คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่หก
บทที่ 6
เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นเบาๆตอนเช้าตรู่ของวันจันทร์ ฮิมชานตาลีตาเหลือกคว้ามันขึ้นมาปิด เหลือบสายตาไปมองคนที่นอนอยู่บนเตียงข้างๆแล้วพบว่ายังหลับลึกจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขายังไม่อยากโดนด่าแต่เช้าเพราะทำเจ้าของห้องจอมโวยวายตื่นหรอกนะ เมื่อนอนระลึกชาตินิ่งๆอยู่ได้สักพักจึงตัดสินใจลุกขึ้นเก็บที่นอนก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
วันนี้ฮิมชานมีเรียนช่วงเช้า หลังจากเที่ยงไปแล้วจึงว่าง เขาคิดว่าจะลองไปหางานทำตามพวกร้านสะดวกซื้อดู เพราะลำพังเงินเก็บที่มีคงเลี้ยงตัวเองได้ไม่จบปริญญาแน่ ยังดีหน่อยที่ตอนนี้ไม่ต้องเสียค่าที่พักอาศัย แม้ความจริงแล้วเขาจะลำบากใจมากมายในการที่ต้องมาอาศัยคนอื่นอยู่แบบนี้ก็เถอะ แถมยงกุกก็ดูจะไม่ชอบเขาสักเท่าไหร่ด้วย
ชายหนุ่มยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยขณะไล้ฟองสบู่ไปทั่วตัวเพื่อทำความสะอาดร่างกาย บนศีรษะมีฟองจากยาสระผมฟูฟ่อง และเพราะว่าปริมาณฟองมันมากเกินไป บางส่วนจึงไหลย้อยลงต่ำเข้าดวงตาจนแสบเคืองเข้าจนได้ ฮิมชานรีบเอื้อมไปยังฝักบัวเพื่อจะเปิดน้ำล้าง แต่มือเจ้ากรรมดันปัดเข้ากับชั้นวางของพลาสติกใกล้ๆจนทุกอย่างบนนั้นร่วงครืน ขวดเซรามิกที่บรรจุครีมอาบน้ำหล่นกระแทกหัวก๊อกจนมันหลุดออกจากกัน หนำซ้ำเจ้าขวดที่ว่ายังตกกระทบพื้นแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ชายหนุ่มยืนเอามือกุมดวงตาไว้แน่น พยายามคลำหาที่เปิดฝักบัวก่อนจะพบว่ามันเหลือเพียงก้านสั้นๆที่ไม่สามารถบิดได้เสียแล้ว เขาขมวดคิ้ว ไม่กล้าขยับเดินไปไหนเพราะกลัวจะเหยียบเข้ากับเศษมีคมที่พื้น ขณะที่ยืนทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น เสียงโหวกเหวกพร้อมด้วยแรงทุบหนักๆก็ดังขึ้นที่หน้าประตู
“เฮ้ย! เป็นอะไรวะ ลื่นล้มหรือไง?” เสียงทุ้มตะโกนถามจากอีกฟากของประตูไม่เบานัก ฮิมชานที่ยังลืมตาไม่ขึ้นลนลานก่อนจะละล่ำละลักบอก
“ปะ เปล่า คือ..” เขาพยายามใช้มือปาดฟองออกขณะที่พูดไปด้วยแต่มันกลับไหลลงมาไม่หยุด ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ฟองขาวๆที่ยังไม่ได้ล้าง ขาก็ก้าวไม่ออก แถมคนที่หน้าประตูก็เร่งยิกๆจนเจ้าตัวทำอะไรไม่ถูก
“เปิดประตูเร็ว” ยงกุกออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป
“เอ่อ คือ เปิดไม่ได้ ขวดมันแตก เราไม่กล้าเดิน”
“อะไรนะ มึงแตกเหรอ ทะลึ่งว่ะ” ฝ่ายนั้นหัวเราะร่า
“ขวดโว้ย! ขวดสบู่มันแตก แล้วเราลืมตาไม่ขึ้น ฟองมันเข้าตา เลยไม่กล้าเดินนี่ไง!” ชายหนุ่มหัวเสีย ความแสบจากยาสระผมเริ่มรุนแรงจนต้องตัดสินใจลากเท้าไปกับพื้นห้องน้ำเพื่อหลีกเลี่ยงการเหยียบคมกระเบื้องโดยตรง สองมือช่วยกันคลำทางเพื่อตรงไปยังอ่างล้างหน้า แต่ไม่วายคนที่หน้าประตูก็พูดจาหาเรื่องอีกจนได้
“ฟองเข้าตาก็ล้างน้ำดิวะ โง่จัง” ยงกุกว่าพลางถอนหายใจหน่าย ตั้งท่าจะเดินกลับไปทิ้งตัวลงนอนต่อบนเตียง
“ก็หัวก๊อกมันหลุด จะเปิดน้ำยังไงล่ะ โง่กว่าจัง!”
“ว่าไงนะ หัวก๊อกหลุดเหรอ? มึงอาบน้ำฮาร์ดคอร์ขนาดไหนเนี่ย?” ชายหนุ่มเสียงสูงก่อนจะลงมือเคาะประตูรัวๆอีกครั้ง “เปิดประตูเลย”
“ไม่เปิด”
“เปิด!”
“ไม่เปิด!”
“กูบอกให้เปิด!”
“ก็บอกว่าไม่เปิดไง!”
“ไม่เปิดงั้นพัง!”
