ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Zodiacians | ปกรณัมนักษัตร . ปิดรับสมัครตัวละคร

    ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 0 l ลำนำแห่งดวงดาว

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 185
      43
      21 เม.ย. 64






    CHAPTER 0

    ลำนำแห่งดวงดาว




     

     


    “สามสิ่งที่สำคัญที่สุดแห่งอาณาจักรไกอานั้นก็คือ จักรวรรดิ จักรพรรดิ และ ศาสนาจักร พวกเราล้วนถูกหลอมรวมเข้าไว้เป็นหนึ่งและยึดโยงเป็นกลุ่มก้อนที่เปรียบเสมือนกงล้อที่จะขับเคลื่อนอาณาจักรแห่งเราให้ดำเนินต่อไปได้ พวกเธอทุกคนจะเติบโตขึ้นเป็นชนชั้นปกครองแห่งอาณาจักรในอนาคต โปรดอย่าลืมสิ่งนี้ไปซะล่ะ วันนี้พอแค่นี้ ขอให้พวกเธอโชคดี” เสียงทุ้มต่ำกล่าวจบประโยคก่อนที่นักเรียนทั้งห้องจะลุกขึ้นทำความเคารพ พร้อมกับเสียงคุยกันที่ดังขึ้นหลังเลิกคลาส

    ก็เหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไปที่จะมีวิชาศึกษาทั่วไป เซลิเทอร์ก็เช่นกัน

    “นี่เราปิดคอร์สเทอมหนึ่งหมดแล้วเหรอเนี่ยะ --” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในกลุ่มนักเรียนชายที่ดูจะมีระดับหน่อยๆ

    “ปีสุดท้ายยังได้เรียนวิชาบ้าบออะไรอีกก็ไม่รู้” นักศึกษาชายอีกคนพูดขึ้น

    “เอาเถอะน่า อย่างน้อยมันก็ทำให้พวกนายได้เกรด 10 ง่ายๆ ไม่ดีรึไง จริงมั้ย? คาฮิล” นักศึกษาชายอีกคนหันไปหาเพื่อนนักศึกษาที่นั่งอยู่ไม่ยอมลุกไปไหนพร้อมกระจกสีทองประดับเพชรแสบตาในมือ

    “ไม่ว่าจะวิชาอะไรคาฮิลก็ไม่เคยได้ต่ำกว่าเกรด 10 อยู่แล้ว” ชายหนุ่มร่างโปร่งเสยผมสีขาวสว่างหนึ่งทีโดยที่ไม่ได้แม้แต่จะให้ความสนใจกลุ่มเพื่อนตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ เขายังคงสนใจแต่เพียงใบหน้าหล่อเหลาในกระจกนั่น 

    “ลืมไปเลย ใครจะไปต้านทานความฉลาดและหล่อเหลาของท่านคาฮิลได้ล่ะ” เพื่อนนักศึกษาคนเดิมเอ่ยขึ้นติดตลกก่อนที่ทุกคนจะหัวเราะชอบใจ 

    “ไม่เอาน่า -- ฉันรู้เรื่องนี้ดีกว่าที่พวกนายรู้เสียอีก” เขาไม่ได้แสดงท่าที่เคอะเขินกับคำชมสุดกระอักกระอวนนั่นเลย หน่ำซ้ำยังรับคำชมนั้นเสียดื้อๆ ทำเอาทุกคนทำหน้าเหยเก

    “นี่พวกนาย คิดไว้รึยัง... เรื่องกีฬาสานสัมพันธ์น่ะ” เสียงของเพื่อนนักศึกษาดูจะดึงความสนใจจากคาฮิลได้บ้างเล็กน้อย

    ใช่กีฬาสานสัมพันธ์ที่นักเรียนตัวท็อปต่างพยายามได้มันมาซึ่งตั๋วในการลงแข่ง ไม่ใช่เพียงรางวัลที่ได้รับ อีกทั้งยังชื่อเสียง เกียรติยศ ที่หาไม่ได้ตามโอกาสทั่วไป 

