไรผิดหรือยังไง หรือมันเป็นหนี้กรรมที่เราต้องชดใช้
ฉันได้รู้จักกับอลันครั้งแรกตอนฉันอายุแปดขวบเท่านั้น จะเรียกว่าฉันโตมากับเขาเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่ได้รู้จักกับอลัน ฉันก็ไม่เคยคิดถึงเวลาที่ไม่มีอลันอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อน พี่ชาย หรือคนรักก็ตาม ฉันยังจำครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับอลันได้ดี
........
"อลัน โดโนแวน" เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งพูดพร้อมกับยื่นมือมาให้ฉันจับ ผมสีบลอนด์เข้มๆ ของเขาเป็นประกายกับแสงแดดยามสายที่เจิดจ้าอยู่บนสนามฟุตบอล รอยยิ้มของเขาดูราวกับฝืนยิ้ม อย่างน้อยเขาก็พยายามที่จะเป็นมิตรกับคนรอบข้างละนะ
"เจสซิกา เนวิลล์ เรียกฉันว่าเจส" ฉันยื่นมือไปจับมือของเขา ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว ที่ฉันรู้ว่าฉันกับเขาจะต้องเป็นมากกว่าคนที่รู้จักกันในค่ายฟุตบอล
หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจฉันอีก เขามากับเพื่อนอีกเป็นกลุ่ม จอนนี่ เด็กหนุ่มตัวโย่งหน้าตกกระที่เล่นเป็นกองหลัง และสตีฟ ผู้ชายเจี๋ยมเจี้ยม ถ้าดูจากหน้าตาแล้วอลันคงจะเป็นหัวโจก แต่ดูๆ ไปสตีฟดูจะมีปากมีเสียงที่สุดในกลุ่ม
พวกเรายืนกันอยู่บนสนามฟุตบอลที่เดอะ คลิฟฟ์ สนามซ้อมของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เซอร์แมตต์ บัสบี้ ตำนานของทีมมาเปิดโรงเรียนสอนฟุตบอลวันอาทิตย์ที่นี่ มีเด็กๆ อายุระหว่างแปดขวบ (คือฉันเอง) ไปจนถึงอายุเกือบยี่สิบ
ในการเล่นฟุตบอลห้าคน ฉัน อลัน จอนนี่ โจ และแบร์รี่ถูกจัดให้เล่นอยู่ทีมเดียวกันในฟุตบอลโต๊ะเล็ก เย็นวันนั้น พวกเราห้าคน และสตีฟออกไปกินพิซซ่าด้วยกัน และหลังจากวันนั้นพวกเราก็แทบจะไม่ได้แยกจากกันอีกเลย
ถึงห้าคนนั้นจะมีความฝันสูงสุดคือการเป็นนักฟุตบอล แต่ชีวิตมันก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด อลันได้เล่นในทีมจนถึงอายุสิบแปด ก่อนที่จะต้องออกมาอ่านหนังสือสอบไล่ และก็ไม่ได้กลับไปเฉียดกับคำว่าฟุตบอลอาชีพอีกเลย คนอื่นๆ ดูจะหมดหวังไปก่อนหน้านั้นอีก แต่เอาเถอะ ถ้าทุกคนที่อยากเป็นนักบอลได้เป็นนักบอลอาชีพ ประเทศบราซิลคงรวยล้นฟ้าไปแล้ว
แค่บ่ายวันอาทิตย์วันเดียว ทำให้ชีวิตวัยเด็ก วัยทำงาน และทั้งชีวิตที่เหลือเปลี่ยนแปลงไป ใครจะไปคาดคิดว่าแค่บ่ายวันอาทิตย์วันเดียว เราจะได้พบเพื่อนแท้ ใครจะไปคาดคิดว่าแค่บ่ายวันอาทิตย์วันเดียว เราจะได้พบคู่แท้ และใครจะไปคาดคิดว่าแค่บ่ายวันอาทิตย์วันเดียว ซึ่งดูจะไม่มีความสำคัญในความคิดของคนหลายๆ คน แต่วันที่ 16 มิถุนายน 1995 จะเป็นวันที่ฉันได้รู้จักกับกลุ่มคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน
.........
