คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : w i n d b l o w s . #00
「風を吹く。 / w i n d b l o w s .」
asteriskme*
#00
let it in let it go
let the wind blow
ลมพัด / ลมพัด
มีคนเคยบอกว่าเวลาคนเรามีความรักมักเหมือนพายุที่พัดกระหน่ำไม่หยุดต่อให้เอาอะไรมาขวางก็ไม่สามารถต้านทานได้ ความรักเหมือนพายุที่อยู่เหนือการควบคุมเหนือเหตุผลเหนือทุกสิ่งอย่าง
เซฮุนไม่เคยเข้าใจจนกระทั่งเขาเริ่มมีความรัก
มันเกิดขึ้นตอนปิดเทอมฤดูร้อนที่ยาวนานมากซะจนการอยู่บ้านนอนเฉยๆไปวันๆเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายมากเมื่อเทียบกับมาช่วยงานกินกรรมชมรมถ่ายภาพของเพื่อนที่ก็ไม่ได้ดูน่าตื่นเต้นเท่าไหร่แต่อย่างน้อยได้ขยับตัวออกมาจากเตียงบ้างก็เป็นไอเดียดีที่กว่าขดเป็นก้อนกลมผสมร่างกับผ้าห่มบนเตียงอยู่ดี
หน้าที่ของเซฮุนที่ได้รับมอบหมายหลังมาถึงห้องชมรมไม่มีอะไรซับซ้อนเกินความสามารถนอกจากถือไฟอันใหญ่ที่หนักและร้อนมากกว่าแดดข้างนอกตึกเดินไปอยู่ในตำแหน่งที่เพื่อนสั่งแล้วชูมันให้ส่องไปที่นายแบบที่ยืนนิ่งๆสบายกว่าเขาเป็นไหนๆตรงฉากสีขาวๆตรงหน้า
คิมจงอิน คือนายแบบคนนั้น
ใครๆก็รู้จักจงอินดีเพราะความโดนเด่นอันเป็นเอกลักษณ์จะรูปลักษณ์ภายนอกรือบุคคลิกเรียบเฉยไม่ค่อยสนใจใครนั้นอีกทำให้จงอินยิ่งดูน่าสนใจน่าดึงดูดเข้าไปใหญ่
ในตอนแรกเซฮุนแค่รู้สึกหมั่นไส้ท่าทางและสายตาที่ส่งไปที่เลนส์กล้องของนายแบบจำเป็นที่ถูกขอร้องร้องมา เซฮุนแค่หมั่นไส้จงอินเหมือนกับผู้ชายนับร้อยคนในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งนี้ มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลกตรงไหน
ถึงจะหมั่นไส้ยังไงเซฮุนก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าคิมจงอินน่ะดึงดูดสายตาจนหยุดมองไม่ได้จริงๆ
*
'ชอบเหรอ'
เป็นคำสั้นๆที่ออกจะสั้นเกินไปแล้วก็คงไม่เคยมีใครในโลกนี้ใช้เป็นประโยคแรกที่ใช้ทักทายกัน
ประโยคไร้ซึ่งประธานและกรรม แต่เมื่อคนถามและคนถูกถามอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคนก็ไม่ต้องตีความอะไรมากมายว่าหมายถึงใครกับใคร
เซฮุนถูกทิ้งไว้นั่งเฝ้าไฟเฝ้าฉากกับพ่อนายแบบจำเป็นเพราะสมาชิกชมรมถ่ายภาพถูกเรียกให้เข้าไปประชุมพร้อมกันด่วนเรื่องจะตัดสินใจทิศทางของการถ่ายแฟชั่นชุดนี้ยังไง คนนอกอย่างเซฮุนที่มาแค่ทำหน้าที่ยกไฟเลยไม่รู้จะเข้าไปมีส่วนร่วมทำไม ส่วนพ่อนายแบบคนสำคัญก็เลือกที่จะนั่งรอฟังผลเพราะที่มาก็มาทำตามคำสั่งอยู่แล้ว