    “ฉันจะลงยิงธนู” นักศึกษาหนุ่มในวงแทรก

    “ฉันลงวิ่งมาราธอน” นักศึกษาอีกคนเอ่ย

    “น่าตื่นเต้นสุดก็คงเป็นการประลองศักดิ์สิทธิ์ ปีนี้รางวัลเป็นเทียร่าที่สั่งทำพิเศษจากองค์จักรพรรดิเลยนะ...” หลังจากนั้นคาฮิลก็ไม่ได้ยินวงสนทนาของกลุ่มนักเรียนชายอีก ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ๆ ราวกับว่าเขาหลุดเข้าไปในภวังค์


    เทียร่างั้นเหรอ


    มันช่างงดงามและนั้นแหละ… ที่สุดแห่งความพิเศษ


    เพราะถูกสั่งทำจากท่านองค์จักรพรรดิโดยตรงน่ะสิ


    ใช่.. ใช่ มันจะต้องตอกย้ำความเป็นที่หนึ่งของเขาให้กับทุกคนดูเป็นขวัญตา 


    “คาฮิล คาฮิล” ดูเหมือนการสนทนาจะหยุดชะงักไปสักครู่ พร้อมกับเพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งที่เอามือโบกไปมากลางอากาศ

    เจ้าตัวที่ถูกเรียกส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองด้วยความสนใจ “แล้วถ้าฉันจะลงการปะลองศักดิ์สิทธิ์ ต้องทำยังไงบ้าง” เขาพยายามเก็บอาการ

    “อื้มมม-- ปีนี้กติกาพิเศษ เห็นว่าต้องลงเป็นคู่น่ะนะ” นั่นทำให้คาฮิลชะงัก


    ทีม…


    “น่าเสียดาย นายคงไม่สนใจจะจับคู่หรอกจริงมั้ย ก็นายชอบฉายเดี่ยวนี่” ทุกคนในวงสนทนาพยักหน้าหงึกหงัก


    “แต่ถ้าไม่มีคู่ก็ลงไม่ได้” คาฮิลพึมพำเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ฉันจะลงการประลองศักดิ์สิทธิ์” เสียงของเขาดูหนักแน่นเป็นพิเศษ นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวส่องประกาย 


    “จริงๆ มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอกนะ ไม่ใช่ว่าใครจะแข่งได้ --นายต้องไปคัดตัวจากนักเรียนทั้งหมดที่คงยาวเป็นหางว่าวเลยล่ะ ตอนนั้นนายก็จะรู้เองแหละว่าจะได้คู่กับใคร” เพื่อนนักศึกษาเอ่ย


    คัดตัวงั้นเหรอ…


      มีเหรอที่คาฮิลจะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้--





    ทางเดินหินใต้ดินตัดสลับกับคบเพลิงเวทย์มนตร์ที่ไม่ได้จุดด้วยไฟธรรมดายาวทอดไปในความมืด ร่างระหงส์ในผ้าคลุมสีน้ำตาลเก่าๆ สาวเท้าฉับๆ อย่างรีบร้อน

    มือเรียวยาวฟาดลงบานประตูเก่าๆ ก่อนที่มันจะเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นกลุ่มคนที่อยู่ข้างในนั้นก่อนแล้ว

    “คุณดีว่ามาได้ตรงเวลาพอดีเลยนะครับ” เสียงนุ่มของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเทาพริ้ว นัยน์ตาสีแดงทับทิมสะดุดตายกสูงราวกับกำลังยิ้มผ่านสายตาอยู่

    หญิงสาวรางระหงส์พยักหน้ารับ “...ขอโทษทีอีวาน ฉันมีสอน” เธอว่าก่อนจะนั่งลงพร้อมกับลดผ้าคลุมลง เผยมัดเปียใหญ่สีเปลือกไม้เข้ม นัยน์ตาสีสกาวสว่างพินิจไปรอบๆ อย่างทีถ้วนก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงหนักแน่น

    “วันนี้ฉันมีข่าวด่วนจะมาแจ้ง...” ดูเหมือนจะเป็นการประชุมที่ไม่มีพิธีรีตรองอะไรมากนัก จากตำแหน่งเก้าอี้ในห้องก็พอจะทราบว่าเธอคือประธานในการประชุม

