ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] MOVE (Bangchan)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 341
      0
      19 ก.พ. 57

     

     

    บทที่ 1

     

                “เฮ้ย มึงอย่าลีลาดิ๊ฮิมชาน ยกมาเร็วๆเลยกระเป๋าน่ะ” เสียงทุ้มเจือไปด้วยความหงุดหงิดเอ่ยขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่มผิวขาวที่ยืนเกาะขอบประตูห้องพักอย่างแน่นหนา มือขวายกขึ้นเสยผมที่สั้นแทบจะติดหนังหัวลวกๆอย่างไม่สบอารมณ์

     

                “คือพี่ยงนัม ผมว่าผมไม่ไปแล้วดีกว่า คือ...” อีกฝ่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ ดวงตาบวมช้ำหลุบลงมองปลายเท้าตัวเองแทนสีหน้าไม่พอใจของใครอีกคน

     

                “มึงมองตีนแทนหน้ากูนี่หมายความว่าไง...” มือใหญ่เปลี่ยนจากเสยผมไปฟาดลงบนหัวอีกฝ่าย “...อย่ามาไร้สาระนะฮิมชาน ไปยกกระเป๋ามาได้แล้ว”

     

                “ผมเกรงใจ พี่ไม่ได้อยู่คนเดียว ผมไม่อยากรบกวน”

     

                “เกรงเหี้ยอะไรวะ ตอนย่ามึงอยู่แล้วกูมาขอข้าวกินนี่กูเคยเกรงใจมั้ย” เขาผลักไหล่รุ่นน้องออกให้พ้นทาง เดินเข้าไปในห้องแล้วคว้าเอากระเป๋าสองใบที่ตั้งอยู่ขึ้นมาถือ

     

                “แต่มันไม่เหมือนกัน”

     

                “เหมือน! เลิกเถียงได้แล้ว ของที่จะเอาไปมีแค่นี้ใช่มั้ย หนักชิบ” เดินมายื่นกระเป๋าหนึ่งใบให้เจ้าของถือ “เตรียมซะเต็มแล้วบอกจะไม่ไป ให้กูเชื่อ? ฮ่าๆๆ”

     

                หัวเราะลั่นทางเดินก่อนจะยื่นมือที่ว่างมาผลักหัวคนเป็นน้อง “ตามลงมาเร็วๆด้วยไอ้คนไม่อยากไป”

     

                “พี่ยงนัม!!!

     

     

     

     

                รถยนต์สีขาวแล่นมาจอดสนิทหน้าบ้านหลังเล็กย่านชานเมือง ยงนัมปลดล๊อคประตูรถแต่กลับนั่งนิ่งอย่างเดิมจนคนข้างตัวหันไปมองด้วยความไม่เข้าใจ

     

                “อะไร มองหน้าทำไม ลงไปได้แล้ว” ยื่นมือไปปลดสายเข็มขัดนิรภัยให้เหมือนไล่กลายๆ

     

                “แล้วพี่ล่ะ”

     

                “กูมีธุระ มึงเข้าบ้านไปก่อน...” เขาค้นกุกกักตรงช่องใส่ของหน้าคอนโซลรถก่อนจะยื่นบางอย่างให้ “...นี่กุญแจบ้าน เข้าไปจัดข้าวของซะ ค่ำๆกูกลับ”

     

                แล้วคนเป็นน้องก็ลงมายืนถือกระเป๋าสองใบมองรถแล่นห่างออกไปอย่างงงๆ

     

