ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] ShORT STORIES

    ลำดับตอนที่ #5 : [E]x (BangChan) 80%

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 58




    [E]x (BangChan)

     

    เคยต้องปั้นหน้ายิ้มแย้มทั้งที่ข้างในร้องไห้ใจแทบขาดมั้ยครับ?

    นั่นแหละผมล่ะ

     

                    ผมยืนหน้าเซ่ออยู่ในสวนสนุกท่ามกลางคนสามคน เพื่อนผม เพื่อนของเพื่อนผม และ..แฟนเก่าผม..บังยงกุก

     

                    หลังจากตอบรับคำชวนของเพื่อนสนิทที่โทรมาหาเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน ผมที่ทีแรกตื่นเต้นแทบตายก็ถึงกับผงะกับความจริงที่ว่าจุดประสงค์หลักของทริปนี้ไม่ใช่การออกมาสังสรรค์ แต่เป็นการนัดเดทกันของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ใช่แล้วครับ...แฟนเก่าของผมกับเพื่อนของเพื่อนผม...

     

                    เพื่อนของผมที่ชื่อเฮนาเล่าว่าเธอเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่เด็กๆของบังยงกุก และเมื่อสองสัปดาห์ก่อนก็ได้พบกันโดยบังเอิญ บังยงกุกดูมีสภาพแย่มากและบอกกับเธอว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟน..เชื่อเถอะครับว่าตอนนั้นผมมีสภาพแย่กว่าเขาเป็นร้อยเท่า..เธอที่รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนก็เลยแผลงศรรักอาสาเป็นกามเทพหาคนมาดามใจให้เขา และคนๆนั้นก็คือเพื่อนใหม่ของเธอเอง..ชเวมินยอง

     

                    ผมรู้ว่าเธอไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับบังยงกุก แต่พอได้ฟังแบบนั้นก็อดรู้สึกน้อยใจอย่างไร้เหตุผลไม่ได้ เพื่อนของเฮนาเป็นคนสวย แถมยังดูอ่อนหวานเรียบร้อย พอได้ยืนข้างคนที่รูปร่างดีแบบเขาแล้วจึงเหมาะสมกันจนผมเจ็บในอก

     

                    “สวัสดีครับ”

     

                     “..สวัสดีครับ”

     

                    ผมก้มศีรษะตอบรับเมื่อเขาเปล่งเสียงทักทายหลังจากเราสบตากันอยู่ชั่วขณะ ก็คิดไว้ตั้งแต่ทีแรกว่าเราคงไม่แสดงท่าทีว่าเคยรู้จักกัน แต่พอเห็นเขาเริ่มก่อนแบบนี้แล้วผมรู้สึกแย่เป็นบ้า น้ำเสียงยามเอ่ยปากของเขามันมั่นคงเสียจนผมขอบตารื้น

     

                    “นี่เพื่อนฉันที่บอกนายไว้ ชื่อฮิมชาน” เฮนาส่งเสียงเจื้อยแจ้วก่อนจะหันมาหาผม “แล้วก็นั่นบังยงกุกเพื่อนตอนเด็กๆกับมินยองว่าที่แฟนสาว ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

                    “เฮนา!” ชเวมินยองฟาดมือเล็กๆเข้าที่หัวไหล่เพื่อนสาวอย่างเขินอาย แต่ผมที่จดจ่ออยู่เพียงเขาไม่ได้ใส่ใจ บังยงกุกทำเพียงแค่อมยิ้มเล็กๆยามถูกแซว แต่แค่นั้นก็รู้แล้วว่าเขาเองก็ชอบใจ “อย่าไปฟังเฮนานะ เราชื่อมินยอง ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”

     

                    “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

     

                    .

                    .

     

                    “ทำไมเธอไม่ปล่อยให้เพื่อนเธอสองคนมาเดทกันเองล่ะ” ผมออกปากถามเฮนาตอนที่เราแยกกับสองคนนั้นเพื่อให้เขาได้ทำความรู้จักกันโดยลำพัง เพื่อนสาวของผมกระโดดโลดเต้นเป็นเด็กๆด้วยความร่าเริงผิดกับผมที่ความสนุกมันหายวับไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบนาทีก่อน

     

                    “ฉันก็อยากมาเที่ยวกับนายนี่นา” เธอกัดสายไหมในมือคำโต “อีกอย่างลูกแหง่อย่างยัยมินยองไม่กล้าออกมาเที่ยวกับผู้ชายสองต่อสองหรอก”

     

                    “เหรอ” ผมก้มลงมองสายไหมในมือตัวเองที่ไม่พร่องลงไปเลยบ้าง “แล้วเธอว่า..เขาจะชอบกันหรือเปล่า?”

