ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] MOVE (Bangchan)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่สี่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 294
      2
      3 เม.ย. 57

     

     

    บทที่ 4

     

    บังยงนัมจ้องมองใบหน้าของหนึ่งน้องชายและหนึ่งรุ่นน้องสลับกันไปมาอยู่ตรงหัวโต๊ะ พวกเขาทั้งสามคนเริ่มต้นมื้อเย็นตอนเวลาราวสองทุ่ม ทั้งๆที่ตอนแรกเขาโทรมาบอกยงกุกแล้วว่าให้หาอะไรกินกับฮิมชานไปก่อนได้เลย แต่น้องชายฝาแฝดก็ดันเอาแต่ยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่าไม่ว่ายังไงก็จะรอเขากลับมากินด้วยกัน

     

    กูจะรอมึงมาแดกด้วย เดี๋ยวตั้งโต๊ะรอเลยเนี่ย

     

    “เฮ้ยไม่ต้อง กูกลับค่ำๆนู่นแหละ บอกให้ฮิมชานหาไรให้กินไปก่อนเลย”

     

    ไม่เอา!’

     

    “อะไรของมึง?”

     

    เอ่อะ ไม่รู้เว้ย ยังไงกูก็จะรอ รีบกลับบ้านกลับช่องเลยมึงอ่ะ กูไปล่ะ

     

    และนั่นก็ทำให้เขาต้องทิ้งการทิ้งงานยอมก้มหน้ารับคำด่าของเพื่อนฝูงก่อนจะรีบบึ่งรถกลับมายังบ้านเพียงเพื่อจะเห็นตัวปัญหาสองคนนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวเย็นโดยไม่สบตาหรือมีบทสนทนาให้กันสักแอ่ะ ในทีแรกยงนัมเผลอคิดไปด้วยซ้ำว่าพวกมันคงกวนตีนกันไปมาจนฟาดปากแล้วได้แผลกันสักสองสามแผล แต่เท่าที่เห็นกับตาแล้วทุกอย่างก็ดูปกติดี ถ้าไม่นับรวมเอาบรรยากาศอึมครึมที่ถูกก่อขึ้นรอบตัวจนพาลกินข้าวไม่ลงนี่

     

    “กูรู้สึกแปลกๆ” คนโตสุดวางช้อนในมือลงเบาๆแล้วสลับมองคนที่เหลือไปมา เป็นฮิมชานที่เงยหน้าขึ้นสบตาพลางขมวดคิ้วสงสัย

     

    “รสชาติอาหารเหรอครับ?”

     

    “เปล่า...” เขาส่ายหน้าปฏิเสธขณะเอนหลังพิงพนักด้วยท่าทางสบายๆ “...พวกมึงต่างหาก เป็นส้นตีนอะไรกันครับ?”

     

    “อะไรของมึงเนี่ยนัม”

     

    “อย่ามาไก๋ยงกุก บอกกูมาว่ามึงแกล้งไอ้ฮิมชานจนมันโกรธเลยไม่ยอมคุยกัน” เขายกมือขึ้นชี้หน้าน้องชายฝาแฝด “ใช่มั้ย?”

     

    “เป็นโคนันเหรอสัด” ยงกุกปัดมือใหญ่ๆนั่นทิ้งอย่างไม่สบอารมณ์ เหลือบสายตาไปมองคู่กรณีก็เห็นเพียงว่านั่งก้มหน้าก้มตาเขี่ยข้าวในจานไม่หยุด “ทำไมไม่ลองถามน้องมึงเองล่ะ”

     

    “มึงนี่ไงน้องกู”

     

    “กูหมายถึง...” เขาชี้มือไปยังที่นั่งฝั่งตรงข้ามแล้วเริ่มทำท่าทำทางประกอบคำพูดกวนประสาท “...รุ่นน้องคนดี พูดจาไพเราะ หน้าตาน่ารัก ตัวขาวๆ นุ่มๆ หอม..หอม ปากแด..ง..แ.ด..ง ของมะ มึง เอ่อะ เอ่อคือ”

     

    “ขุดหลุมฝังตัวเองเหรอยงกุก” ยงนัมยกยิ้มล้อเลียนใส่ในขณะที่ฮิมชานนั่งหัวหูแดงได้อย่างน่าตลก

     

    “กะ กูอิ่มแล้ว...” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรนจนเก้าอี้ที่นั่งไถลไปกับพื้นดังครืด มือขวาเอื้อมไปคว้าเอาจานข้าวที่พร่องเพียงครึ่งเดินตรงไปยังตู้เย็นก่อนจะต้องยืนนิ่งเมื่อไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร สุดท้ายก็ต้องจำใจเดินกลับมากระแทกจานลงบนโต๊ะกินข้าวพร้อมด้วยเสียงหัวเราะลั่นของพี่ชายที่ดังคลอ “...ฝะ ฝากเก็บด้วย ไปล่ะ สะ สวัสดี”

     

    “กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มีสวัสดีด้วย...” ยงนัมหัวเราะลั่นตอนที่อีกฝ่ายเดินพ้นประตูพลางตบโต๊ะปึงๆ “...มึงเห็นป่ะไอ้ฮิม มึงเห็นหน้ามันป่ะ โอ๊ยยยย ฮ่าๆๆ กูฮา”

     

    “.///.”