“อย่านะ!” สิ้นเสียง ฮิมชานก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายพยายามใช้ร่างตัวเองกระแทกประตูห้องน้ำแรงๆหลายที คนตัวขาวตื่นตระหนก ยิ่งระลึกได้ว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีเพียงฟองสีขาวที่ส่วนใหญ่เริ่มไหลลงไปกองกับพื้นเรียบร้อยแล้วปกคลุมก็ยิ่งหวาดหวั่น จนในที่สุดก็เผลอทำอะไรโง่ๆอย่างการวิ่งถลาเข้าหาอ่างล้างหน้าจนเศษกระเบื้องที่พื้นบาดเท้าเป็นทางยาว
ปัง!
“โอ้ยยยยยยยยยย!!!/เฮ้ยยยยยยยยย!!!”
เหตุการณ์ชุลมุนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บังยงกุกกระแทกร่างใส่บานประตูจนกลอนหลุดออกจากสลักในขณะที่คิมฮิมชานถลาลงไปกองกับพื้นเพราะลื่นน้ำฟองสบู่จากตัวเอง คนตัวขาวนั่งพับเพียบกุมข้อเท้าพลางโอดครวญ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องน้ำคนเดียวอีกแล้ว เขาเหลียวหลังขวับกลับไปมอง แล้วก็พบว่าอีกคนกำลังยืนจ้องมาที่ตัวเองตาไม่กระพริบ
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ ต่างฝ่ายต่างสบสายตากันด้วยความตกตะลึง ก่อนจะเป็นฮิมชานที่เสดวงตาหลบแล้วเบือนหน้ากลับไปหันหลังให้อย่างเก่า โดยที่ทั้งหมดไม่มีคำพูดใดๆระหว่างกัน
สัมผัสจากผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่หล่นลงบนศีรษะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา บังยงกุกคว้าเอาผ้าสีอ่อนที่พาดไว้กับราวติดผนังออก ก่อนจะโยนไปให้คลุมร่างของคนที่เอาแต่นั่งหันหลังกุมข้อเท้าตัวเองนิ่ง เขาทันเห็นเพียงใบหูแดงจัดที่โผล่พ้นกลุ่มผมเปียกลู่นั่น ก่อนที่ร่างขาวๆจะถูกพันเอาไว้ด้วยผ้าผืนใหญ่ทั้งตัว
คิมฮิมชานยังคงนั่งนิ่ง ไม่ส่งเสียง ไม่กระดุกกระดิกหรือออกอาการเจ็บปวดบาดแผลที่เท้าสักนิด กลุ่มก้อนมนุษย์ตรงพื้นห้องน้ำนั่นลู่ไหล่ตัวเองราวกับมันจะทำให้ดูตัวเล็กลงหรือไม่ก็อันตรธานหายไปจากกรอบสายตาได้ ชายหนุ่มที่ยืนมองภาพนั้นโคลงศีรษะช้าๆ แสร้งกระแอมไอเรียกความสนใจจนรู้สึกได้ถึงอาการสะดุ้งเบาๆจากอีกฝ่าย
..นี่คงคิดว่าเขาออกไปแล้วล่ะสิท่า ใครจะใจคอโหดร้ายขนาดทิ้งคนที่เลือดออกเยอะขนาดนั้นไว้คนเดียวได้ ที่สำคัญ
..ขามันก้าวไม่ออกตั้งแต่ผิวขาวใสราวเด็กแรกเกิดนั่นปรากฏเต็มสองตาแล้วต่างหาก..
“มึง..” เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆหยั่งเชิง “..ช็อคไปแล้วเหรอวะ? กลัวเลือดหรือเปล่า? หรือเจ็บจนขยับตัวไม่ได้?”
“...” ศีรษะกลมส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ กลุ่มผมชื้นน้ำถูกสะบัดซ้ายขวาจนฟองที่ยังไม่ได้ล้างหยดแหมะลงกับพื้น
“งั้นก็ลุกมาทำแผลก่อนเหอะ เลือดออกจะหมดตัวแล้วมั้งนั่น” เขาว่าพลางขยับเท้าเดินเข้าหา ทำท่าจะเข้ามาช่วยพยุงก่อนจะต้องชะงักเพราะถูกตะโกนห้ามเสียงดัง
“อย่า..!” ฮิมชานห่อตัวเองให้ลีบเล็กลงกว่าเดิม “..อย่า ไม่ต้องช่วย ออกไปก่อน”
“อะไรวะ มึงลุกไหวหรือไง?..” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นจมูก ฝ่ามือที่ถูกยื่นมาในตอนแรกกระดิกยิกๆให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว “..ส่งมือมาเร็วเข้า อย่าลีลา”
“...”
“ทำไม? อาย?” บังยงกุกดุนลิ้นกับกระพุ้งแก้ม จ้องมองคนที่นั่งเงียบไม่ต่อปากต่อคำแล้วถอนใจพรืด ตัดสินใจทรุดตัวลงนั่งยองๆข้างหลังก่อนจะวางฝ่ามือใหญ่ลงบนไหล่ลู่นั่นแรงๆ
“...”
“นี่..” เขาเริ่มต้นประโยคแล้วเงียบไปชั่วอึดใจ “..ไม่เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนหรือไงวะ? เข้าค่ายอ่ะไม่เคยเหรอ? มึงผู้ชายกูก็ผู้ชาย จะอายอะไรนักหนา”
“...”
