ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] MOVE (Bangchan)

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่แปด

    • อัปเดตล่าสุด 23 มิ.ย. 58


      

     

     

                บทที่ 8

     

                เป็นเวลากว่าสามสิบนาทีตั้งแต่เลิกเรียนที่คิมฮิมชานต้องนั่งรอบังยงกุกมารับหลังจากจำใจโทรไปหาเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของชุดชั้นในที่บ้าน เขานั่งเขี่ยรองเท้าแตะซีดๆเล่นกับพื้นฆ่าเวลาก่อนจะได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์เก่าๆดังขึ้นด้านหลัง

     

                บังยงกุกที่มาในชุดเตรียมพร้อมลงสนามฟุตบอลเต็มที่ยักคิ้วให้เขาหนึ่งทีหลังจากบิดกุญแจรถดับเครื่องยนต์ มือใหญ่ละจากแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาปาดเหงื่อที่ไหลย้อยท่วมใบหน้าก่อนจะพัดไปมาเพื่อระบายความร้อน คิมฮิมชานเดินเข้าไปหางงๆพลางมองสภาพเต็มยศกระทั่งใส่สนับแข้งมาพร้อมด้วยความสงสัย แต่ก่อนจะได้พูดอะไรออกไป เสียงทุ้มของอีกฝ่ายก็โพล่งขึ้นกลางปล้องเสียก่อน

     

                “ร้อนชิบ..” เขาว่าพลางกระพือคอเสื้อระบายอากาศ “..มึงรู้มั้ยกูขับหลงอยู่ตั้งนานแน่ะ แถมไปตรงไหนก็มีแต่คนยกมือไหว้แล้วเรียกชื่อไอ้นัม ไม่รู้ว่าแม่.งมาเรียนหรือมาหาเสียงคนรู้จักเยอะชิบ”

     

                “นี่นายจะไปไหนน่ะ?” คนตัวขาวกวาดสายตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าประกอบคำพูดก่อนจะบุ้ยปากไปที่เสื้อเมื่ออีกฝ่ายทำหน้าสงสัย

     

                “อ๋อ..ไปเตะบอล”

     

                “ห๊ะ!

     

                “เตะบอลไง บอลอ่ะ..ลูกกลมๆที่เล่นในสนามแล้วต้องเตะให้เข้าประตูอ่ะ”

     

                “เรารู้น่าว่าฟุตบอลเป็นยังไง แต่..” อดไม่ได้ที่จะต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ใส่คนตรงหน้า “..ถ้าจะไปเตะบอลแล้วจะมารับเราทำไมห๊ะ? นี่ถ้ากลับเองป่านนี้นอนอยู่บ้านไปแล้วเนี่ย”

     

                “กลับเอง? ดูสภาพ แล้วนี่วันนี้เดินเยอะไปหรือเปล่าเนี่ยแผลอักเสบบวมยันคอแล้วนั่นน่ะ”

     

                “ไอ้...!” มือขาวรีบตะครุบเข้าที่คอตัวเองก่อนจะค้อนประหลับประเหลือก “...แล้วคือยังไง? เราต้องไปสนามฟุตบอลกับนายด้วยงั้นเหรอ?

     

                “ใช่”

     

                “เพื่อ?”

     

                “ก็ผ้าที่ส่งซักยังไม่ได้ไปเอาเลย ถ้ากูแวะเอาคนเดียวก็ไม่มีคนช่วยถือตะกร้าอ่ะดิ..” เขาตอบเสียงเรียบก่อนจะส่งหมวกกันน็อคใบเดียวกับเมื่อเช้าให้อีกฝ่ายที่ยังยืนหน้าง้ำหน้างอ “..ไม่ต้องทำหน้าบูดเลย ใส่ซะแล้วรีบขึ้นมาเร็วๆ หิวข้าวแล้วเนี่ย”

     

                “หิวเหมือนกันนั่นแหละ นั่งรอตั้งนานแล้ว” คนตัวขาวบ่นอุบอิบก่อนจะเดินกระเผลกเข้าไปหา เขาครอบหมวกกันน็อคลงกับศีรษะลวกๆแล้วเอื้อมมือไปเกาะบ่าแข็งเพื่อพยุงตัวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ ยงกุกที่ไม่ทันตั้งตัวเซเล็กน้อย ก่อนที่สุดท้ายจะพยายามยันขากับพื้นเพื่อช่วยเป็นหลักยึดให้อีกฝ่ายกันล้ม

     

                “นี่น้ำหนักขนาดนี้ไม่ต้องกินแล้วมั้งข้าวกลางวันน่ะ” คนข้างหน้าพูดกลั้วหัวเราะ เรียกให้ศีรษะกลมภายใต้หมวกกันน็อคพุ่งกระแทกเต็มกลางหลัง ทั้งคู่เถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนที่บังยงกุกจะตัดบทด้วยการบิดคันเร่งพุ่งตัวออกไปแรงๆ

     

                คราวนี้ฮิมชานพยายามนั่งให้ห่างจากอีกคนมากที่สุด มือขาวที่เมื่อเช้าเคยโอบรอบเอวอีกฝ่ายเปลี่ยนมาเป็นจับกับพื้นที่ว่างด้านหลังแทน บังยงกุกไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ชะลอความเร็วของรถลงเพื่อป้องกันอันตราย

     