                ฮิมชานมองบ้านตรงหน้าอย่างพิจารณา มันเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กที่มีอาณาบริเวณรอบบ้านพอประมาณ ตัวบ้านสีเทาขุ่นตัดกับหลังคาสีน้ำเงินเข้ม ซ้ายมือเป็นโรงจอดรถแบบเปิดที่มีเพียงหลังคาคุ้มฝน บนพื้นเต็มไปด้วยขวดสเปรย์และอุปกรณ์ช่างวางเกลื่อน เยื้องมาทางด้านหน้าเกือบติดประตูรั้วมีต้นไม้ต้นใหญ่ เขาไม่แน่ใจว่ามันคือต้นอะไร รู้แค่เพียงใบของมันแผ่กว้างจนเกือบถึงชายหลังคาให้ร่มเงาไปทั่วลานบ้าน ใต้ต้นไม้มีบ่อปลาขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ข้างกันนั้นคือโต๊ะไม้ตัวย่อม

     

                สองขาพาเจ้าของร่างไปหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน ลงมือไขกุญแจก่อนจะผลักเข้าไป ทั่วทั้งบ้านมืดสนิท กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยลอยมาแตะจมูก

     

                เมื่อถอดรองเท้าวางบนชั้นเรียบร้อย ชายหนุ่มก็คลำหาสวิตซ์ไฟ ทันที่ที่บ้านสว่าง เขาก็มองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น

     

                ที่ที่เขายืนอยู่คือปากประตูแคบๆที่มีชั้นวางรองเท้าตั้งชิดผนังด้านขวา เมื่อเดินเข้ามาก็จะพบกับโถงกลางบ้าน มีโซฟาตัวยาวตั้งหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์และชุดเครื่องเสียงขนาดย่อม ที่พื้นเต็มไปด้วยแผ่นซีดี ขวดน้ำ และเศษขยะเล็กๆที่ไม่ได้เก็บไปทิ้ง

     

                ฮิมชานหิ้วกระเป๋าไปวางทิ้งไว้บนโซฟาแล้วเดินสำรวจรอบๆ ด้านขวาของโถงเป็นประตูไปสู่ห้องครัว ชายหนุ่มชะเง้อคอเข้าไปมองแล้วก็พบว่ามันใหญ่กว่าที่คิด ตรงกลางมีเคาท์เตอร์อเนกประสงค์ที่พื้นที่ด้านหนึ่งเต็มไปด้วยห่อขนมทั้งแกะแล้วและยังไม่ได้แกะ ผนังรอบห้องครัวถูกก่อเป็นเคาท์เตอร์ทำอาหาร ด้านบนมีตู้เก็บถ้วยชามอยู่ตลอดแนว มองดูก็นับว่าเป็นห้องครัวที่ครบครันไม่น้อย

     

                เมื่อเดินไปเปิดตู้เย็นก็ต้องแปลกใจที่พบของสดจัดวางอย่างเป็นระเบียบแทนที่จะเป็นอาหารแช่แข็งหรือกระป๋องเบียร์ ชายหนุ่มคว้าเอาน้ำดื่มขึ้นมาหนึ่งขวดก่อนจะเดินกลับออกไปยังห้องโถง

     

                หลังจากหย่อนตัวลงนั่งกลางโซฟาแล้วฮิมชานก็พบว่าเขาไม่มีอะไรทำ ถ้าพูดให้ถูกคือไม่รู้จะทำอะไรมากกว่า เขาไม่รู้ว่าพี่ยงนัมจะให้นอนที่ไหน ปากบอกให้เข้ามาจัดของแต่เจ้าตัวดันไม่อยู่ชี้แจงอะไรสักอย่าง จะให้ทำอะไรในบ้านคนอื่นโดยพลการมันก็ใช่ที่แม้ว่าเจ้าของจะอนุญาตแล้วก็เถอะ

     

    แต่อนุญาตแค่คนเดียวนี่

     

                พี่ยงนัมมีน้องชายหนึ่งคนที่เขายังไม่เคยเจอ รายละเอียดอื่นๆเขาไม่รู้เพราะพี่ยงนัมบอกให้มาทำความรู้จักกันเอง ที่ทำท่าไม่อยากมาในตอนแรกก็เพราะเกรงใจใครคนนั้นนั่นแหละ เขาและอีกฝ่ายไม่เคยรู้จัก ไม่รู้ว่าจะเข้ากันได้ดีหรือเปล่าด้วย บางทีการที่เขาย้ายเข้ามามันอาจทำให้อีกคนไม่พอใจ

