ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฝึกงาน(คนเดียว)ในปักกิ่ง

    ลำดับตอนที่ #11 : วันทำงานก็เที่ยวได้

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 52


    บทที่ 11 วันทำงานก็เที่ยวได้
    คนไทยหลายคนเห็นว่าคนจีนมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือชอบส่งเสียงดัง  เพราะเวลาเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวมาแต่ไกลก็รู้เลยว่ามาจากจีนแน่ๆ สังเกตุได้จากหมวก ธงและเสียง
    ผมเคยสงสัยว่าทำไมเขาต้องเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาทำงานในออฟฟิศจะเสียงดังด้วยหรือเปล่า
    โจวเฉิงเฉียง หรือที่ผมเรียกสั้นๆว่าพี่เฉียงทำหน้าที่สำคัญยิ่งในบริษัท คือการเฝ้าดูบัญชีลูกค้าว่ามีใครขาดทุนเกินวงเงินที่กำหนดไว้หรือยัง
    หากใครขาดทุนใกล้ถึงเส้นตายแล้ว พี่เฉียงจะโทรไปบอกลูกค้าให้ปิดสัญญานั้นทันที
    คำพูดที่ได้ยินแทบทุกวันจากเขา เพราะถ้าปล่อยให้ขาดทุนต่อไปจนเกินวงเงินก็ถือเป็นความรับผิดชอบของบริษัทเต็มๆ
    “ทำไมคุณยังไม่ปิดสัญญา ถ้าไม่ปิด ผมปิดให้เอง” เสียงดังก้องได้ยินไปทั้งแผนก
    ผมถามพี่เฉียงว่าพูดแบบนี้ลูกค้าไม่โกรธหรือ ในมุมมองของผม ถ้าผมเป็นลูกค้าก็รู้สึกเหมือนกำลังถูกด่าอยู่ ถ้าเป็นที่เมืองไทยพูดแบบนี้ลูกค้าคงปิดบัญชีหนีไปแล้ว ดีไม่ดีอาจจะมีการเลือดตกยางออกกันบ้าง
    พี่เฉียงอธิบายกับผมว่าส่วนใหญ่ลูกค้าจะขอบคุณที่โทรมาบอกนะ คำตอบนี้ทำผมอึ้งไปพักใหญ่
    ถ้าลูกค้ามองที่เจตนาว่าเราต้องการเตือนไม่ให้เขาขาดทุนไปมากกว่านี้ เรื่องส่งเสียงดังก็ไม่ใช่ประเด็นต้องเอามาขบคิด
                    ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้น หลายครั้งที่คุณหลูหัวหน้าแผนกคุยกับพี่เฉียงหน้าดำหน้าแดง เหมือนกับมีเรื่องทะเลาะกันรุนแรง แต่หลังจากจบเรื่องก็กลับมาคุยกันปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมเวลาไปดื่มเหล้าก็ยังดูสนิทสนมกันดี
                    ลองถามไมเคิลเพื่อความแน่ใจ ก็ได้รับการยืนยันว่านี่คือการคุยกันปกติของคนจีน การขึ้นเสียงคือการใช้เหตุผล และก็คุยกันในเรื่องนั้นแล้วจบไม่มีอะไรค้างคาใจ ถือว่าต่างฝ่ายต่างได้แสดงความคิดเห็นจนหมดสิ้นแล้ว
                    ถึงจะดูเสียงดัง แต่การได้คุยกันตรงๆ ย่อมดีกว่าการเก็บความไม่พอใจไว้ทีละน้อย ค่อยๆสะสมและเกิดเป็นความขัดแย้งในการทำงาน ซึ่งย่อมให้ประสิทธิภาพในการทำงานแย่ลง เสียทั้งงานและสุขภาพจิต
                    แน่นอนว่าสไตล์การทำงานแบบนี้คงปรับใช้กับเมืองไทยได้ยาก
                    แผนกการตลาดที่ผมฝึกงานถือเป็นแผนกที่คนในออฟฟิศอิจฉากันมากที่สุด เพราะผลทำกำไรก็ดีเยี่ยม แถมพนักงานยังได้ไปกินเที่ยวด้วยกันตลอด เป็นผลงานการบริหารของคุณหลูที่เป็นผู้จัดการ
                    คุณหลูเลือกเที่ยวในวันทำงาน คือตอนบ่ายสามโมงหลังจากตลาดการเงินปิด ก็ได้เวลาของพวกเราในการออกเดินทาง
    แม้ว่าเราจะไปเที่ยวในชั่วโมงการทำงาน แต่ถ้าเราได้พิสูจน์ให้คนในแผนกอื่นๆเห็นว่ากำไรก็เพิ่มขึ้น งานดูแลลูกค้าก็ไม่เสีย ก็ย่อมเป็นสิทธิ์ของเราที่จะไป คุณหลูเชื่อว่าการสร้างทีมเวิร์คย่อมให้องค์กรมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ใช้เงินก็ไม่เยอะ เวลาก็ไม่มาก แถมยังสะดวกสำหรับทุกคนอีกต่างหาก
                     จุดมุ่งหมายของเราคือ(xiāng)(shān)(เซียงซาน)  หุบเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือจากเมืองไปราว 20 กิโลเมตร ไมเคิลบอกว่าเราจะไปปีนเขา แต่ในความหมายภาษาไทยหมายถึงการเดินขึ้นเขานั่นเอง
                    เรานั่งรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี()(quán)()(หยวี่ฉวนลู่) แล้วนั่งรถแท๊กซี่ไปอีกประมาณ10กิโลก็ถึงปากประตู  มีคนถามว่าจะขึ้นรถกระเช้าไหม
                    “ถ้าไม่ได้เดินขึ้นเขา ก็เหมือนมาไม่ถึงน่ะสิ” เสียงดังจากคุณหลู เป็นสัญญาณที่แน่ชัดว่าผมคงต้องเดินขึ้นแน่นอน ถึงยอดเขาจะดูไม่สูงมาก แต่สัญชาตญาณก็เตือนว่าอย่าพึ่งเชื่อสิ่งที่ตาเห็น
                    และแล้วสิ่งที่ผมคาดการณ์ก็ถูกต้อง มันเป็นทางที่มีต้นไม้ ดอกไม้ตลอดสองข้างทาง เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม แต่เดินยังไงมันก็ไม่มีวี่แววจะถึงยอดสักที ขนาดคนจีนที่เดินเยอะๆทุกวันเดินหอบแล้วหอบอีก แล้วคนไทยอย่างผมจะไปเหลืออะไร เกือบคิดว่าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่ปักกิ่งซะแล้ว เมื่อได้ยินเสียงตะโกนมาว่ายังไม่ถึงครึ่งทางเลย
                    คนเราเมื่อพิชิตยอดเขาได้ ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็หายเป็นปลิดทิ้งจริงๆ แม้ว่าจะเป็นแค่เขาลูกเล็กๆก็ตาม แต่การได้เดินขึ้นไปด้วยขาสองทั้งของเราเอง ได้สูดอากาศบริสุทธิ์กับมองเห็นเส้นทางจากด้านบนลงมาก็อดภูมิใจไม่ได้ว่าเราทำได้อย่างไร
                    การมาเดินเขาครั้งนี้เหนื่อยแต่สนุก เพราะมีเพื่อนคอยช่วยเหลือกันไปตลอดทาง แต่ถ้าเขาชวนผมไปเดินเขาอีกคราวหน้า
                    ขอเดินเขาดินแทนก็แล้วกัน
                     อลันที่ว่าแน่ยังกล้ามเนื้ออักเสบจนต้องพยุงลงเขา
    Badachu Park ()()(chù)(gōng)(yuán)(ป่าตาชูกงหยวน)
    การเดินทาง รถไฟฟ้าสาย 1 สถานี(píng)(guǒ)(yuán)(ผิงกั่วหยวน) แล้วนั่งรถแท๊กซี่( 2 กม.)
    บัตรผ่านประตู 10 หยวน บัตรชุดขึ้นกระเช้า ลงรถสไลด์ 60 หยวน
    เป็นสถานที่ซึ่งรายล้อมไปด้วยวัดพุทธถึง 8 แห่ง มีนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากแห่มาไหว้พระทุกวัน สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทยอาจทำกิจกรรมเสริมเช่นปิกนิกก็ได้ เพราะภายในมีบรรยากาศร่มรืน มีรถกระเช้าให้นั่งขึ้นสู่บนเขา และขาลงยังมีเครื่องเล่นสไลด์ลงมาตามรางตามรางที่คดเคี้ยว ถือเป็นสวนสำหรับไปไหว้พระและพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ไม่เลว
    Tanzheshi   (tán)(zhè)()(ถานเจ๋อซื่อ)
    เวบไซต์ http://www.tanzhesi.com.cn
     