“แล้วเมื่อกี้กูก็ทันเห็นแค่ตอนที่มึงลงไปนั่งกับพื้นแล้ว แค่หลังขาวๆไม่ทำให้กูสปาร์คหรอกเว้ย! แค่คิดก็ขนลุก” ยงกุกยักไหล่ทำทีเป็นรู้สึกขยะแขยงจริงๆประกอบคำพูด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นสักนิด แถมไม่ได้เห็นแค่แผ่นหลังอย่างที่ปากว่าด้วย ภาพก้นกลมที่เบียดอยู่กับพื้นห้องน้ำยังติดตาอยู่เลย!
“รู้แล้วน่า” ฮิมชานทำเพียงแค่ตอบปัดๆพลางขยับตัวหนี ไหล่ที่ถูกมือใหญ่ตรึงไว้ออกแรงสะบัดแต่มันกลับไม่หลุดดังที่คิด
“รู้แล้วก็ลุก มึงต้องตัดขาทิ้งแน่ๆถ้ายังลีลาอีกแม้แต่วิเดียว”
“ก็ออกไปก่อนสิเราจะได้ลุก”
“นี่พูดไม่รู้เรื่องหรือไง? บอกว่าไม่คิดอะไรก็ไม่คิดอะไรสิวะ จะอายส้นตีนอะไรนักหนา!” เสียงทุ้มใหญ่ตะคอกดังก้อง บังยงกุกเริ่มจะรู้สึกโมโหขึ้นมาจริงๆแล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมัวแต่อิดออดไม่ยอมขยับตัวเสียที ยิ่งเหลือบมองไปที่เท้าชุ่มเลือดยิ่งแล้วใหญ่ ความรู้สึกอยากจะรวบเอาร่างที่ขดอยู่ในผ้าขนหนูนั่นพาดบ่าแล้วทุ่มลงเตียงตีแสกหน้าผาก..
..เหมือนจะผิดคิว
“ทำไมต้องหยาบคายด้วยเนี่ย!” คนที่เริ่มจะมีน้ำโหขึ้นมาบ้างหันขวับกลับมาจ้องหน้า แต่แล้วก็ต้องเสกลับโดยพลันเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้กว่าที่คิด แถมสายตาที่จ้องกลับมานั่นอีก ความรู้สึกชาที่หน้ารุนแรงกว่าความเจ็บที่บาดแผลไปแล้ว
“ก็มึงมันพูดไม่ฟังไง อายอะไรไร้สาระ”
“แต่เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นนะ!” เหมือนนี่จะเป็นคำพูดตัดเส้นความอดทนของบังยงกุกได้ชะงัด เพราะเพียงแค่จบประโยค ฝ่ามือใหญ่ก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขนขาวแรงๆทันที
“อ้อเหรอ..” เขาลากเสียงยาวกวนประสาท แต่แววตากลับคุกรุ่นจริงจังขัดกับน้ำเสียง “..แล้วไอ้ที่มึงล้มใส่กูจนเกือบจะดูดปากกันวันนั้นล่ะ? ที่กอดกันจนโดนยัยป้ายื่นบัตรโมเต็ลให้? นี่เราไม่ได้สนิทกันหรอกเหรอ?”
“นั่นเรื่องเข้าใจผิดต่างหาก! อย่าพูดจาหยาบคายได้มั้ย”
“เลิกไร้สาระเหอะ ลุกสักที ขามึงเริ่มบวมจนจะเหมือนตู..” ชายหนุ่มชะงักคำพูด สบเข้ากับแววตาสงสัยของอีกฝ่ายแล้วแกล้งกระแอมกลบเกลื่อน “..ขามึงเริ่มบวมมากแล้ว”
บ้าเอ๊ย! เผลอนึกถึงก้นตึงนั่นอีกจนได้
“ถามจริง แค่เดินออกไปนี่มันจะตายเหรอ?” ฮิมชานถอนหายใจยาวเหยียด เอ่ยเรียบๆอย่างไม่ได้ต้องการจะหาเรื่องแต่อย่างใด เริ่มหมดแรงและรู้สึกเสียเลือดมากเกินไปแล้วด้วย นี่เขากับบังยงกุกทำบ้าอะไรกันอยู่นะ ความอยากเอาชนะนี่มันสำคัญกว่าความเจ็บปวดเลยงั้นเหรอ?
“ไม่ตาย แต่มึงนั่นแหละที่จะตาย แล้วกูก็ไม่เลวพอจะปล่อยสัตว์โลกให้ตายไปต่อหน้าหรอกนะ..” เขาทำหน้าหน่าย “..อย่าให้กูต้องใช้ความรุนแรง อยากให้ช้อนอุ้มออกไปเหมือนในละครหลังข่าวหรือไง?”
“อุ๊บ! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า..” ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น ลืมความเจ็บปวดที่เท้าไปชั่วขณะ “..พูดอะไรปัญญาอ่อนจัง เราเป็นผู้ชายนะ แล้วนายก็..ตัวแค่นี้”
“หยาม?”
