ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] MOVE (Bangchan)

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่สาม

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 57


     

     

    บทที่ 3

     

                ฮิมชานตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่เพราะเกิดรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ เมื่อลุกขึ้นจากเบาะที่ถูกปูไว้บนพื้นก็เหลือบเห็นใครอีกคนนอนนิ่งอยู่บนเตียงภายใต้ผ้าห่มผืนหนา ปลายจมูกโด่งที่โผล่พ้นผืนผ้าออกมาทำให้เขาหน้าร้อนขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนไหลย้อนกลับมาวนเวียนในหัว

     

                .

                .

                .

               

                หลังจากที่ริมฝีปากเขาและปลายจมูกอีกฝ่ายแตะเข้าหากันได้ไม่ถึงสามวิ ร่างทั้งร่างก็ถูกยันโครมจนหลังติดพื้น จำได้ว่ายงกุกลุกขึ้นนั่งลูบแขนตัวเองไปมาก่อนจะกระโจนพรวดขึ้นเตียงคว้าเอาบรรดาหมอนผ้าห่มมากอดไว้แน่น

     

                “มะ มึง นอนข้างล่าง” เขาชี้ส่งๆลงไปที่พื้น

     

                “ดะ ได้ นายนอนข้างบน” ฮิมชานเองก็ยันตัวขึ้นนั่งแล้วคลานเข่าเข้าไปซุกตัวใต้ผ้าห่ม หันหลังให้กันและกันก่อนจะปล่อยให้ห้องเงียบอยู่ชั่วขณะ

     

                “...”

     

                “คือ...” ฝ่ายที่คิดทำลายความอึดอัดนี้ก่อนคือฮิมชาน เขาขยับตัวเอี้ยวหลังไปมองเพื่อพบว่าอีกคนนอนหันหลังให้กันนิ่ง ชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นอีกหน

     

                “คือยงกุก”

     

                “...”

     

    “เราขอโ...”

     

                “คร่อก ฟี้ Z Z Z

     

                เสียงกรนที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาฮิมชานชะงักกลางอากาศ ความคิดที่ว่าจะคุยกันให้รู้เรื่องเป็นอันต้องพับเก็บ เขาตัดสินใจตะแคงตัวนอนนิ่งและพยายามข่มตาหลับทั้งที่ในหัวยังตีกันยุ่ง ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะเป็นปกติเมื่อเช้าวันใหม่มาเยือน

     

                .

                .

                .

     

                หลังจากจัดการตัวเองในห้องน้ำเรียบร้อยฮิมชานก็ตัดสินใจเดินลงมาข้างล่างแทนที่จะนอนต่อ บังยงกุกยังคงซุกตัวนิ่งใต้ผ้าห่มผืนหนา เขาจึงช่วยกดปิดเครื่องปรับอากาศให้เมื่อเห็นว่าอีกคนท่าจะหนาวอยู่ไม่น้อย

     

                ชั้นล่างของบ้านเงียบสงบปราศจากสิ่งมีชีวิต ฮิมชานตัดสินใจเดินเข้าครัวเพื่อเตรียมมื้อเช้า เมื่อเปิดตู้เย็นคว้านั่นนี่ออกมาวางบนเคาท์เตอร์ได้จึงเริ่มลงมือ อาหารเช้าแบบฝรั่งเขาเองไม่ค่อยถนัดจึงคิดที่จะผัดข้าวผัดกับต้มซุปสักอย่างแทน เขาตั้งหม้อต้มน้ำเผื่อว่าใครจะกินกาแฟ จัดการหยิบนู่นหั่นนี่อย่างคล่องแคล่วขณะในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย

     

                ฮิมชานอาศัยอยู่กับย่าแค่สองคนมาตั้งแต่มัธยม ตอนแรกก็มีบ้านเป็นของตัวเอง แต่เมื่อเข้าตาจนแล้วอะไรที่จำเป็นต้องขายเพื่อดำรงชีวิตพวกเขาก็ต้องทำ นั่นเป็นสาเหตุที่ต้องตัดสินใจเช่าอพาทเมนต์เล็กๆอยู่ในช่วงที่เขาเองยังเรียนหนังสือ เอาความจริงแล้วชีวิตมันก็ไม่ได้ย่ำแย่ เขาและย่ามีกินทุกมื้อแม้จะไม่ได้มากมายอย่างใคร อีกทั้งความสุขยามเมื่อกลับมาเจอหน้ากันก็มากพอที่จะสั่งให้เขาอดทนตั้งใจเรียน วาดฝันไว้เสมอว่าสักวันจะทำให้อีกคนสบาย