ที่ไม่ตอบไปเพราะสมองยังประมวลความคิดความอ่านอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าประโยคที่ถามมาคนถามต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่
'เห็นนายจ้องฉันอยู่ตั้งนาน'
‘ถ้าไม่ได้ชอบใครอย่าไปจ้องเขาแบบนั้นอีกนะ’
‘เดี๋ยวเขาจะเข้าใจผิดกันไปใหญ่’
ถึงคิมจงอินจะเป็นคนดังในโรงเรียนแต่ก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเซฮุนเท่าไรและงานถ่ายแบบวันนี้มีคอนเซปไปทางสุขุมเรียบนิ่งเลยเป็นครั้งแรกที่เซฮุนมีโอกาสเห็นรอยยิ้มที่ไม่ได้กว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่แต่มันเป็นรอยยิ้มที่กว้างมากกว่ายิ้มมุมปากทั่วไปและสดใสมากพอที่จะทำให้โลกทั้งใบของเซฮุนเปลี่ยนไปตั้งแต่วันนั้น
*
'จะมาถือไฟแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ'
ประโยคที่สี่ในชีวิตที่จงอินพูดกับเซฮุน คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆเพราะงานของเขาไม่ใช่งานประจำที่ต้องทำตามหน้าที่เหมือนคนในชมรม เขามาเพราะเบื่อบ้านเบื่อเตียง แล้ววันนี้ทั้งวันก็ทำให้เขาเบื่อเจ้าไฟสตูดิโอนี้แล้วเหมือนกัน
'แต่ฉันมาทุกวันนะ'
แล้วไง นั่นคือสิ่งที่เซฮุนคิดต่อในใจ เซฮุนมองอีกคนที่เดินไปบอกลาพี่ประธานชมรมแล้วเดินหายออกไปจากห้องด้วยสายตาไม่เข้าใจ , ไม่เข้าใจทั้งคำพูดของหมอนั่น แล้วก็ไม่เข้าใจหัวใจที่กำลังเต้นแรงแทบคลั่งเพราะประโยคสั้นๆไม่กี่คำนั้นด้วย
ถึงปากจะบอกไปว่าจะไม่มาแต่สุดท้ายตอนเช้าของวันถัดไป เซฮุนก็พาตัวเองมานั่งกอดไฟสตูดิโอเพื่อนรักอยู่ที่เดิมก่อนที่เจ้านายแบบนั่นจะมาซะอีก
'ไหนว่าจะไม่มาแล้วไง'
พอเห็นสิ่งแปลกปลอมหนึ่งเดียวในชมรมนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ที่ตำแหน่งเดิมไม่ผิดเพี้ยน คนที่เพิ่งมาถึงเลยตรงไปทักทายก่อนเป็นอย่างแรกก่อนที่เขาจะสวัสดีรุ่นพี่ในชมรมซะอีก
'ก็ไม่มีอะไรทำ'
ตอบไปแบบไม่เต็มเสียง เซฮุนรู้แค่ว่าไม่สามารถมองตาจงอินแบบตรงๆได้แบบที่เคยแอบมองเมื่อวานอีกต่อไปแล้ว เพราะอะไร เซฮุนก็ไม่รู้เหมือนกัน
*
ไม่มีใครรู้ว่าคิมจงอินมาสนิทสนมกับโอเซฮุนตั้งแต่ต อนไหน รู้ตัวอีกทีถ้าอยากตามตัวจงอินก็ให้มองหาเซฮุน ถ้าอยากเจอตัวเซฮุนก็ให้ตามหาจงอิน
จนปัจจุบันเซฮุนก็ยังให้คำตอบกับคำถามแรกที่จงอินถามไม่ได้อยู่ดีแล้วตัวเองก็ไม่ได้พยายามหาคำตอบอะไรกับคำถามนั้นเพิ่มเติม แต่รู้แค่ว่าอยู่กับจงอินทำให้ไม่ค่อยเบื่อทั้งๆที่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิิเศษออยู่กับจงอินแล้วรู้สึกปลอดภัยทั้งๆที่อีกคนก็ไม่ได้ออกมาปกป้องอะไรก็ตามที