     

    “ไม่ต้องมานั่งหน้าแดง เล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้น” เมื่อสงบอารมณ์ตัวเองได้แล้ว คนเป็นพี่ก็หันไปไล่บี้เอากับคนข้างกายทันที

     

    “อะ อะไรครับ”

     

    “ตอนที่กูไม่อยู่น่ะ มันเกิดอะไรขึ้น”

     

    ฮิมชานหน้าแดง หัวใจเต้นตึกๆอย่างไม่รู้ที่มาหรือไม่เจ้าตัวก็เพียงแค่ไม่ยอมรับ เขาคิดทวนคำพูดของยงนัมในใจพลันภาพเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันก็ไหลย้อนไปมาเป็นฉากๆ

     

    .

    .

    .

     

    “กอดได้มั้ย?”

     

    เมื่อจบประโยค ยงกุกมองหน้าอาบน้ำตาของอีกฝ่ายนิ่ง ความรู้สึกตื่นเต้นที่อยู่ๆก็ตีรวนอยู่ในอกคืออะไรเขาเองยังสงสัย ความจริงแล้วมันไม่แปลกเลยกับการถูกเนื้อต้องตัวผู้ชายด้วยกัน เขาเองก็มีเพื่อนเยอะแยะ เวลาเล่นกันทีก็ถึงเนื้อถึงตัวแบบไม่คิดมากตลอด แต่ไม่รู้ทำไม กับคนตรงหน้า เขารู้สึกว่ามันแตกต่าง

     

    “...”

     

    “เอ่อ คือ โทษที เราแค่...” ฮิมชานหลบตา ยกมือขึ้นเช็ดใบหน้าชื้นน้ำของตัวเองป้อยๆ และโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างทั้งร่างกลับถูกรวบไปกอดโดยคนที่มีท่าทีเพิกเฉยในตอนแรกเสียแนบแน่น

     

    ยงกุกลูบมือไปมาบนแผ่นหลังสั่นเทานั่นเบาๆ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมาทำอะไรอ่อนโยนผิดวิสัยให้กับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ด้วย เขารู้แค่ว่าคิมฮิมชานน่าสงสาร น่าสงสารจนเขาเผลอทำอะไรโดยไม่ฟังคำสั่งของสมองตัวเอง

     

    กลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยมาจากไหนไม่รู้ทำให้ยงกุกต้องกดหน้าลงต่ำกว่าเดิม จนตอนที่ปลายจมูกโด่งเฉียดไปมากับลาดไหล่ของคนในอ้อมกอด เขาจึงได้รู้ถึงที่มา

     

    ร่างกายนุ่มๆกับกลิ่นหอมจางๆทำให้ชายหนุ่มทำอะไรไม่ฟังคำสั่งของสมองอีกครั้ง เมื่อเขาดันเผลอตัวโยกคนในอ้อมกอดไปมาราวกับกล่อมเด็ก และยังดันเผลอคิดว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ เขาจะได้ไม่ต้องปล่อยอ้อมกอดอุ่นๆนี้ไป

     

    “ขะ ขอบคุณนะ” ฮิมชานเอ่ยเสียงอู้อี้ พยายามแล้วที่จะเงยหน้าขึ้นมองอีกคนแต่กลับถูกมือใหญ่กดศีรษะจนหน้าจมลงไปกับแผ่นอก

     

    “ไม่เป็นไร” ยงกุกไม่รู้ตัวเลยว่าตอนพูดตัวเองแย้มยิ้มกว้างขนาดไหน “ร้องไปเถอะ กูให้ยืมเสื้อเช็ดน้ำตา

     

    “อือ ขอบคุณจริงๆ แต่...” หัวทุยๆพยายามอย่างมากที่จะขยับออกห่าง แต่ใช้มือก็แล้ว ใช้ทั้งตัวก็แล้ว อีกคนก็ไม่มีทีท่าที่จะคลายความแน่นของอ้อมกอดลงเลยสักนิด “...ระ เราหายใจไม่ออก”

     

    “กูให้ยืมอ้อมกอดอุ่นๆนี่ด้วย คนดีใช่มั้ยล่ะ” ชายหนุ่มหลับตาพริ้มขณะพูดเองเออเอง

     

    “คนดีสิ ตะ แต่ ยงกุก เรา หายใจ...”