     

                บางทีความรู้สึกที่ติดค้างอยู่ในใจคงเป็นความเสียดาย...ที่ยังไม่เคยได้ตอบแทนกัน

     

                เขาไม่แน่ใจว่ายื่นเหม่ออยู่นานแค่ไหนจนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนลั่นของใครคนหนึ่งหน้าประตูครัว พี่ยงนัมยกมือชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังหม้อต้มน้ำที่ถูกตั้งทิ้งไว้ เมื่อหันไปมองก็เห็นว่าฟองอากาศที่เกิดจากน้ำเดือดลอยสูงจนล้นขอบหม้อหยดลงสู่เปลวไฟเกิดเสียงดังฟู่ไม่หยุด

     

                เขารีบหันไปปิดเตาแก๊สก็ตอนที่ศีรษะโดนฝ่ามือใหญ่ฟาดเข้าให้เบาๆ

     

                “จะเผาบ้านแก้แค้นไอ้ยงกุกเรอะ” ชายหนุ่มที่เข้ามาใหม่ยกมือขึ้นกอดอก

     

                ฮิมชานส่ายหัวตอบแล้วก้มลงไปจัดการกับบรรดาผักบนเขียงต่อ พยายามเมินเฉยกับสายตาคมที่จ้องกันราวกับจะให้ทะลุผ่านร่าง ยงนัมถอนหายใจเฮือกใหญ่พลางยกมือขึ้นวางเบาๆบนหัวอีกคน

     

                “คิดถึงย่าหรือไง” เขาโยกหัวกลมๆนั้นเล่น

     

                “ผมอยากมีโอกาสตอบแทนท่านบ้าง...” ชายหนุ่มหยุดมือเปลี่ยนเป็นกำด้ามมีดไว้แน่น “...เจ็บใจชะมัดที่ทำอะไรไม่ได้เลย”

     

                “คิดว่าถ้ามีโอกาสทำแล้วจะยังไง...” คนพี่ตั้งคำถามหน้านิ่ง “...ความสุขมันจะเกิดขึ้นกับมึงก็จริงที่ได้ทำ แต่คิดบ้างหรือเปล่าว่าย่ามึงต้องการมันมั้ย?”

     

                “...” ฮิมชานขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองคนที่สูงกว่าข้างกายอย่างไม่เข้าใจ แต่ยงนัมกลับส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้แล้วเปลี่ยนตำแหน่งมือจากบนศีรษะมาจับไหล่คนเป็นน้องไว้ทั้งสองข้าง

     

                “ฟังนะ...” เขายกมือขึ้นเกลี่ยผมหน้าหน้าม้าสีเข้มให้ “...ความสุขจากย่ามึงคือการเห็นว่ามึงมีชีวิตที่มีความสุข เชื่อเถอะว่าท่านไม่เคยคิดว่าการเลี้ยงหลานชายเพียงคนเดียวจะเป็นบุญคุณติดค้างหรอก”

     

                “...” คนน้องก้มหน้านิ่ง

     

                “สิ่งตอบแทนที่ท่านต้องการ...” ยงนัมตัดสินใจรวบเอาร่างที่เล็กกว่าตนเข้าสู่อ้อมกอด รู้สึกถึงแรงขืนน้อยๆอย่างไม่ตั้งตัว “...คือการที่คิมฮิมชานคนนี้จะเติบโตเป็นคนดีและมีความสุขกับชีวิต แค่นั้นเอง”

     

