คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่แปด
บทที่
8
เป็นเวลากว่าสามสิบนาทีตั้งแต่เลิกเรียนที่คิมฮิมชานต้องนั่งรอบังยงกุกมารับหลังจากจำใจโทรไปหาเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของชุดชั้นในที่บ้าน
เขานั่งเขี่ยรองเท้าแตะซีดๆเล่นกับพื้นฆ่าเวลาก่อนจะได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์เก่าๆดังขึ้นด้านหลัง
บังยงกุกที่มาในชุดเตรียมพร้อมลงสนามฟุตบอลเต็มที่ยักคิ้วให้เขาหนึ่งทีหลังจากบิดกุญแจรถดับเครื่องยนต์
มือใหญ่ละจากแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาปาดเหงื่อที่ไหลย้อยท่วมใบหน้าก่อนจะพัดไปมาเพื่อระบายความร้อน
คิมฮิมชานเดินเข้าไปหางงๆพลางมองสภาพเต็มยศกระทั่งใส่สนับแข้งมาพร้อมด้วยความสงสัย
แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป เสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นกลางปล้องเสียก่อน
“ร้อนชิบ..”
เขาว่าพลางกระพือคอเสื้อระบายอากาศ “..มึงรู้มั้ยกูขับหลงอยู่ตั้งนานแน่ะ
แถมไปตรงไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้แล้วเรียกชื่อไอ้นัม ไม่รู้ว่าแม่.งมาเรียนหรือมาหาเสียงคนรู้จักเยอะชิบ”
“นี่นายจะไปไหนน่ะ?”
คนตัวขาวกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าประกอบคำพูดก่อนจะบุ้ยปากไปที่เสื้อเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าสงสัย
“อ๋อ..ไปเตะบอล”
“ห๊ะ!”
“เตะบอลไง
บอลอ่ะ..ลูกกลมๆที่เล่นในสนามแล้วต้องเตะให้เข้าประตูอ่ะ”
“เรารู้น่าว่าฟุตบอลเป็นยังไง
แต่..” อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่คนตรงหน้า
“..ถ้าจะไปเตะบอลแล้วจะมารับเราทำไมห๊ะ?
นี่ถ้ากลับเองป่านนี้นอนอยู่บ้านไปแล้วเนี่ย”
“กลับเอง?
ดูสภาพ แล้วนี่วันนี้เดินเยอะไปหรือเปล่าเนี่ยแผลอักเสบบวมยันคอแล้วนั่นน่ะ”
“ไอ้...!” มือขาวรีบตะครุบเข้าที่คอตัวเองก่อนจะค้อนประหลับประเหลือก
“...แล้วคือยังไง? เราต้องไปสนามฟุตบอลกับนายด้วยงั้นเหรอ?”
“ใช่”
“เพื่อ?”
“ก็ผ้าที่ส่งซักยังไม่ได้ไปเอาเลย
ถ้ากูแวะเอาคนเดียวก็ไม่มีคนช่วยถือตะกร้าอ่ะดิ..”
เขาตอบเสียงเรียบก่อนจะส่งหมวกกันน็อคใบเดียวกับเมื่อเช้าให้อีกฝ่ายที่ยังยืนหน้าง้ำหน้างอ
“..ไม่ต้องทำหน้าบูดเลย ใส่ซะแล้วรีบขึ้นมาเร็วๆ หิวข้าวแล้วเนี่ย”
“หิวเหมือนกันนั่นแหละ
นั่งรอตั้งนานแล้ว” คนตัวขาวบ่นอุบอิบก่อนจะเดินกระเผลกเข้าไปหา เขาครอบหมวกกันน็อคลงกับศีรษะลวกๆแล้วเอื้อมมือไปเกาะบ่าแข็งเพื่อพยุงตัวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์
ยงกุกที่ไม่ทันตั้งตัวเซเล็กน้อย
ก่อนที่สุดท้ายจะพยายามยันขากับพื้นเพื่อช่วยเป็นหลักยึดให้อีกฝ่ายกันล้ม
“นี่น้ำหนักขนาดนี้ไม่ต้องกินแล้วมั้งข้าวกลางวันน่ะ”
คนข้างหน้าพูดกลั้วหัวเราะ เรียกให้ศีรษะกลมภายใต้หมวกกันน็อคพุ่งกระแทกเต็มกลางหลัง
ทั้งคู่เถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่บังยงกุกจะตัดบทด้วยการบิดคันเร่งพุ่งตัวออกไปแรงๆ
คราวนี้ฮิมชานพยายามนั่งให้ห่างจากอีกคนมากที่สุด
มือขาวที่เมื่อเช้าเคยโอบรอบเอวอีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นจับกับพื้นที่ว่างด้านหลังแทน
บังยงกุกไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อป้องกันอันตราย
ไม่นานทั้งสองก็มาถึงสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่
คนที่ไม่เคยมาอย่างฮิมชานกวาดตามองด้วยความสนอกสนใจ เขาเหลียวซ้ายแลขวาขณะที่เผลอยื่นมือออกไปขยุ้มชายเสื้อด้านหลังของยงกุกเสียแน่น
“นี่สนามฟุตบอลเหรอ?”
คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอ่ยถามทันทีที่รถจอดสนิท
เขาทุลักทุเลวาดขาลงมายืนข้างๆก่อนจะพยายามปลดสายหมวกกันน็อค
แต่ก็ช้ากว่าคนใจร้อนอย่างยงกุกที่ยื่นมือออกมาช่วยทั้งที่ทำเหมือนรำคาญเสียเต็มประดา
“นี่สนามเด็กเล่น”
เสียงทุ้มว่าสั้นๆแล้วออกเดินนำ ฮิมชานกวาดตามองไปรอบๆอีกครั้งแล้วทำปากคว่ำ
เห็นๆอยู่ว่านี่มันสนามกีฬา บังยงกุกนี่ขอให้ได้กวนประสาทใช่มั้ย?
จากข้างนอกที่เห็นว่าใหญ่โตแล้ว
พอได้เข้ามาข้างในถึงได้รู้ว่ามันกว้างขวางมาก ยงกุกเดินนำคนที่กระเผลกขาตามช้าๆเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตรงเค้าท์เตอร์
เขารับกุญแจกับบัตรแข็งเล็กๆแล้วเดินต่อเข้าไปด้านใน
ในขณะที่ฮิมชานทำได้เพียงยึกๆยักๆอยู่ที่เดิม
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเข้าไปรับกุญแจกับบัตรแข็งนั่นเหมือนที่อีกคนทำหรือเปล่า?
หรือเขาสามารถเดินเข้าไปเลยได้?
เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เอาแต่มองมาที่เขายิ้มๆจนทำอะไรไม่ถูก
จนสุดท้ายที่เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยตะโกนออกมาตามนั่นแหละเขาถึงได้ยิ้มแหยๆแล้วค่อยๆเดินตัวลีบเข้าไปด้านใน
บังยงกุกกำลังยัดกระเป๋าเป้ที่สะพายติดมาเข้าล็อกเกอร์ลวกๆแล้วล็อคกุญแจก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยังทำหน้าเหลอหลา
“เอ้า..”
เขาโยนลูกกุญแจดอกเล็กไปให้ “..ฝากด้วย อย่าให้หายเชียวนะ
กระเป๋ากูมีเงินใส่อยู่ประมาณยี่สิบล้าน”
“=_=”
“แล้วก็ตามออกมาได้แล้ว หรือถ้ามีอะไรจะเก็บก็ยัดไว้ในตู้เดียวกับกูอ่ะ”
“ไม่มีหรอก..”
ฮิมชานว่าขณะก้มลงมองตัวเองที่มีเพียงกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือ “..แต่ว่านะ
แล้ว..ข้าวกลางวันล่ะ?”
“นี่หิวจัดเลยใช่มั้ย?
กูว่าอย่างมึงอดข้าวสามวันยังวิ่งได้ปร๋อเลยเชื่อเหอะ”
“นี่!..” คนตัวขาวขมวดคิ้ว
นึกอยากจะพุ่งเข้าไปเสยใบหน้ากวนประสาทนั่นสักทีแต่สังขารไม่เอื้ออำนวย
“..เป็นเพราะเราไม่ทันได้กินข้าวเช้าต่างหาก”
“จ้าๆ..” ฝ่ายนั้นรับคำด้วยท่าทางล้อเลียน
ก่อนจะต้องรีบโวยวายเสียงดังเมื่อคนโดนล้อตั้งท่าจะขว้างกุญแจในมือออกไปให้ไกล
“..เฮ้ยอย่าๆ เออๆ เดี๋ยวหาข้าวให้กินน่า
ไอ้พวกนั้นมันคงซื้อข้าวกล่องมาเตรียมเอาไว้แล้วแหละ ไปกันได้แล้ว
อย่าตกมันสิพลายฮิมชาน ฮ่าๆๆ”
“ตายเหอะบังยงกุก!”
สิ้นคำคนตัวขาวก็พุ่งเข้าใส่อีกคนทันที
ทั้งคู่ไล่ตีกันออกมาจากห้องแต่งตัวถึงบริเวณริมสนาม แต่ฮิมชานที่พยายามเขย่งเท้าเร็วๆเพื่อวิ่งตามอีกฝ่ายก็ต้องหยุดชะงักทันควันที่เห็นสายตาเป็นสิบคู่จ้องมองมา
ยงกุกยังคงหัวเราะเริงร่า
วิ่งเข้าไปสมทบกับเพื่อนๆที่อยู่ในชุดกีฬาเหมือนกันโดยปล่อยทิ้งอีกคนเอาไว้อย่างนั้น
ฮิมชานทำอะไรไม่ถูก เขาค่อยๆเดินช้าๆเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งออกันอยู่บริเวณม้านั่งยาวริมสนามพลางก้มศีรษะทักทายไปตลอดทาง
“ใครวะ?”
“ใครวะ?”
“นั่นดิ
ใครวะ?”
“เออ ใครวะ?”