“พูดความจริง”
“หึ”
บังยงกุกหัวเราะขึ้นจมูกเบาๆหนึ่งที มือใหญ่กระชากเรียวแขนขาวที่ซุกอยู่ในผืนผ้าให้หลุดออกมาพาดเข้าที่บ่าแข็ง มืออีกข้างสอดเข้าใต้ข้อพับขาของอีกฝ่าย ออกแรงยันตัวเองลุกขึ้นยืนจากพื้นพร้อมร่างของคนในอ้อมแขนอย่างสวยงาม
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนฮิมชานตั้งตัวไม่ทัน ใบหน้าขาวซีดออกอาการเหวอจนอีกฝ่ายสังเกตได้ เขาทำเพียงแค่ส่งรอยยิ้มที่คิดว่าเท่สุดๆมาให้ พร้อมกับก้าวขาเตรียมออกเดิน
ทุกอย่างกำลังไปได้ดี แต่บังยงกุกคงลืมไปว่าที่ที่ยืนอยู่คือห้องน้ำ ห้องน้ำที่คิมฮิมชานเพิ่งจะล้มก้นกระแทกเพราะลื่นฟองสบู่จากตัวเองไป แน่นอนว่าทันทีที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งก้าวลงบนรอยเปียก ทั้งร่างตัวเองและร่างของคนในอ้อมแขนก็พร้อมใจกันดิ่งตามแรงดึงดูดของโลก..ล้มกระแทกพื้นแข็งๆคนละตุ้บละตั้บ
“โอ๊ยยย สัตว์เอ๊ย!”
“บัง ยง กุก ! -*-”
“ไปทำบ้าอะไรกันมาวะ ไหงสภาพเป็นงั้น?” บังยงนัมที่กำลังคุ้ยเขี่ยหากล่องปฐมพยาบาลตามมุมห้องเอ่ยทัก หลังจากที่น้องชายฝาแฝดพยุงรุ่นน้องตัวขาวมาเคาะประตูห้องแต่เช้าพร้อมกับสภาพดูไม่จืด..เปียกม่อล่อกม่อแลก..รอยเลือดที่ฝ่าเท้าและรอยช้ำตามตัว..แถมยังกระเผลกกันทั้งคู่อีก
‘ขอผมใช้ห้องน้ำหน่อยนะ’ ฮิมชานว่าไว้เพียงเท่านั้นแล้วหายเข้าห้องน้ำไปเลย
“ขี้เกียจเล่า” ยงกุกที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียงส่งเสียงตอบส่งๆ มือคว้าเอาหมอนข้างใกล้ตัวขึ้นมานอนหนุนพลางผิวปากกระดิกเท้าสบายอารมณ์ คนโตกว่าหันมามองก่อนจะโคลงศีรษะ ก้าวเดินเข้ามาใกล้หลังจากได้ของที่ต้องการไว้ในมือแล้ว
“เอ้า..” เขาโยนกล่องพลาสติกที่บรรจุอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นใส่อีกฝ่าย “..ให้มันใส่ยาแล้วก็กินแก้ปวดด้วย ถ้าไม่ดีขึ้นก็พาไปหาหมอซะ”
“เรื่อง’ไร? โง่ล้มเองก็ไปหาหมอเองดิวะ กูช่วยแค่นี้ก็หล่อฉิบหายแล้ว” คนเป็นน้องขยับตัวลุกขึ้นนั่ง สองมือเปิดกล่องบนตักพลางหยิบของในนั้นขึ้นมาพลิกดูอย่างสนอกสนใจ
“ชั่ว”
“โหยยย นี่ต้องด่าแรงขนาดนี้?..” เสียงทุ้มเหวขึ้นอย่างเอาเรื่อง เงยหน้าขึ้นมองพี่ชายก็เห็นว่าอีกฝ่ายผละไปแต่งตัวต่อที่หน้ากระจกแล้ว “..มึงเป็นไรวะวันนี้? ดูอารมณ์ไม่ดี”
“เปล่า”
“นั่นไง ถึงว่าเหอะวันนี้กูอารมณ์ดี เพราะมึงเครียดนี่เอง..” นอกจากจะไม่ฟังคำปฏิเสธแล้ว บังยงกุกยังต่อประโยคด้วยน้ำเสียงสบายๆอีก “..ว่าแต่เครียดอะไรวะ?”
“กูบอกว่าเปล่าฟังกูมั่งเหอะ”
“เรื่องรุ่นน้องกูเหรอ?”
บังยงนัมหันกลับมาส่งสายตาไม่พอใจใส่คนเป็นน้อง แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วกลิ้งตัวลงไปนอนต่อ สุดท้ายแล้วคนโตกว่าก็ถอนหายใจยาวก่อนจะเดินมานั่งหมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบเตียง
“เฮ้อ..” เขาหยิบเอาหมอนแถวนั้นขึ้นมาฟาดไปตามตัวน้องชายพลางบ่นงึมงำ “..แค่เรื่องโปรเจ็คจบก็เครียดจะตายห่า ยังจะมีเรื่องไอ้ดำนั่นมากวนใจอีก..นี่..มึงว่ากูควรทำไงดีวะ?”
“ทำอะไร? ไม่เห็นต้องทำอะไร..” บังยงกุกเกลือกกลิ้งตัวเองไปมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน คว้าเอาตุ๊กตาหัวเตียงขึ้นมาคุยงุ้งงิ้งพลางเหลือบมองเสี้ยวหน้าพี่ชายที่ดูจะไม่ค่อยรับมุขเขาเท่าไหร่ “..ถ้ามึงเกลียดมันนักเดี๋ยวต่อไปกูสั่งห้ามไม่ให้มันมาบ้านเองแหละ อย่าคิดมากเลย”
“มึงปัญญาอ่อนป่ะเนี่ย?..” เขาทำหน้าหน่าย ฟาดหมอนในมือลงกับใบหน้าพิมพ์เดียวกันนั่นแรงๆระบายอารมณ์ จนกระทั่งอีกฝ่ายร้องโอ๊ยแล้วลุกขึ้นมาประจันหน้ากันนั่นแหละถึงได้รามือ “..ถ้ากูเกลียดมัน กูจะมานั่งคิดมากแบบนี้ทำไม”
“เอ๊า ก็มึงแกล้งมันอ่ะ ร้องไห้เลยด้วย ไม่ได้เกลียดมันแล้วแกล้งมันทำไมอ่ะ?”