     

    “ทั้งหมดที่ให้นี่ฟรีด้วยนะ กำลังคิดว่าพ่อพระมาโปรดเลยใช่มั้ย” เขายังคงยิ้มและพร่ำพูดต่อไปโดยไม่สนใจถึงแรงดิ้นขลุกขลักของคนในอ้อมกอด รวมถึงเพิกเฉยต่อเสียงร้องอู้อี้ที่ฟังไม่ถนัดหู

     

    “ยงกะ กุก แต่...”

     

    “เฮ้อ ยุคสมัยมันเปลี่ยนเร็วจนคนโบราณอย่างเราๆตามไม่ทันเลยว่ามั้ย” ยังไม่ทันได้หลุดออกจากอ้อมกอดแน่น ฮิมชานก็พลันได้ยินเสียงพูดคุยเบาๆของผู้หญิงดังขึ้นไม่ไกล แถมยังใกล้มากขึ้นอีกด้วยในประโยคถัดมา

     

    “นั่นน่ะสิ เมื่อก่อนนี่ยังไงนะ ถ้ามาทำอนาจารในที่สาธารณะอย่างนี้ได้เป็นขี้ปากคนไปทั่วหมู่บ้านแน่ๆ แต่เดี๋ยวนี้คนมันก็ไม่ค่อยยุ่งเรื่องของคนอื่นล่ะนะ เอาตัวเองไม่เดือดร้อนไว้ก่อนเป็นพอ”

     

    “ใช่เลย ดูอย่างไอ้หนุ่มสองคนนั่นสิ จะได้กันกลางวันแสกๆอย่างนี้ยังไม่มีใครเข้าไปตักเตือน”

     

    ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงรัดรอบตัวที่จางหายไป รวมถึงรับรู้ด้วยว่ายงกุกเองก็ได้ยินในแบบที่เขาได้ยินเช่นกัน ภาพที่หันไปเห็นเมื่อร่างกายเป็นอิสระคือผู้หญิงวัยชราสองคนกำลังจดๆจ้องๆมาทางพวกเขาพลางถกกันเรื่องที่คาดว่าก็คงหมายถึงพวกเขาอีกด้วย

     

    “นี่เอ็งกับข้ามาขัดพวกมันหรือเปล่าวะ ดูสินั่งกันนิ่งเชียว” หนึ่งในนั้นก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยไม้เท้าเล็กๆในมือ

     

    “นี่ไอ้หนุ่ม ทำอย่างนี้น่ะมันไม่ดีรู้มั้ย เอ้านี่ รับไป...” เธอยื่นกระดาษอะไรบางอย่างมาให้เมื่ออยู่ในระยะที่เอื้อมมือถึงกัน “...ลูกสาวข้าน่ะมันเปิดอพาทเมนต์ คืนละไม่เท่าไหร่หรอก อยู่ถัดไปไม่กี่สิบเมตรนี่เอง ไปได้กันที่นู่นมันจะสบายและถูกอนามัยกว่าที่นี่นา”

     

    “เอ่อ คือ...” ฮิมชานตาโตอ้าปากค้างหน้าแดงก่ำ เอื้อมมือไปรับของจากผู้ใหญ่ตรงหน้าอย่างเหม่อลอย แอบเหลือบไปมองคนข้างๆก็พบว่าอาการหนักยิ่งกว่าเขาเสียอีก

     

    “แล้วก็ไม่ต้องอายไปนะ...” เธอตบมือเหี่ยวย่นลงกับไหล่เขาปุๆพลางแย้มยิ้มให้ “...แบบพวกเอ็งน่ะมีเยอะ ข้าเข้าใจ”

     

    เมื่อทิ้งระเบิดลูกใหญ่ไว้เรียบร้อย หญิงชราสองคนก็พากันหัวเราะคิกคักเดินกระย่องกระแย่งจากไป ฮิมชานสะบัดหัวไล่ความมึนงง คราบน้ำตายังแห้งติดอยู่ตามใบหน้าขณะหันไปมองคนข้างตัว ที่อาการดูน่าเป็นห่วงไม่น้อย

     

    “ยงกุก ยงกุก...” เขาทาบมือลงเขย่าบนต้นแขนแข็งเบาๆ “ยงกุก กลับกันเถ...”

     

    “อิ...” ชายหนุ่มกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดก่อนจะยกมือขึ้นแล้วชี้ไปยังตำแหน่งที่คนเมื่อครู่จากไป “...ป้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!!  

     

                .

                .

                .