ยิ่งมีแต่คำถามทำนองนี้ส่งมาให้ยิ่งทำให้ฮิมชานทำหน้าไม่ถูก
จะให้เขาตอบไปว่า ‘อ๋อ เราชื่อฮิมชาน โดนเกี่ยวติดมากับบังยงกุกคนที่วิ่งไปแย่งขนมเพื่อนกินตรงนู้นแล้ว’
ก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่
สุดท้ายเขาเลยทำเพียงส่งยิ้มแหยๆไปให้รอบทิศจนกระทั่งมีเสียงเรียกหนึ่งเข้ามาช่วยชีวิต
“พี่ฮิมชาน!”
“จุนฮง?”
เด็กตัวสูงใส่แว่นที่เคยเจอวิ่งตึกตักเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
จุนฮงเองก็อยู่ในชุดกีฬาคล้ายกับยงกุก
ต่างกันตรงที่สีเสื้อและรุ่นน้องคนนี้มีถุงมือผู้รักษาประตูถือติดมาด้วย
ฮิมชานยิ้มรับ รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ยังพอมีคนรู้จักกัน
จุนฮงกวาดสายตามองคนเป็นพี่หัวจรดเท้าก่อนจะทำหน้าสงสัย
“พี่จะเตะบอลชุดนี้เหรอ?”
“อ๋อ
เปล่าหรอก พี่เจ็บเท้าน่ะ” เขายื่นเท้าซ้ายที่มีผ้าพันแผลหน้าตาน่าเกลียดกับรองเท้าแตะสีส้มเก่าๆไปให้อีกคนดู
“ไปโดนอะไรมาฮะ”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ”
ฮิมชานเลี่ยงที่จะเล่ารายละเอียดและพยายามเปลี่ยนเรื่องแต่คนเป็นน้องก็ยังไม่วายทำหน้าสงสัย
“รองเท้าคู่นี้นี่..”
จุนฮงทำท่านึก “..ของพี่ยงกุกไม่ใช่เหรอครับ?”
“อ่า
พี่ยืมมาน่ะ”
“คู่โปรดพี่มันเลยนะเนี่ย
ผมเคยขโมยใส่ปั่นจักรยานไปซุปเปอร์ตอนไปบ้านพี่เขา โดนขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมาเอาคืนแล้วทิ้งให้ผมปั่นกลับเท้าเปล่าอ่ะพี่คิดดู”
“เอ่อ..”
“โหดมากเลยใช่ป่ะล่ะ..”
จุนฮงทำหน้าจริงจังในขณะที่ฮิมชานยิ้มแหยๆให้แล้วคิดในใจว่าไร้สาระมากกว่า
“..งั้นพี่มานั่งตรงนี้ดีกว่า มา ผมช่วยพยุง”
เด็กหนุ่มตรงเข้ามาคว้าแขนคนเป็นพี่ให้วางบนเอวตัวเองในขณะที่มือใหญ่ก็วาดไปโอบไหล่ขาวอย่างแนบแน่น
ฮิมชานขืนตัวนิดๆด้วยความตกใจ
แต่คนเป็นน้องที่หันมายิ้มน่ารักใส่ทั้งยังขะมักเขม้นช่วยเหลือก็ทำให้เขาใจอ่อนปล่อยเลยตามเลยให้อีกฝ่ายช่วยพยุงไปจนถึงที่นั่งข้างสนามใกล้ๆกับกลุ่มเพื่อนยงกุกที่มองมาทางเขาเป็นตาเดียว
ชายหนุ่มรู้สึกประหม่ากับสายตาพวกนั้นจนมือไม้ไร้ที่วาง
“เสาไฟ..เมียท้องแก่เหรอวะ?”
ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งใส่ถุงเท้าอยู่ใกล้ๆเงยหน้าขึ้นมามอง
ใบหน้าชื้นเหงื่อนั่นขมวดคิ้วสงสัยแล้วจ้องมาทางเขาทั้งสองคนจนฮิมชานถึงกับเลิ่กลั่ก
คนเป็นพี่อ้าปากเตรียมปฏิเสธแต่ก็ช้าไปกว่าเด็กหนุ่มข้างๆที่หัวเราะขึ้นมาอย่างร่าเริง
“ไม่ใช่ฮะ
พี่ก็พูดไป ฮะๆ”
“ก็เห็นประคองซะอย่างกับใกล้คลอด..”
ผู้ชายคนเดิมพูดกลั้วหัวเราะ “..แล้วตกลงนี่ใครวะ?”
“เนี่ย
‘อนาคต’ ผม”
ว่าแล้วยักคิ้วไปให้หนึ่งที คนตัวขาวหน้าเหวอ
อ้าปากค้างราวคนเป็นใบ้ผิดกับกลุ่มรุ่นพี่จุนฮงที่พากันเป่าปากส่งเสียงแซวกันระงม
ฮิมชานพยายามขืนตัวออกห่างคนเป็นน้องพลางกวาดสายตามองหาคนที่พาเขามา
แล้วก็เห็นว่าบังยงกุกกำลังมองและออกเดินมาทางนี้
“อนาคตมึงเหรอ?..”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยว่าเรียบๆขณะค่อยๆแกะมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องให้หลุดออกจากไหล่ขาวก่อนจะดึงตัวของฮิมชานเข้ามากอดคอไว้เสียเอง
“..โตขึ้นมึงอยากขาเป๋เหรอวะไอ้โย่ง”
“ห๊ะ?”