“แล้วมึงแกล้งไอ้ฮิมชานทำไมทุกวันอ่ะ?..” คนโตกว่าจ้องหน้าน้องชายที่กำลังอ้าปากพะงาบไร้ซึ่งคำพูดแก้ตัวใดๆนิ่ง “..ใบ้แดกเลยเหรอครับ ฮะฮะฮะ”
“นี่จะไปมหาลัยใช่มั้ย? ไปเลยไป” ยงกุกใช้ฝ่ามือดันร่างของพี่ชายฝาแฝดแรงๆสองสามทีแล้วทิ้งตัวลงนอนต่อ ยงนัมหัวเราะร่า อารมณ์ดีกว่าเมื่อครู่ขึ้นมานิดนึง
เมื่อคืนเขาแทบไม่ได้นอน ส่วนหนึ่งก็คิดเรื่องงาน แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าส่วนใหญ่แล้วสมองมักเผลอวกกลับไปคิดถึงใบหน้ากวนตีนเปื้อนน้ำตาของจองแดฮยอนคู่อริเสมอ เขาไม่เข้าใจตัวเองว่าจะรู้สึกผิดมากมายไปทำไม พยายามบอกจิตใจหลายครั้งว่าปล่อยมันไปเถอะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจอมทรยศกลับไม่ยอมเชื่อฟัง มันสั่งให้เขานอนตาค้าง จ้องมองฝ้าเพดานห้องตัวเองอยู่แทบทั้งคืน
แค่คิดก็เพลียขึ้นมาทันที..
“เออ งั้นกูไปก่อน..” ชายหนุ่มเดินวนหยิบข้าวของจำเป็นในห้องอยู่อีกพักใหญ่ ก่อนจะพูดกำชับกับน้องชายเป็นครั้งสุดท้าย “..อย่าลืมที่บอกล่ะ ดูแลรุ่นน้องกูด้วย ไม่ไหวก็ไปโรง’บาล เข้าใจนะ”
“เออๆ รู้แล้วน่า ไปสักทีเหอะ”
ยงนัมออกไปแล้ว ยงกุกจึงทำได้แค่นอนลืมตามองเพดานห้องรอเวลาที่ใครอีกคนอาบน้ำเสร็จ ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังแผ่วเบาในความเงียบ ฮิมชานเดินกระเผลกใช้มือค้ำผนังช่วยพยุงตัวมาจนถึงเตียง ทิ้งตัวลงนั่งหมิ่นเหม่อยู่แถวๆนั้นตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งเผชิญหน้ากัน
“อ่ะ..” มือใหญ่โยนกล่องพลาสติกลงบนหน้าตักอีกคน แอบลอบมองสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่แล้วหัวเปียกลู่นั้นเงียบๆ “..ทำแผลซะ แล้วก็กินยาด้วย ไอ้นัมสั่ง”
“แล้วพี่ยงนัมไปไหนแล้วล่ะ?” ฮิมชานเอ่ยปากถามพลางมองไปรอบๆห้อง สองมือช่วยกันเปิดกล่องยาแล้วหยิบนู่นนี่ขึ้นมามอง
“มหา’ลัย”
จบประโยค ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก คนนึงทิ้งตัวลงนอนกับเตียงตามเดิม ส่วนอีกคนก็กำลังพยายามอ่านฉลากข้างขวดยาอย่างตั้งอกตั้งใจ ฮิมชานนิ่วหน้า แอบลอบมองคนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างชั่งใจ เขาไม่เคยทำแผลเอง เนื่องด้วยส่วนตัวแล้วไม่ใช่คนที่มีเรื่องเจ็บตัวบ่อยนัก และตอนย่ายังอยู่ท่านก็คอยดูแลเขามาตลอด
มือสองข้างถือยาขวดเล็กๆสีฟ้ากับสีใสไว้มั่น เพ่งแล้วเพ่งอีกกับวิธีการใช้และสรรพคุณของมัน แต่ทำยังไงก็ไม่เข้าใจเสียที ชายหนุ่มถอนใจ ลดระดับมือลงเปลี่ยนเป็นสะกิดเบาๆที่ต้นขาอีกคนแทน
“ยงกุก..” ฟันขาวขบเบาๆที่ริมฝีปากล่างก่อนเอ่ย “..นายทำแผลเป็นหรือเปล่า?”
“ทำไม?”