                ฮิมชานซุกหน้าลงกับบ่ากว้าง ไม่ได้อยากทำตัวอ่อนแอเป็นสาวน้อยแรกแย้มแต่น้ำตาเจ้ากรรมดันไหลเป็นทางไม่หยุด เขาไม่ได้ฟูมฟาย แค่ปล่อยให้ความรู้สึกหนักอึ้งในใจคลายลง อย่างน้อยในตอนนี้ก็ยังมีใครอีกคนที่เป็นห่วงเขาจากใจจริง คำพูดและความอบอุ่นที่ได้รับเป็นเหมือนกุญแจที่ปลดเขาออกจากพันธนาการที่ตัวเองสร้างขึ้นในใจ ต่อไปก็เพียงแค่รอเวลาให้บาดแผลนั้นค่อยๆรักษาตัวมันเอง

     

                “ขอบคุณครับ...” เขากัดริมฝีปากที่สั่นไม่หยุด “...ขอบคุณ”

     

                ยงนัมยกยิ้ม ลูบหัวลูบหางปลอบใจคนขี้แยยกใหญ่ ไม่ได้สังเกตถึงใครอีกคนที่ยืนจ้องมองอยู่ตรงบานประตูนิ่ง

     

                “ถ้ารู้ว่าตื่นมาจะเจอภาพนี้ กูจะขอหลับยาวไปตื่นเอาอีกทีเช้าวันใหม่” ยงกุกแทรกตัวเข้ามาในครัวพร้อมด้วยถุงขนมเปล่าในมือ เขาเดินเลยไปยังถังขยะตอนที่เห็นฮิมชานรีบดีดตัวออกจากอ้อมกอดพี่ชายตัวเอง

     

                “อยากตื่นอีกทีชาติหน้ามั้ยไอ้น้องเวร”

     

                “แล้วทำไรกันล่ะ...” เขากระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาบนเคาท์เตอร์พลางสลับมองคนที่เหลือ “...ออร่าสีม่วงถึงกระจายเต็มครัว”

     

                “จะเสือก?” ยงนัมเลิกคิ้ว

     

                “เอ๊อ ก็ได้...” คนเป็นน้องได้แต่ทำท่าฮึดฮัด เปลี่ยนเป้าหมายไปเล่นงานคนที่ยืนก้มหน้านิ่งแทน “...มึงอ่ะ ทำไรวะ?”

     

                “ปะ เปล่า” ฮิมชานรีบโพล่งขึ้นทันทีที่รู้สึกถึงแรงสะกิดที่ไหล่ เขาแสร้งก้มหน้าก้มตาหยิบจับงานที่ค้างไว้มาทำต่อ แต่ไม่ได้ดูเลยว่าผักที่หยิบมาหั่นนั้นเป็นส่วนเปลือกที่ใช้การไม่ได้ บังยงกุกที่เห็นก็ทำแค่เพียงส่ายหัวไปมา

     

                “นี่เช้านี้กูต้องแดกเปลือกแครอทใช่มั้ย?”

     

                “...”

     

                “มึงอย่ากวนตีนดิ๊ยงกุก ออกไปนั่งดูการ์ตูนข้างนอกไป” ยงนัมที่เห็นบรรยากาศไม่ดีคว้าไหล่น้องชายตัวเองมาใกล้ก่อนจะออกแรงดันให้พ้นประตู แต่อีกคนกลับขืนตัวสู้

     

                “กูเลิกดูละสัด! แค่ชอบทิกเกอร์นี่ล้อกูจังนะ” เขาโวยวาย

     

                “กูล้อมึงสักคำยังครับ?”

     

                “เงียบไปเลยนัม!

     

                “หงุดหงิดอะไรแต่เช้าวะวันนี้” คนพี่ยกมือขึ้นขยี้หัวเกรียนๆของน้องชาย อีกคนก็ได้แต่ยกมือขึ้นปัดออกพัลวัน

     

                “...”

     

    “หรือเป็นเพราะตื่นมาเห็นกูกับไอ้ฮิมยืนกอดกัน?”