“ก็นี่ไง
ไอ้ฮิมมันเป๋อยู่ ถ้าอนาคตมึงอยากกระเผลกจริงๆ..” เขาว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ
“..กูจัดให้ตอนนี้เลยก็ได้นะ”
บรรยากาศรอบตัวเงียบลงชั่วขณะ
สายตาหลายๆคู่จ้องมองมาที่ยงกุกจนฮิมชานรู้สึกประหม่า เขาขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด
จนสุดท้ายที่ยงกุกฟาดศีรษะจุนฮงไปทีแล้วลากคนข้างตัวให้ไปนั่งบนเก้าอี้ยาว
“เอ้า..”
คนโตกว่าโยนกล่องใสใส่อาหารที่แบ่งเป็นช่องๆขนาดใหญ่มาให้
ฮิมชานที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าเผลอเงยหน้าขึ้นไปยิ้มกว้างอย่างดีใจ
ยงกุกหายใจสะดุด
มือที่ตั้งท่าจะโยนขวดน้ำใส่อีกรอบเปลี่ยนเป็นจับวางไว้ข้างๆให้แทน
“ขอบใจนะ
แล้ว..” อีกคนส่งสายตาสงสัยไปให้ขณะหันซ้ายแลขวา “..นายไม่กินเหรอ?”
“จะเตะบอล
เดี๋ยวจุก”
“อืม..”
มือขาวรีบแกะฝากล่อง คว้าเอาตะเกียบขึ้นมาถือไว้แล้วไม่สนใจอะไรรอบตัวอีก
ยงกุกส่งสายตาอนาทรไปให้ มองดูคนที่กำลังพุ้ยข้าวเข้าปากด้วยความหิวโหยอย่างเวทนา
คิมฮิมชานอาจจะไม่รู้ตัว แต่ท่าทางของเจ้าตัวตอนนี้มันน่าสงสารเสียจนเขาอยากจะหากะลามาวางให้ใกล้ๆ
“มูมมามว่ะ
เลอะเทอะหมดแล้วนั่น”
“มีทิชชู่มั้ยอ่ะ?”
ดวงตาใสแจ๋วช้อนขึ้นมองหลังจากยัดไก่ทอดชิ้นโตเข้าปาก ยงกุกส่ายหน้า
คว้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนคอออกมาส่งให้
“มีแต่ผ้าเช็ดเหงื่อ
เอาไปดิ”
“ถูกอนามัยมั้ย?”
“ISO
9800 -_-”
“อืม
ห...ดี” ฮิมชานว่าเสียงอู้อี้หลังจากรับผ้าผืนที่ว่ามาเช็ดเบาๆที่ข้างแก้ม
“หือ?”
“ผ้านายไง..”
เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองยิ้มๆ “..หอมดี”
ยงกุกถึงกับหน้าขึ้นสี
ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับอาการชาวาบแถวๆลำคอ
ใครใช้ให้คิมฮิมชานพูดประโยคแบบนั้นขณะยกผ้าขึ้นดมแล้วแตะซับไปตามข้างแก้มกัน ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไร
แต่ไอ้ท่าทางที่ดูกระเดียดไปทางน่ารักแบบนี้นี่มันก็...
“ก
กูลงสนามละ มึงก็นั่งดีๆ อย่าเพ่นพ่าน แล้วก็..”
คนพูดว่าเสียงเข้มก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าเอาผ้าของตัวเองมาพาดไว้กับคอ
“..อยู่ห่างๆไอ้เสาไฟ”
“แต่เรารู้จักแค่จุนฮงนะ”
“งั้นก็นั่งหลับไป
ขัดสมาธิ เอามือประสานที่หน้าตักแล้วเข้าฌาณไปเลย”
“นายลงสนามไปเหอะ
=_=”
“อือ
งั้น..” บังยงกุกหรี่ตา มองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งเหยาะๆห่างออกไป
“..อยู่ดีๆล่ะ”
บรรยากาศในสนามฟุตบอลกำลังคึกคัก ฮิมชานที่ทานข้าวเสร็จเรียบร้อยขยับมานั่งดูคนอื่นๆเล่นฟุตบอลอย่างสนอกสนใจ
บังยงกุกเพิ่งลงสนามไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีแต่ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
ใบหน้าที่คอยแต่จะกวนประสาทกันนั้นยิ้มแย้มอย่างเริงร่าขณะวิ่งตามไอ้ลูกกลมๆ
เขาเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายในมุมแบบนี้ อย่างแรกเป็นเพราะเราเพิ่งได้รู้จักกัน
ส่วนอีกอย่างคือเวลาอยู่กับเขาบังยงกุกจะคอยแต่ทำตัวเหนือกว่าและแกล้งให้หงุดหงิดตลอดเวลา
พอได้มาเห็นใบหน้าเริงรื่นราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งของอีกฝ่ายแล้วก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขารู้สึกดี
เหมือนกับว่าได้ขยับเข้าไปในโลกของอีกคนมากขึ้น
ได้รู้จักอีกหนึ่งตัวตนที่คนอื่นอาจจะไม่รู้
ตั้งแต่ได้รู้จักกับอีกฝ่าย
ฮิมชานรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยขึ้น แน่นอนว่าเขายังคงเศร้า
เขายังคงคิดถึงย่าตลอดเวลาที่ต้องอยู่คนเดียว แต่เป็นเพราะมีบังยงกุก
ชีวิตของเขาในแต่ละวันถึงได้ไม่น่าเบื่อ ถึงหมอนั่นจะชอบแกล้ง ชอบพูดคำหยาบ
ชอบทำให้เขาเจ็บตัวตลอดเวลา แต่ลึกๆแล้วฮิมชานรู้สึกได้ถึงความห่วงใยเสมอ
เขาดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับอีกคน
ถึงแม้ความรู้สึกลึกๆข้างในจะบอกเขาว่ามันมากกว่านั้นก็เถอะ...