“คือ..เราทำไม่เป็น” เขาว่าเสียงอ่อย ทำหน้าตาน่าสงสารใส่คนที่เพิ่งยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง
บังยงกุกจ้องมองสายตาที่ทอดส่งมาให้เงียบๆ พยายามปั้นหน้าให้ดูหงุดหงิดเสียเต็มประดาทั้งที่ภายในอกรู้สึกสั่นรัวจนแทบควบคุมไม่อยู่ จะเรียกว่าวิปริตหรือเปล่าเขาไม่รู้ แต่นาทีนี้ ไม่ว่าคิมฮิมชานจะแสดงสีหน้าแบบไหน ภาพที่ปรากฏในหัวเขาก็เป็นภาพร่างเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายในห้องน้ำเมื่อเช้าทุกที
มือใหญ่ฉวยเอาของทั้งหมดบนตักอีกคนมาถือไว้เอง จิ๊จ๊ะในลำคอประกอบอาการสะบัดสะบิ้งเพื่อเพิ่มความเนียน
“วุ่นวายจริงมึงนี่ ทำห้องน้ำกูเละยังไม่ได้คิดบัญชีเลยนะ..” เสียงทุ้มทำทีเป็นไม่พอใจ แต่สองมือกลับค้นหาอุปกรณ์ทำแผลให้อีกฝ่ายอย่างขะมักเขม้น “..ยื่นขามา”
คิมฮิมชานทำตามอย่างว่าง่าย ใบหน้าน่ารักหงอยลงไปถนัดตาเมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเข้าจนได้ ขาขาวข้างซ้ายที่มีแผลค่อยๆยืดออกวางบนเตียงก่อนจะขยับตัวสองสามทีเพิ่มความถนัด
บังยงกุกที่กำลังรื้อเอาสำลีออกจากถุงหันกลับมาเห็นฉากที่อีกคนกำลังวาดขาพอดิบพอดี ดูเหมือนคิมฮิมชานจะไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากางเกงขาสั้นที่เจ้าตัวใส่ต่างซับในนั่นมันเลิกสูงขนาดไหน ยิ่งเพราะความเจ็บปวดบริเวณบาดแผลทำให้ต้องทำอะไรช้าๆ การขยับกายแต่ละครั้งของเจ้าตัวจึงเหมือนเป็นภาพสโลวโมชั่นเอื้อให้สายตาคมเก็บภาพเอาไว้ได้แทบทุกช็อต
..ความรู้สึกวิงเวียนคล้ายจะเป็นลมตีแสกหน้าชายหนุ่มเข้าอย่างจัง!..
“คือว่า..” คนตัวขาวเริ่มเอ่ยปาก หลังจากที่เห็นคนตรงหน้าดูเหมือนจะสติหลุดไปชั่วขณะ “..เรื่องห้องน้ำ เราขอโทษนะ เดี๋ยวไว้กลับมาจากมหาลัยเราจะรีบทำความสะอาดให้เลย”
“...”
“บัง..” ฮิมชานยื่นมือไปสะกิดเบาๆที่ท่อนแขนของคนที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยถือถุงสำลีกับขวดยาสีฟ้านิ่ง “..บังยงกุก!”
“ห๊ะ! อะ อะไรวะ?! ตะโกนหาพ่อง!” เสียงทุ้มสบถตอบกลบเกลื่อนอาการทำอะไรไม่ถูก สายตาสบเข้ากับอีกฝ่ายที่ทำหน้ามุ่ยไม่พอใจที่โดนว่าแล้วแสร้งเปลี่ยนเรื่องโดยการจุ่มสำลีลงในแอลกอฮอล์เช็ดแผลก่อนจะประคองฝ่าเท้าขาวขึ้นมาดู “แผลไม่ลึกมากเท่าไหร่ ล้างแผลใส่ยาก็คงพอ”
“อ่ะ อืม เบาๆหน่อ...โอ๊ย!!” ยังไม่ทันขาดคำ แรงกดหนักๆจากมืออีกฝ่ายก็สร้างความเจ็บปวดให้คิมฮิมชานจนน้ำตาเล็ด เท้าเรียวพยายามชักกลับเข้าหาตัวแต่มือแข็งแรงกลับยึดมันเอาไว้แน่น
“อย่าดิ้นสิวะ! อดทนแปปเดียวเดี๋ยวก็เสร็จ”
“โอ๊ยยย! ก็มันเจ็บนี่ เบาๆหน่อย!..” หยดน้ำใสไหลกลิ้งออกมาจากหางตา เขายืนยันเลยว่าไม่ได้อยากสำออยสักนิด แต่คนตรงข้ามที่วางมาดเป็นผู้เชี่ยวชาญดันถูสำลีชุ่มแอลกอฮอล์ลงบนแผลสดแรงๆหลายที กดย้ำซ้ำอยู่อย่างนั้นให้ตัวยาซึมลึกบาดเนื้อจนแทบอยากจะดิ้นเร่าๆ “..บะ บังยงกุก มะ ไม่ไหวแล้ว พอก่อน”
“อยู่นิ่งๆน่า”
“ยงกุก เราไม่ไหวแล้วจริงๆ ปล่อยเถอะ” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นเว้าวอนเสียจนคนฟังต้องเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วบังยงกุกก็ตระหนักได้ว่านั่นเป็นการฆ่าตัวตายทางอ้อมชัดๆ
ภาพคิมฮิมชานหน้าแดงก่ำมีหยาดน้ำติดที่ปลายหางตาปรากฏอยู่ตรงหน้า ฟันขาวของเจ้าตัวขบกัดริมฝีปากล่างเอาไว้แน่น มือทั้งสองข้างขยุ้มเข้ากับผ้าปูที่นอน และเมื่อไล่สายตาลงต่ำก็จะพบว่าไอ้เจ้ากางเกงตัวปัญหานั้นเลิกขึ้นกว่าเดิมจากการดิ้นรนเมื่อครู่ ตอนนี้คิมฮิมชานตรงหน้ามีพลังทำลายล้างสูงเสียจนบังยงกุกอยากจะหงายท้องผลึ่งลงไปซะเดี๋ยวนั้น
ยิ่งผนวกรวมเข้ากับภาพเมื่อเช้าที่ยังติดอยู่ในหัวด้วยแล้ว..ขอยาดมเขาสักแผงจะได้มั้ย?