ถ้าจะให้เทียบจงอินเป็นเหมือนลมเย็นๆในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเบาๆเข้ามาทำให้ผ่อนคลาย อยู่ใกล้ๆได้สบายใจ รู้สึกสบายใจ
'ทำไมกินขนมปังอีกแล้ว'
บนดาดฟ้าเป็นที่ประจำที่ทั้งสองคนจะมาเจอกันในตอนพักเที่ยงเสมอ เซฮุนเหลือบไปมองกล่องข้าวที่ดูอัดแน่นไปด้วยสารอาหารของจงอินแล้วได้แต่กลืนน้ำลายลงคอแบบอดไม่ได้
'เบื่อกับข้าวแม่ เช้าก็กิน เย็นก็กิน'
ปากตอบมือก็แกะขนมปังรสเมล่อนที่ออกใหม่ที่แวะซื้อในร้านสะดวกซื้อแถวหน้าโรงเรียนไปด้วย
'ก็เป็นซะอย่างนี้น่ะสิ…'
พอได้คำตอบที่ไม่ได้มีตรรกะที่ดีมารองรับเท่าไหร่ คนถามเลยได้แต่ส่ายหน้า มือก็คีบข้าวกล่องตรงหน้าคำสองคำ แล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
'กินด้วยกันนี่แหละ'
*
'กลับเลยไหม'
จงอินไม่เคยบอกว่าจะรอกลับพร้อมกัน เพราะเซฮุนไปช่วยกิจกรรมชมรมถ่ายภาพตอนปิดเทอมบ่อยซะจนโดยรุ่นพี่ลากเข้าเป็นสมาชิกชมรมไปเสียแล้ว ส่วนตัวก็ไม่ได้เกลียดอะไรมีชมรมให้เข้าก็น่าจะดีเพราะจะได้มีเหตุผลในการกลับบ้านช้าโดยที่แม่ไม่บ่น
ถึงไม่เคยบอกว่าจะรอแต่หน้าห้องชมรมก็มีนักเรียนคนดังมายืนเสียบหูฟังที่ราคาแพงระยับอยู่ทุกเย็นอยู่ดี
'ยังกลับไม่ได้ วันนี้มีฉันมีถ่ายซ่อมงานที่ถ่ายไปเสาร์ที่แล้ว กลับไปก่อนเถอะ วันนี้คงดึก'
้เซฮุนอยากให้ไอพอดคลาสสิคสีดำของจงอินมีฟังชันโทรเข้าโทรออกเหลือเกิน เพราะอีกคนไม่พกโทรศัพท์มือถือติดตัวเลยไม่สามารถติดต่ออะไรฉุกเฉินได้โดยเฉพาะกรณีที่เซฮุนต้องอยู่ชมรมดึกแล้วหาโอกาสแวบออกมาดูหน้าห้องชมรมไม้ได้
'นานแค่ไหน'
'นานแล้วกัน นายแบบนั่นยังไม่มาเลย ถ้าไม่ว่างก็น่าจะบอกกันก่อน ดูซิ..เซทไฟรอมานานแล้วนะ'
'ถ่ายฉันมั้ยล่ะ'
เป็นการยื่นมือเข้ามาช่วยที่เซฮุนส่ายหัวปฏิเสธไปแรงๆเป็นสิบทีแต่ไม่เกิดผลเพราะนายแบบสมัครเล่นเดินยิ้มเข้าไปคุยกับพี่ประธานชมรมเรียบร้อยแล้ว
การสบตากับจงอินผ่านทางเลนส์กล้องตัวยักษ์ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เซฮุนประหม่าแม้กระทั่งจะกดชัตเตอร์ลงไปด้วยซ้ำ ยิ่งคนถูกถ่ายยิ้มขำถูกใจก็ยิ่งประหม่า
ถ้าจะให้เปรียบเทียบใหม่จงอินคงเหมือนลมที่พัดในฤดูหนาวจากที่เคยรู้สึกว่าเย็นพอดีไม่เป็นไร พอลมพัดเข้ามาก็หนาวขึ้นมาจับใจ หัวใจเซฮุนโดนลมหนาวที่ชื่อว่าจงอินพัดเข้าใส่ ไม่รู้ว่าจะต้านทานได้นานเท่าไรเหมือนกัน
*
ผลงานถ่ายภาพซ่อมที่มีจงอินเป็นนายแบบจำเป็นของเซฮุนดันได้รับรางวัลชนะเลิศโดยเจ้าตัวไม่ได้เป็นคนส่งประกวดด้วยซ้ำ