     

                ชายหนุ่มนั่งมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยอย่างไม่รู้จะทำอะไร เมื่อเหลือบตาขึ้นมองนาฬิกาเหนือโทรทัศน์ก็พบว่าเป็นเวลาห้าโมงกว่าแล้ว พี่ยงนัมยังไม่กลับ อันที่จริงนี่ก็เพิ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง คงอีกนานกว่าอีกฝ่ายจะมา

     

                เสียงกุกกักหน้าประตูบ้านเรียกสติฮิมชานที่กำลังสะลึมสะลือคล้ายจะหลับให้ตื่นเต็มตา ชายหนุ่มยืดตัวนั่งหลังตรงอย่างรอคอย เขาค่อนข้างแน่ใจว่านั่นไม่ใช่พี่ยงนัม บางทีน้องชายเขาคงกลับมาแล้ว และเราก็ควรจะได้รู้จักกันเสียที

     

                “อ้าว ทำไมประตูไม่ได้ล๊อควะ?” คนมาใหม่ยกมือขึ้นเกาหัวอย่างข้องใจแต่แล้วก็ปล่อยผ่าน สองขาช่วยกันสลัดเอารองเท้าผ้าใบสีเข้มให้หลุดออกก่อนจะก้าวยาวๆมายังโถงกลางบ้าน

     

                ฮิมชานที่นั่งอยู่ก่อนสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วลุกขึ้นหันหลังกลับไปมอง

     

                ทันทีที่สายตาทั้งคู่ประสานกัน ทั่วทั้งห้องก็เงียบสนิท ก่อนที่คนมาใหม่ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าของบ้านจะโวยวายขึ้นเสียงดัง

     

                “เฮ้ย โจร!!!” ชายหนุ่มร่างสันทัดกระโจนถอยหลัง สองมือคว้าเอาไม้กวาดแถวนั้นขึ้นมาใช้ต่างอาวุธ ฮิมชานเองเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็รีบกระโดดไปหลบหลังโซฟาตัวยาว ยกมือขึ้นตั้งการ์ดป้องกันตัวเต็มที่

     

                “พะ พี่ยงนัม!

     

                “รู้จักไอ้นัม? ระ หรือ เจ้าหนี้!!!

     

                “มะ ไม่ใช่! ฉันน้องพี่ยงนัม!” รีบละล่ำละลักบอก แต่อีกคนกลับหรี่ตาใส่

     

                “อย่ามั่วๆ กูต่างหากน้องไอ้นัม ดูหน้าสิ เหมือนกันเปี๊ยบ อย่ามาเถียงนะ”

     

                ฮิมชานชะงัก ค่อยๆเดินเข้าใกล้เพื่อมองหน้าอีกคนให้ชัดๆ ทั้งรูปร่าง หน้าตา น้ำเสียงเหมือนกับพี่ยงนัมอย่างกับแกะ แต่บุคลิกของสองคนนี้ไม่เหมือนกัน “ไม่ใช่พี่ยงนัมหรอกเหรอ?”

     

     

     

     

                เมื่อทำความเข้าใจถึงสถานะของแต่ละฝ่ายได้แล้ว ทั้งสองก็ย้ายมานั่งคุยกันดีๆที่โซฟา ฮิมชานจ้องหน้าอีกฝ่ายราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ในใจนึกค่อนขอดไปถึงพี่ตัวดีที่ไม่เคยบอกว่าตนเองมีน้องชายฝาแฝด ทำเอาเขากับอีกคนแทบจะฟาดกันตายตั้งแต่เจอกันครั้งแรก

     

                “มึง คิม ฮิมชาน?” เสียงทุ้มที่คัดลอกมาจากคนพี่เป๊ะๆเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ อีกฝ่ายที่เพิ่งได้สติสะดุ้งกับสรรพนามแทนตัวที่อีกคนใช้เรียกเขา

     

                “ใช่ นายคือน้องชายพี่ยงนัมใช่มั้ย?” เมื่อเขาถามออกไปอีกฝ่ายก็ทำเพียงพยักหน้าตอบ บทสนทนาที่หยุดลงดื้อๆทำเอาฮิมชานอึดอัด คนตรงหน้านั่งจ้องเขาอย่างพิจารณา เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวบุ้ยปาก ไม่รู้จะสื่อถึงอะไร

     

                “...”