     

                “ว่ายังไง สรุปมันเกิดอะไรขึ้น?” ยงนัมยังคงคะยั้นคะยอรุ่นน้องที่นั่งเงียบไม่ยอมเอ่ยอะไรออกมาสักคำ อาหารเย็นบนโต๊ะไม่ได้พร่องลงจากเดิมสักนิดเมื่อไม่มีใครคิดสนใจมันมากกว่าหัวข้อสนทนาในตอนนี้

     

                “เปล่าครับ” ฮิมชานเลือกที่จะยิ้มกว้างส่งไปให้ทั้งยังใบหน้าแดงก่ำ “ไม่มีอะไร”

     

                “ไม่จริง บอกกูมาเลย”

     

                “ไม่มีอะไรจริงๆน่าพี่ยงนัม ผมไม่ได้ทะเลาะกับน้องพี่ก็แล้วกัน”

     

                “นั่นยิ่งทำให้กูอยากรู้นะ” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว สายตายังคงคาดคั้น

     

                “โอเคๆ เอาเป็นว่า...” คนน้องล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกง คลำหาของอยู่สักพักก็ดึงมือขึ้นพร้อมกับแผ่นกระดาษเล็กๆในมือ “...รู้ว่าเป็นเพราะไอ้นี่ก็แล้วกัน”

     

                ฮิมชานเดินจากไปแล้ว แต่ยงนัมยังคงนั่งทำหน้าไม่เข้าใจ นี่สรุปว่าที่เขาโดนตามตัวให้กลับเร็วๆนี่เพื่อจะมานั่งกินข้าวคนเดียวหรือยังไงกัน?

     

                “อะไรวะ?” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก่อนจะก้มลงมองข้อความบนกระดาษแผ่นเล็กในมือที่ถูกน้องยัดเยียดมา Saranjung Motel?”

     

     

     
     

    เช้าตรู่วันอาทิตย์อุณหภูมิต่ำกว่าที่เคย ฮิมชานตลบผ้าห่มออกจากตัวก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ลูบหน้าลูบตาเรียกสติก่อนจะหันไปมองเตียงหลังใหญ่ข้างกาย เมื่อพบร่างของใครอีกคนซุกตัวขดเป็นก้อนกับผืนผ้าห่มก็ลอบยิ้มกับตัวเองจางๆ

     

                ชายหนุ่มสะบัดศีรษะสองสามทีแล้วลุกขึ้นเก็บที่นอน เดินเข้าห้องน้ำไปจัดการตัวเองให้เรียบก่อนจะตรงดิ่งลงชั้นล่าง ตั้งใจว่าจะเข้าครัวไปเตรียมมื้อเช้า แต่เสียงแตรรถที่ดังลั่นอยู่หน้าบ้านก็ชะงักเท้าไว้ได้ก่อน ฮิมชานขมวดคิ้วพลางเหลือบมองนาฬิกาเหนือโทรทัศน์แล้วพบว่าตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงกว่า ดูจะเช้าไปเสียหน่อยกับการมาเยี่ยมเยียนเจ้าของบ้านขี้เซาทั้งสอง เขาจึงตัดสินใจเปิดประตูบ้านเพื่อออกไปดูเสียเอง

     

                ลมเย็นๆที่ปะทะร่างทันทีที่ก้าวออกไปทำให้ชายหนุ่มต้องกอดอกตัวเองแน่น ชะเง้อมองลอดช่องรั้วที่ตีซี่ไม่ห่างก็เห็นได้ไม่ชัดว่าใครมา เขาจึงตัดสินใจใส่รองเท้าลวกๆแล้วมุ่งไปเปิดประตูรั้วแทน

     

                ภาพตรงหน้าเขาคือผู้ชายสองคนที่ซ้อนมาด้วยกันในรถจักรยานยนต์คันเดียว คนตัวสูงใส่แว่นที่นั่งอยู่ด้านหน้าส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้ในขณะที่อีกคนที่ดูตัวเล็กกว่าเบิกตาโพลงก่อนจะโวยวายเสียงดัง

     

                “อ้าวสัด! มาผิดบ้านเหรอวะเนี่ย” ใครคนนั้นฟาดมือใส่หลังอีกคนดังอัก “ไหนมึงบอกมาบ่อยไงวะไอ้เผือก

     

                “จะโวยวายทำไมครับราหู” คนตัวสูงเอี้ยวหลังไปเอ็ด ก่อนจะกลับมาส่งยิ้มหวานให้ฮิมชานอีกครั้ง “สวัสดีคร้าบ”

     

                “สะ สวัสดีครับ” ฮิมชานลนลานโค้งตัวกลับแทบไม่ทันเมื่อชายคนนั้นก้มหัวทักทายเขาสุดตัว ลอบมองไปยังคนด้านหลังก็เห็นว่าเอาแต่ขมวดคิ้วจ้องเขาหน้ายุ่ง เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรต่อ เขาจึงตัดสินใจถามกลับออกไปแทน “มาหาใครเหรอครับ?”