ภาพจงอินยิ้มขำเซฮุนจนตาเกือบปิดเป็นรูปที่เซฮุนชอบมากที่สุดและขออนุญาติพี่ในชมรมอัดออกมาเก็บไว้โดยไม่รู้ว่าพี่แอบอัดเพิ่มมาอีกใบแล้วส่งเข้าประกวดด้วย
ในฐานะเด็กที่เข้าชมรมแบบมึนๆงงๆไม่ได้มีความสนใจในการถ่ายภาพจริงๆจังสักเท่าไรพอมีรางวัลใหญ่ระดับประเทศมาการันตี มีนิตยาสสรมาสัมภาษณ์อยู่หลายเล่ม แถมยังทำชื่อเสียงให้ชมรมอีกต่างหาก ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรักเจ้ากล้องDSLRหนักๆนั่นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกนะ
'กลับเลยไหม'
จงอินเป็นพวกไม่ค่อยสนใจโลกเท่าไหร่ เซฮุนไม่มั่นใจว่าเพื่อนคนนี้มาทันประกาศเสียงตามสายตอนที่ทุกคนได้รู้ว่าโอ เซฮุนนักเรียนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นอะไรในห้องสี่ได้รับรางวัลระดับประเทศนั่นรึเปล่า
'อือ'
จงอินเป็นพวกคุยไม่เก่ง เซฮุนก็คุยไม่เก่ง ทั้งสองคนไม่ค่อยได้พูดอะไรกันระหว่างทางเดินไปขึ้นรถเมล์กลับบ้านนอกจากเดินไปด้วยกัน บางทีเซฮุนก็ไม่เข้าใจว่าจงอินจะรอทำไมในเมื่อก็ไม่ได้คุยอะไรกัน แต่ก็ไม่เคยถาม
'ดีใจด้วยนะ'
'อะไรนะ'
‘อ๋อ เรื่องรูปอ่ะนะ รู้กับเขาด้วยเหรอ’
'เห็นเพื่อนคุยกันพอดี'
เซฮุนพยักหน้ารับรู้ตามประมาณว่าอ๋อ อย่างนั้นเหรอ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดีนี่นา
'อาจจะไม่เกี่ยวกับฝีมือของฉันก็ได้นะ อยากจะเป็นเพราะจงอินก็ได้'
'ฉันชอบเวลาที่ได้ยิ้มให้กล้องที่เซฮุนถ่าย'
'ไม่สิ'
'ฉันไม่ได้ยิ้มให้กล้อง ฉันยิ้มให้เซฮุนต่างหากล่ะ'
หลังจากประโยคสั้นๆง่ายๆและรอยยิ้มมุมปากของจงอินทำให้เซฮุนในวัยสิบหกปีรู้จักความรู้สึกว่าการหน้าเห่อร้อนอย่างไร้สาเหตุเป็นครั้งแรก
*
จงอินไม่เคยบอกรัก แต่จงอินก็แบ่งกับข้าวที่ดูน่ากินสุดๆให้เซฮุนเสมอในตอนเที่ยง จงอินไม่เคยบอกรัก แต่จงอินก็ยังเลือกที่จะยืนรอแบบไร้จุดหมายไม่เคยโกรธถ้าเซฮุนจะเลิกจากชมรมเย็นค่ำแค่ไหนก็ตาม
จงอินไม่เคยบอกรัก แต่เซฮุนก็รู้อยู่ดี
เซฮุนไม่ได้รู้ว่าจงอินรัก เพนสะเซฮุนไม่มั่นใจว่ารัก คืออะไรกันแน่ รู้แค่ว่าต่อให้ต้องรอนานแค่ไหนจงอินก็จะยืนรออยู่เสมอ เซฮุนรู้แค่นั้น
'โกโก้มินต์อีกแล้ว'
เซฮุนยู่จมูกอย่างขัดใจเมื่ออีกฝ่ายที่ยืนพิงกระจกหน้าสถาบันสอนพิเศษยื่นน้ำหวานร้านประจำมาให้แทนการทักทายแบบคนทั่วไป
'รอนานรึเปล่า'
‘ทำไมวันนี้ที่เรียนของนานเลิกเร็วจัง’
จงอินไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่ใบหน้าใต้ผ้าพันคอสีเทาอ่อนส่ายเบาๆแทนเป็นคำตอบ
'ใส่ไข่มุกมาด้วยสิวันหลัง ฉันชอบโกโก้แต่ไม่ได้ชอบมินต์ซะหน่อย'