                ไม่นานทั้งสองก็มาถึงสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ คนที่ไม่เคยมาอย่างฮิมชานกวาดตามองด้วยความสนอกสนใจ เขาเหลียวซ้ายแลขวาขณะที่เผลอยื่นมือออกไปขยุ้มชายเสื้อด้านหลังของยงกุกเสียแน่น

     

                “นี่สนามฟุตบอลเหรอ?” คนที่ทำตัวเหมือนเด็กเอ่ยถามทันทีที่รถจอดสนิท เขาทุลักทุเลวาดขาลงมายืนข้างๆก่อนจะพยายามปลดสายหมวกกันน็อค แต่ก็ช้ากว่าคนใจร้อนอย่างยงกุกที่ยื่นมือออกมาช่วยทั้งที่ทำเหมือนรำคาญเสียเต็มประดา

     

                “นี่สนามเด็กเล่น” เสียงทุ้มว่าสั้นๆแล้วออกเดินนำ ฮิมชานกวาดตามองไปรอบๆอีกครั้งแล้วทำปากคว่ำ เห็นๆอยู่ว่านี่มันสนามกีฬา บังยงกุกนี่ขอให้ได้กวนประสาทใช่มั้ย?

     

                จากข้างนอกที่เห็นว่าใหญ่โตแล้ว พอได้เข้ามาข้างในถึงได้รู้ว่ามันกว้างขวางมาก ยงกุกเดินนำคนที่กระเผลกขาตามช้าๆเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ตรงเค้าท์เตอร์ เขารับกุญแจกับบัตรแข็งเล็กๆแล้วเดินต่อเข้าไปด้านใน ในขณะที่ฮิมชานทำได้เพียงยึกๆยักๆอยู่ที่เดิม เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องเข้าไปรับกุญแจกับบัตรแข็งนั่นเหมือนที่อีกคนทำหรือเปล่า? หรือเขาสามารถเดินเข้าไปเลยได้? เจ้าหน้าที่คนนั้นก็เอาแต่มองมาที่เขายิ้มๆจนทำอะไรไม่ถูก จนสุดท้ายที่เสียงทุ้มอันแสนคุ้นเคยตะโกนออกมาตามนั่นแหละเขาถึงได้ยิ้มแหยๆแล้วค่อยๆเดินตัวลีบเข้าไปด้านใน

     

                บังยงกุกกำลังยัดกระเป๋าเป้ที่สะพายติดมาเข้าล็อกเกอร์ลวกๆแล้วล็อคกุญแจก่อนจะเดินเข้าไปหาอีกคนที่ยังทำหน้าเหลอหลา

     

                “เอ้า..” เขาโยนลูกกุญแจดอกเล็กไปให้ “..ฝากด้วย อย่าให้หายเชียวนะ กระเป๋ากูมีเงินใส่อยู่ประมาณยี่สิบล้าน”

     

                “=_=

     

                “แล้วก็ตามออกมาได้แล้ว หรือถ้ามีอะไรจะเก็บก็ยัดไว้ในตู้เดียวกับกูอ่ะ”

     

                “ไม่มีหรอก..” ฮิมชานว่าขณะก้มลงมองตัวเองที่มีเพียงกระเป๋าตังค์และโทรศัพท์มือถือ “..แต่ว่านะ แล้ว..ข้าวกลางวันล่ะ?”

     

                “นี่หิวจัดเลยใช่มั้ย? กูว่าอย่างมึงอดข้าวสามวันยังวิ่งได้ปร๋อเลยเชื่อเหอะ”

     

                “นี่!..” คนตัวขาวขมวดคิ้ว นึกอยากจะพุ่งเข้าไปเสยใบหน้ากวนประสาทนั่นสักทีแต่สังขารไม่เอื้ออำนวย “..เป็นเพราะเราไม่ทันได้กินข้าวเช้าต่างหาก”

     

                “จ้าๆ..” ฝ่ายนั้นรับคำด้วยท่าทางล้อเลียน ก่อนจะต้องรีบโวยวายเสียงดังเมื่อคนโดนล้อตั้งท่าจะขว้างกุญแจในมือออกไปให้ไกล “..เฮ้ยอย่าๆ เออๆ เดี๋ยวหาข้าวให้กินน่า ไอ้พวกนั้นมันคงซื้อข้าวกล่องมาเตรียมเอาไว้แล้วแหละ ไปกันได้แล้ว อย่าตกมันสิพลายฮิมชาน ฮ่าๆๆ”

     

                “ตายเหอะบังยงกุก!

     

                สิ้นคำคนตัวขาวก็พุ่งเข้าใส่อีกคนทันที ทั้งคู่ไล่ตีกันออกมาจากห้องแต่งตัวถึงบริเวณริมสนาม แต่ฮิมชานที่พยายามเขย่งเท้าเร็วๆเพื่อวิ่งตามอีกฝ่ายก็ต้องหยุดชะงักทันควันที่เห็นสายตาเป็นสิบคู่จ้องมองมา ยงกุกยังคงหัวเราะเริงร่า วิ่งเข้าไปสมทบกับเพื่อนๆที่อยู่ในชุดกีฬาเหมือนกันโดยปล่อยทิ้งอีกคนเอาไว้อย่างนั้น ฮิมชานทำอะไรไม่ถูก เขาค่อยๆเดินช้าๆเข้าไปหากลุ่มคนที่นั่งออกันอยู่บริเวณม้านั่งยาวริมสนามพลางก้มศีรษะทักทายไปตลอดทาง

     

                “ใครวะ?”