    หลุมใหม่โผล่ออกมาอีกแล้ว” ไม่ทันที่จะพูดจบ เสียงพูดคุยระหว่างสมาชิกในห้องก็ดังขึ้นทันที เธอเว้นระยะสักครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความสงสัย “เขต 14 สุดเขตสิบสี่ติดกับป่าสี่ฤดู” สิ้นประโยคยิ่งทำเอาคนทั้งห้องตกใจไปมากกว่าเดิม เสียงพูดคุยดังขึ้นกว่าตอนแรก

    “ใจเย็นก่อน แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วดูอันตราย แต่เราไม่ได้มีทางเลือกมาก อย่างที่เรารู้ดีว่า พวกเรารอรับการช่วยเหลือจากจักรวรรดิไม่ได้”

    “ที่สำคัญ ไม่ไกลจากป่าสี่ฤดูมีหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน”

    “เพราะฉะนั้นเราต้องทำอะไรสักอย่าง…” ทันที่เธอจะจบประโยคชายคนเดิมก็พูดขึ้นพร้อมกันกับเธอ 

    “...แบบลับๆ”






    สายลมเอื่อยๆ พัดผ่านม่านหน้าต่างลูกไม้มาเป็นระยะ แสงแดดร่ำไรตอนเช้าลอดม่านเข้ามาเผยให้ห้องนอนติดริมทะเลในบ้านหลังกลางค่อนไปทางใหญ่ ภายในห้องตกแต่งด้วยสิ่งของที่บ่งบอกถึงความรักที่มีต่อทะเลของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นรูปวาดทะเล เกาะ เตียงนอนที่ถูกสั่งทำพิเศษเป็นทรงเปลือกหอย หรือจะเป็นโมบายล์กะลามะพร้าวที่ถูกเพ้นด้วยสีสันฉูดฉาด หนังสือนิยายรักโรแมนติกมากมายถูกจัดอยู่ในชั้นวางดีไอวายที่ทำมาจากใบมะพร้าวสานอย่างดี 

    แต่ที่ดูจะสะดุดตาเป็นพิเศษก็คงจะเป็นไดอารี่เล่มสีฟ้าน้ำทะเลที่เปิดอ้าอยู่ 


    ไดอารี่จ๋า สวัสดีจ้า

    จ.ม. ที่ 432 วันที่ 25 เดือน 10

    รีวิวเทอม 1 ปี 2 BY มารีน

    ปิดเทอมวันแรกมันช่างรู้สึกดี 

    จะบอกว่าไงดี เหมือนยกเกาะทั้งพันเกาะของทราเกียร์ออกจากอก

    วิชาที่เรียนมาเทอมที่แล้ว ฉันว่ามันยากเกินกว่าที่มันสมองของฉันจะจดจำได้

    ไหนจะประวัติฯสัตว์น้ำโบราณเอย ประวัติฯเกาะแต่ละเกาะเอย

    เอาจริงๆ นะ นี่ฉันมาทำอะไรในสาขานี้เนี่ยะ เรียนแต่ประวัติศาสตร์จนฉันจะย้อนเวลาได้แล้วมั้ง

    แต่ก็เอาเถอะ ในความทุกข์มันก็ยังมีความสุขอยู่เสมอ… ช่ายยยยย

    ฉันรู้จักเพื่อนใหม่ตั้งสองคน คนแรกอลัน เขาทั้งหล่อ สุภาพบุรุษและยังเรียนเก่งอีก เหมือนเขาจะรู้ทุกอย่างที่อาจารย์สอนยังไงอย่างงั้น แบบว่า ไม่ต้องคิดเลย เหมือนหนังสืออยู่ในหัวของเขายังไงอย่างงั้น! ใช่แบบว่าฉันก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ -///- จริงๆ ก็มีแอบมองบ้าง ก็เขาดูดีขนาดนั้น แบบว่า.. แบบทั้งหุ่นเอย หน้าเอย ไม่แปลกหนิน่า ที่สาวๆ เกือบทั้งสาขาจะกรี๊ดอะ! หน็อย นี่ฉันมีคู่แข่งทั้งสาขาเลยงั้นเหรอ-- แต่เสียใจนะจ๊ะ เขาเลือกทำงานกลุ่มกับพวกฉันสองคน