     

                    “เห?”

     

                    “ก็...แค่อยากรู้น่ะ แบบว่าเรื่องแบบนี้มันน่าสนใจจะตายไม่ใช่เหรอ” ผมรีบหัวเราะกลบเกลื่อน

     

                    “ขี้เม้าท์เป็นสาวๆเชียวนะยะ ฮ่าฮ่าฮ่า เชื่อมือเฮนาเถอะ รับรองว่าจบทริปนี้ฉันได้มีเพื่อนเขยแน่นอน เอ๊ะหรือว่าเพื่อนสะใภ้นะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

                    “...”

     

                    “แต่เรื่องสองคนนั้นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้ฉันอยากเล่นเครื่องเล่นใจจะขาดแล้ว ไปกันเร็ว!

     

                    .

                    .

     

                    หลังจากตามใจให้เพื่อนสาวลากไปนู่นมานี่ได้สักพัก ผมก็ต้องมานั่งแบ่บลมจะจับอยู่บริเวณม้าหินข้างๆลานน้ำพุ เฮนากุลีกุจอหาน้ำเย็นๆมาให้ผมดื่มแก้อาการคลื่นไส้ ปรนนิบัติพัดวีราวกับผมเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายจนต้องยกมือขึ้นห้ามยิ้มๆแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไร

     

                    “อ้าวยงกุก ทางนี้!” เธอโบกมือและตะโกนเรียกเขาเมื่อโปะผ้าเย็นเข้าเต็มๆหน้าผม ผมเผลอตัวแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้ก่อนจะค่อยๆดึงผ้าที่ปิดหน้าออกให้มองเห็นได้เต็มตา

     

                    พวกเขาจับมือกัน

     

                    ผมเผลอจ้องมองมือที่กุมกันไว้ตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด บังยงกุกค่อยๆปล่อยมือหญิงสาวด้วยความระมัดระวังแล้วจ้องมาทางผม สีหน้าของเขาเรียบเฉยมากๆจนผมต้องเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีเอง

     

                    “เป็นไงจ๊ะ สนุกมั้ย” เฮนาเข้าไปกระแซะแซวเพื่อนของเธอด้วยความสนุกสนาน ชเวมินยองแกล้งบุ้ยหน้า พยักเพยิดมาทางยงกุกที่ยังคงยิ้มบางๆเช่นเคย

     

                    “ก็สนุกนะ แต่ยงกุกน่ะสิ ชวนเล่นอะไรก็ไม่ยอมเล่น บอกว่าขอบายท่าเดียวเลย”

     

                    “ผมไม่ชินน่ะ ปกติมาสวนสนุกแล้วไม่ค่อยได้เล่นอะไรเท่าไหร่” เสียงทุ้มที่เอ่ยตอบกลั้วหัวเราะ

     

                    “อะไรของนาย มาสวนสนุกแต่ไม่เล่นเครื่องเล่นเนี่ยนะ ประหลาด” เฮนาชกไหล่กว้างนั่นเบาๆแล้วลงมานั่งข้างๆผมแทน นั่นทำให้เขาต้องหันตามมาพูดด้วยตรงหน้า ผมเห็นสายตาเขาเหลือบมองผมแว่บนึงก่อนจะเอ่ยต่อ

     

                    “ก็...”

     

                    .

                    .

     

                    “ไม่เอานะ ฉันไม่เล่น อยากเล่นก็เล่นไปคนเดียวเลยไอ้บ้าบังยงกุก”

     

                    “ได้ไง มาด้วยกันก็ต้องขึ้นด้วยกันดิ อย่าป๊อดไปหน่อยเลยน่าฮิมชาน ตุ๊ดว่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

     

                    “เออยอมตุ๊ด ถ้าฉันขึ้นไอ้นี่มีหวังลงมาอ้วกหมดไส้หมดพุงแน่ๆ นายขึ้นไปคนเดียวเลย”

     

                    “ไม่ต้องกลัวน่า มีฉันอยู่ทั้งคน ฉันไม่ปล่อยให้นายเป็นอะไรไปง่ายๆหรอก มาเร็ว เอามือมา”

     

                    “...รอบเดียวพอนะ”

     

                    .