                “ใครวะ?”

                “นั่นดิ ใครวะ?”

                “เออ ใครวะ?”

     

                ยิ่งมีแต่คำถามทำนองนี้ส่งมาให้ยิ่งทำให้ฮิมชานทำหน้าไม่ถูก จะให้เขาตอบไปว่า อ๋อ เราชื่อฮิมชาน โดนเกี่ยวติดมากับบังยงกุกคนที่วิ่งไปแย่งขนมเพื่อนกินตรงนู้นแล้วก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่ สุดท้ายเขาเลยทำเพียงส่งยิ้มแหยๆไปให้รอบทิศจนกระทั่งมีเสียงเรียกหนึ่งเข้ามาช่วยชีวิต

     

                “พี่ฮิมชาน!

     

                “จุนฮง?” เด็กตัวสูงใส่แว่นที่เคยเจอวิ่งตึกตักเข้ามาหาเขาพร้อมรอยยิ้มกว้าง จุนฮงเองก็อยู่ในชุดกีฬาคล้ายกับยงกุก ต่างกันตรงที่สีเสื้อและรุ่นน้องคนนี้มีถุงมือผู้รักษาประตูถือติดมาด้วย ฮิมชานยิ้มรับ รู้สึกดีใจไม่น้อยที่ยังพอมีคนรู้จักกัน จุนฮงกวาดสายตามองคนเป็นพี่หัวจรดเท้าก่อนจะทำหน้าสงสัย

     

                “พี่จะเตะบอลชุดนี้เหรอ?”

     

                “อ๋อ เปล่าหรอก พี่เจ็บเท้าน่ะ” เขายื่นเท้าซ้ายที่มีผ้าพันแผลหน้าตาน่าเกลียดกับรองเท้าแตะสีส้มเก่าๆไปให้อีกคนดู

     

                “ไปโดนอะไรมาฮะ”

     

                “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะ” ฮิมชานเลี่ยงที่จะเล่ารายละเอียดและพยายามเปลี่ยนเรื่องแต่คนเป็นน้องก็ยังไม่วายทำหน้าสงสัย

     

                “รองเท้าคู่นี้นี่..” จุนฮงทำท่านึก “..ของพี่ยงกุกไม่ใช่เหรอครับ?”

     

                “อ่า พี่ยืมมาน่ะ”

     

                “คู่โปรดพี่มันเลยนะเนี่ย ผมเคยขโมยใส่ปั่นจักรยานไปซุปเปอร์ตอนไปบ้านพี่เขา โดนขี่มอเตอร์ไซค์ไล่ตามมาเอาคืนแล้วทิ้งให้ผมปั่นกลับเท้าเปล่าอ่ะพี่คิดดู”

     

                “เอ่อ..”

     

                “โหดมากเลยใช่ป่ะล่ะ..” จุนฮงทำหน้าจริงจังในขณะที่ฮิมชานยิ้มแหยๆให้แล้วคิดในใจว่าไร้สาระมากกว่า “..งั้นพี่มานั่งตรงนี้ดีกว่า มา ผมช่วยพยุง”

     

                เด็กหนุ่มตรงเข้ามาคว้าแขนคนเป็นพี่ให้วางบนเอวตัวเองในขณะที่มือใหญ่ก็วาดไปโอบไหล่ขาวอย่างแนบแน่น ฮิมชานขืนตัวนิดๆด้วยความตกใจ แต่คนเป็นน้องที่หันมายิ้มน่ารักใส่ทั้งยังขะมักเขม้นช่วยเหลือก็ทำให้เขาใจอ่อนปล่อยเลยตามเลยให้อีกฝ่ายช่วยพยุงไปจนถึงที่นั่งข้างสนามใกล้ๆกับกลุ่มเพื่อนยงกุกที่มองมาทางเขาเป็นตาเดียว

     

                ชายหนุ่มรู้สึกประหม่ากับสายตาพวกนั้นจนมือไม้ไร้ที่วาง

     

                “เสาไฟ..เมียท้องแก่เหรอวะ?” ผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งใส่ถุงเท้าอยู่ใกล้ๆเงยหน้าขึ้นมามอง ใบหน้าชื้นเหงื่อนั่นขมวดคิ้วสงสัยแล้วจ้องมาทางเขาทั้งสองคนจนฮิมชานถึงกับเลิ่กลั่ก คนเป็นพี่อ้าปากเตรียมปฏิเสธแต่ก็ช้าไปกว่าเด็กหนุ่มข้างๆที่หัวเราะขึ้นมาอย่างร่าเริง

     

                “ไม่ใช่ฮะ พี่ก็พูดไป ฮะๆ”

     

                “ก็เห็นประคองซะอย่างกับใกล้คลอด..” ผู้ชายคนเดิมพูดกลั้วหัวเราะ “..แล้วตกลงนี่ใครวะ?”

     

                “เนี่ย อนาคต ผม” ว่าแล้วยักคิ้วไปให้หนึ่งที คนตัวขาวหน้าเหวอ อ้าปากค้างราวคนเป็นใบ้ผิดกับกลุ่มรุ่นพี่จุนฮงที่พากันเป่าปากส่งเสียงแซวกันระงม

     

                ฮิมชานพยายามขืนตัวออกห่างคนเป็นน้องพลางกวาดสายตามองหาคนที่พาเขามา แล้วก็เห็นว่าบังยงกุกกำลังมองและออกเดินมาทางนี้

     

                “อนาคตมึงเหรอ?..” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยว่าเรียบๆขณะค่อยๆแกะมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องให้หลุดออกจากไหล่ขาวก่อนจะดึงตัวของฮิมชานเข้ามากอดคอไว้เสียเอง “..โตขึ้นมึงอยากขาเป๋เหรอวะไอ้โย่ง”

     

                “ห๊ะ?”