     

                “คือ นายชื่ออะไรล่ะ” พยายามทำลายความเงียบ

     

                “บัง ยงกุก”

     

                แล้วบทสนทนาก็หยุดลงอีกครั้ง

     

                ฮิมชานถอนหายใจ ตัดสินใจนิ่งเงียบเหมือนกับอีกฝ่าย ฟันขาวขบริมฝีปากเล่นอย่างไม่รู้จะทำอะไร ไม่นานอีกคนก็เอ่ยปาก

     

                “มึงนี่...” เสียงทุ้มนั่นหยุดไปซักพัก “...ผิวสวยว่ะ”

     

                “หือ?”

     

                “ตัวโคตรขาว ปากโคตรแดง” สายตาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

                “...”

     

                “มึงเป็นตุ๊ดป่าววะ?”

     

                “หา!!!” ชายหนุ่มอ้าปากค้างหลังจากถูกอีกฝ่ายกล่าวหา ฮิมชานรู้สึกหาเสียงตัวเองไม่เจอก็คราวนี้ เกิดมาเพิ่งเคยเจอคนที่สร้างความประทับใจแรกได้พิสดารที่สุด นอกจากจะกูมึงกับเขาได้อย่างหน้าตาเฉยยังจะมาถามหน้าตายอีกว่าเขาเป็นตุ๊ดหรือเปล่า แล้วไอ้ท่าทางรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อนั่นอะไร

     

                “ตอบมาสิวะ มึงน่ะประเทืองใช่มั้ย?”

     

                “ไม่ใช่!!!” เขารู้สึกหงุดหงิดจนอยากทำลายข้าวของ ติดแต่ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง

     

                “จริงเหรอวะ มึงโคตรเหมือนอ่ะรู้ตัวป่ะ”

     

                “เราเป็นผู้ชาย…!” เขาพยายามบังคับเสียงให้เป็นปกติ “...เป็นน้องที่มหาลัยของพี่ยงนัม จะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย นาย...รู้แล้วใช่มั้ย?”

     

                “เออรู้แล้ว ไอ้นัมบอกแล้ว...” เสียงทุ้มต่ำกระแอมหนึ่งครั้ง “...เสียใจด้วยนะเรื่องย่ามึง”

     

                ทันทีที่ได้ยินก็ทำให้ฮิมชานถึงกับสลด ก้มหัวพยักหน้าหงึกหงักสองสามทีอย่างรับรู้ก่อนต่างฝ่ายจะนิ่งเงียบจมอยู่กับความคิดตัวเอง

     

    บรรยากาศสงบลงได้ครู่เดียว ยงกุกก็ขยับตัวยื่นมือไปฟาดลงบนหลังอีกคนโครมใหญ่ ฮิมชานสะดุ้งกับแรงปะทะจนร่างไถลแทบตกโซฟา หันหน้าไปมองคนกระทำด้วยความไม่เข้าใจระคนโมโห แต่ก็พบเพียงรอยยิ้มกว้างที่ถูกส่งกลับมา

     

    “อย่าคิดมากไปเลยน่า เศร้าไปก็เท่านั้น ยิ้มสิวะยิ้ม ฟันมึงเหยินดีออก ยิ้มแล้วตลกดี ฮ่าๆๆ”

     

    !!!” อย่าบอกนะว่านี่คือการปลอบใจไม่ใช่หลอกด่า!