เพราะอากาศหนาวระดับเลขตัวเดียวทำให้เวลาพูดมีควันสีขาวลอยออกมา เซฮุนรู้ว่าจงอินเป็นคนขี้หนาว เลยพยายามไม่พูดอะไร
'จะบอกว่าก็ฉันชอบมินต์ใช่มั้ยล่ะ'
พออีกฝ่ายเอาแต่เดินไม่พูดจา เซฮุนเลยเลือดที่เดาใจอีกฝ่านแทน กลุ่มผมสีดำที่เลยผ่านออกมาจากผ้าพันคอขยับเบาๆ
'นี่จิตใจจะไม่พูดอะไรเลยกันเลยใช่มั้ย'
เซฮุนส่ายหน้าเมื่อเห็นอีกคนพยักหน้าอีกแล้ว
ต่อให้จงอินเกลียดอากาศหนาวขนาดไหนแต่จงอินก็ยังยืนรอเซฮุนให้กลับบ้านพร้อมกันเสมอ พอขึ้นรถเมล์จงอินก็มักจะหลับทันทีพอถึงป้ายบ้านของเซฮุนก่อน เซฮุนก็จะปลุกให้จงอินตื่น เป็นแบบนี้ทุกวันจนเซฮุนชินกับหน้าตามึนๆหลังตื่นนอนของจงอิน
'เซฮุน'
ปกติจงอินหลังถูกปลุกมักจะไม่พูดอะไรนอกจากโบกมือพร้อมกับขยี้ตาแรงๆจนเซฮุนกลัวตาจะช้ำ
'….'
รถเมล์กำลังจอดเทียบป้ายแต่พอเซฮุนหันกลับไปมองตามเสียงเรียกอีกคนก็เอาแต่มองหน้าไม่พูดจาอะไร
เซฮุนอ้าปากพูดแต่ไม่มีเสียงเป็นคำว่า มี อะ ไร เพราะจงอินนั่งอยู่แถวหลังสุดแถมในรถเมล์ก็มีผู้โดยสารตั้งหลายคนที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องอยู่ เซฮุนไม่อยากรบกวน
'…'
ประตูรถเปิดออกพอดีแต่จงอินก็ยังไม่พูดอะไร เซฮุนเลยก้าวลงรถแบบไม่คิดอะไร
รถเมล์ผ่านหน้าไปช้าๆ สายตาจองเซฮุนหยุดที่จงอินที่นั่งอยู่ที่แถวหลังสุด
กลับ ดี ดี นะ
จงอินอ้าปากพูดช้าๆทีละคำ แล้วรถเมล์ก็ผ่านหน้าไป
เซฮุนไม่เข้าใจว่าวันนี้มีความพิเศษกว่าวันอื่นยังไง ทำไมจงอินต้องตื่นมาเพื่อเรียกแล้วบอกให้กลับดีดี แต่ก็ไม่ได้เอากลับมาคิดอะไรมากกว่าจงอินอยากจะชดเชยที่ไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลยทั้งวันก็เป็นได้
*
เซฮุนยืนรอ
รอนานจนได้ทีเวลายืนคิดว่าตัวเขาเองไม่เคยเป็นฝ่ายรอจงอินเลย ทุกครั้งไม่ว่าจะไปไหนจงอินจะเป็นฝ่ายรอเสมอ จงอินเคยเดินมาส่งเซฮุนที่บ้าน แต่เซฮุนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านของจงอินต้องลงป้ายรถเมล์ไหน
เซฮุนยืนหนาวรอจงอินอยู่หน้าที่เรียนพิเศษนานจนไฟในอาคารดับไป แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของจงอินในวันนี้ และวันถัดๆไป
เซฮุนรักไปโดยไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นเรียกว่า ความรัก ด้วยซ้ำ
สายลมที่ชื่อว่าจงอินพัดเข้ามาในฤดูร้อนแล้วจากไปในฤดูหนาวปีเดียวกันนั้น สอนให้เซฮุนรู้จักว่ารักคืออะไร
cut.
ไม่สัญญานะว่าจะแต่งจบ
/วิ่งหนี
ฝาก #ฟิคลมพัด ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะฮิ ;)
ความคิดเห็น