     

                “ก็นี่ไง ไอ้ฮิมมันเป๋อยู่ ถ้าอนาคตมึงอยากกระเผลกจริงๆ..” เขาว่าพลางยื่นหน้าเข้าไปพูดใกล้ๆ “..กูจัดให้ตอนนี้เลยก็ได้นะ”

     

                บรรยากาศรอบตัวเงียบลงชั่วขณะ สายตาหลายๆคู่จ้องมองมาที่ยงกุกจนฮิมชานรู้สึกประหม่า เขาขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด จนสุดท้ายที่ยงกุกฟาดศีรษะจุนฮงไปทีแล้วลากคนข้างตัวให้ไปนั่งบนเก้าอี้ยาว

     

                “เอ้า..” คนโตกว่าโยนกล่องใสใส่อาหารที่แบ่งเป็นช่องๆขนาดใหญ่มาให้ ฮิมชานที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้าเผลอเงยหน้าขึ้นไปยิ้มกว้างอย่างดีใจ ยงกุกหายใจสะดุด มือที่ตั้งท่าจะโยนขวดน้ำใส่อีกรอบเปลี่ยนเป็นจับวางไว้ข้างๆให้แทน

     

                “ขอบใจนะ แล้ว..” อีกคนส่งสายตาสงสัยไปให้ขณะหันซ้ายแลขวา “..นายไม่กินเหรอ?”

     

                “จะเตะบอล เดี๋ยวจุก”

     

                “อืม..” มือขาวรีบแกะฝากล่อง คว้าเอาตะเกียบขึ้นมาถือไว้แล้วไม่สนใจอะไรรอบตัวอีก ยงกุกส่งสายตาอนาทรไปให้ มองดูคนที่กำลังพุ้ยข้าวเข้าปากด้วยความหิวโหยอย่างเวทนา คิมฮิมชานอาจจะไม่รู้ตัว แต่ท่าทางของเจ้าตัวตอนนี้มันน่าสงสารเสียจนเขาอยากจะหากะลามาวางให้ใกล้ๆ

     

                “มูมมามว่ะ เลอะเทอะหมดแล้วนั่น”

     

                “มีทิชชู่มั้ยอ่ะ?” ดวงตาใสแจ๋วช้อนขึ้นมองหลังจากยัดไก่ทอดชิ้นโตเข้าปาก ยงกุกส่ายหน้า คว้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนคอออกมาส่งให้

     

                “มีแต่ผ้าเช็ดเหงื่อ เอาไปดิ”

     

                “ถูกอนามัยมั้ย?”

     

                “ISO 9800 -_-

     

                “อืม ห...ดี” ฮิมชานว่าเสียงอู้อี้หลังจากรับผ้าผืนที่ว่ามาเช็ดเบาๆที่ข้างแก้ม

     

                “หือ?”

     

                “ผ้านายไง..” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมองยิ้มๆ “..หอมดี”

     

                ยงกุกถึงกับหน้าขึ้นสี ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มพร้อมกับอาการชาวาบแถวๆลำคอ ใครใช้ให้คิมฮิมชานพูดประโยคแบบนั้นขณะยกผ้าขึ้นดมแล้วแตะซับไปตามข้างแก้มกัน ถึงเขาจะไม่ได้คิดอะไร แต่ไอ้ท่าทางที่ดูกระเดียดไปทางน่ารักแบบนี้นี่มันก็...

     

                “ก กูลงสนามละ มึงก็นั่งดีๆ อย่าเพ่นพ่าน แล้วก็..” คนพูดว่าเสียงเข้มก่อนจะยื่นมือออกไปคว้าเอาผ้าของตัวเองมาพาดไว้กับคอ “..อยู่ห่างๆไอ้เสาไฟ”

     

                “แต่เรารู้จักแค่จุนฮงนะ”

     

                “งั้นก็นั่งหลับไป ขัดสมาธิ เอามือประสานที่หน้าตักแล้วเข้าฌาณไปเลย”

     

                “นายลงสนามไปเหอะ =_=

     

                “อือ งั้น..” บังยงกุกหรี่ตา มองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะวิ่งเหยาะๆห่างออกไป “..อยู่ดีๆล่ะ”

     

                บรรยากาศในสนามฟุตบอลกำลังคึกคัก ฮิมชานที่ทานข้าวเสร็จเรียบร้อยขยับมานั่งดูคนอื่นๆเล่นฟุตบอลอย่างสนอกสนใจ บังยงกุกเพิ่งลงสนามไปได้ไม่ถึงยี่สิบนาทีแต่ทั้งเนื้อทั้งตัวกลับชุ่มโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ใบหน้าที่คอยแต่จะกวนประสาทกันนั้นยิ้มแย้มอย่างเริงร่าขณะวิ่งตามไอ้ลูกกลมๆ เขาเพิ่งเคยเห็นอีกฝ่ายในมุมแบบนี้ อย่างแรกเป็นเพราะเราเพิ่งได้รู้จักกัน ส่วนอีกอย่างคือเวลาอยู่กับเขาบังยงกุกจะคอยแต่ทำตัวเหนือกว่าและแกล้งให้หงุดหงิดตลอดเวลา พอได้มาเห็นใบหน้าเริงรื่นราวกับได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งของอีกฝ่ายแล้วก็อดยอมรับไม่ได้ว่าเขารู้สึกดี เหมือนกับว่าได้ขยับเข้าไปในโลกของอีกคนมากขึ้น ได้รู้จักอีกหนึ่งตัวตนที่คนอื่นอาจจะไม่รู้