     

    ฮิมชานขมวดคิ้วก่อนจะขยับขึ้นมานั่งบนโซฟาดีๆ ไม่อยากทำความเข้าใจกับตรรกะทางความคิดของอีกคนเท่าไหร่ รู้แค่ว่าไม่ปกติ มีที่ไหนไม่เคยพบเคยเจอหน้ากันแต่ฟาดหลังเขาซะจุก ช่างเป็นคนที่เข้ากับคนได้ง่ายเสียจริง

     

    “เรารุ่นเดียวกันใช่มั้ย?” ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม ลอบมองชุดที่อีกคนใส่ก็พบว่าเป็นเครื่องแบบของวิทยาลัยช่างแห่งหนึ่งในตัวเมือง “งั้นเราขอเรียกนายว่ายงกุกนะ”

     

    “ทีกับไอ้นัมทำไมเรียกพี่วะ”

     

    “ก็พี่ยงนัมเป็นพี่” เขาตอบ “ถึงจะอายุเท่ากันแต่เรียกแบบนั้นมาตั้งแต่ต้น มันเลยชินไปแล้ว”

     

    “เออ...” ยงกุกขยับตัว “...นี่กระเป๋ามึงเหรอ ทำไมไม่เอาไปเก็บในห้องอ่ะ”

     

    “ไม่รู้พี่ยงนัมจะให้นอนไหน” ตอบกลับพลางกวาดตามองไปทั่วบ้าน พลันเมื่อสบตากับอีกคนก็พบว่าถูกมองอยู่ก่อนแล้ว ฮิมชานจึงเสหน้าหลบทำทีเป็นมองนั่นมองนี่ไปเรื่อย

     

    แล้วบรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก็กลับมาเงียบลงอีกครั้ง ยงกุกนั่งก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถืออยู่สักพักก่อนจะเงยขึ้นเหลือบมองคนข้างๆที่กำลังกดโทรศัพท์อยู่เช่นกัน

     

    “เอาเบอร์มึงมา” เขาสั่งเสียงห้วน

     

    “ห๊ะ?”

     

    xxx-xxxx-xxx นี่เบอร์กู โทรกลับมาด้วย”

     

    ฮิมชานถึงกับหน้าเหรอหราที่อีกฝ่ายโพล่งเบอร์โทรศัพท์ตัวเองออกมาโต้งๆแถมมีการสั่งให้เขาโทรกลับอีก เมื่อทำตามที่อีกคนบอกแบบเงอะๆงะๆเรียบร้อยแล้ว ก็เห็นว่ายงกุกลุกขึ้นยืนคว้าเอาเป้ที่สะพายมาแต่แรกขึ้นพาดบ่า

     

    “ไอ้นัมบอกมันจะกลับช้าหน่อย หาไรกินได้เลย...” เขาหันหลังเตรียมก้าวขึ้นชั้นบน “...เดี๋ยวกูไปเปลี่ยนชุดก่อน แล้วจะต้มบะหมี่ให้แดก”

     

     

     

     

    ฮิมชานก้มๆเงยๆอยู่หน้าตู้เย็นหลังใหญ่โดยไม่รู้ว่าใครอีกคนที่กลับลงมาในชุดอยู่บ้านเก่าๆกำลังยืนมองเขาไม่วางตา ยงกุกก้าวเข้ามายืนซ้อนหลังอีกฝ่ายขณะที่สายตาก็ไล่ไปตามมือขาวที่หยิบนู่นจับนี่อย่างคล่องแคล่ว

     

    “จะทำไรวะ?”

     

    “เฮ้ย!” โดยไม่ทันตั้งตัว หัวกลมๆที่อยู่ตรงหน้าก็กระแทกเข้าอย่างแรงที่ปลายคาง ยงกุกผงะถอยหลัง เอามือกุมใบหน้าช่วงล่างพลางร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด

     

    “ขอโทษ! ก็นายมาไม่ให้สุ้มให้เสียง” ฮิมชานลนลานรีบปล่อยของในมือเมื่อได้ยินเสียงอีกคน “เจ็บเหรอ?”