     

                “มาหา.../นายเป็นใคร เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ได้ยังไง” ยังไม่ทันที่คนตัวสูงซึ่งถูกเรียกว่าเผือกจะพูดจบ อีกคนที่นั่งหน้างออยู่ด้านหลังก็แทรกขึ้นเสียงเข้ม ริมฝีปากที่ดูจะอวบอิ่มกว่าปกตินั้นบุ้ยไปมาอย่างไม่สบอารมณ์ตอนที่ถูกเพื่อนหันมาตีเบาๆลงบนหัว

     

                “ผมเป็นรุ่นน้องพี่ยงนัม” ฮิมชานตอบ ส่งยิ้มจางๆให้ทั้งคู่อย่างเป็นมิตร “นายทั้งคู่มาหาพี่ยงนัมเหรอ?”

     

                “ไม่ใช่! เรามาหาลูกพี่ต่างหาก...” คนด้านหลังรีบแทรก น้ำเสียงเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “...ไม่ใช่ไอ้หื่นนั่นซะหน่อย!

     

                “งั้น...บังยงกุกเหรอ?”

     

                “ใช่ฮะ พวกเรามาหาพี่ยงกุก แต่สงสัยว่ายังไม่ตื่นแน่เลยใช่มั้ย?” ชายใส่แว่นด้านหน้าเลือกที่จะพูดเองเมื่อเพื่อนที่ซ้อนมาด้านหลังเอาแต่นั่งฮึดฮัด เขาลอบมองคนตัวขาวที่ยังอยู่ในชุดนอนตรงหน้าขันๆ เผลอเอื้อมมือไปปัดเศษใบไม้บนไหล่ให้อย่างไม่ได้ตั้งใจ

     

                ฮิมชานหน้าเหวอ มองกลับไปยังคนที่ยิ้มหวานจ้องเขาอยู่ก่อนแล้ว นึกแปลกใจในการกระทำของอีกฝ่ายแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไร

     

                “ยงกุกยังไม่ตื่นหรอก” เขาเอื้อมมือไปดันประตูรั้วให้เปิดกว้าง “ยังไงก็เข้ามารอในบ้านก่อนเถอะ”

               

                .

                .

               

                ฮิมชานรู้สึกอึดอัดไม่น้อยเมื่อถูกสายตาสองคู่จับจ้อง ทั้งสามมาลงเอยอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์หลังจากที่จัดการเก็บรถไว้ที่โรงจอดเรียบร้อย เขาอาสาจะขึ้นไปบอกยงกุกให้ว่ามีคนมาหา แต่กลับถูกดึงแขนให้นั่งลงด้วยกันที่เบาะข้างๆแทน

     

                “ผมชื่อจุนฮง” คนที่นั่งถัดจากเขาเอ่ยขึ้น เป็นชายตัวสูงใส่แว่นกรอบหนาที่มักมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ ส่วนอีกคนข้างๆที่ถูกเพื่อนกระทุ้งศอกใส่แนะนำตัวว่าชื่อ แดฮยอน

     

                ฮิมชานยิ้มรับ ก้มศีรษะลงเล็กน้อยตอนที่เอ่ยปาก “ฮิมชานครับ”

     

                “ขอโทษนะฮะ แต่ว่าฮิมชานนี่อายุเท่าไหร่เหรอ” คนตัวสูงที่ชื่อจุนฮงเอ่ยถาม สายตาไล่มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างพิจารณา

     

                คนถูกมองขยับตัวอย่างอึดอัดก่อนตอบ “23 ครับ ปีเดียวกับยงกุก”

     

                “อ๊า...!” หนุ่มแว่นตบเข้าฉาดใหญ่ “...งั้นก็เป็นพี่สินะ ผมขอเรียกพี่ฮิมชานได้มั้ย”

     

                “ได้สิ” เขายกยิ้ม ลอบมองแดฮยอนที่เอาแต่นั่งกดโทรศัพท์ในมือไม่สนใจใคร “จุนฮงกับแดฮยอนเป็นรุ่นน้องยงกุกเหรอ”

     

                “ใช่ฮ.../ถามทำไม?” อีกครั้งที่คำพูดของจุนฮงถูกแทรกด้วยน้ำเสียงห้วนๆจากเพื่อนหน้างอข้างๆ คนตัวสูงหันไปฟาดมือใส่ศีรษะอีกคนยกใหญ่ในขณะที่ฮิมชานได้แต่มองด้วยความไม่เข้าใจ

     

                “ไอ้ราหูนี่!

     

    “แดฮยอนไม่ชอบพี่เหรอ?”

     

                ดวงตากลมใสที่เคยขวางเหลือบไปมองหน้าคนพูดซึ่งจ้องมาที่เขานิ่ง ปากอิ่มเม้มแน่นอย่างชั่งใจก่อนจะถอนหายใจยาวพรืดเมื่อบรรยากาศรอบตัวชวนอึดอัด “ก็ไม่เชิง” เขาว่าเสียงค่อย

     

                “แล้ว?”