“อ้าวเฮ้ย
ไอ้แตะทิก!”
จู่ๆก็มีใครบางคนทรุดตัวลงนั่งข้างๆก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงดัง ฮิมชานหันไปมองงงๆก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมสั้นซึ่งกำลังโบกมือยิ้มแย้มมาทางเขาจนต้องหันซ้ายแลขวา
“หวัดดี ไอ้เตะทิก”
“ส
สวัสดีครับ”
เมื่อมองแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เขาจึงรับคำพร้อมกับก้มศีรษะทักทายกลับพลางยิ้มน้อยๆให้
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมามองแล้วส่ายหัว
“อะไร
กูไม่ได้ทักมึง..” คนมาใหม่ว่าพลางบุ้ยใบ้ไปทางปลายเท้าขาว
“..กูทักแตะทิกนี่ต่างหาก”
“ครับ?”
“รองเท้าที่มึงใส่อ่ะ แตะทิกไอ้ยงกุก”
“อ๋อ
ครับ ของยงกุก ผมยืมมาน่ะ” ฮิมชานขยับปลายเท้าชูให้อีกฝ่ายเห็นมากขึ้น
นึกสงสัยขึ้นมาในใจว่าทำไมกับอีแค่รองเท้าแตะคู่เดียวถึงมีคนทักราวกับเป็นเรื่องแปลกมาก
ก่อนหน้านี้ก็จุนฮงทีนึงแล้ว
“แฟนเก่ามันซื้อให้..”
ชายคนนั้นเอ่ยเรียบๆหลังจากกระดกน้ำเข้าไปอึกใหญ่ “..แม่งหวงมาก
ใครยุ่งไม่ได้แถมยังบังคับให้พวกกูทักทายรองเท้าทุกครั้งที่มันใส่มาด้วย
ปัญญาอ่อนชิบ”
“แฟนเก่าเหรอครับ?”
“ใช่
สก๊อยปากแดงเพื่อนร่วมห้องมันอ่ะแหละ ถึงได้ให้รองเท้าแตะเป็นของแทนใจกันนี่ไง”
“...”
“กูก็แปลกใจที่มันให้มึงยืม
เพราะตอนเลิกกันแม่งเฮิร์ทมาก..” เขาว่าเรื่อยทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปยังกลางสนาม
ฮิมชานมองตาม เห็นยงกุกพุ่งตัวลงนอนกลิ้งหลังจากยิงประตูพลาดพลางหัวเราะร่าเริง
“..แต่ตอนนี้คงไม่ได้คิดอะไรแล้วแหละ”
“ครับ”
“มึง...เป็นญาติมันเหรอวะ?”
คราวนี้คนข้างตัวหันมันหาฮิมชานก่อนจะมองหัวจรดเท้า
คนถูกจ้องยืดตัวขึ้นนั่งตรงขณะรีบก้มศีรษะทักทาย
“ผมเป็นรุ่นน้องพี่ยงนัมครับ
มาอาศัยอยู่ที่บ้านเขาชั่วคราวเลยได้รู้จักกับยงกุก ผมชื่อคิมฮิมชาน”
รอยยิ้มกว้างถูกส่งไปให้อีกคนเป็นการผูกมิตร
“กูดูจุน
ยุนดูจุน รุ่นพี่ไอ้ยงกุก”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เออ
แล้วนี่..” คนเป็นพี่บุ้ยใบ้ไปทางปลายเท้า “..ตีนไปโดนอะไรมา?”
“กระเบื้องบาดครับ”
“โง่นี่หว่า”
“เอ่อ..”
ฮิมชานทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อจู่ๆก็เหมือนโดนด่า ก่อนที่วงแขนแข็งแบบคนเล่นกีฬาจะวาดลงคล้องคอแล้วดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ๆพลางขยี้เส้นผม
“ฮ่าๆๆ
กูล้อเล่น มึงนี่น่ารักดีว่ะ” ดูจุนล็อคคอคนอ่อนกว่าไว้ในวงแขนขณะแกล้งขยุ้มกลุ่มผมนุ่มเล่น
ฮิมชานที่ตอนแรกดูจะตกใจก็เผลอหัวเราะสนุกสนานตามเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเอง
ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งผ่านการสูญเสียช่วงนี้เขาเลยต้องการความอบอุ่นจากคนรอบข้างมากกว่าปกติ
“นักกีฬาเบอร์
32
เปลี่ยนตัวครับ”
“เบอร์
32
ครับ พี่หน้าล้ำครับ เปลี่ยนตัวครับ”
ผู้ชายในชุดกีฬาแบบเดียวกันวิ่งเข้ามาหาดูจุนก่อนสะกิดไหล่เรียก ฮิมชานขืนตัวเองออกมานั่งตรงๆได้สำเร็จแล้วก็เห็นว่ายงกุกเองก็เดินออกมาจากสนามด้วยเช่นกัน
“กูว่าละว่าต้องเป็นมึง
ทำไม เหนื่อยแล้วเหรอ?” ดูจุนลุกขึ้นยืนยืดแข้งยืดขาแล้วเดินไปแตะมือกับยงกุก
ทั้งคู่คุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่คนโตกว่าจะวิ่งเหยาะๆเข้าสนามไปและยงกุกเดินตรงมาที่ฮิมชาน
คนมาใหม่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆพลางใช้มือกระพือคอเสื้อระบายอากาศ
สภาพเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำทำให้เจ้าตัวตัดสินใจถอดมันออกแล้ววางลงข้างๆ
ยงกุกหันไปหาฮิมชานพลางควบคุมอาการหอบหายใจแล้วเอ่ยขอน้ำด้วยเสียงแหบแห้ง
“เอาขวดนั้น”
“แต่อันนี้เรากินไปแล้ว
เอาอันใหม่มั้ย” ฮิมชานลังเลเมื่อน้ำขวดนั้นที่อีกฝ่ายว่าคือขวดที่เขาใช้กินตอนทานข้าวเมื่อสักครู่
แน่นอนว่ามันเหลือน้อยแล้วแถมเขายังกระดกดื่มแบบแนบริมฝีปากอีกต่างหาก
ก็รู้ว่าที่ยงกุกพูดเพราะไม่ได้คิดอะไร แต่เขาเองก็เห็นว่ามันมีน้ำขวดใหม่หลายสิบขวดตั้งเรียงอยู่เหมือนกัน
“งกว่ะ
เอามาเร็วๆอย่าลีลา”
ทั้งที่พูดแบบนั้นแต่มือใหญ่กลับฉวยคว้าไปจากอีกคนแล้วเปิดฝากระดกดื่มแบบที่ฮิมชานทำทันที
ใบหน้าขาวแอบขึ้นสีเรื่อ เผลอนึกไปถึงวันที่เขาและอีกฝ่ายแย่งเตียงกันจนเกิดอุบัติเหตุให้ได้ใกล้ชิดจนทำตัวไม่ถูก
จำได้ว่ายงกุกมีสีหนาหวาดกลัวสุดๆแถมยังถีบเขาเสียจนล้มก้นกระแทกพื้น
“เช็ดหน้าให้หน่อย”
“หือ?”
“มือหมดแรงอ่ะ
เช็ดหน้าให้หน่อยดิ เหงื่อเข้าตา แสบ” ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกโยนปุลงบนตักของฮิมชาน
เจ้าตัวนิ่งอึ้งไปด้วยความแปลกใจก่อนจะหันไปมองหน้ายงกุกที่ยังคงจับจ้องไปที่การแข่งขันกลางสนาม
“ขวดน้ำหนักกว่าผ้านี่อีกนะ”
“ก็ใช้แรงยกขวดน้ำหมดแล้วไง
มึงนี่ไม่มีน้ำใจเลยว่ะ” เขาค่อนขอดหน้าตาย ฮิมชานถลึงตาใส่เหมือนจะเอาเรื่อง
แต่สุดท้ายก็จำใจคว้าผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อที่ไหลย้อยทั่วกรอบหน้าของอีกฝ่ายให้
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า
แต่คราวนี้บังยงกุกดูจะพอใจเป็นอย่างมากที่เขายอมลงให้
“พอยัง?”
คนตัวขาวที่ทำตัวไม่ถูกกับสายตาที่จับจ้องกันไม่วางนั่นผละมือออกเพื่อถาม
แต่กลับโดนมือใหญ่คว้าจับข้อมือไว้แนบแน่น “..อ..อะไร?”
“ป..เปล๊า..”
บังยงกุกที่เผลอรั้งแขนอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวรีบปล่อยมือออกราวถูกของร้อน
เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กระชากผ้าขนหนูเจ้าปัญหามาถือไว้กับตัวแล้วเสหน้าหลบ
“..น้ำจงน้ำใจนี่ไม่มี คนอุตส่าห์หาข้าวให้แดก”
“อะไรเล่า!” ฮิมชานเสียงดัง
“ก็แค่ถามว่าพอยังไม่ได้หมายความว่าไม่อยากเช็ดต่อซักหน่อย”
“งั้นแปลว่าอยาก..”
