ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไดอารี่น่าเบื่อๆ

    ลำดับตอนที่ #15 : มันก็ดีนะ?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 25
      0
      9 ส.ค. 58

    09.08.58

    อยากเขียนเรื่องที่มีความสุข หรืออะไรสนุกๆ บ้าง

    ถ้าเราโฟกัสไปแต่เรื่องเครียดๆ เรื่องแย่ๆ มันก็ออกจะน่าเบื่อ

    อยู่ๆ ก็นั่งนึกวันวาน สมัยเรียนมัธยมฯ นี่มันนานจะสิบปีแล้วเหรอเนี่ย

    นึกแล้วแก่ขึ้นมาเลยทีเดียว  แต่มัธยมต้นกับมัธยมปลายต่างกันคนละโยชน์


    ตอนมอหนึ่งอยู่ห้องที่ไม่ค่อยเอาใจใส่การเรียน  มีคนเรียกห้องบ๊วย ห้องโหล่

    ไม่ค่อยสนิทกับใครเป็นพิเศษเท่าไหร่  แต่ก็พอมีเพื่อนบ้าง

    โรงเรียนมัธยมฯที่เราเรียนมันก็ออกจะธรรมดาๆ ไม่กดดัน แต่ไม่ปล่อยปละ

    ด้วยความที่ไม่กดดัน ก็เรียนๆ เล่นๆ ไปเรื่อย วิชาไหนสนุก ก็ได้คะแนนดี

    วิชาไหนน่าเบื่อ ก็ไม่สนใจ  แต่ที่สนุกกว่าวิชาเรียนคือ ฟังเพื่อนคุยกัน


    พอขึ้นมอสองไหงถูกจับย้ายไปห้องคิงก็ไม่รู้  ทั้งที่มาจากห้องบ๊วย

    เกรดเฉลี่ยก็แค่สามนิดๆ ไม่ถึงสามจุดห้า ได้ที่สองของห้อง

    ที่หนึ่งก็ย้ายมาด้วย แต่เราไม่ค่อยสนิท อยู่คนละกลุ่มกัน

    แล้วพอย้ายมาห้องเด็กเรียน  มันคนละฟีลเลย แบบงงๆ เอ๋อๆ

    ไม่รู้จักใคร  ในขณะที่คนอื่นเค้ารู้จักกัน หรือเราอาจจะไม่เข้าหา

    เวลาเรียน  บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิมมาก มีคนตั้งใจเรียนเยอะจนงง

    เพราะห้องเก่า  ปกติ นักเรียนจะแซวอาจารย์ หรือพูดคุยกันไม่หยุด


    การปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ช้า  ก็เลยหาเพื่อนยากมาก

    ทำรายงานก็ไม่มีกลุ่ม  เลยไม่ทำแม่ม  แต่คะแนนกลับดีขึ้น

    บางวิชาไม่ส่งงาน ได้เกรดสี่เฉย  อะไรคือมาตรฐาน หรือให้คะแนนแบบสุ่ม?

    แต่ดีอย่างหนึ่งคือ ไม่ต้องทำเวร เพราะไม่มีใครเอาเข้ากลุ่มทำความสะอาด

    ก็ไม่ใช่ว่าถูกรังเกียจ แต่น่าจะเรียกว่า ถูกเมิน ไม่มีใครสนใจมากกว่า

    จนกระทั่ง อาจารย์ให้ทำตารางเวรไปแปะหน้าห้อง  ทุกคนก็รับรู้ได้ว่า มีคนที่ยังไม่มีเวร

    ทีนี้เลยต้องมีเวรเลย  กลายเป็นคนว่างงานมาตั้งนาน อุตส่าห์ดีใจว่า ฉันไม่มีเวร


    ตอนขึ้นมอสามละมั้ง ถึงจะเข้ากับเพื่อนได้มากขึ้น เริ่มมีกลุ่ม มีเพื่อนสนิท

    โดยเริ่มมาจากชอบดูโคนันเหมือนกัน  หายากนะ เพื่อนผู้หญิงสมัยนั้นที่ดูการ์ตูนญี่ปุ่น