     

                ตั้งแต่ได้รู้จักกับอีกฝ่าย ฮิมชานรู้สึกว่าตัวเองยิ้มบ่อยขึ้น แน่นอนว่าเขายังคงเศร้า เขายังคงคิดถึงย่าตลอดเวลาที่ต้องอยู่คนเดียว แต่เป็นเพราะมีบังยงกุก ชีวิตของเขาในแต่ละวันถึงได้ไม่น่าเบื่อ ถึงหมอนั่นจะชอบแกล้ง ชอบพูดคำหยาบ ชอบทำให้เขาเจ็บตัวตลอดเวลา แต่ลึกๆแล้วฮิมชานรู้สึกได้ถึงความห่วงใยเสมอ

     

                เขาดีใจที่ได้เป็นเพื่อนกับอีกคน ถึงแม้ความรู้สึกลึกๆข้างในจะบอกเขาว่ามันมากกว่านั้นก็เถอะ...

     

                “อ้าวเฮ้ย ไอ้แตะทิก!” จู่ๆก็มีใครบางคนทรุดตัวลงนั่งข้างๆก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงดัง ฮิมชานหันไปมองงงๆก็เห็นว่าเป็นผู้ชายผมสั้นซึ่งกำลังโบกมือยิ้มแย้มมาทางเขาจนต้องหันซ้ายแลขวา “หวัดดี ไอ้เตะทิก”

     

                “ส สวัสดีครับ” เมื่อมองแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เขาจึงรับคำพร้อมกับก้มศีรษะทักทายกลับพลางยิ้มน้อยๆให้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมามองแล้วส่ายหัว

     

                “อะไร กูไม่ได้ทักมึง..” คนมาใหม่ว่าพลางบุ้ยใบ้ไปทางปลายเท้าขาว “..กูทักแตะทิกนี่ต่างหาก”

     

                “ครับ?”

     

                “รองเท้าที่มึงใส่อ่ะ แตะทิกไอ้ยงกุก”

     

                “อ๋อ ครับ ของยงกุก ผมยืมมาน่ะ” ฮิมชานขยับปลายเท้าชูให้อีกฝ่ายเห็นมากขึ้น นึกสงสัยขึ้นมาในใจว่าทำไมกับอีแค่รองเท้าแตะคู่เดียวถึงมีคนทักราวกับเป็นเรื่องแปลกมาก ก่อนหน้านี้ก็จุนฮงทีนึงแล้ว

     

                “แฟนเก่ามันซื้อให้..” ชายคนนั้นเอ่ยเรียบๆหลังจากกระดกน้ำเข้าไปอึกใหญ่ “..แม่งหวงมาก ใครยุ่งไม่ได้แถมยังบังคับให้พวกกูทักทายรองเท้าทุกครั้งที่มันใส่มาด้วย ปัญญาอ่อนชิบ”

     

                “แฟนเก่าเหรอครับ?”

     

                “ใช่ สก๊อยปากแดงเพื่อนร่วมห้องมันอ่ะแหละ ถึงได้ให้รองเท้าแตะเป็นของแทนใจกันนี่ไง”

     

                “...”

     

                “กูก็แปลกใจที่มันให้มึงยืม เพราะตอนเลิกกันแม่งเฮิร์ทมาก..” เขาว่าเรื่อยทั้งที่สายตายังคงจับจ้องไปยังกลางสนาม ฮิมชานมองตาม เห็นยงกุกพุ่งตัวลงนอนกลิ้งหลังจากยิงประตูพลาดพลางหัวเราะร่าเริง “..แต่ตอนนี้คงไม่ได้คิดอะไรแล้วแหละ”

     

                “ครับ”

     

                “มึง...เป็นญาติมันเหรอวะ?” คราวนี้คนข้างตัวหันมันหาฮิมชานก่อนจะมองหัวจรดเท้า คนถูกจ้องยืดตัวขึ้นนั่งตรงขณะรีบก้มศีรษะทักทาย

     

                “ผมเป็นรุ่นน้องพี่ยงนัมครับ มาอาศัยอยู่ที่บ้านเขาชั่วคราวเลยได้รู้จักกับยงกุก ผมชื่อคิมฮิมชาน” รอยยิ้มกว้างถูกส่งไปให้อีกคนเป็นการผูกมิตร

     

                “กูดูจุน ยุนดูจุน รุ่นพี่ไอ้ยงกุก”

     

                “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

     

                “เออ แล้วนี่..” คนเป็นพี่บุ้ยใบ้ไปทางปลายเท้า “..ตีนไปโดนอะไรมา?”