                    .

     

                    “ก็อะไรของนาย” เสียงเรียกของเฮนาฉุดสติบังยงกุกที่ดูเหมือนจะหลุดลอยไปชั่วขณะ เขาหันมายิ้มบางๆให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ

     

                    “เปล่าหรอก พอดีคนที่เคยมาด้วยกันเขาไม่ค่อยชอบเล่นอะไรพวกนี้น่ะ ฉันที่ไม่ค่อยได้เล่นไปด้วยเลยไม่ชิน กลัวขึ้นไปแล้วลงมาอ้วกหมดไส้หมดพุง

     

                    ผมสาบานเลยว่าตอนพูดเขาจ้องหน้าผมเต็มๆ

     

                    ความรู้สึกที่เหมือนจะตีตื้นขึ้นมาทำให้ผมรีบหลบสายตา ผมจำได้ว่าเคยพูดประโยคนั้นกับเขา ไม่รู้ว่าตอนที่เขาพูดเขาจะจำมันได้หรือเปล่า แล้วคนที่เคยมาด้วยกันนั่น..หมายถึงผมใช่มั้ย

     

                    พวกเรายืนคุยกันตรงนั้นอยู่อีกพักใหญ่ๆหลังจากชเวมินยองยื่นคำขาดว่าต้องรอให้ผมรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ก่อน เธอหยิบยาดมจากกระเป๋าสะพายข้างส่งให้ผม หยิบพัดของเฮนาที่วางอยู่แถวนั้นมาพัดให้โดยที่ผมไม่สามารถปฏิเสธได้เลยสักอย่าง เธอดีเกินไปจนผมละอายใจตัวเอง ละอายใจที่เผลอคิดไม่ดีที่เธอมายุ่งกับยงกุก ผมเลิกกับเขาแล้ว มีสิทธิ์อะไรไปห้ามไม่ให้เขามีรักครั้งใหม่กัน

     

                    จวบจนเวลาล่วงเลยไปยันเที่ยงกว่า พวกเราทั้งสี่คนจึงพากันหอบข้าวของเดินหาร้านอาหารเพื่อฝากท้อง เฮนาพาเดินลัดเลาะอย่างเชี่ยวชาญไปตามซอยข้างตึกจนพบร้านอาหารธรรมดาๆที่ซ่อนตัวอยู่หลังแมกไม้ ต่างคนต่างเลือกที่นั่งกันเสร็จสรรพก่อนจะหยิบเมนูอาหารขึ้นมาดู

     

                    แต่ว่า..ทำไม..ที่นั่งของผมถึงต้องอยู่ข้างๆเขา

     

                    เฮนากับมินยองนั่งข้างกันในอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ทั้งคู่กำลังชี้ชวนกันดูรายการอาหารพลางหัวเราะคิกคัก ในขณะที่ผมยืนลังเลอยู่หลังเก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ว่างเปล่า

     

                    “อ้าวฮิมชาน ทำไมไม่นั่งล่ะ?” เป็นมินยองที่สังเกตเห็นความผิดปกติของผมได้ก่อน หลังจากนั้นบุคคลที่เหลือบนโต๊ะจึงหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว แน่นอนว่ารวมถึงเขาด้วย ผมเผลอสบตากับเขาไปชั่วขณะก่อนจะต้องรีบเบือนหน้าหนีแล้วละล่ำละลักบอกกับเธอแทน

     

                    “ผมอยากเข้าห้องน้ำน่ะ เดี๋ยวมานะ”

     

                    .

                    .

     

                    ผมยืนเอามือค้ำกับเคาท์เตอร์อ่างล้างมือแล้วก้มหน้านิ่งๆ หยดน้ำที่เกิดจากการวักน้ำใส่หน้าแรงๆไหลลู่เป็นทาง ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกยังไง อยากอยู่ใกล้แต่ก็ประหม่าเมื่อเห็นหน้าเขา ยิ่งท่าทีที่เหมือนกับมีความสุขของเขายิ่งทำให้ผมอยากไปให้ไกลๆ ไม่อยากเห็น ไม่อยากรับรู้ว่ารอยยิ้มของเขาไม่ได้เกิดขึ้นเพราะผมอีกแล้ว

     

                    ไม่ไหว

     

                    ผมกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ลืมไปได้ยังไงว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน..