     

    “เออสิ!...” เขาตะคอก “...เล่นซะกูแทบอ้วก”

     

    “เหรออออออ นึกว่าหวงซะอีก” บังยงนัมเอาแต่ทำหน้าทำตาล้อเลียนน้องชายไปมา ไม่ได้สังเกตเลยว่าห้องครัวจะร้อนระอุเพราะหน้าที่เห่อแดงของฮิมชานอยู่รอมร่อ

     

    “ตลก...” ยงกุกว่าพลางเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนที่ก้มหน้าก้มตาทำอาหารอย่างขะมักเขม้น ริมฝีปากสีสดที่ขบเข้าหากันยามตั้งใจเรียกเอาภาพเมื่อคืนให้ฉายชัดขึ้นในหัว เขากระแอมหนึ่งทีเบาๆตอนที่รู้สึกว่าหน้าร้อนวาบ “...งั้น กูรอข้างนอกก็แล้วกัน”

     

     

     

     

    มื้อเช้าผ่านไปด้วยดีถ้าไม่นับรวมเอาการเถียงกันของสองพี่น้องฝาแฝดและเสียงก่นด่าถึงรสชาติซุปที่เขาทำรวมเข้าไปด้วย บังยงกุกชมว่าซุปเขารสชาติดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็นะ แค่นิดหน่อย

     

    .

    .

     

    “วันนี้ซุปมึงดีขึ้นนะ...” เขาว่าหลังจากที่ตักคำแรกเข้าปาก ฮิมชานเกือบจะยิ้มรับอยู่แล้วถ้าไม่มีประโยคถัดมา “...เหมือนเปิดเอาน้ำจากก๊อกที่ผ่านการแกว่งสารส้มแล้วมาต้มให้กิน

     

     ชายหนุ่มยู่หน้าอย่างขัดใจ บางทีก็เริ่มสงสัยฝีมือตัวเองขึ้นมาแล้วว่ามันแย่มากจริงๆหรือเปล่า

     

    “มึงก็ไปว่ามัน” ยงนัมขัดขึ้นกลางวง ตักซุปขึ้นมาชิมอีกช้อนแล้วทำหน้าครุ่นคิด “กูว่านอกจากแกว่งสารส้มแล้วอาจจะมีมือไอ้ฮิมลงไปแกว่งด้วยว่ะ เค็มเชียว ฮ่าๆๆ”

     

    เออ พอกันมันทั้งพี่ทั้งน้อง

     

    .

    .

     

    เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเสาร์ ทั้งเขา ยงกุกและพี่ยงนัมจึงไม่มีเรียน หลังจากเก็บข้าวของในครัวและล้างจานเสร็จเรียบร้อย ฮิมชานก็เดินไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่มียงกุกนอนเอกเขนกอ่านนิตยสารเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซต์อยู่ก่อนแล้ว อีกฝ่ายทำเพียงเหลือบตามองเขานิดหน่อยแล้วกลับไปสนใจของในมือต่อ

     

    พี่ยงนัมหายขึ้นไปข้างบนตั้งแต่กินข้าวเสร็จ บางทีฮิมชานก็แอบคิดในใจว่าการที่ให้เขาย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันนั้นเป็นแผนหาคนใช้ใหม่ของพี่แกหรือเปล่า เพราะดูแล้วสองพี่น้องนี้ทำงานบ้านไม่เป็นสักอย่างเดียว

     

    “นี่ยงกุก” ชายหนุ่มยื่นมือไปสะกิดอีกคนที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

     

    “ไร”

     

    “พวกนายซักผ้ากันเองหรือเปล่า? คือพอดีเรามีผ้าที่ต้...” ยังไม่ทันถามจบประโยค คนที่ตอนแรกนอนกระดิกขาก็รีบกระเด้งตัวขึ้นจากโซฟาก่อนจะวิ่งตุบตับขึ้นชั้นสอง ไม่วายโหวกเหวกเสียงดังลั่นบ้าน

     

    “ชิบหาย! ลืมส่งผ้า...” ฮิมชานได้ยินเสียงลงฝีเท้าตึงตังจากด้านบน “...ไอ้นัม! เอาผ้าที่จะซักมาโว้ย กูจะไปส่งผ้า”

     

    เกิดความวุ่นวายอยู่นานเป็นนาที ยงกุกก็กระโจนพรวดลงมายืนข้างล่างพร้อมด้วยตะกร้าใส่ชุดใช้แล้วในมือ ตามมาด้วยยงนัมที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่เรียบร้อยพร้อมจะออกไปข้างนอก

     