คราวนี้ยงกุกหันกลับมายิ้มมีเลศนัยให้
รู้สึกชอบใจกับริ้วสีแดงจางๆที่พาดผ่านแก้มขาวนั่นไม่น้อย “..อยากเช็ดหน้ากูต่องั้นเหรอ?”
“...อะ...”
“กูจะอ้วก”
เสียงโพล่งลอยๆของคนที่วิ่งเหยาะๆเข้ามาหาแยกทั้งคู่ออกจากกัน
ฮิมชานรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติขณะที่ยงกุกขมวดคิ้วมุ่นให้คนมาใหม่
ยุนดูจุนลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง มือใหญ่ฉวยเอาผ้าขนหนูที่อยู่ในมือยงกุกขึ้นมาถือแล้วทำทีเป็นซับเบาๆไปตามแนวกราม
“โอ้ยร้อนจังเลย
เหงื่อออกเย๊อะเยอะ..” คนโตสุดยังคงสะดีดสะดิ้งได้อย่างน่าหมั่นไส้
“..น้องฮิมชานช่วยซับเหงื่อให้พี่ทีสิครับ
เห็นฝีมือตอนจรดผ้าลงกับหนังหน้าไอ้ยงกุกแล้วอยากโดนบ้าง ยุนดูจุนอยากโดน!” ประโยคสุดท้ายตะโกนออกมาดังลั่นอย่างไม่มีสาเหตุ
“เอ่อ..”
“โดนตีนผมมั้ยล่ะพี่?
พอๆ..” ยงกุกยุติไอ้ท่าทางล้อเลียนนั่นโดยการคว้าผ้ามาไว้กับตัว “..เลิกล้อเลย
ผมแค่แกล้งมันเล่นเฉยๆ”
“อ๋อหรา”
“ลงไปยังไม่ทันถึงนาทีแสลนออกมาทำไมล่ะครับ?
สังขารไม่เที่ยง?”
“ก็เค้าเหงื่อออก”
ดูจุนว่าแล้วสะดิ้งบิดตัวไปมาเรียกเสียงหัวเราะจากฮิมชานยกใหญ่
“เอาน้ำมั้ยครับ?”
มือขาวเอื้อมไปคว้าขวดน้ำขวดใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆมายื่นส่งให้ คนเป็นพี่ตาโต
รีบฉวยมาถือไว้กับมือแล้วส่ายมันไปมาเพื่ออวดตรงหน้ายงกุก
“จะแดกดีๆหรือต้องจับกรอก?”
ยงกุกว่าหน้าตาย
“อุ๊ย
น่ากลัวจังเลย ฮิมชานช่วยพี่ด้วย..” ว่าแล้วก็แล่นไปทำทีเป็นหลบหลังคนที่นั่งเหรอหรา
“..ยงกุกจะทำร้ายพี่”
“เอ่อ
พี่ครับ..”
“นักกีฬาเบอร์
32 ครับ ไปแรดอะไรอยู่ตรงโน้น..” มีเสียงตะโกนดังออกมาจากใครซักคนกลางสนาม
ฮิมชานหันไปมอง
แล้วก็เห็นว่ากลุ่มคนที่ยังคงเตะบอลอยู่เมื่อสักครู่หยุดนิ่งแล้วหันมามองทางพวกเขาเป็นตาเดียว
“..คนไม่ครบนี่เห็นมั้ยครับ ถ้าร่างกายไม่ไหวก็เอาไอ้เบอร์ 10
ที่นั่งป้อเมียอยู่นั่นมาลงแทน”
“ไม่ได้จ้า
ยงกุกเค้ายังอ้อนฮิมชานไม่พอ” ดูจุนตะโกนตอบกลับไป ก่อนจะต้องรีบกระโดดหลบฝ่าเท้าคนเป็นน้องแล้ววิ่งเร็วๆหายเข้าไปในสนาม
ในตอนที่ต้องนั่งอยู่ด้วยกันสองคนอีกครั้งฮิมชานกลับเงียบกริบ
ยงกุกเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะเขาเองเคยชินกับการโดนแหย่โดนแซวจากกลุ่มเพื่อนๆอยู่แล้ว
แต่กับอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าจะเก็บไปคิดหรือเปล่า
ปลายนิ้วขาวเขี่ยไปมาบนหน้าตักตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไร
หนักหน่อยก็ยกมือขึ้นมากัดเล็บตัวเองเล่นจนโดนคนข้างๆฟาดมือเข้าไปหนึ่งที
“แดกแม้กระทั่งนิ้วตัวเอง”
ยงกุกแกล้งทำเป็นส่ายหน้าระอา
“เขาเรียกกัดเล็บ
-_-” ฮิมชานเถียง
“สกปรก
แดกขี้เล็บ”
“จะเอาใช่มั้ย?”
คนตัวขาวหันมาหน้าตาเอาเรื่อง แต่กลับพบกับรอยยิ้มกว้างจากอีกฝ่ายจนต้องหันหน้าหนีแทน
“ไม่เอา”
“...”
“เบื่อยัง?”