    ใช่ อีกคนก็คือน้องเล็กในสาขา เอร์ แบบว่าฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคนถึงไม่ค่อยชอบเอร์ แต่ตลอดระยะเวลาหนึ่งเทอมมาเนี่ยะนะ เอร์ไม่ใช่คนที่จะไปรังแกใครได้เลย แบบเอาจริงๆ นะ ลมพัดมาเบาๆ เธอปลิวได้เลยด้วยซ้ำ แต่ทำไม๊ทำไม โดนเพื่อนๆ แกล้งจนฉันอดสงสารไม่ได้

    แต่เฮ้ยย… อย่าเข้าใจผิดไปเชียวล่ะ แบบว่าฉันไม่ได้เล่นกับยัยนั้นเพราะสงสารหรืออะไรหรอกนะ แต่ก็นะ จิตวิญญาณนางเอกของเรื่องอย่างฉันมันแรงกล้าน่ะสิ ฉันทนเห็นยัยพวกแก๊งหัวโจกแกล้งเธอแบบนี้ไม่ไหว หลังจากที่ฉันไปเป็นเพื่อนกับเอร์ก็เบาๆ ลงไปบ้าง

    ถือว่าเป็นเทอมที่หนักหนาสากันอยู่ แต่ก็นะ ...ฉันรอดมาได้แล้ว ฮี่ และก็ได้รู้จักเพื่อนใหมอีก สิ่งที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ก็คงเป็นทัวร์เกาะครั้งใหญ่เลยล่ะ นักท่องเที่ยวจากที่อื่นจะมา รู้สึกว่าจะได้รับคนใหญ่คนโตด้วยนะ! แบบว่าตื่นเต้นอ่าาา เพื่อว่าจะมีอัศวินรูปงามสักคน… ฮ่าๆ ฉันก็พูดไปงั้นๆ แหละ จริงๆ ก็แค่อยากใช้เวลากับเอร์แล้วก็อลันน่ะ อีกแค่ไม่กี่วันสินะ -- หวังว่าจะมีเรื่องสนุกๆ รออยู่นะ!

    ช่างเป็นปิดเทอมปีสองที่แสนสดใสซู่ซ่า แต่จริงๆ ก็เหมือนกับทุกทีนั้นแหละนะ


    ปณิธานปี 432 

    1. ลดความอ้วนให้เมเล่ นางนวลลูกรักที่จะบินไม่ขึ้นอยู่แล้ว

    2. ติวพิเศษกับพ่อและแม่มากกว่านี้

    3. อ่านนิยายให้น้อยลง อ่านหนังสือให้มากขึ้น






    ปราการสูงสีเงินเป็นสัญลักษณ์แห่งวิทยาลัยแวโรเลีย ธงสีดำลิ้มอาชาทองสะบัดไปตามแรงลม 

    ธงสำคัญที่ถูกชักขึ้นในช่วงเวลาสำคัญเท่านั้น

    วันคัดเลือกตัวแทนเพื่อแข่งการประลองศักดิ์สิทธิ์

    “เหล่าทหารแห่งแฟเมียร์ ปราการแห่งจักรวรรดิ ในนามคณบดีสูงสุดขอแสดงความยินดีกับพวกเราทุกคนที่กำลังจะจบภายในเทอมหน้า” ไม่มีเสียงพูดคุยกันระหว่างพวกนักเรียน ทุกคนอยู่ในความสงบ ได้ยินเพียงเสียงธงที่สบัดไปมาตามแรงลมท่ามกลางสนามกว้างนี้

    “อย่างที่รู้กันดีเป็นธรรมเนียมว่า เราจะต้องส่งนักเรียนชั้นปีสุดท้ายของเราเพื่อไปแข่งกีฬาสานสัมพันธ์ระหว่างสองสถาบัน” 