    “พี่จะออกไปไหนเหรอ?” ฮิมชานมุ่นหัวคิ้วหันไปหายงนัม เหลือบเห็นคนที่เหลือกำลังวุ่นวายอยู่กับการเดินหาของพลางพึมพำถึงกุญแจอะไรสักอย่าง

     

    “ไปแก้โปรเจ็คจบที่มหาลัย...” เขาตอบกลับก่อนจะหันไปคว้าเอาคอเสื้อน้องชายที่เดินพล่านไม่หยุด “...กุญแจจักรยานอยู่ที่โรงรถโว้ย”

     

    “เออ งั้นกูไปล่ะ” ยงกุกโบกมือปัดๆกลางอากาศแต่กลับถูกดึงคอเสื้อไว้อีกหน

     

    “เดี๋ยวดิ เอาไอ้ฮิมไปด้วย มันจะได้รู้ว่าร้านเขาอยู่ตรงไหน คราวหน้าจะได้ไปเองถูก” ยงนัมหันไปคว้าข้อมือของอีกคนให้ลุกขึ้นยืนแล้วรุนหลังให้ขึ้นข้างบน “ไปเอาผ้าที่จะซักลงมาไป”

     

    สั่งกับฮิมชานเสร็จก็หันมาพบน้องชายตัวเองยืนขมวดคิ้วใส่

     

    “จักรยานกูไม่มีที่ซ้อน”

     

    “มันยืนซ้อนได้ไม่ใช่เหรอวะ เออน่าพามันไปหน่อย จะได้ให้ช่วยถือตะกร้า”

     

    สองพี่น้องยืนเถียงกันอยู่อีกสักพักฮิมชานก็เดินกลับลงมาด้วยเสื้อผ้าไม่กี่ตัวในมือ เขาเดินไปหย่อนมันลงตะกร้ารวมกับของทั้งคู่และฉวยเอามาถือไว้ซะเอง “เราช่วย”

     

    “งั้นก็รีบไปกันได้แล้ว” ยงนัมออกแรงดันคนทั้งคู่ให้ออกมายังหน้าบ้าน ยงกุกรีบกุลีกุจอวิ่งไปคว้าเอากุญแจปลดโซ่ล็อคล้อจักรยานมาไขก่อนจะกระโดดขึ้นคร่อมด้วยความว่องไว ผิดกับฮิมชานที่ยังยืนนิ่งจ้องหน้าฝาแฝดสลับไปมา

     

    “ผมจะซ้อนยังไง” เขาหันไปถามยงนัม

     

    “แบ๊วเหี้ยๆ มึงก็ยืนตรงที่เหยียบนี่ไงล่ะวะ มาเร็วๆเลย กูรีบเฮ้ย” แต่เสียงที่ตอบกลับมาดันเป็นเสียงยงกุกพร้อมด้วยคำพูดที่ทำเอาฮิมชานขมวดคิ้ว

     

    “ก็มันไม่มีเบาะแล้วจะนั่งยังไงล่ะ” เขาเริ่มเสียงดังเพราะความโมโห

     

    “ก็ไม่ได้ให้นั่ง กูบอกให้ยืน ทำไมมึงเข้าใจยากจังวะ” ยงกุกเองก็เสียงดังไม่แพ้กัน

     

    “บอกดีๆไม่ได้เหรอ”

     

    “แล้วกูบอกไม่ดีตรงไหน”

     

    “ตรงแบ๊วเหี้ยๆไง!

     

    “เอ้า งั้นแบ๊วสัดๆ...!” ชายหนุ่มยักไหล่กวนประสาท “...พอใจยัง”

     

    “นายนี่มัน!

     

    ยงนัมทำได้เพียงมองสองคนตรงหน้าเถียงกันไปมาพลางถอนหายใจยาว เริ่มอยากคิดใหม่เสียแล้วที่จะให้สองคนนี้ร่วมทางไปด้วยกัน บางทีมันทั้งคู่อาจฟาดกันตายตั้งแต่ยังไม่พ้นโค้งแรก

     

    ฮิมชานพยายามนับหนึ่งถึงสิบก่อนจะเดินหอบตะกร้าเข้าใกล้จักรยาน เขามองตรงจุดซ้อนอย่างชั่งใจก่อนจะค่อยๆก้าวขึ้นไปยืน และทันทีที่สองขาพ้นจากพื้น ร่างทั้งร่างก็ร่วงพรืดลงกอง