     

                “ก็...” แดฮยอนยังคงเม้มปากตัวเองไปมาจนมันขึ้นสีจาง ดวงตาเหลือบมองเพื่อนตัวสูงข้างตัวที่ทีอย่างนี้เอาแต่นั่งเงียบเป็นเป่าสาก “...แค่...อิจฉานิดหน่อย”

     

                “ห๊ะ!

     

                “ก็นาย...” เขาชะงักปากทันทีที่ถูกเพื่อนบิดเข้าที่เอว “...พี่ ก็พี่ได้อยู่กับลูกพี่นี่นา ในขณะที่มือขวาอย่างผมทำได้แค่มาหาในวันหยุดเท่านั้น”

     

                “อย่าบอกนะว่านาย...” ฮิมชานยกมือขึ้นชี้หน้าคนเป็นน้อง “...ชะ ชอบยงกุก”

     

                “ใช่! แดฮยอนยิ้มเริงร่า ก่อนจะปรับสีหน้ามาเป็นปกติในประโยคถัดมา “ลูกพี่คือที่หนึ่งในผืนปฐพี!

     

                “!!!คนโตสุดนั่งอึ้งเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยจบประโยค ถ้าให้ว่ากันตามจริงแล้วก็อึ้งตั้งแต่คำว่า ใช่แล้วนั่นแหละ รู้สึกว่าคำตอบนั่นจะมีอิทธิพลต่อตัวเขาแปลกๆ

     

                ฮิมชานสะบัดหัวตัวเองแรงๆสองสามทีตอนที่ได้ยินเสียงทะเลาะกันเบาๆของเด็กสองคน

     

                “พูดจาเพ้อเจ้อนะไอ้เตี้ย” จุนฮงหันไปเอ็ดกับเพื่อนข้างตัว “เดี๋ยวพี่ยงกุกมากูจะฟ้องให้หมดเลยว่ามึงน่ะมันร้าย”

     

                “ไอ้เปรต!

     

                “นี่ด่า?”

     

                “เออสิ ไอ้เสาไฟ!

     

                “ไม่เจ็บอ่ะดำ”

     

                “ไอ้...!!!

     

                ลงท้ายด้วยจุนฮงที่โดนฟาดเข้ากลางหลังแรงๆหลายทีอย่างน่าสงสาร ฮิมชานทำได้เพียงส่งสายตาอเนจอนาถไปให้แล้วกลับไปนั่งเงียบๆในมุมของตัวเองต่อ เขายกมือปิดปากหาวหวอดใหญ่ก่อนจะต้องเกาหัวอายๆเมื่อเด็กตัวสูงหันมาเห็นเข้าเต็มตา

     

                “พี่ฮิมชานง่วงแล้วรีบตื่นขึ้นมาทำไมล่ะฮะ?” เอ่ยปากถามพลางลูบหลังที่โดนฟาดป้อยๆ

     

                “อ๋อ พี่ต้องทำอาหารเช้าให้สองคนนั้นน่ะ” เขาตอบ ก่อนจะต้องขยายความเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสงสัยกลับมา “คือ มาอาศัยอยู่ฟรีแล้วจะไม่ทำอะไรเลยมันก็ยังไงอยู่ใช่มั้ยล่ะ”

     

                “ครับ แล้วทำไมพี่ถึงย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ล่ะฮะ”

     

                “...” คราวนี้ฮิมชานทำเพียงแค่นั่งเงียบ เหลือบมองกลับไปก็เห็นว่าทั้งจุนฮงและแดฮยอนจ้องหน้าเขาอย่างรอคำตอบ เจ้าตัวลอบถอนหายใจเบาๆแล้วตัดสินใจเอ่ยปาก

     

                “คือย่าพี่...”

     

                “พวกมึงสองตัวมาทำอะไรบ้านกูแต่เช้า! เจ้าของเสียงที่ดังมาก่อนตัวเดินอาดๆไปฟาดมือลงกับศีรษะผู้มาเยือนคนละทีสองทีก่อนจะแทรกตัวลงนั่งบนพื้นที่ว่างตรงกลาง ยงกุกเหลือบสายตาไปมองฮิมชานเล็กน้อยแล้วเสกลับมาที่เดิม

     

                “ลูกพี่!แดฮยอนส่งเสียงร้องอย่างดีใจก่อนจะตะครุบมือลงกับท่อนแขนแข็งของเจ้าของบ้าน “อรุณสวัสดิ์ฮะ ขอบอกว่าแม้สภาพตอนตื่นนอนจะดูไม่ค่อยได้แต่ลูกพี่ก็คูลสุดๆในสายตาผมเสมอเลยนะฮะ!