     

                “กระเบื้องบาดครับ”

     

                “โง่นี่หว่า”

     

                “เอ่อ..” ฮิมชานทำหน้าเลิ่กลั่กเมื่อจู่ๆก็เหมือนโดนด่า ก่อนที่วงแขนแข็งแบบคนเล่นกีฬาจะวาดลงคล้องคอแล้วดึงตัวเขาเข้าไปใกล้ๆพลางขยี้เส้นผม

     

                “ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น มึงนี่น่ารักดีว่ะ” ดูจุนล็อคคอคนอ่อนกว่าไว้ในวงแขนขณะแกล้งขยุ้มกลุ่มผมนุ่มเล่น ฮิมชานที่ตอนแรกดูจะตกใจก็เผลอหัวเราะสนุกสนานตามเมื่อสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเอง ไม่รู้สิ อาจจะเป็นเพราะเพิ่งผ่านการสูญเสียช่วงนี้เขาเลยต้องการความอบอุ่นจากคนรอบข้างมากกว่าปกติ

     

                “นักกีฬาเบอร์ 32 เปลี่ยนตัวครับ”

     

                “เบอร์ 32 ครับ พี่หน้าล้ำครับ เปลี่ยนตัวครับ” ผู้ชายในชุดกีฬาแบบเดียวกันวิ่งเข้ามาหาดูจุนก่อนสะกิดไหล่เรียก ฮิมชานขืนตัวเองออกมานั่งตรงๆได้สำเร็จแล้วก็เห็นว่ายงกุกเองก็เดินออกมาจากสนามด้วยเช่นกัน

     

                “กูว่าละว่าต้องเป็นมึง ทำไม เหนื่อยแล้วเหรอ?” ดูจุนลุกขึ้นยืนยืดแข้งยืดขาแล้วเดินไปแตะมือกับยงกุก ทั้งคู่คุยกันอีกเล็กน้อย­­ก่อนที่คนโตกว่าจะวิ่งเหยาะๆเข้าสนามไปและยงกุกเดินตรงมาที่ฮิมชาน

     

                คนมาใหม่ทรุดตัวลงนั่งข้างๆพลางใช้มือกระพือคอเสื้อระบายอากาศ สภาพเสื้อที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำทำให้เจ้าตัวตัดสินใจถอดมันออกแล้ววางลงข้างๆ ยงกุกหันไปหาฮิมชานพลางควบคุมอาการหอบหายใจแล้วเอ่ยขอน้ำด้วยเสียงแหบแห้ง

     

                “เอาขวดนั้น”

     

                “แต่อันนี้เรากินไปแล้ว เอาอันใหม่มั้ย” ฮิมชานลังเลเมื่อน้ำขวดนั้นที่อีกฝ่ายว่าคือขวดที่เขาใช้กินตอนทานข้าวเมื่อสักครู่ แน่นอนว่ามันเหลือน้อยแล้วแถมเขายังกระดกดื่มแบบแนบริมฝีปากอีกต่างหาก ก็รู้ว่าที่ยงกุกพูดเพราะไม่ได้คิดอะไร แต่เขาเองก็เห็นว่ามันมีน้ำขวดใหม่หลายสิบขวดตั้งเรียงอยู่เหมือนกัน

     

                “งกว่ะ เอามาเร็วๆอย่าลีลา” ทั้งที่พูดแบบนั้นแต่มือใหญ่กลับฉวยคว้าไปจากอีกคนแล้วเปิดฝากระดกดื่มแบบที่ฮิมชานทำทันที ใบหน้าขาวแอบขึ้นสีเรื่อ เผลอนึกไปถึงวันที่เขาและอีกฝ่ายแย่งเตียงกันจนเกิดอุบัติเหตุให้ได้ใกล้ชิดจนทำตัวไม่ถูก จำได้ว่ายงกุกมีสีหนาหวาดกลัวสุดๆแถมยังถีบเขาเสียจนล้มก้นกระแทกพื้น

     

                “เช็ดหน้าให้หน่อย”

     

                “หือ?”

     

                “มือหมดแรงอ่ะ เช็ดหน้าให้หน่อยดิ เหงื่อเข้าตา แสบ” ผ้าขนหนูผืนเล็กถูกโยนปุลงบนตักของฮิมชาน เจ้าตัวนิ่งอึ้งไปด้วยความแปลกใจก่อนจะหันไปมองหน้ายงกุกที่ยังคงจับจ้องไปที่การแข่งขันกลางสนาม

     

                “ขวดน้ำหนักกว่าผ้านี่อีกนะ”

     

                “ก็ใช้แรงยกขวดน้ำหมดแล้วไง มึงนี่ไม่มีน้ำใจเลยว่ะ” เขาค่อนขอดหน้าตาย ฮิมชานถลึงตาใส่เหมือนจะเอาเรื่อง แต่สุดท้ายก็จำใจคว้าผ้าขนหนูขึ้นซับเหงื่อที่ไหลย้อยทั่วกรอบหน้าของอีกฝ่ายให้

     

                ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่คราวนี้บังยงกุกดูจะพอใจเป็นอย่างมากที่เขายอมลงให้

     

                “พอยัง?” คนตัวขาวที่ทำตัวไม่ถูกกับสายตาที่จับจ้องกันไม่วางนั่นผละมือออกเพื่อถาม แต่กลับโดนมือใหญ่คว้าจับข้อมือไว้แนบแน่น “..อ..อะไร?”