     

                    เสียงฝีเท้าของคนที่เดินเข้ามาใหม่ทำให้ผมรู้สึกตัว ผมขยับตัวเองไปชิดผนังเพื่อหลีกทางให้ใครคนนั้น เสียงเปิดก๊อกน้ำดังขึ้นในเวลาต่อมา ผมรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาซับน้ำเพื่อที่จะได้ออกไปหาคนข้างนอกสักที แต่..

     

                    “ผ้านั่น..” ผมตัวแข็งทื่อขึ้นมาดื้อๆเมื่อเสียงของคนที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นเสียงที่ผมจำได้ขึ้นใจ “..ของฉัน”

     

                    บังยงกุกที่กำลังก้มหน้าล้างมือไม่ได้หันมามองผม เขาเพียงแค่เอ่ยคำพูดสั้นๆด้วยโทนเสียงเรียบเรื่อยเช่นเคย ผมลดมือที่ถือผ้าลงก่อนจะจ้องมองมันด้วยความรู้สึกหลากหลาย แปลกใจไม่น้อยเลยที่เขาจำมันได้ว่าผ้าผืนนี้ผมเป็นคนซื้อให้เขา

     

                    “โทษที ตอนหยิบมาไม่ได้ดู” ผมพยายามควบคุมความรู้สึกก่อนจะตอบเขากลับเรียบๆ “ไว้เดี๋ยวฉันซักมาคืนให้”

     

                    “เราจะได้เจอกันอีกงั้นเหรอ”

     

                    ทำไม

     

                    ทำไมต้องทำเสียงเหมือนกับตัดพ้อแบบนั้นด้วย

     

                    ในเมื่อเป็นเขาไม่ใช่เหรอที่...

     

                    “ไม่รู้สิ...”

     

                    .

                    .

     

                    ผมรู้สึกอึดอัดแทบบ้าเมื่อต้องคอยหัวเราะสนุกสนานไปกับการแกล้งแหย่ให้เพื่อนเขินเล่นของเฮนาตอนเราทั้งหมดเริ่มรับประทานอาหาร เธอพยายามจับคู่บังยงกุกกับชเวมินยองอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นพูดแซว บังคับให้ตักอาหารให้ หรือกระทั่งให้ทั้งคู่ป้อนอาหารกันและกัน

     

                    ผมเผลอกำมือแน่นตอนที่บังยงกุกอ้าปากรับอาหารที่มินยองคีบส่งให้แล้วยิ้มบางๆเหมือนชอบใจ ความรู้สึกอยากอาหารที่มีน้อยอยู่แล้วหมดลงจนต้องวางตะเกียบแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่มแทน  ผมอยากลุกออกไปจากโต๊ะใจแทบขาดแต่ก็ทำไม่ได้ ผมไม่อยากเสียมารยาทกับคนที่เพิ่งรู้จักกัน ถึงแม้ความเป็นจริงมันจะไม่ใช่กับบังยงกุกก็ตาม

     

                    ผมยังคงแสร้งยกยิ้มกับมุกแกล้งเพื่อนฝืดๆของเพื่อนสาว และก็คงจะยังทำต่อไปถ้าหากมือที่วางอยู่บนตักไม่ถูกคนข้างๆกอบกุมเข้าเสียก่อน ผมตกใจจนเผลอแสดงอาการจนเฮนาสงสัย พอรีบปรับสีหน้ากลบเกลื่อนได้ก็พยายามจะแกะมือออกทันที แต่บังยงกุกกลับดื้อดึง ลากมือผมลงจากตักแล้วเปลี่ยนให้ไปวางบนหน้าขาตัวเองแทน

     

                    ผมไม่เข้าใจ

     

                    พอหันไปมองเขาตรงๆก็เห็นเพียงแค่ใบหน้าด้านข้างที่ยังคงเคลือบรอยยิ้มบางๆราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมแอบกระตุกมือแรงๆตอนที่เฮนาและมินยองหันไปคุยกัน คราวนี้เขาถึงกับแทรกปลายนิ้วเข้ามาประสานกับมือผมจนสะบัดไม่หลุด