จู่ๆบังยงกุกก็เอ่ยขึ้นลอยๆหลังจากเขาทั้งสองนั่งเงียบกันมาซักพัก
ฮิมชานเหลือบมองนาฬิกา
เวลาที่เห็นเพิ่งจะบ่ายสอง ถ้าเอาตามที่เขาวางแผนไว้จริงๆตอนนี้เขาต้องกำลังเดินหางานพิเศษทำอยู่ที่ไหนสักที่
แต่ลองเท้ามาเจ็บแบบนี้คงต้องพักแผนที่คิดไว้ไปสักพัก
คงไม่มีที่ไหนอยากรับคนเคลื่อนไหวไม่สะดวกอย่างเขาตอนนี้แน่ จะว่าไปลองถามข้อมูลเรื่องร้านสะดวกซื้อจากยงกุกไว้เสียหน่อยก็น่าจะดี
“แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อใกล้ๆบ้านเยอะมั้ยอ่ะ?”
“กูถามว่าเบื่อยัง?”
คนถูกถามไม่ตอบแต่กลับถามกลับด้วยคำถามเดิม
“ยัง..”
ฮิมชานรีบบอกปัด “..เอาแบบพอจะเดินทางสะดวกหน่อยอ่ะ
มีรถเมล์หรือไม่ก็เดินไม่ไกลจากป้ายรถเมล์เท่าไหร่”
“จะไปดักปล้นหรือไง?”
ยงกุกถามกลับกลั้วหัวเราะ
“เปล่า
เราว่าจะหางานพิเศษทำ แต่คงต้องรอเท้าหายก่อน” เขาก้มลงมองฝ่าเท้าตัวเองที่พันผ้าเอาไว้แล้วสะดุดเข้ากับรองเท้าสีส้มลายการ์ตูน
“เออ
ไว้เดี๋ยวตีนมึงหายแล้วกูจะพาไปหาละกัน”
“จริงเหรอ?”
ฮิมชานดีใจ เผลอช้อนสายตาเป็นประกายขึ้นสบอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “ขอบคุณนะ”
“เออๆ
ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนหมาเลย” เขาว่าแล้วดีดหน้าผากขาวนั่นไปที
คนโดนกระทำมุ่ยหน้า แต่แล้วสุดท้ายก็ส่งยิ้มหวานแสดงความขอบคุณกลับมาให้อยู่ดี
ครั้งนี้จะยอมๆให้ก็ได้
เพราะบังยงกุกเป็นคนปากร้ายแต่ใจดีกับเขาที่สุด
เวลาล่วงเลยไปอีกสักพัก
ยงกุกลุกขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบแล้วยืดเส้นยืดสายก่อนจะหันกลับมาบอกเขาว่าจะลงไปเล่นต่ออีกสักหน่อย
ฮิมชานพยักหน้ารับรู้ ไม่นานยุนดูจุนเจ้าเก่าก็วิ่งเหยาะๆหน้าเริงร่าเข้ามาหาคนทั้งสอง
“นี่กะจะไม่ให้คนอื่นเปลี่ยนตัวพักเหนื่อยเลย?
แก่จัดก็งี้ล่ะน้า” คนเป็นน้องแตะมือเข้ากับอีกฝ่ายขณะเอ่ยแซว
ทำท่าจะวิ่งเข้าสนามอยู่แล้วแต่ก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน
“อ้าวเฮ้ยยงกุก
เด็กมึงอ่ะ” ดูจุนพยักเพยิดไปทางประตูทางเข้าแต่เจ้าของชื่อกลับทำหน้าไม่เข้าใจ
ฮิมชานเองก็ขมวดคิ้วสงสัยที่ยงกุกไม่ลงสนามไปสักที
เขาไม่ได้ยินที่ทั้งสองคุยกันหรอก จนกระทั่งประโยคสุดท้ายที่ดูจุนพูดดังขึ้นขณะเดินมาใกล้เขานั่นแหละถึงได้ถึงบางอ้อ
แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดว่าไม่ได้ยินอย่างเมื่อครู่ก็ดีอยู่แล้ว
“แฟนมึงไง
วิ่งมานั่นละ”
คราวนี้ยงกุกหันหน้าไปมองตามทางที่ว่า
ฮิมชานเองก็เช่นกันที่ชะเง้อคอดู จนสุดท้ายก็พบกับคนที่ดูจุนพูดถึงกำลังฉีกยิ้มกว้างขณะวิ่งตรงเข้ามา
“พี่ยงกุก! คิดถึงจังเลยค่ะ!”
เค้นสุดกำลัง หมดมุขจริงๆนะเออ 555
เรามีแท็กมานำเสนอหากคนอ่านไม่สะดวกคอมเม้นท์ในนี้นะคะ
ชื่อแท็กว่า #มูฟบังชาน
ขอความกรุณาติชมเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้เราด้วยค่ะ -/\-
เราผิดมากที่หายไปเป็นชาติ ขอโทษนะคะ T^T (หลังจากนี้ก็ให้คำมั่นไม่ได้เช่นกัน
._.) แล้วก็ขอบคุณคนอ่านทุกคนด้วยค่ะ
พวกคุณน่ารักจริงๆเน้อออออ ^_^
ความคิดเห็น