    “ตามธรรมเนียม เราจะเลือกนักเรียนที่เก่งที่สุดและอยู่ชั้นปีสุดท้ายเท่านั้น ตามระบบอาวุโสก่อน” ชายหนุ่มวัยกลางคนเว้นไป “เราจะคัดเลือกจากนักเรียนอันดับที่หนึ่งถึงห้าสิบสำหรับการปะลองศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น และจะมีเพียงคู่เดียวที่ได้รับการรับเลือก ที่เหลือจะได้แข่งในประเภทอื่นๆ แทน” ทุกคนยังคงยืนตระหง่านราวกับปราการที่ไม่มีวันถูกโค่นได้เฉกเช่น ปราการแวโรเลีย

    “หลังจากประกาศนี้ขอให้นักเรียนที่รู้ตัวว่ากำลังถูกกล่าวถึง ไปที่โถงใหญ่… แยกแถว” 

    เสียงสับเท้าอย่างเป็นระเบียบดังขึ้นพร้อมกันราวกับจักรยนตร์ที่ถูกตั้งค่าระบบไว้แล้ว


    “นี่พวกนายคิดว่าเราจะชนะมั้ยปีนี้” นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มพูดขึ้น “เราไม่ชนะมานานมากแล้ว” ดูเหมือนเขาจะทำเอาบรรยากาศในวงสนทนาเสีย

    “นี่ หัดมองโลกในแง่บวกซะมั้ง” เพื่อนหนุ่มอีกคนพยายามดึงบรรยากาศ

    “ปีนี้อย่าลืมสิ ว่าเรามีริโอน่านะเว้ย ลืมไปแล้วเหรอ” เพื่อนอีกคนในกลุ่มเอ่ยขึ้น 

    เจ้าตัวที่ถูกกล่าวถึงยกยิ้มก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ “ไม่อยากให้คำสัญญานะ แต่พวกนายไว้ใจฉันได้เลย ฉันนี่แหละจะกู้ชื่อให้กับวิลัยของเรา ถึงฉันจะไม่ใช่ทายาทของพระผู้มาโปรดก็เถอะนะ วะฮ่าๆ” เธอหัวเราะร่าเสียงดัง แต่ดูเหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่มไม่ได้ตลกไปกับคำพูดของเธอเท่าไหร่ แถมซ้ำยังทำให้บรรยากาศดูอึดอัดขึ้นกว่าเดิม เพราะพวกเขานั่งคุยกันเสียงดังหน้าห้องสมุด 

    ไม่ทันที่ทั้งกลุ่มจะได้ทันตั้งตัว ร่างโปร่งปริศนาก็โผล่หน้าออกมาจากขอบประตูห้องสมุดเพียงแค่ครึ่งเดียว เผยให้เห็นเรือนผมสีขาวสว่างสีเดียวกันกับผิวและนัยน์ตาสีเงินที่หรี่ลงราวกับจะฉีกร่างเด็กนักศึกษาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 

    เขาใช้ปลายร่มกระทุ้งพื้นไม้ดังเป็นจังหวะก่อนจะชี้ไปที่ป้ายหน้าห้องสมุด ‘ห้ามส่งเสียงดังรบกวน’

     “ผมเคยคิดมาตลอดว่านักศึกษาปีสี่อ่านหนังสืออกนะครับ” 

    นักศึกษาทั้งกลุ่มเงียบไปในทันทีก่อนที่ริโอน่าจะมองทะลุเพื่อนชายไปที่บรรณารักษ์หนุ่มที่โผล่หน้าออกมาแค่ครึ่งเดียว 

    “นี่พวกฉันไม่ได้อยู่ในห้องสมุดด้วยซ้ำนะ” เสียงห้าวดังขึ้นจนเพื่อนในกลุ่มสะดุ้งโหย่ง นัยน์ตาสีอำพันฉายออกมาเพียงแค่โทสะ ณ ตอนนี้ คิ้วคู่สวยสีเดียวกันกับผมสีทองที่มัดไว้แบบไม่เรียบร้อยนักดูจะยุ่งเหยิงพอๆ กัน