     

                “นี่มึงซื้อการ์ตูนเล่มใหม่ให้มันอีกแล้วใช่มั้ย?” ยงกุกเลือกที่จะเพิกเฉยต่อแดฮยอนแล้วหันไปพูดกับจุนฮงแทน “กูบอกกี่ทีแล้วว่าเพลาๆลงบ้าง เริ่มจะพูดจาไม่รู้เรื่องขึ้นทุกทีแล้วนะเพื่อนมึงอ่ะ”

     

                “ก็มันอ้อน”

     

                “แล้วมึงก็ตามใจมัน...” เขาแกะมือรุ่นน้องออกห่างพลางลอบมองคนที่นั่งนิ่งอยู่ตรงโซฟาเดี่ยวเป็นระยะ “...แล้วนี่มากันทำไมแต่เช้า”

     

                “มาเยี่ยมลูกพี่!

     

                “เสียงดังหาพ่อง!” ชายหนุ่มกุมขมับ พึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างเหนื่อยใจ “ทำไมกูต้องตื่นมาเจออะไรอย่างงี้แต่เช้าด้วยวะ”

     

                “ไอ้แดฮยอนมันรบเร้าจะมา ไปปลุกผมตั้งแต่หกโมง” จุนฮงว่าพลางถลึงตาใส่เพื่อนคาดโทษ “บัดซบสุดๆ”

     

                “ผมเอาการบ้านมาให้ลูกพี่สอน แล้วก็นี่...” รุ่นน้องข้างตัวหันไปเปิดกระเป๋ายุกยิกก่อนจะยื่นนิตยสารเล่มบางมาให้ “...The Bike เล่มล่าสุด ของฝากเล็กๆน้อยๆฮะ”

     

                “อย่างนี้ค่อยน่าเอ็นดูหน่อย” ยงกุกเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลัน ริมฝีปากยกยิ้มกว้างก่อนจะยื่นมือไปขยี้หัวเด็กหนุ่มข้างตัวเบาๆ

     

                “นั่นพี่ฮิมชานจะไปไหนฮะ” เสียงทักของจุนฮงเรียกสายตาอีกสองคู่ให้เงยขึ้นมอง คนถูกกล่าวถึงอย่างฮิมชานก็ทำแค่เพียงหันมายิ้มจางๆให้ก่อนตอบ

     

                “ทำมื้อเช้าน่ะ”

     

                “ผมช่วยนะ” คนตัวสูงว่าก่อนจะรุนหลังคนเป็นพี่ให้เดินเข้าครัว

     

                ลับหลังคนสองคนแดฮยอนก็กลับมาจ้อนั่นจ้อนี่ให้ยงกุกฟังอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้คนเป็นพี่ไม่แม้แต่จะสนใจ สายตาคู่นั้นยังจดๆจ้องๆไปยังห้องครัวที่ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะเบาๆดังแว่วออกมา

     

                “รู้จักได้ไง?”

     

                “ฮะ?” คนเป็นน้องเลิกคิ้วสงสัย

     

                “ไอ้จุนฮงมันรู้จักไอ้ฮิมชานได้ไง?”

     

                “ก็ก่อนลูกพี่จะลงมาเขานั่งคุยกันตั้งนาน” เด็กหนุ่มว่าเรื่อย “พูดแล้วสงสัย ทำไมพี่ฮิมชานอะไรนั่นถึงต้องมาอยู่ที่นี่กับลูกพี่อ่ะ”

     

                “มันเป็นรุ่นน้องไอ้นัม”

     

                “แล้ว?”

     

                “รู้แค่นี้ก็พอ อย่าขี้เผือก” ยงกุกเสียงเข้ม ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังรู้สึกไม่พอใจกับอะไร “เดี๋ยวกูมานะ”

     

                “ไปไหนเหรอฮะ?”

     

                “เมื่อกี้กูว่าไง” เขาหันไปมองหน้าคนที่คว้าชายเสื้อนอนเน่าๆของตัวเองเอาไว้นิ่ง

     

                “อย่าขี้เผือก...” แดฮยอนลอบทำปากคว่ำ  “...รับทราบฮะ”

     

                .

                .

                .

     

                “พี่ฮิมชานนี่คล่องจังนะฮะ” เสียงจุนฮงดังเจื้อยแจ้วทันทีที่ยงกุกก้าวเข้ามาใกล้ห้องครัว “เป็นผู้ชายทำอาหารเป็นนี่มีสเน่ห์ไม่หยอก”

     

                “แค่ทำพอได้น่ะ ไม่ค่อยอร่อยหรอก” คนเป็นพี่ว่ายิ้มๆขณะจัดการกับผักสดในมือ

     

                “ผมก็ชอบทำอาหาร แต่ทำไม่ค่อยเป็น ถ้ายังไง...”