    นิสัยเราไม่ค่อยจะไปทางผู้หญิงเท่าไหร่  พูดน้อย แต่พูดทีบาดเจ็บกันไปเป็นแถบๆ

    เพื่อนสนิทคนนั้น(มั้ง) ก็มีนิสัยแปลกๆ คล้ายๆ กัน  แต่เป็นคนที่ลึกลับยิ่งกว่าเราซะอีก

    ตอนเย็นก็เล่นเตะฝาขวดน้ำหลังห้อง เราชอบกีฬานะ แต่ไม่ชอบการรวมกลุ่ม

    ถนัดที่สุดก็คงจะตระกร้อ  โคตรจะกรรมกรเลย พูดแล้ว จะหาว่าเหยียดชนชั้น

    ถ้าจะให้ไปเตะฟุตบอลกับเพื่อนผู้ชาย ก็คงไม่อะ อีกอย่าง ขี้เกียจจำกติกา


    พอเริ่มมีเพื่อนแล้ว ก็เริ่มค้นพบวิธีการเล่นสนุก  สนใจเรียนน้อยลง

    รู้จักกับวิชาที่เรียกว่า การโดดเรียน อะแต่เพื่อนคนนั้นเค้าไม่ชอบโดดเรียนหรอก

    เราจะโดดเรียนกับกลุ่มเพื่อนที่เราสนิทในอีกระดับหนึ่ง เห๊ เหมือนแบ่งชนชั้น

    แน่นอนว่า คะแนนมันก็ตกลงไปอีก แต่ใครสนล่ะ ที่บ้านเราเค้าก็ไม่ว่าอะไรหรอก(มั้งนะ)

    มีตำหนินิดหน่อยว่า เกรดตกนะ แต่เทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ยังดีกว่า ก็เลยรอดตัว

    ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจะต้องเอาเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอด?

    แต่เพราะตัวเองดีกว่าก็เลยไม่ค่อยจะเดือดร้อนอะไร แต่มันทำให้อีกฝ่ายแย่ลงไป


    พอขึ้นมอสี่ เราก็ชวนเพื่อนที่สนิทๆ เรียนวิทย์คณิตญี่ปุ่น เพราะชอบภาษาญี่ปุ่น

    โดยมีความใฝ่ฝันว่า อยากจะเรียนเพื่อให้ดูการ์ตูนญี่ปุ่นรู้เรื่อง ไม่ต้องฟังเสียงพากย์หรือซับ

    ถ้าถามว่าความฝันจริงๆ หรืออนาคตอยากเป็นอะไร  ในตอนนั้นคงอยากเป็นนักเขียน

    เพราะมีนิยายที่อ่านแล้วมีความสุขมาก เหมือนถูกดูดเข้าไปอยู่ในหนังสือ หลุดลอยไปเลย

    เพราะมุ่งมั่นที่จะเป็นนักเขียนเพียงอย่างเดียว คิดว่าจะเรียนต่ออะไรก็ได้ทั้งนั้น

    ที่เลือกเรียนวิทย์คณิตก็เพราะมั่นใจในความสามารถของตัวเองมาก

    แล้วมันก็มีทางไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้เยอะแยะหลายคณะ

    แต่เพื่อนในห้องเราส่วนใหญ่เลือกไปลงวิทย์คณิตอังกฤษกันหมด

    เพราะถ้าเรียนญี่ปุ่นก็ต้องมานั่งจำ นั่งเริ่มต้นใหม่กับภาษาใหม่

    เหมือนเค้าจะบอกว่ามันเสียเวลา เพราะแค่วิทย์กับคณิตก็ยากพอแล้ว

    ก็เลยกลายเป็นว่ามีเรากับเพื่อนอีกคน แค่สองคนที่ไปลงห้องว-ค-ญ


    เราก็กังวลมาก เพราะต้องไปเริ่มต้นใหม่กับสังคมใหม่อีก แต่มีเพื่อนสนิทอยู่นี่หน่า

    แน่นอนว่าก็สอบผ่านและได้ที่หนึ่งกับที่สอง (ก็ที่สองอีกแล้ว) กันทั้งคู่

    แต่สุดท้ายเพื่อนคนนั้นก็ขอย้ายโรงเรียนไปที่ใกล้บ้าน

    ก็หมายความว่าเราต้องกลับไปเริ่มต้นเหมือนตอนมอสองใหม่อีกรอบ?