     

    “โคตรๆ...” ชายหนุ่มว่าพลางใช้นิ้วแตะริมฝีปากก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาหาคนที่ทำอะไรไม่ถูก “...เลือดออกป่ะวะ?”

     

    “มะ ไม่” ฮิมชานผงะถอยหลัง ตกใจกับใบหน้าที่จู่ๆก็เคลื่อนเข้าใกล้ ขนลุกขนพองอย่างบอกไม่ถูก

     

    “เหรอ...” เขาละมือก่อนจะชะเง้อข้ามไหล่อีกคนไปมองของที่กองอยู่หน้าตู้เย็น “...แล้วนี่จะทำอะไร?”

     

    “มื้อเย็น” ชายหนุ่มหันกลับไปเก็บของและเริ่มลงมือหยิบจับนู่นนี่เพื่อจะปรุงอาหาร

     

    ยงกุกกอดอกลอบมองการกระทำของอีกคนอยู่ตรงมุมห้อง ท่าทางคล่องแคล่วของผู้ชายตรงหน้าเป็นภาพที่เขาไม่ค่อยคุ้นชินนัก อย่างมากสุดที่เคยเห็นก็คือภาพบังยงนัมต้มไข่ไม่ก็อุ่นอาหารสำเร็จรูป บรรยากาศครัวที่เป็นครัวแบบนี้ทำให้บ้านดูมีชีวิตขึ้นไม่น้อย

     

    ฮิมชานเงยหน้าขึ้นมองเมื่อรู้สึกว่าตัวเองถูกจ้อง “มองอะไร?”

     

    “แน่ใจนะว่าไม่ใช่ตุ๊ด” เสียงทุ้มเอ่ย

     

    ชายหนุ่มวางมีดในมือลงกับเขียงเปลี่ยนเป็นกอดอกจ้องตาอีกคนนิ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรต่อเขาจึงถอนหายใจยาวพรืด

     

    “ทำไมถึงคิดว่าเราเป็นตุ๊ดล่ะ?”

     

    “ก็...” เขายักไหล่ “...มึงพูดเพราะ ทำอาหารเป็น รูปร่างก็ดูเหยาะแหยะ ตัวโคตรขาว ปากโคตรแดง เป็นใครใครก็คิด”

     

    “ก็แล้วถ้าเป็นแล้วทำไมล่ะ”

     

    “จีบมั้งสัด! ก็ต้องระวังหลังดิ” เขาเสียงดัง ฮิมชานส่ายหัวไปมา หัวเราะหึๆในลำคอก่อนจะก้มกลับลงไปทำอาหารต่อ

     

    ยงกุกขยับเข้าไปใกล้ ด้อมๆมองๆพลางหยิบนู่นจับนี่ขึ้นมาดูเล่น มากหน่อยก็คว้าเอาผักที่หั่นแล้วขึ้นมากัดกิน อีกคนปรายตามองขณะหันหน้าหันหลังระหว่างเตาแก๊สกับเคาท์เตอร์ตรงกลาง “นี่ไม่คิดจะช่วย?”

     

    ยงกุกเงยหน้าเหรอหราขึ้นมองขณะที่อาหารยังคาปาก นึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่อีกคนดูจะพูดจาสนิทสนมกันกว่าเดิม ชายหนุ่มส่ายหัวแรงๆตอนที่กระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาอยู่ข้างๆเตาที่ส่งกลิ่นหอมฉุย มือยกขึ้นจับทัพพีคนซุปในหม้อเล่น

     

    “ต้มเป็นแต่บะหมี่...” เขายักไหล่ “...กับโจ๊ก”

     

    “แล้วมีชีวิตมาได้ยังไง”

     

    “ซุปเปอร์หน้าหมู่บ้านไง”

     

    “ถึงว่า...” พูดแล้วก็หยุด หันหน้าไปส่งยิ้มให้คนที่ขมวดคิ้วมองมา

     