โจ
"นายพูดอะไรกับเจสน่ะ" ผมรี่เข้าไปถาม เรียกได้ว่าแฮรี่ทำสถิติอยู่ในห้องเจสได้นานที่สุดในช่วงหลายวันนี้เลยทีเดียว ผมสงสัยว่ามันเป็นเพราะเจสยินดีที่จะคุยกับเขา หรือเขาดื้อด้านไม่ยอมออกจากห้องกันแน่
แฮรี่ไม่พูดอะไร เขาหันมาขยิบตาให้ผมนิดหนึ่ง ไอ้การขยิบตาของแฮรี่นี่มันน่าหงุดหงิดชะมัด แฮรี่มุ่งตรงเข้าไปที่ครัว หยิบถ้วย เทน้ำชาที่อยู่ในกาที่ผมชงไว้กิน วางแก้ว แล้วก็เดินออกไปจากห้อง พวกเราล่ะงงกันสุดๆ หมอนี่นี่สุดจะทนจริงๆ
ที่สุดแฮรี่ก็ออกไปโดยที่พวกผมยังไม่รู้ว่าเขาคุยอะไรกับเจส จอนนี่เอาหูไปทาบกับประตูเพื่อจะฟังดูว่าเจสร้องไห้รึเปล่า ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจสมักจะทำเวลาที่มีคนมาเยี่ยม
"เคลียร์" จอนนี่พูดพร้อมกับทำมือสัญลักษณ์ "โอเค" ผมโล่งอก
คนที่ไม่รู้จักเจสดีนั้นอาจจะคิดว่าเจสเป็นคนเข้มแข็ง เฮฮา และคงไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เจสหวั่นไหวได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันตรงกันข้ามกันเลย เจสเป็นคนอ่อนไหวมาก โดยเฉพาะเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว และคนรัก ถ้าจะให้พิจารณา ผมเดาว่าคงจะเป็นเพราะว่าเจสเป็นเด็กขาดความอบอุ่นล่ะมั้ง เขาพยายามจะทำตัวให้ดูเข้มแข็ง เพื่อที่จะกลบคราบน้ำตาของตัวเอง แต่บ่อยครั้งเลยที่หมอนหนุนของเจสจะเต็มไปด้วยคราบน้ำตา เจสเป็นคนที่จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตนเองอ่อนแอ ว่าตนเองต้องพึ่งพาคนอื่น แต่เมื่ออลันจากไป ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เจสบอกว่า "ฉันไม่ไหวแล้ว" คนทิฐิสูงอย่างเจสยอมรับเป็นครั้งแรกว่า "ฉันไม่ไหวแล้ว" และนั่น ก็หมายความว่า เธอไม่ไหวแล้วจริงๆ
ผมคาดเดาอารมณ์ของเจสตอนนี้ไม่ออกเลย ผมไม่แน่ใจว่าระดับอารมณ์ของเจสตอนนี้มันเศร้าและตกต่ำจนติดดินหรือมันอัดอั้นจนแทบระเบิดกันแน่ ผมได้ยินเสียงเจสกรี๊ดอยู่ในห้องสามครั้ง (แต่แบร์รี่ยืนยันว่าเขาได้ยินเสียงกรี๊ดเบาๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่คนอื่นคิดว่าเป็นแค่เสียงสะอื้นมากกว่า) มันทำใจลำบากแหงๆ ที่ต้องเสียอลันไป เพราะสำหรับเจสแล้วอลันเป็นคนแรกที่เคยให้ความอบอุ่นที่เจสโหยหามาตลอดชีวิต เจสเป็นลูกโทนที่พ่อแม่หย่ากัน แต่เจสก็ไม่ใช่เด็กที่พ่อแม่จะขึ้นโรงขึ้นศาลกันเพื่อแย่งสิทธิ์เลี้ยงดู เจสเป็นเด็กที่พ่อแม่ยินดีจะจ่ายเงินเพื่อให้ไปเรียนโรงเรียนประจำของเอกชนที่แพงที่สุดในอังกฤษมากกว่า เจสเป็นคนบอกกับผมเองเลยว่า เธอไม่เคยรู้สึกว่าเธอเป็นที่ต้องการของใครบางคนมาก่อน จนเธอได้มารู้จักพวกเรา เธอไม่เคยรู้ว่ามืออันอบอุ่นของพ่อ แม่ หรือเพื่อนเป็นยังไง เพราะเธอไม่เคยได้รับสิ่งนั้นจนเธอได้รู้จักกับอลัน เมื่อเธอฝันร้ายก็ไม่มีใครเคยปลอบ เมื่อเธอไม่สบายก็ไม่เคยมีคนมาพยาบาลด้วยความรักและห่วงใย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สานสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอลันอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของเธอ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอจะไม่ยอมเสียมันไปเด็ดขาด
...แต่นี่ เธอกลับไม่มีสิทธิ์ได้เลือก...
ความคิดเห็น