    พอคิดว่าต้องไม่มีกลุ่มรายงานอีกแน่เลย แถมเรายังไม่ค่อยชอบขี้หน้าพวกนั้น?

    แบบว่า มันก็ต้องมีบ้างที่รู้สึกไม่ถูกชะตากับใคร  ยอมรับว่ามีอคติกับคนเยอะ

    มิหน่ำซ้ำยังต้องเข้าไปอยู่กับกลุ่มที่เค้ารู้จักสนิทสนมกันดีอยู่แล้ว เพราะมาด้วยกัน


    ทำไมเราถึงได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มสังคมมากกว่าวิชาเรียนก็ไม่รู้สินะ

    สำหรับเราแล้ว สิ่งแวดล้อมในการเรียนมันสำคัญ ถ้ารอบตัวดี เราก็เรียนดี

    ดีในที่นี้หมายถึง เข้ากันได้นะ ไม่ใช่ดีแบบเก่ง ฉลาด หรือขี้ประจบเอาใจครู

    สำหรับเราแล้ว ถ้าวิชาไหน บรรยากาศน่าเรียน  ก็จะตั้งใจเรียน

    อย่างอาจารย์ที่สอนมีกลวิธีที่น่าสนใจ พูดไม่น่าเบื่อ เพื่อนในห้องให้ความร่วมมือ

    แบบนั้น น่าจะเป็นบรรยากาศการเรียนที่ทำให้เราตั้งใจเรียนนะ

    สุดท้ายเราก็เลยทำเรื่องย้ายมาเรียนห้องศิลป์คำนวณที่ดูน่าจะไปรอดมากกว่า

    เราก็ไปเกลี่ยกล่อมที่บ้าน  พูดว่าร้ายคนอื่นว่า (คาดคะเนว่า) คนพวกนั้นไม่เอาเรา

    เดี๋ยวก็ไม่มีรายงานกลุ่มอีก  เรียนไม่รู้เรื่องแน่ เพราะไม่มีเพื่อนช่วยติวอีก

    ไม่รู้พูดยังไงก็เลยยอม  สงสัยจะมีวาทะศิลป์? หรือมีอะไรมาดลใจให้ฟัง?


    มาเรียนห้องศิลป์คำนวณทั้งที่โง่เลขมาก เห็นตัวเลขแล้วจะชักเอาได้

    ดีที่บรรยากาศการเรียนสนุกสนานมาก เพื่อนในห้องเฮฮาบ้าบอ

    อาจารย์ที่สอนก็พลอยสนุกไปกับการสอนด้วย  ก็เลยได้บรรยากาศดี

    คะแนนก็เรื่อยๆ ไม่ค่อยสนใจ  ไม่มีอะไรกดดัน  ชิวๆ สนุกๆ

    หลังเลิกเรียนเล่นโปลิศจับขโมย เล่นซ่อนแอบไรงี้

    เฮฮาจนคิดว่า มาโรงเรียนหรือมาสวนสนุกกันเนี่ย

    ตั้งหน้าตั้งตารอให้เลิกเรียนมาก  จะได้เล่นตี่ เล่นบอลลูนฯ

    แต่ชอบโปลิศจับขโมยที่สุด  วิ่งไล่ วิ่งหนี ได้ออกแรง ได้หัวเราะ

    ไปเรียนเพื่อไปเล่นโดยเฉพาะ  วิชาเรียนนี่ถือเป็นเรื่องรองไปเลย

    เล่นสนุกกันจนเด็กมอต้นอิจฉาอะ  ทำไมไอ่พวกนี้มันสนุกกันขนาดนี้วะ


    เพราะมันสนุกเกินไป ก็เลยออกจะน่าเบื่อ?

    บางทีก็คิดว่า น่าจะทำอะไรที่มีสาระมากกว่านี้

    แต่ก็ดีแล้วล่ะ จะคิดไรมากเนอะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×