     

                “ป..เปล๊า..” บังยงกุกที่เผลอรั้งแขนอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวรีบปล่อยมือออกราวถูกของร้อน เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ กระชากผ้าขนหนูเจ้าปัญหามาถือไว้กับตัวแล้วเสหน้าหลบ “..น้ำจงน้ำใจนี่ไม่มี คนอุตส่าห์หาข้าวให้แดก”

     

                “อะไรเล่า!” ฮิมชานเสียงดัง “ก็แค่ถามว่าพอยังไม่ได้หมายความว่าไม่อยากเช็ดต่อซักหน่อย”

     

                “งั้นแปลว่าอยาก..” คราวนี้ยงกุกหันกลับมายิ้มมีเลศนัยให้ รู้สึกชอบใจกับริ้วสีแดงจางๆที่พาดผ่านแก้มขาวนั่นไม่น้อย “..อยากเช็ดหน้ากูต่องั้นเหรอ?”

     

                “...อะ...”

     

                “กูจะอ้วก” เสียงโพล่งลอยๆของคนที่วิ่งเหยาะๆเข้ามาหาแยกทั้งคู่ออกจากกัน ฮิมชานรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติขณะที่ยงกุกขมวดคิ้วมุ่นให้คนมาใหม่

     

                  ยุนดูจุนลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง มือใหญ่ฉวยเอาผ้าขนหนูที่อยู่ในมือยงกุกขึ้นมาถือแล้วทำทีเป็นซับเบาๆไปตามแนวกราม

     

                “โอ้ยร้อนจังเลย เหงื่อออกเย๊อะเยอะ..” คนโตสุดยังคงสะดีดสะดิ้งได้อย่างน่าหมั่นไส้ “..น้องฮิมชานช่วยซับเหงื่อให้พี่ทีสิครับ เห็นฝีมือตอนจรดผ้าลงกับหนังหน้าไอ้ยงกุกแล้วอยากโดนบ้าง ยุนดูจุนอยากโดน!” ประโยคสุดท้ายตะโกนออกมาดังลั่นอย่างไม่มีสาเหตุ

     

                “เอ่อ..”

     

                “โดนตีนผมมั้ยล่ะพี่? พอๆ..” ยงกุกยุติไอ้ท่าทางล้อเลียนนั่นโดยการคว้าผ้ามาไว้กับตัว “..เลิกล้อเลย ผมแค่แกล้งมันเล่นเฉยๆ”

     

                “อ๋อหรา”

     

                “ลงไปยังไม่ทันถึงนาทีแสลนออกมาทำไมล่ะครับ? สังขารไม่เที่ยง?”

     

                “ก็เค้าเหงื่อออก” ดูจุนว่าแล้วสะดิ้งบิดตัวไปมาเรียกเสียงหัวเราะจากฮิมชานยกใหญ่

     

                “เอาน้ำมั้ยครับ?” มือขาวเอื้อมไปคว้าขวดน้ำขวดใหม่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆมายื่นส่งให้ คนเป็นพี่ตาโต รีบฉวยมาถือไว้กับมือแล้วส่ายมันไปมาเพื่ออวดตรงหน้ายงกุก

     

                “จะแดกดีๆหรือต้องจับกรอก?” ยงกุกว่าหน้าตาย

     

                “อุ๊ย น่ากลัวจังเลย ฮิมชานช่วยพี่ด้วย..” ว่าแล้วก็แล่นไปทำทีเป็นหลบหลังคนที่นั่งเหรอหรา “..ยงกุกจะทำร้ายพี่”

     

                “เอ่อ พี่ครับ..”

     

                “นักกีฬาเบอร์ 32 ครับ ไปแรดอะไรอยู่ตรงโน้น..” มีเสียงตะโกนดังออกมาจากใครซักคนกลางสนาม ฮิมชานหันไปมอง แล้วก็เห็นว่ากลุ่มคนที่ยังคงเตะบอลอยู่เมื่อสักครู่หยุดนิ่งแล้วหันมามองทางพวกเขาเป็นตาเดียว “..คนไม่ครบนี่เห็นมั้ยครับ ถ้าร่างกายไม่ไหวก็เอาไอ้เบอร์ 10 ที่นั่งป้อเมียอยู่นั่นมาลงแทน”

     

                “ไม่ได้จ้า ยงกุกเค้ายังอ้อนฮิมชานไม่พอ” ดูจุนตะโกนตอบกลับไป ก่อนจะต้องรีบกระโดดหลบฝ่าเท้าคนเป็นน้องแล้ววิ่งเร็วๆหายเข้าไปในสนาม

     

                ในตอนที่ต้องนั่งอยู่ด้วยกันสองคนอีกครั้งฮิมชานกลับเงียบกริบ ยงกุกเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะเขาเองเคยชินกับการโดนแหย่โดนแซวจากกลุ่มเพื่อนๆอยู่แล้ว แต่กับอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าจะเก็บไปคิดหรือเปล่า

     

                ปลายนิ้วขาวเขี่ยไปมาบนหน้าตักตัวเองอย่างไม่รู้จะทำอะไร หนักหน่อยก็ยกมือขึ้นมากัดเล็บตัวเองเล่นจนโดนคนข้างๆฟาดมือเข้าไปหนึ่งที

     

                “แดกแม้กระทั่งนิ้วตัวเอง” ยงกุกแกล้งทำเป็นส่ายหน้าระอา

     

                “เขาเรียกกัดเล็บ -_-” ฮิมชานเถียง

     

                “สกปรก แดกขี้เล็บ”

     

                “จะเอาใช่มั้ย?” คนตัวขาวหันมาหน้าตาเอาเรื่อง แต่กลับพบกับรอยยิ้มกว้างจากอีกฝ่ายจนต้องหันหน้าหนีแทน

     

                “ไม่เอา”

     

                “...”