    “อะไร? ทำไมกูรู้สึกว่ามึงกวนตีนขึ้นวะ”

     

    “ฮ่าๆ คิดไปเองน่า”

     

    ผ่านไปพักใหญ่ที่คนหนึ่งยืนทำและอีกคนนั่งดู อาหารเย็นง่ายๆสองสามอย่างก็เสร็จสิ้น ยงกุกดูจะตื่นเต้นไม่น้อยที่เห็นหน้าตาอาหารดูดีกว่าที่คิด รีบกระตือรือร้นช่วยหยิบจับนั่นโน่นไปวางเรียงบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงทำตาลุกวาว

     

    “มึงมันเทพสัด” เขางึมงำ “ทำอาหารออกมาได้หน้าตาน่าแดกสุดๆ”

     

    ฮิมชานขมวดคิ้วกับคำชม นั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายแล้วหยิบเหยือกน้ำขึ้นมารินใส่แก้ว

     

    “ทำไมนายถึงชอบพูดคำหยาบจัง” เขาเลื่อนแก้วที่เต็มแล้วไปให้อีกคนที่ก้มหน้าก้มตากินแบบไม่สนใคร “เหมือนพี่ยงนัมเลย”

     

    “ผู้ชายใครๆก็พูดงี้...” ยงกุกเงยหน้าขึ้นมอง “...กูถึงสงสัยไงว่ามึงเป็นตุ๊ดหรือเปล่า”

     

    “ไม่เห็นจำเป็นเลย”

     

    “ก็แล้วทำไมมึงต้องพูดเพราะด้วยวะ”

     

    “ก็ย่าสอนมา” น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของอีกคนทำเอายงกุกชะงัก มองดูก็เห็นสีหน้าฮิมชานหม่นลง ดวงตาคู่นั้นกระพริบถี่ๆราวกับพยายามกลั้นความเสียใจเอาไว้ให้ลึกที่สุด

     

    เขาเห็นแล้วสงสาร แต่รู้ว่าเรื่องแบบนี้พูดไปก็เปล่าประโยชน์ ที่ทำได้ก็มีเพียงดึงอีกฝ่ายให้กลับมาอยู่กับปัจจุบันให้เร็วที่สุด

     

    “หน้าตาดีไม่ได้หมายความว่ารสชาติจะดี” จู่ๆเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นลอยๆ

     

    “อะไร?”

     

    “ซุปโคตรจืดอ่ะ นี่มึงแค่เปิดน้ำจากก๊อกมาต้มให้ร้อนขึ้นใช่มั้ย”

     

    ฮิมชานอ้าปากพะงาบๆกับคำต่อว่าที่ทำร้ายจิตใจสุดๆ มือขาวรีบคว้าเอาช้อนขึ้นมาตักชิมก่อนจะขมวดคิ้วจ้องหน้าอีกคนอย่างข้องใจ

     

    “ลิ้นมีปัญหาเหรอ?”

     

    “มึงกวนตีนขึ้นจริงด้วยสินะ”

     

    “ก็แล้วใครเริ่มก่อนล่ะ!” ฮิมชานเสียงดัง

     

    “ก็มันจืดนี่หว่า”

     

    “นายกลับไปต้มบะหมี่กินเองเถอะ”

     

    “ไม่เอาเว้ย...” ว่าพลางยื่นชามเปล่าให้อีกคน “...เติมข้าวดิ๊”

     

    “นายนี่มัน!