     

                    และหลังจากนั้นจนกระทั่งมื้ออาหารจบลง เขาก็แอบกุมมือผมไม่ปล่อย

     

                    ให้ตายสิ

     

                    ผมว่าเราคงต้องคุยกันสักหน่อยแล้ว

     

                    “ทำบ้าอะไรของนาย” ผมทำเนียนเดินขึ้นไปตีคู่ข้างๆเขาแล้วกระซิบรอดไรฟัน ตอนนี้พวกเราทั้งหมดกำลังเดินเล่นด้วยกันเนื่องจากผู้หญิงทั้งสองเกิดอยากจะช้อปปิ้งในสวนสนุก เฮนาและมินยองกำลังหัวเราะกับหมวกรูปร่างแปลกตาทั้งหลายในร้านขายของที่ระลึกจนไม่ได้หันมามองที่เราสองคน และผมถือว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี

     

                    “หืม?”

     

                    “เมื่อกี้..” ผมแอบถลึงตาใส่ใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของเขา “..ในร้านนั่น”

     

                    “ก็จับมือไง”

     

                    “ทำไม?”

     

                    “อยากทำ”

     

                    ผมนิ่งไปทันทีเมื่อเขาพูดจบ พอเงยหน้าขึ้นสบตาเขาก็เห็นว่าอีกฝ่ายมองมาก่อนแล้ว นัยย์ตาคู่นั้นจ้องมาที่ผมนิ่งราวกับพยายามสื่อความนัยบางอย่างที่ไม่ได้พูดออกมา มันดูโหยหาและเหมือนจะมีความหมายลึกๆซ่อนอยู่ ผมควรจะดีใจแต่ตอนนี้กลับรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

                    เขาจะมาบอกว่าอยากจับมือผมทำไมกัน ในเมื่อเป็นเขาเองไม่ใช่หรือไงที่เป็นฝ่ายปล่อยมือผมก่อน

     

                    “นายมัน..” ผมรู้สึกหมดคำที่จะพูดแถมน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก็เอ่อขึ้นมาจวนจะไหลอยู่รอมร่อ การหันหลังเพื่อเดินหนีไปจากตรงนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ผมคิดว่าดีที่สุด

     

                    “ฮิมชาน!

     

                    ผมได้ยินเสียงเขาตะโกนไล่หลังพ่วงด้วยเสียงฝีเท้าที่ฟังเหมือนเขาพยายามวิ่งตามมา

     

                    ให้ตายสิ

     

                    การกระทำของเขาจะทำให้ผมเป็นบ้าตายอยู่แล้ว

     

                    เขาบอกเลิกผม หายหัวไปเป็นอาทิตย์ก่อนจะกลับมาให้เจอพร้อมกับคู่เดทคนใหม่ แสดงทีท่าเหมือนคนไม่รู้จักกันในทีแรกแต่กลับกุมมือผมเสียนานสองนานในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ไหนจะคำพูดคำจาแต่ละอย่างที่ฟังดูเหมือนยังมีเยื่อใยนั่นอีก

     

                    ผมควรจะรู้สึกยังไงกัน

     

                    “ฮิมชานเดี๋ยวก่อน” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ข้างหลังผมไม่ไกลจนทำให้ผมต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายผมก็หนีเขาไม่พ้นอยู่ดี

     

                    ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน อาจจะเป็นมุมเดินเล่นมุมนึงของที่นี่ เพราะมันมีทั้งดอกไม้ น้ำพุ ซุ้มเหล็กดัดโค้งๆ แล้วก็ผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของผมมากที่สุด..บังยงกุก

     

                    “เดินเร็วเหมือนกันนะ”

     

                    “...”

     

                    “ฉัน..” เขาขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากใบหน้าผมแม้สักนิด “..คิดถึงนา..”

     

                    ผลั๊วะ!

     

                    “โอ้ย!