มือใหญ่คลายแรงบีบที่ข้อเท้าอีกฝ่ายลงแต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยออกไปเสียทีเดียว คนตัวขาวนั่งหอบหายใจพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ เหลือบสายตาขึ้นมองคนตรงข้ามก็พบว่าถูกจ้องอยู่ก่อนแล้ว บังยงกุกส่งสายตาที่ดูเหมือนเหนื่อยใจกับเขาเต็มทนมาให้ นั่นยิ่งทำให้น้ำตาที่เกือบจะหยุดไหลอยู่แล้วรื้นขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่เพราะคนตรงหน้าหรือไงเขาถึงได้นั่งร้องไห้อยู่ตอนนี้ ทำไมจะต้องหงุดหงิดใส่กันตลอดเวลาด้วยก็ไม่รู้
“ถามจริงเถอะ..” ริมฝีปากสีแดงสดเอื้อนเอ่ยช้าๆข่มอาการสะอื้นฮักในลำคอ “..นายทำแผลเป็นจริงๆเหรอ?”
“แน่นอนดิ ไม่งั้นเมื่อกี้หมาตัวไหนมันเช็ดแผลให้มึง”
“แน่ใจนะว่าเมื่อกี้ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเราให้ตาย =_=”
“ไม่ได้ตั้งใจแน่นอน เพราะถ้าเมื้อกี้มึงตายก็จะถือว่าเป็นกำไรล้วนๆ” ใบหน้ากวนประสาทนั่นยักคิ้วข้างเดียวส่งมาให้หนึ่งที ฮิมชานลอบเบะริมฝีปาก ก่อนจะต้องผวาเฮือกเมื่อยงกุกดึงข้อเท้าเขาเข้าไปใกล้อีกครั้ง “อย่ามัวลีลา มาทำแผลต่อได้แล้ว”
“ดะ เดี๋ยว!..” มือสองข้างของเจ้าของเสียงรีบช่วยกันยื้อขาตัวเองเอาไว้ยกใหญ่ ดวงตากลมโตรื้นน้ำจ้องสบกับตาคมอย่างเว้าวอน “..ไม่ทำแล้วได้เปล่า? แปะพลาสเตอร์อย่างเดียวก็ได้”
“แหกตาดูด้วยครับ แผลมันยาวกว่าสันหลังไอ้นัมขนาดนี้ พลาสเตอร์ที่ไหนจะเอาอยู่..” มือใหญ่ยื้อข้อเท้าขาวเข้ามาใกล้อีกครั้งแล้วก้มดู “..เหลือใส่ยา พันแผล แค่นี้ก็เสร็จ ทนเอาหน่อยน่า”
“ก็ได้ แต่ช่วยเบาๆหน่อ..โอ๊ยยยยยยยยยยยยยย!!” ฮิมชานแหกปากร้องตะโกนลั่นทันทีที่สำลีชุบยาสีแดงป้ายลงตรงๆบนแนวแผล และจะด้วยความตกใจหรืออะไรก็แล้วแต่ ฝ่าเท้าขาวเผลอกระตุกยันโครมเข้าเต็มๆที่กลางอกอีกฝ่าย ก่อนต่างคนต่างจะทิ้งตัวลงนอนคนละทิศละทางแล้วโอดครวญแข่งกัน
“โอ้ยยยยยยยยยยยย!/อู้ยยยยยยยยยยยยยย!”
“อูยยย ถีบหาพ่องงงงงง!”
“ไม่รู้ มันไปเอง โอ้ยยย แต่ถีบแล้วเจ็บแผลชะมัดเลย ”
“มึงเจ็บแต่กูจุกเนี่ย!”
“ยงกุก แผลฉีกเปล่าลุกขึ้นมาดูให้หน่อย”
“ลุกไม่ขึ้น มึงนั่นแหละลุกขึ้นมาดึงกูหน่อย”
“โอยยย ลุกไม่ไหวเหมือนกัน”
“โอ้ยยยยยยยยยยยย!!!/อู้ยยยยยยยยยยยยยย!!!”
.
.
.
“เอ่อ ยะ ยงกุก เราว่าพอแล้วมั้ง” หลังจากกระเสือ.กกระสนลุกขึ้นมานั่งดีๆได้ ทั้งคู่ก็เริ่มทำแผลกันต่ออีกครั้ง มือใหญ่ค่อยๆใช้ผ้าพันแผลวนรอบฝ่าเท้าขาวเบาๆหลายรอบหลังจากปลุกปล้ำใส่ยากันไปแล้วก่อนหน้านี้
“เงียบน่า” บังยงกุกจิ๊ปาก คว้าเอาผ้าตาข่ายม้วนใหม่ขึ้นมาแกะออกจากถุงเมื่ออันเก่าพันหมดไปแล้วเรียบร้อย
“เอ่อ พันอีกเหรอ..” ฮิมชานออกปากถาม เสมองฝ่าเท้าตัวเองที่ถูกพันยิ่งกว่ามัมมี่แล้วขมวดคิ้ว “..ทำไมมันน่าเกลียดขนาดนี้ล่ะยงกุก”
“มึงจะไปรู้อะไร ทำแผลไม่เป็นก็อยู่นิ่งๆไปซะ”
“นี่เคยคิดอยากจะเป็นหมอบ้างมั้ย?”