     

    “เราซ้อนไม่ได้...!” เขาเริ่มเสียงดังเพราะความหงุดหงิดที่เพิ่มขึ้น “...มันไม่มีที่จับ”

     

    “อ่อน”

     

    ทันทีที่คำดูถูกหลุดออกจากปากยงกุก ฮิมชานก็ลุกขึ้นปัดแข้งปัดขาก่อนกระโจนทั้งร่างพร้อมตะกร้าผ้าใส่ที่ซ้อนอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาตั้งใจวางของในมือที่หนักไม่น้อยลงบนหัวคนที่ลอยหน้าลอยตากวนประสาทกันดังปั้ก มือข้างหนึ่งช่วยประคองไม่ให้มันหล่นส่วนอีกข้างก็วางปุลงบนไหล่แข็ง

     

    “อย่างนี้ค่อยซ้อนได้หน่อย” ชายหนุ่มส่งยิ้มร่าเริง ผิดกับอีกคนที่กัดฟันกรอดสองมือกำแฮนด์จักรยานแน่น “ไปเลย เราพร้อมออกเดินทางแล้ว”

     

    “ไอ้ฮิมชานนนนนนนนนนน!!!

     

    .

    .

     

    เมื่อจัดการท่าทางในการซ้อนเรียบร้อยแถมด้วยโดนฟาดกบาลหนักๆจากยงกุกมาหนึ่งทีแล้ว ฮิมชานก็อยู่ในท่าที่มือข้างหนึ่งกระชับตะกร้าผ้าเข้าเอวส่วนอีกข้างเกาะบ่ากว้างไว้แน่นกันตก เขาโบกมือลายงนัมตอนที่สองขาของคนด้านหน้าเริ่มออกแรงปั่น เดินทางมาด้วยกันได้ไม่ถึงนาทีก็มีอันต้องปะทะคารมกันอีกจนได้

     

    “วันนี้อากาศดีเนอะ” คนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังส่งเสียงเริงร่าพลางแหงนเงยรับเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด เขาหันมองสองข้างทางที่ยังคงความเป็นธรรมชาติเพราะเป็นดงต้นไม้เตี้ยสลับกับลานดินกว้างอย่างมีความสุข

     

    เมื่อรถแล่นผ่านสวนสารธารณะเล็กๆ ฮิมชานก็รู้สึกตื่นเต้นจนฟาดมือลงกับบ่ากว้างแรงๆหลายทีอย่างไม่รู้ตัว

     

    “ยงกุกๆๆ นี่สวนอะไรอ่ะ แวะก่อนได้มั้ย”

     

    “นี่มึงคิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยร่างเล็กกำลังออกเดทแรกกับแฟนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาจนสาวๆเหลียวหลังป่ะวะ” เขาตอบกลับมายาวยืดเจือไปด้วยเสียงหอบในลำคอ

     

    “หือ?”

     

    “ไอ้สัดกูหนัก! เลิกชี้ชวนชมนกชมไม้เหอะ...” ยงกุกตะคอก จักรยานเซวูบเมื่อเขาเอี้ยวตัวมาด่า “...แล้วก็เผื่อจะลืม นี่กูมาส่งผ้านะครับส่งผ้า ไม่ได้มาปิกนิก มึงจะให้กูแวะสวนสาธารณะส่งผ้าให้ไอ้ดุกในคลองเอาไปซักให้หรือไง”

     

    “ขี้บ่นจัง”

     

    “ไอ้…!

     

    “ปั่นเร็วๆสิยงกุก ร้านอยู่อีกไกลมั้ยเนี่ย”

     

    “...”

     

    “เราเริ่มร้อนแล้วนะ นายมีแรงแค่นี้หรือไง”

     

    “...”

     

    “เราว่านายคง...”