     

                “เบื่อยัง?” จู่ๆบังยงกุกก็เอ่ยขึ้นลอยๆหลังจากเขาทั้งสองนั่งเงียบกันมาซักพัก

     

    ฮิมชานเหลือบมองนาฬิกา เวลาที่เห็นเพิ่งจะบ่ายสอง ถ้าเอาตามที่เขาวางแผนไว้จริงๆตอนนี้เขาต้องกำลังเดินหางานพิเศษทำอยู่ที่ไหนสักที่ แต่ลองเท้ามาเจ็บแบบนี้คงต้องพักแผนที่คิดไว้ไปสักพัก คงไม่มีที่ไหนอยากรับคนเคลื่อนไหวไม่สะดวกอย่างเขาตอนนี้แน่ จะว่าไปลองถามข้อมูลเรื่องร้านสะดวกซื้อจากยงกุกไว้เสียหน่อยก็น่าจะดี

     

    “แถวนี้มีร้านสะดวกซื้อใกล้ๆบ้านเยอะมั้ยอ่ะ?”

     

    “กูถามว่าเบื่อยัง?” คนถูกถามไม่ตอบแต่กลับถามกลับด้วยคำถามเดิม

     

    “ยัง..” ฮิมชานรีบบอกปัด “..เอาแบบพอจะเดินทางสะดวกหน่อยอ่ะ มีรถเมล์หรือไม่ก็เดินไม่ไกลจากป้ายรถเมล์เท่าไหร่”

     

    “จะไปดักปล้นหรือไง?” ยงกุกถามกลับกลั้วหัวเราะ

     

    “เปล่า เราว่าจะหางานพิเศษทำ แต่คงต้องรอเท้าหายก่อน” เขาก้มลงมองฝ่าเท้าตัวเองที่พันผ้าเอาไว้แล้วสะดุดเข้ากับรองเท้าสีส้มลายการ์ตูน

     

    “เออ ไว้เดี๋ยวตีนมึงหายแล้วกูจะพาไปหาละกัน”

     

    “จริงเหรอ?” ฮิมชานดีใจ เผลอช้อนสายตาเป็นประกายขึ้นสบอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “ขอบคุณนะ”

     

    “เออๆ ไม่เห็นต้องทำหน้าเหมือนหมาเลย” เขาว่าแล้วดีดหน้าผากขาวนั่นไปที คนโดนกระทำมุ่ยหน้า แต่แล้วสุดท้ายก็ส่งยิ้มหวานแสดงความขอบคุณกลับมาให้อยู่ดี

     

    ครั้งนี้จะยอมๆให้ก็ได้ เพราะบังยงกุกเป็นคนปากร้ายแต่ใจดีกับเขาที่สุด

     

    เวลาล่วงเลยไปอีกสักพัก ยงกุกลุกขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบแล้วยืดเส้นยืดสายก่อนจะหันกลับมาบอกเขาว่าจะลงไปเล่นต่ออีกสักหน่อย ฮิมชานพยักหน้ารับรู้ ไม่นานยุนดูจุนเจ้าเก่าก็วิ่งเหยาะๆหน้าเริงร่าเข้ามาหาคนทั้งสอง

     

    “นี่กะจะไม่ให้คนอื่นเปลี่ยนตัวพักเหนื่อยเลย? แก่จัดก็งี้ล่ะน้า” คนเป็นน้องแตะมือเข้ากับอีกฝ่ายขณะเอ่ยแซว ทำท่าจะวิ่งเข้าสนามอยู่แล้วแต่ก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน

     

    “อ้าวเฮ้ยยงกุก เด็กมึงอ่ะ” ดูจุนพยักเพยิดไปทางประตูทางเข้าแต่เจ้าของชื่อกลับทำหน้าไม่เข้าใจ ฮิมชานเองก็ขมวดคิ้วสงสัยที่ยงกุกไม่ลงสนามไปสักที เขาไม่ได้ยินที่ทั้งสองคุยกันหรอก จนกระทั่งประโยคสุดท้ายที่ดูจุนพูดดังขึ้นขณะเดินมาใกล้เขานั่นแหละถึงได้ถึงบางอ้อ

     

    แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้คิดว่าไม่ได้ยินอย่างเมื่อครู่ก็ดีอยู่แล้ว

     

    “แฟนมึงไง วิ่งมานั่นละ”

     

                คราวนี้ยงกุกหันหน้าไปมองตามทางที่ว่า ฮิมชานเองก็เช่นกันที่ชะเง้อคอดู จนสุดท้ายก็พบกับคนที่ดูจุนพูดถึงกำลังฉีกยิ้มกว้างขณะวิ่งตรงเข้ามา

     

                “พี่ยงกุก! คิดถึงจังเลยค่ะ!

     

     

                เค้นสุดกำลัง หมดมุขจริงๆนะเออ 555

               

                เรามีแท็กมานำเสนอหากคนอ่านไม่สะดวกคอมเม้นท์ในนี้นะคะ ชื่อแท็กว่า #มูฟบังชาน ขอความกรุณาติชมเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้เราด้วยค่ะ -/\-

                เราผิดมากที่หายไปเป็นชาติ ขอโทษนะคะ T^T (หลังจากนี้ก็ให้คำมั่นไม่ได้เช่นกัน ._.) แล้วก็ขอบคุณคนอ่านทุกคนด้วยค่ะ พวกคุณน่ารักจริงๆเน้อออออ ^_^

     

                  

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×