     

                    “คิดว่ามีปากแล้วจะพูดอะไรก็ได้หรือไง” ผมทิ้งกำปั้นที่เพิ่งจะกระแทกเข้าปลายคางอีกฝ่ายลงข้างตัว ตวัดสายตามองคนที่ยืนกุมแก้มร้องโอดโอยราวกับเจ็บเสียเต็มประดา ขอโทษเถอะ ที่ชกไปเมื่อกี้น่ะเท่ามดกัด คิดว่าผมจะกล้าทำเขาเจ็บตัวแรงๆหรือไงกัน

     

                    “ฮิมชาน” เขาเรียกผมเสียอ่อย

     

                    “นายกลับไปหาคู่เดทนายได้แล้วไป เลิกพล่ามอะไรไร้สาระสักที”

     

                    “ฉันไม่ไป” เขาตรงเข้ามาคว้ามือผมแล้วกระชากทั้งร่างเข้าหาตัว “เรื่องนั้น..ฉันขอโทษ”

     

                    “เรื่องบ้าอะไร”

     

                    “ที่บอกเลิกนาย”

     

                    มาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ความทรงจำในวันนั้นยังคงติดตรึงและสร้างรอยแผลให้ผมไม่คลาย

     

                    เราทะเลาะกัน เถียงกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างทุกที และมันก็ควรจะจบลงในแบบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมลงให้เหมือนอย่างทุกทีเช่นกัน แต่วันนั้นไม่ใช่ บังยงกุกตวาดใส่ผมด้วยประโยคที่เจ็บแสนเจ็บ เจ็บจนพูดไม่ออกกระทั่งเขาเดินหนีไป

     

                    “งี่เง่าอย่างนี้ก็เลิกกันเหอะ” 


                    แค่คิดถึงน้ำเสียงของเขาในวันนั้นผมก็แทบอยากจะร้องไห้แล้ว

     

                    “ช่างมันเถอะ..” ผมพรูลมหายใจ หมดเรี่ยวแรงกระทั่งจะยื้อร่างออกจากอ้อมแขนของเขา “..ฉันลืมไปแล้ว”

     

                    “เหรอ..” เขาเสียงอ่อน “..แต่ฉันจำได้แม่นเลย แล้วก็เจ็บกับมันมาตลอดเลยด้วย”

     

                    “...”

     

                    “ฉันผิดเองฮิมชาน ผิดที่พูดแบบนั้นกับนาย ผิดที่หันหลังให้นาย ผิดที่ไม่ยอมกลับไปหานายให้เร็วกว่านี้ ฉันขอโทษนะ”

     

                    “...”

     

                    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าหลังจากนั้นนายจะหายไปเลย ฉัน...”

     

                    “นายต่างหากที่หายไป” ผมรีบสวนกลับทันทีที่เขาพูดถึงตรงนี้ ปวดหนึบในใจจนอยากให้ทุกอย่างมันจบลงเสียที “ฉันอยู่ที่เดิมบังยงกุก อยู่ที่เดิมมาตลอด นายต่างหาก..”

     

                    เขาเปลี่ยนจากจับต้นแขนเป็นรั้งร่างผมเข้าสู่อ้อมกอด

     

                    เขายังคงใช้น้ำหอมกลิ่นเดิม ความอบอุ่นจากอ้อมแขนของเขาก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแค่ผมหลับตา ความรู้สึกเก่าๆก็เข้ามาแทนที่จนผมเผลอยกยิ้มอย่างมีความสุข ยกยิ้มทั้งๆที่ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลอาบแก้มนั่นแหละ

     

                    ผมเจ็บ..แต่ก็โกหกตัวเองไม่ได้เลยว่าคิดถึงเขาใจแทบขาด

     

                    “ฉันขอโทษชาน ฉันผิดเอง ฉันขอโทษ” บังยงกุกเอาแต่พูดคำนี้ตลอดเวลาที่กอดผม เขาส่งมือเรียวมาลูบหัวลูบหลังอย่างปลอบโยน งึมงำเสียงทุ้มข้างๆหูจนลมหายใจร้อนๆกระทบต้นคอ

     

                    ผมย่นไหล่ พยายามดันตัวเองออกจากอ้อมแขนของเขาแต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือเลยสักนิด ไม่เพียงแต่เขาจะรั้งผมเอาไว้เท่านั้น มือเรียวที่เคยลูบหัวลูบไหล่กลับยกขึ้นกดศีรษะผมให้ใบหน้าจมลงไปกับต้นคอ และไม่รู้ว่าตรงนี้เป็นจุดที่เขาป้ายน้ำหอมหรือเปล่ากลิ่นมันถึงได้ติดตรึงจนผมเผลอโอนอ่อนทำตัวนิ่งๆให้เขาโอบกอด

     

                    ให้ตายเถอะ

     

                    “ขอโทษนะชาน ขอโ...”