    การเดินทาง รถไฟฟ้าสาย 1 สถานี(píng)(guǒ)(yuán)(ผิงกั่วหยวน) แล้วนั่งรถเมล์สาย931 จนสุดสายที่ป้ายรถเมล์ (tán)(zhè)()(ถานเจ๋อซื่อ) ระยะทางประมาณ29กิโลเมตร หลังจากลงรถไฟฟ้า
    บัตรผ่านประตูทุกโซน 40 หยวน
    วัดถานเจ๋อซื่อตั้งอยู่บนยอดเขาทางด้านตะวันตกของกรุงปักกิ่ง ถูกสร้างตั้งแต่สมัยราชวงศ์จิ้น มีอายุยาวนานกว่า 1,600 ปี ด้านบนเขามีสระมังกรและต้นCudraniaอันเป็นสัญลักษณ์และส่วนหนึ่งของชื่อวัดแห่งนี้  ชาวจีนจำนวนมากเดินทางมาไหว้พระที่นี่ในช่วงสุดสัปดาห์
     
    Xiangshan (xiāng)(shān)(เซียงซาน)
    ป้ายรถเมล์ (xiāng)(shān)(เซียงซาน) สายรถเมล์ที่ผ่าน 318  331 360 634 696  698  714
    บัตรผ่านประตู 10 หยวน
    ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ในโซนวงแหวนที่5 เป็นสวนสาธารณะที่มีความสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ในฤดูใบไม้ผลิต้นเมเปิ้ลจะเต็มไปด้วยสีแดงเต็มสองข้างทาง แต่โอกาสที่ช่วงที่เป็นสีแดงทั้งหมดก็เพียง2-3สัปดาห์เท่านั้น มียอดสูงสุดชื่อว่า(xiāng)()(fēng) (เซียงหลูเฟิง) ในการขึ้นลงต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย หากใครไม่อยากเสี่ยงยอมเสียเงินนั่งกระเช้าดีกว่า เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนก็จะเห็นทิวทัศน์อันสวยงาม และยังมองเห็นสวนพฤษชาติเซียงซาน(xiāng)(shān)(zhí)()(guǎn)(เซียงซานจื๋ออู้ก่วน) หากยังมีแรงเหลือก็สามารถไปเที่ยวต่อได้
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×