     

    “หยุด! เลิกบ่นได้แล้ว น้ำลายกระจายเต็มหัวกูแล้วเนี่ย” เขาเสียงดัง ทุบมือลงแฮนด์จักรยานปั้กๆอย่างทำอะไรไม่ได้

     

    “จริงเหรอ...” ฮิมชานยกยิ้มดัดเสียงอ่อนเสียงหวาน ก้มตัวลงต่ำเข้าใกล้หูอีกคนที่ดูเหมือนจะตกใจจนทำเอาจักรยานเสียศูนย์ “...เราไม่รู้เลยนะว่า เชาชูดชากชนช้ำชายชะชายเช็มฉัวชายเชย ฮ่าๆๆๆ (เราพูดมากจนน้ำลายกระจายเต็มหัวนายเลย)”

     

    ทันทีที่สิ้นคำยงกุกก็หักจักรยานวูบเข้าข้างทาง ค่อยๆเอี้ยวใบหน้าถมึงทึงมามองอีกคนที่กระโดดลงจากรถถอยหลังหนีไปไกล

     

    “มึง...” เขายกมือขึ้นปาดเอาฝอยน้ำลายที่กระจายเต็มข้างแก้มด้วยฝีมือฮิมชานออกช้าๆ ดวงตาคมจดจ้องอีกคนที่ยืนหน้าเสียแต่ริมฝีปากเจือรอยยิ้มด้วยความอาฆาต และทันทีที่ยกนิ้วขึ้นชี้หน้า ฮิมชานก็หันหลังกลับติดสปีดวิ่งหนีไปพร้อมเสียงหัวเราะและตะกร้าผ้าในมือ “...ตายยยยยยยยยยยยยยยยย!!!

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    กว่าที่คนทั้งคู่จะวิ่งไล่จับและเอาตะกร้าเสื้อผ้าไปส่งได้ถึงร้านก็ปาไปถึงช่วงสายของวัน ยงกุกจูงจักรยานเดินเคียงคู่มากับฮิมชานที่ถือตะกร้าเปล่าช้าๆ โดยให้เหตุผลว่าถ้าเขาทั้งคู่ปั่นกลับด้วยกันอีกคงมีการนองเลือดกลางทาง

     

    “ขอแวะสวนสาธารณะนั้นได้มั้ย?” จู่ๆฮิมชานก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ อีกคนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะพบว่าถูกจ้องอยู่ก่อนแล้วด้วยดวงตากลมใสสีดำขลับที่มีแววขอร้องเจือปน

     

    “ตะ ตามใจ” แปลกใจตัวเองไม่น้อยเลยที่ติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยงกุกเสหน้าหลบวูบเมื่อคิดว่าการจ้องตาอีกคนอาจไม่ใช่เรื่องดี

     

    “ขอบใจนะ”

     

    เหนือเนินหญ้าริมบึงเล็กๆคือที่ที่ฮิมชานเลือกจะนั่ง ยงกุกพิงจักรยานไว้กับต้นไม้ใกล้ๆก่อนจะทรุดตัวลงข้างๆคนที่ขัดสมาธิอยู่ก่อนแล้ว เขาใช้มือดึงกอหญ้าตรงหน้าเล่นอย่างไม่รู้จะทำอะไรเมื่อบรรยากาศรอบตัวเงียบสนิท

     

    “วันนี้อากาศดีเนอะ” ฝ่ายทำลายความเงียบอย่างฮิมชานคว้าเอาก้อนหินข้างตัวมาปาลงน้ำจนเกิดเสียงดังจ๋อม ชายหนุ่มแหงนหน้าสูดเอาอากาศดีๆเข้าปอดท่ามกลางสายตาไม่เข้าใจของคนข้างกาย

     

    “ทำไมมึงชอบใช้คำพูดแบบการ์ตูนจังวะ” ยงกุกขมวดคิ้วหันตัวมาจ้องหน้ากัน

     

    “ยังไง?”

     

    “ก็แบบ...” เขายักไหล่ “...วันนี้อากาศดีเอย สดชื่นชะมัดเอยไรเงี้ย กูว่ามันฟังดูติ๊งต๊อง”

     

    “-*-”

     

    “ก็มึงดูดิ วันนี้มันอากาศดีตรงไหน...” เขาโบกมือปัดๆไปมาในอากาศ “...ร้อนก็ร้อน หญ้าเหี้ยนี่ก็โคตรคัน แถมไอ้บึงน้ำเน่าตรงหน้านี่ก็ไม่มีใครเหลียวแลมาเป็นชาติแล้ว”

     

    “ไม่มีจินตนาการ”

     

    “แน่สิ...” ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกาทั่วตัวแก้อาการคัน “...ก็นี่มันชีวิตจริง

     

    “...”