    “อ่อ… ป้ายนี่ก็ไม่ได้บอกนะครับว่าห้ามเสียงดังบริเวณไหนบ้าง ถ้ามีจิตสำนึกสักนิดก็น่าจะเข้าใจนะครับ” เขาเน้นคำว่าน่าจะ ทำเอาริโอน่าลมออกหู

    “นี่นายน่ะ มีอารมณ์ขันแบบมนุษย์ธรรมดาเขาบ้างนะ ฉันเป็นห่วง หรือว่านายอยู่แต่กับหนังสือจนเพี้ยนไปแล้ว” 

    “ผมมีอารมณ์ขันครับและก็มีมารยาท” ชายหนุ่มเขยิบออกมาจากขอบประตูก่อนที่จะยืนประจันทร์หน้ากันกับหญิงสาว

    “นี่ฉันจะเฉลิมฉลองชัยชนะล่วงหน้ากับเพื่อนๆ ไม่ได้เลยรึไง” ดูเหมือนสงครามยังไม่จบและเพื่อนๆ ในกลุ่มเริ่มจะเอามือลูบๆ หญิงสาวให้ใจเย็นลง ถึงจะรู้ว่าไม่ช่วยเลยก็ตาม

    “อ่อ… ความมั่นใจของคุณนี่ช่างน่าพิศมัยจังเลยนะครับ ถ้าลดความมั่นใจนั่นลงซักสองหน่อย แล้วเอาไปเพิ่มเรื่อง มารยาท ปานนี้เราคงไม่ต้องมาพูดอะไรกันนานๆ แบบนี้” บรรณารักษ์หนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

    หญิงสาวกัดฟันกรอด ดูเหมือนฟางเส้นสุดท้ายขาดออกแล้ว “เอางี้มั้ย… ถ้าฉันผ่านเข้าถึงรอบสุดท้ายของการคัดตัว ซึ่งแน่นอน ฉันต้องผ่าน นายต้องลงคัดตัวด้วย” สิ้นประโยคทำเอาเพื่อนๆ ในกลุ่มร้องโหยหวนแบบไม่มีเสียง 

    ใช่… เธอรู้ดีว่าเขาลงคัดตัวได้ ด้วยระบบอาวุโสของวิทยาลัย และเธอก็รู้ว่าชายหนุ่มกำลังเรียนปริญญาโทของที่นี่อยู่

    ชายร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติงก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ “คุณต้องได้รับการคัดเลือกเป็นตัวจริงก่อนเท่านั้น ผมถึงจะรับข้อเสนอ” ชายหนุ่มรู้ดีว่าโอกาสที่หญิงสาวตรงหน้าจะได้รับการคัดตัวนั้นมีสูงเลยทีเดียว แต่เขาหันหัวเรือไม่ได้แล้ว

    “ดี!!! เจอกันวันคัดเลือกนะ รามิเรซ!” ร่างบางเดินตึงตังออกไปด้วยโทสะ ทำเอาเพื่อนชายทั้งวงที่ยืนอ้าปากค้างได้แต่มองตามตากระพริบปริบๆ และเดินตามไปเป็นแถว

    สายลมเย็นหวิวพัดผ่านลัดเลาะช่องเขาและผ่านเรือนผมสีน้ำตาลสว่างพริ้วไหวไปตามสายลม แดดอ่อนๆ รำไรแหวกผ่านท้องฟ้าสีเหล็กมากระทบที่เขา เผยให้เห็นผิวพรรณที่ดูอิ่มน้ำไม่เหมือนกับคนเร่ร่อนในกองคาระวานสักเท่าไหร่

    “ผมคิดว่า… พวกเรากำลังจะขึ้นเหนือแล้ว” เสียงนุ่มละมุนหูดังขึ้น ก่อนที่ทุกคนในกองคาระวานจะส่งข่าวต่อกันเป็นย่อมๆ 

    “กำลังจะขึ้นเหนือแล้ว…” ราวกับเสียงสะท้อนในถ้ำของทั้งกองคาระวานที่ดังจากข้างหลังไปสู่ข้างหน้า