     

    เขาก็ได้แต่หวังว่าอีกคนจะเข้มแข็งขึ้นได้โดยเร็ว

     

     

     

     

    เป็นเวลาสองทุ่มกว่าที่ยงนัมเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วเห็นยงกุกกับฮิมชานนั่งเล่นเกมหน้าทีวีชั้นล่างอย่างเมามัน น้องชายฝาแฝดในชุดอยู่บ้านเก่าๆนั่งขัดสมาธิหลังตรงอยู่ที่พื้นขณะที่ผู้อาศัยคนใหม่นั่งห้อยขาเรียบร้อยอยู่บนโซฟา ทั้งคู่ต่างไม่รับรู้ถึงการมาใหม่ของใครอีกคนจนกระทั่งพี่ใหญ่แทรกตัวลงตรงกลางนั่นแหละ ยงกุกถึงได้หันมาทัก

     

    “อ้าว มาแล้วเหรอวะ”

     

    “พวกมึงนี่สนิทกันเร็วดีนะ” ยงนัมหันไปมองหน้าทีละคน ฮิมชานเบ้ปากส่ายหัวรัวๆใส่โดยไม่ได้หันมามองส่วนยงกุกก็รีบโพล่งขึ้นเสียงดัง

     

    “สนิทอะไร ไม่เลย คุยกันไปสามคำเอง...” เขาจ้องทีวี มือกดจอยยิก “...สัดฮิม! เล่นทีเผลอ”

     

    “ฮ่าๆๆ”

     

    คนโตสุดส่ายหัวให้กับทั้งคู่ นั่งรอเวลาอีกสักพักฮิมชานก็วางจอยในมือลง เจ้าตัวหันมาจ้องหน้าเขาสลับกับยงกุกพลางขมวดคิ้วใส่

     

    “ไม่เห็นพี่เคยบอกว่ามีแฝด”

     

    “ไม่เห็นน้องเคยถาม” ยงนัมตอบกลั้วหัวเราะ อีกคนยิ่งขมวดคิ้วหนักเมื่อเห็นท่าทีไม่ทุกข์ร้อน เหลือบไปเห็นคนที่พื้นกำลังม้วนสายไฟเก็บก็นึกขึ้นได้

     

    “น้องพี่เกือบเอาไม้กวาดฟาดผม” ฮิมชานรีบฟ้อง ยงกุกเหลือบตาขึ้นมองก่อนจะเบ้ปาก

     

    “น้องมึงก็ตั้งท่าจะปล่อยพลังคลื่นเต่าใส่กูเหมือนกัน”

     

    คนถูกกล่าวหาหันไปตวัดตาใส่อย่างเคืองๆ

     

    ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย ยงนัมก็หันไปเรียกสติฮิมชานที่ใจคงกระโจนไปกัดหูยงกุกแล้วเรียบร้อยให้กลับมาสนใจเรื่องอื่น เขามองสัมภาระของคนข้างตัวที่ยังตั้งไว้ข้างโซฟาก่อนจะเอ่ยปาก

     

    “ทำไมยังไม่เอากระเป๋าไปเก็บ”

     

    คนที่ถูกถามหันไปมองตามมือ

     

    “ผมไม่รู้ว่าต้องเก็บที่ไหน” ชายหนุ่มหันมาทำตาซื่อใส่

     

    ยงนัมเลิกคิ้วเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องสำคัญ หันกลับไปมองหน้าน้องชายตัวเองที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็ยิ่งต้องขมวดคิ้ว

     

    “นี่กูยังไม่ได้บอกพวกมึงเหรอวะ?”

     

    “อะไรพี่” ฮิมชานหันมาจ้องหน้า

     

    “ไรมึง” ยงกุกละจากแผ่นเกมขึ้นมามอง

     

    คนโตสุดตบหน้าผากตัวเองแรงๆพลางส่ายหัวไปมา ปากพึมพำอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ศัพท์ แฝดน้องที่เห็นท่าทีนั้นแล้วรำคาญตาตัดสินใจยกขาขึ้นเตะเบาๆที่หน้าแข้งอีกฝ่าย ยงนัมยกมือขึ้นฟาดหัวน้องชายแรงๆหนึ่งทีก่อนเอ่ยปาก

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “กูลืมบอก...” เขาแสร้งทำหน้าสำนึกผิด “...ว่ากูจะให้พวกมึงสองคนนอนด้วยกัน”

     

     

     

     

     

                                   

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×