     

                    “พอแล้ว” ผมพูดเสียงอู้อี้ “ปล่อยฉันได้แล้ว”

     

                    “อีกนิดนะ”

     

                    “ยงกุก”

     

                    “ถ้าฉันปล่อยนายจะหายโกรธมั้ย?”

     

                    “มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาต่อรองกันได้นะ นายคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องเล็กๆหรือไง” ผมเริ่มเสียงเขียว และเหมือนว่าอีกฝ่ายจะจับน้ำเสียงได้ บังยงกุกเลยรีบปล่อยผมออกจากอ้อมกอดแต่ก็ยังคงเว้นระยะไม่ไกลจากกันเหมือนเดิม             

     

                    “มันไม่ใช่อย่างนั้นนะชาน..” เขาเปลี่ยนเป็นกุมมือผมหลวมๆแล้วว่าเสียงอ่อย “..ฉันขอโท..”

     

                    “เลิกพูดขอโทษสักที! เอาแต่ขอโทษๆๆอยู่ได้ ถ้านายจะมาแค่เพื่อขอโทษงั้นฉันก็ให้อภัยแล้วกัน! ทีนี้ก็ปล่อยมือฉันแล้วกลับไปหาคู่เดทนายได้แล้ว!

     

                    “ไม่ใช่นะชาน..”

     

                    “ไม่ใช่อะไร!?”

     

                    “ฉันไม่ได้แค่อยากจะมาขอโทษนาย..”

     

                    “...”

     

                    “ฉันแค่อยากจะรักกับนายเหมือนเดิม และฉันก็กำลังขอร้องให้นายกลับมารักฉันอีกครั้งด้วย”

     

                    “...”

     

                    “นะชาน..”

     

                    “ฉัน..”

     

                    “มีอะไรกันหรือเปล่าคะ?”เฮนากับมินยองปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของบังยงกุก ผมรีบสะบัดมือออกจากการเกาะกุมแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เลอะอยู่ข้างแก้มลวกๆก่อนจะหลบฉากออกไปยืนอยู่ข้างๆเพื่อนสาว

     

                    “ฉันกับมินยองเห็นนายสองคนหายไปก็เลยเดินหา..” เฮนาหันมาพูดกับผม เธอหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนจะจับผิด “..ไม่ได้มีเรื่องกันใช่มั้ย”

     

                    “เปล่า ไม่มีอะไร” ผมว่าเสียงเรียบ หางตาเหลือบไปเห็นว่าบังยงกุกกำลังยืนคุยอยู่กับมินยอง

     

                    “แน่ใจนะ”

     

                    “อืม”

     

                    “งั้นไปกันเถอะค่ะ”มินยองพาชายหนุ่มข้างๆเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วว่าเสียงใส ผมกับบังยงกุกสบตากัน ไม่มีใครเอ่ยอะไรจนกระทั่งสาวๆเดินนำออกไปในขณะที่ผมยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

     

                    “ฮิมชาน?”เฮนาหันกลับมาเรียกผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ผมยิ้มให้เธอ ยิ้มให้มินยอง จนสุดท้ายก็หันไปยิ้มให้ยงกุกแล้วจ้องหน้าเขาอยู่แบบนั้น

     

                    “ฉันว่าฉันไม่ไปดีกว่า พวกเธอไปเถอะ ฉันอยู่ตรงนี้น่ะดีแล้ว”

     

                    “ชาน..”

                                                   

                    “อยู่ๆก็รู้สึกแย่น่ะ อยากกลับไปนอน ถ้ายังไงก็ขอโทษแล้วกันนะ”

     

                    80% (จริงหรือเปล่าไม่รู้ค่ะ) 



                 ให้ตายเถ๊อะ! ลืมไปเลยว่าเรื่องนี้ยังไม่จบ T^T

      แต่งไว้ถึงตรงนี้แล้วก็จบไม่ลงค่ะ 555 งั้นเดี๋ยวให้น้องชานอยู่ๆก็หายโกรธเลยละกันแบบ “..เออเห้ยบัง ขี้เกียจงอนละ กลับบ้านกันเหอะ” อะไรแบบนี้ 555555555



    BlackForest


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×