    “นี่พี่ชายฮะ! พี่โอลัส พวกเรากำลังจะถึงแล้วงั้นเหรอ ...แบบว่า พวกเราจะไปเจอแม่มดแล้วจริงๆ ใช่มั้ย!” เสียงใสของเด็กหนุ่มวัยแรกรุ่นเอ่ยขึ้นพร้อมกับเขย่าร่างของชายหนุ่มจนตัวโยก “ชะ.. ใช่แล้วล่ะ เบน” เขายิ้มให้กับเด็กชายพร้อมกับลูบผมสีดำราวขนอีกาเบาๆ นัยน์ตาสีหมอกของเด็กหนุ่มฉายแววดีใจจนเอโอลัสสัมผัสได้

    “นี่บีบี เราจะถึงแล้วล่ะ แบบว่าเราจะได้เจอแม่มด แล้วเราจะได้ช่วยเธอสักที” เด็กชายเขย่าร่างเด็กสาวอีกคนที่หน้าตาละม้ายคล้ายเขายังกับแกะแต่เป็นผู้หญิง

    “อื้อ… ช่วยเบนด้วย” เสียงแผ่วราวกับกระซิบดังขึ้นแว่วๆ เรือนผมสีเดียวกันกับแฝดถูกสัมผัสเบาๆ ด้วยมืออีกมือหนึ่งของเอโอลัส “เป็นอะไรหรือเปล่าเบอร์ธา” เด็กหนุ่มที่โตกว่าเอ่ยขึ้น 

    เบอร์ธาหลบตาต่ำ นัยน์ตาสีแซฟไฟร์ฉายแววกังวลทำให้เอโอลัสรู้สึกได้เช่นกัน เธอไม่ได้ต่อต้านอุ้งมือเรียวนั้นก่อนจะส่ายหัวเบาๆ “มีอะไรก็บอกได้เสมอนะ…” เสียงนุ่มๆ นั้นเหมือนทำให้เธอได้อาบน้ำอุ่นๆ ยังไงอยู่ก็ไม่ปาน

    แม้จะอยากพูดแต่ก็พูดไม่ได้ ความรู้สึกนี้คงยากที่จะอธิบายว่าเป็นยังไง… มีเพียงเธอที่เข้าใจมันดี

     

    ควันโขมงของจักรไอน้ำและโรงงานอุสาหกรรมลอยขึ้นสูงตัดผ่านกลุ่มก้อนสีขาวที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าสีเหล็กไม่ขาดสาย ช่างเป็นภาพที่คุ้นตาสำหรับชาววินเชียนแห่งแดนเหนือ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เซซิส ทาเซเรียส 

    เสื้อฮู้ตหนาทำให้เขาดูกลมกลืนไปกับชาววินเชียน กระนั้นภายใต้ผ้าคลุมสีน้ำตาลเก่าๆ นั่น เผยให้เห็นเรือนผมยาวระคอไม่เป็นทรงสีเขียวชาสว่างไม่ได้แปลกตาเมื่อเดินท่ามกลางชาวเหนือที่ส่วนมากทุกคนมีเรือนผมสีอ่อนเป็นเอกลักษณ์ ร่างโปร่งเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ตามตรอกชุมชนแออัด

    เสียงเครื่องจักรไอน้ำทำงานตลอดเวลาไม่หยุดพักเฉกเช่นชาวเหนือที่ขยันขันแข็งยิ่งกว่ามดงาน แม้จะเป็นช่วงหิมะตกหนักก็ตาม

    สภาพแวดล้อมที่นี่ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกพิศมัยเท่าไหร่นัก 


    แต่เขาเลือกได้ที่ไหนล่ะ…. หน้าที่มาก่อนความพึงพอใจเสมอ เซซิสเชื่อแบบนั้น


    ร่างโปร่งเดินลัดเลาะลงบันไดต่างระดับตามตรอกหินเก่า บรรยากาศรอบตัวของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ฝูงชนเริ่มบางตัวลง ไม่ได้แออัดแล้ว แต่กลับแทนที่ด้วยความเงียบ

    เขามาหยุดอยู่หน้าบาร์แห่งหนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป และใช่ เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาจิบเบียร์ยามบ่ายแก้เซ็งหรอก เขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อคนคนหนึ่ง