“หึ ถึงฝีมือการทำแผลของกูมันจะเข้าขั้นโปร แต่ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าอาชีพหมอมันไม่ใช่แนวว่ะ กูชอ..”
“ดีแล้วล่ะ” ริมฝีปากสีสดสวนคำพูดตอบทันทีทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่จบดี สีหน้าราวกับโล่งอกของคนตัวขาวนั่นทำเอายงกุกขมวดคิ้ว แต่ก็คร้านจะต่อความยาวสาวความยืด เขารีบลงมือทำงานตัวเองต่อให้เสร็จ จนสุดท้ายเท้าของคิมฮิมชานก็ถูกห่อไปด้วยผ้าพันแผลอย่างดี..มั้งนะ
“จบ!”
“ขะ ขอบใจนะ ดูดีมากเลย..” เจ้าของคำพูดจ้องมองเท้าตัวเองที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมเกือบเท่าเนื่องจากผ้าสีขาวที่ถูกพันเอาไว้รอบๆอย่างอนาถใจ ไหนจะปมสุดท้ายที่ถูกผูกเป็นโบว์เอาไว้บนหลังเท้านั่นอีก เห็นแล้วคันปากอยากถามยิบๆว่าบังยงกุกไปเรียนการทำแผลแบบนี้มาจากสำนักไหนกัน
ฮิมชานประคองเท้าตัวเองลงวางบนพื้น พยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วลองก้าวเดินเพื่อเช็คอาการบาดเจ็บดู
“เป็นไง?”
“เหมือนเดินอยู่บนแผ่นเสริมส้น =_=” เขาเอ่ยเรียบๆขณะเดินวนไปมารอบๆ นี่ไม่ได้รู้สึกไปเองเลยสักนิด แต่เหมือนส่วนสูงเขาจะเพิ่มขึ้นราวๆสองเซน “แต่ก็ดี ไม่เจ็บดี”
“ฝีมือว่ะ”
“ขอบใจมากนะ เรื่องห้องน้ำ..เดี๋ยวเราจัดการให้หลังกลับมาจากมหา’ลัย” ว่าพลางเหลือบมองนาฬิกาติดผนังเหนือโต๊ะเขียนหนังสือไปด้วย “สายแล้ว เราไปล่ะ”
“เดี๋ยว นี่มึงจะไปมหา’ลัยเหรอ ด้วยสภาพนี้?” บังยงกุกบุ้ยปากไปทางฝ่าเท้าของอีกคนพลางเลิกคิ้วสูง
“อื้อ ทำไมอ่ะ?”
“เดี๋ยวไปส่ง”
“ห๊ะ!”
“ไปแต่งตัวเร็ว เดี๋ยวลงไปรอข้างล่าง”
โดยไม่รอให้อีกคนถามอะไรเพิ่มเติม คนตัวสูงก็เดินลิ่วออกจากห้องตรงดิ่งลงชั้นล่างเรียบร้อย ฮิมชานทำหน้าไม่เข้าใจ แต่ก็ตัดสินใจปล่อยผ่านก้าวเดินออกจากห้องไปแต่งตัวที่อีกห้องเช่นกัน
ใช้เวลาไม่นานคนตัวขาวก็เดินกระเผลกเกาะราวบันไดลงมาชั้นล่าง เหลือบมองไปทางโซฟาก็เห็นยงกุกนั่งขัดสมาธิกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆอยู่ เขาเดินเข้าไปใกล้ กระแอมเบาๆแสดงตัวว่ามาถึงแล้ว ฝ่ายนั้นเหลียวหลังกลับมามอง จ้องเขาที่อยู่ในชุดนักศึกษาถูกระเบียบทุกประการตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ไม่ยักกะใส่ถุงเท้าให้ดี
“เสร็จแล้ว?..” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม กดปิดโทรทัศน์ก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ยัง..” มือเรียวชูถุงเท้าสีเข้มในมือขึ้นระดับสายตา จ้องสบกับอีกฝ่ายก่อนจะเอื้อนเอ่ยคำพูดช้าๆชัดๆ “..เราใส่ถุงเท้าไม่ได้..”
“?”
“...เพราะผ้าพันแผลของนาย!”
สกิล Photoshop มันช่าง..-*-
ฮิมไปมหาลัย หางาน แวะเอาผ้าที่ส่งซัก <<< ที่ตั้งใจจะแต่งในบทที่หก
ฮิมยังไม่ได้ไปมหาลัย =.= <<< ที่แต่งได้ -*-
บทนี้เวิ่นเว้อและไร้สาระมากเรายอมรับ ตันจริงๆค่ะ ชักจะไปต่อกับเรื่องนี้ไม่ถูกแล้วอ่ะ (รีบด้วยแหละ อยากปั่นให้เสร็จเพราะสัญญาไว้ 555)
ยังไงดี คือขอกลับไปทบทวนดูก่อนนะคะ ถ้ายังไงอาจจะรีไรท์หรือไม่ก็เข็นต่อให้จบเร็วๆ เราอยากได้รับคำติของทุกคนนะ *_* จะได้แก้ไขเนาะ ^^
ขอบคุณคนอ่าน คนเม้น คนโหวต คนกดติดตามทุกคนนะคะ ขอบคุณมากจริงๆนะ ^^
ความคิดเห็น