     

                “มึงสนใจเรื่องทำอาหารตอนไหน!?” คนมาใหม่ก้าวเข้ามาประชิดเด็กตัวสูงก่อนจะวาดแขนพาดบ่ากว้างแรงๆ ริมฝีปากส่งยิ้มขืนๆไปให้ด้วยความไม่สบอารมณ์

     

                “เพิ่งสนฮะ”

     

                “ลาออกจากเรียนช่างไปเรียนเชฟมั้ย ยังทันนะ” มือใหญ่บีบบ่ากว้างแรงๆเหมือนหยอกล้อ แต่สายตาที่มองกลับจริงจังเสียจนคนเป็นน้องหน้าเสีย

     

                “มะ ไม่ดีกว่าฮะ”

     

                “ไอ้แดฮยอนถามหาแน่ะ” ยงกุกบุ้ยริมฝีปากไปทางประตูก่อนจะออกแรงดันหลังอีกฝ่ายเบาๆ

     

                “แต่ว่า...” จุนฮงขืนตัว ส่งสายตากลับไปหาฮิมชานที่มองอยู่ก่อนแล้วอย่างอาลัย ขณะที่รุ่นพี่ด้านหลังก็ยังออกแรงดันร่างเขาไม่หยุด

     

                “มีปัญหา?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

     

                “เปล่าฮะ มีเรื่องจะพูดกับไอ้ดำพอดี แหะๆ” ว่าก่อนจะยกมือขึ้นโบกหยอยๆพลางขยิบตาทีเล่นทีจริงส่งไปให้รุ่นพี่ที่ยืนหัวเราะร่วน “ไปก่อนนะฮะพี่ฮิมชาน”

     

                “เร็ว!

     

                หลังจากคล้อยหลังจุนฮง ทั่วทั้งห้องก็เงียบสนิท ฮิมชานก้มลงไปจัดการมื้อเช้าต่อในขณะที่ยงกุกยืนกอดอกจ้องมองพลางสงบสติอารมณ์ไปพลาง คนโตกว่าถอนหายใจยาวพรืดเมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายจะเริ่มพูดอะไรจึงตัดสินใจเริ่มก่อนเอง

     

                “อะแฮ่ม” เสียงทุ้มกระแอมเบาๆหนึ่งทีเรียกให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมามอง ชายหนุ่มจ้องสบดวงตากลมใสคู่นั้นก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ “ไอ้จุนฮงมันก็แบบนี้...”

     

                “หือ?”

     

                “...พูดมาก พูดไร้สาระ...” เขาก้าวเข้ามายืนข้างกันเมื่อจบประโยค “...เวลามันพูดอะไรให้ฟังก็อย่าไปเชื่อมากล่ะ”

     

                “น้องก็น่ารักดี” ฮิมชานว่ายิ้มๆ หันหลังหนีอีกฝ่ายไปหาหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดพล่าน

     

                “ว่าไงนะ!” ยงกุกหันตาม ก้าวเข้าไปยืนใกล้ๆตอนที่อีกฝ่ายเริ่มเดินหนีเขาอีกครั้ง แต่ไม่ว่าคนตรงหน้าจะเดินไปตรงไหนเขาก็เลือกที่จะเดินตามไม่มีหยุด

     

                “นี่เข้ามาทำไมเนี่ย จะช่วยเราทำกับข้าวหรือไง” ทันทีที่ฮิมชานหันมาหา คนที่มัวแต่เดินตามไม่ได้ดูก็ต้องชะงักนิ่งทันควัน ยงกุกรู้สึกว่าตัวเองตัวชาวาบเมื่อศีรษะอีกคนอยู่ห่างปลายคางเขาแค่คืบ กลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคยลอยเข้าแตะจมูกจนต้องเสหน้าร้อนๆหลบ

     

                “อ่ะ เออ ใช่...!” ชายหนุ่มเลิ่กลั่กมองซ้ายทีขวาทีก่อนจะคว้าเข้ากับผักซักชนิดบนเคาท์เตอร์ใกล้ตัวขึ้นมาชู “...ดะ เดี๋ยวกูหั่นไอ้นี่ก็แล้วกัน”

     

                “อืม” ฮิมชานที่แก้มสองข้างขึ้นริ้วแดงแถมใบหน้าเห่อร้อนไม่แพ้กันเอ่ยตอบ ตัดสินใจหันหลังหนีสายตาของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้ไปหาตู้เย็นหลังใหญ่แทน “แต่ว่านะยงกุก...”


                .

                .

                .

                .

                .


                “ที่นายถืออยู่น่ะ...” ชายหนุ่มกลั้นขำ “...มันเปลือกหัวไชเท้า”

     

     

     

                เตรียมชูชีพ แพยาง หรืออาหารแห้งให้พร้อมนะคะ นิยายเรื่องนี้ออกสู่ทะเลเรียบร้อยแล้ว -*-

                เราขอโทษที่มาช้าน้า ดองงานเอาไว้จนทำไม่ทัน ไว้เดี๋ยวจะรีบปั่นมาให้อีกนะคะ ^ ^

                ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ ^^

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×