    บาร์ที่เงียบสงบแบบนี้ก็ไม่ได้มีคนเยอะพอที่จะทำให้เซซิสสับสนว่าจะมาพบใคร เอาจริงๆ แล้วคนที่เขาอยากจะเจอไม่ใช่คนที่ลักษณะทั่วไปแบบพบเห็นได้ตามบาร์เหล้าหรอกนะ เขาพิเศษ

    ร่างสูงกำยำได้มาตรฐานเจ้าของเรือนผมสีดำสนิทนั่งรอรับเขาอยู่ในโต๊ะมุมอับสุดของร้าน “สวัสดีอีกครั้งนะท่านหนุ่มเมืองหลวง ครั้งนี้ได้เจอกันแบบดีๆ ซะที รอบก่อนพิสดารไปหน่อย” เขาเอ่ยก่อนจะเป่าควันบุหรี่ออกมา ควันบุหรี่ดูจะกลืนไปกับนัยน์ตาสีเขียวหม่นของเขา เว้นแต่ขีดสีแดงพิลึกกลางนัยน์ตาจะเด่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดนี้

    เซซิสมองบุหรี่ในมือของชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะหลุบตาต่ำ “ถ้าหากคุณสะดวก ช่วย….” ร่างโปร่งเว้นว่างไปก่อนจะจ้องบุหรี่ไม่ว่างตา 

    ชายหนุ่มอีกคนขยี้มวนบุหรี่ใส่ที่ทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะยกมือขึ้นเหนือหัว “ได้ครับคุณชาย ได้ครับ ไม่มีปัญหา ดูเหมือนค่าจ้างก็ต้องเพิ่มหน่อยแล้วนะ” ชายหนุ่มยกยิ้มร่าก่อนจะเอนพิงเบาะนั่งอย่างสบายใจ “ว่าธุระของท่านมาได้เลย” 

    “เรา… ฉันอยากให้คะ..นายพาฉันไปที่ป่าลับแลหน่อย จะได้หรือ… จะได้มั้ย” ชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวเอ่ยประโยคหลังเบาราวกับกระซิบ แม้เสียงจะเบาแต่อาร์เธอร์รู้ดีว่านี่ไม่ใช่แค่คำขอธรรมดา มันมีอะไรมากกว่านั้น มากกว่าจ้างงานที่เขาเคยเจอ

    ไม่ใช่ทุกคนจะรู้จักป่าลับแล 

    “ทำไม… กันล่ะ” เขาเอ่ยถามกลับ เขาแค่ประหลาดใจ 

    “นี่ไม่ใช่คำขออาร์เธอร์ คะ... คุณ --นายก็รู้เรื่องนั้นดี เรื่องคำทำนาย” ยังไม่ทันจะพูดจบ ขวดแก้วปริศนาก็ถูกเขวี้ยงเข้ามาภายในบาร์พร้อมกับควันที่พวยพุ่งออกมา

    “ระวัง!” หลังจากนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาที แรงระเบิดมหาศาลก็ระเบิดออกมา



    _________________________________________Small talk___

    เป็นยังไงกันบ้างครับกับตอนเปิด

    คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้หน่อยนะครับ

    ภาษาอาจจะมีขาดๆ เกินๆ บ้าง ห่างห่ายไปนานอยู่เหมือนกัน

    ถ้าจะบรรยายธีมอยากให้นึกถึงอารมณ์ Final fantasy หรืออะไรก็ได้ที่มีความไฮเทคแต่ไม่ได้ไฮเทคจ๋ามาก

    มีความโบราณผสมโมเดิร์นแต่เน้นไปทางแฟนตาซี อารมณ์ประมาณนี้ครับ

    อาจจะยังออกกันไม่ครบ แต่ก็จะทยอยๆ มานะครับ

    คำผิดพบเห็นแจ้งได้เลยนะครับ ผมยังไม่ได้ทานดีเท่าที่ควร เพราะยุ่งทำงานหน่อย

    แต่ก็จะมาอัพเรื่อยๆ ไม่ให้หน้านิยายเหงา




    SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×