     

    “...”

     

    “นั่นสินะ...”

     

    สุดท้ายแล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบเสียงจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง

     

    ยงกุกเหลือบมองคนข้างตัวที่จู่ๆก็ก้มหน้านิ่งหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่างด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นสาเหตุของอาการนั้นตีรวนจนเผลอเอื้อมมือไปแตะไหล่บางเบาๆ ฮิมชานเอียงเสี้ยวหน้ากลับมามอง ยกยิ้มจางๆให้เหมือนคนหมดแรง

     

    “นายพูดถูก...” เขาเสียงสั่น

     

    “...”

     

    “นี่มันชีวิตจริง” น้ำตาหนึ่งหยดไหลลงช้าๆอย่างเงียบเชียบ ไม่มีเสียงสะอื้นให้ได้ยินแม้แต่นิด แต่เพียงแค่ไหล่บางที่สั่นไหวอย่างรุนแรงก็พาเอายงกุกทำอะไรไม่ถูก เขากระชับมือที่จับไหล่นั้นให้แน่นขึ้นก่อนจะกระเถิบตัวเข้าหา

     

    “เอ่อ...” ชายหนุ่มอึกอัก ยกมือข้างที่ว่างเกาหัวแกรก “...กูขอโทษ ถ้าที่พูดมันทำให้มึงเสียใจ”

     

    แม้จะไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองผิดอะไรแต่ยงกุกยอมรับเลยว่าตอนนี้เขารู้สึกแย่มาก ไอ้พฤติกรรมกวนประสาทที่ถึงขั้นกล้าฝอยน้ำลายใส่หัวเขากลับเปลี่ยนมาเป็นนั่งร้องไห้ทำหน้าตาน่าสงสารก็ทำเอาไปไม่เป็นได้เหมือนกัน

     

    ฮิมชานส่ายหัวจนผมกระจายแทนคำตอบก่อนจะช้อนดวงตาแดงก่ำขึ้นจ้องอีกฝ่ายนิ่ง

     

    “ไม่ใช่ความผิดนาย...” เขากัดปากแรงๆเพื่อลดอาการสั่น “...เราอ่อนแอเอง”

     

    “...”

     

    “แต่ขอแค่วันนี้...” ฮิมชานคู้ตัวลงเล็กน้อยอย่างน่าสงสาร ยกมือตะครุบปากตัวเองแน่นเมื่อเหมือนจะกลั้นอะไรๆเอาไว้ไม่อยู่ “...แค่วันเดียวที่เราขออ่อนแอ แล้วสัญญาว่าพรุ่งนี้จะเริ่มต้นใหม่...” เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พยายามยกยิ้มจางๆส่งไปในอากาศ “...ผมสัญญา”

     

    “กูพูดปลอบใครไม่เป็นหรอกนะ...” ยงกุกเปลี่ยนตำแหน่งมือไปวางลงบนหัวอีกฝ่าย “...แต่จะนั่งด้วยจนกว่าจะอยากกลับบ้านแล้วกัน”

     

    รอยยิ้มเปื้อนน้ำตาที่ส่งตอบกลับมาสวยกว่าที่คิด ทำเอาชายหนุ่มเผลอกลั้นหายใจก่อนจะเสสายตาหลบทำเป็นมองบรรยากาศรอบตัวไปเรื่อยเปื่อย มือที่วางบนศีรษะยังคงอยู่ไม่ไปไหน ไม่มีการลูบหรือปลอบใจ มันเพียงถูกวางนิ่งๆให้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่คนเดียว

     

    ฮิมชานเอื้อมไปรั้งมือใหญ่นั้นมากุมไว้ข้างกาย ก้มหน้าลงเล็กน้อยตอนที่ตัดสินใจเอ่ยปาก

     

    “ยงกุก”

     

    “หือ?”

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “กอดได้มั้ย?”

     

     

     

    ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ ^^

     

     

                             


    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×