คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [C]ut (BangChan)
[C]ut off relationship
เคยมีนักจิตวิทยากล่าวไว้ว่า ‘หากเราได้เป็นเพื่อนกับใครเกิน 7 ปี เราจะเป็นเพื่อนกับเขาไปตลอดชีวิต!’
“เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วบังยงกุก?” ฝ่ามือขาวฉวยประแจแหวนเบอร์ 10 ในมือของเพื่อนสนิทที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่หน้ากระโปรงรถเพื่อเรียกร้องความสนใจ ใบหน้าดุที่เปื้อนคราบเขม่าสีดำหันมามองงงๆ ก่อนจะแบมือออกตรงหน้าเพื่อขอของของตัวเองคืน แต่คนต้นเรื่องกลับซ่อนมือเอาไว้ด้านหลังแล้วปั้นหน้าให้จริงจังมากขึ้น
“ตอบมาก่อน เรา-เป็น-เพื่อน-กัน-มา-กี่-ปี-แล้ว?”
“ไม่ได้นับ” ชายหนุ่มละความสนใจเปลี่ยนเป็นเดินไปคุ้ยหาอุปกรณ์ช่างอันใหม่แถวๆโต๊ะเครื่องมือที่อยู่ไกลออกไปทางท้ายอู่แทน
คิมฮิมชานมองตาม
...ก่อนจะทำหน้าละห้อย
ดวงตากลมใสก้มลงมองนิตยสารในมืออีกครั้งแล้วดีดดิ้นอยู่บนเก้าอี้ยาวคนเดียว สายตาหลายๆคู่จากเหล่าช่างซ่อมเหลือบมองลูกชายเจ้าของอู่ที่คล้ายจะกลายเป็นบ้าอย่างหวาดระแวง จนกระทั่งผู้กล้าตัวเล็กอย่างน้องชายของเจ้าตัวเดินดูดน้ำอัดลมกระป๋องเข้าไปใกล้จึงพากันละความสนใจแล้วแยกย้ายกลับไปทำงาน
“กินป่าว?” เด็กหนุ่มตาขีดยื่นกระป๋องน้ำอัดลมเปล่าๆออกไปตรงหน้าแล้วหัวเราะคิกคัก คนเป็นพี่ได้แต่ปลายหางตามามองแล้วกลับไปนั่งหน้าเศร้าต่อจนอีกฝ่ายต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย “เป็นไรอ่ะ?”
“...”
“หือ ‘หากเราได้เป็นเพื่อนกับใครเกิน 7 ปี เราจะเป็นเพื่อนกับเขาไปตลอดชีวิต’..” คนเป็นน้องไล่สายตาอ่านตามตัวอักษรที่เขียนอยู่บนนิตยสารหน้าที่พี่ชายเปิดค้างไว้แล้วตีสีหน้างุนงง “..ทำไมอ่ะ?”
“...” ไร้เสียงตอบรับ คิมฮิมชานทำเพียงแค่มองตามร่างเพื่อนสนิทที่กำลังไถลตัวเข้าใต้ท้องรถอย่างสิ้นหวัง เขาปิดหน้านิตยสาร ถอนหายใจแรงๆก่อนจะเริ่มเบะปาก
“..จะครบเจ็ดปีอยู่แล้ว..”
“ฮะ?”
“ถ้าครบเจ็ดปีแล้วจะทำยังไงดี ถ้าครบเจ็ดปีแล้วก็ต้องเป็นเพื่อนไปตลอดชีวิตน่ะสิ..” ห่อไหล่ให้ลู่ลงเพื่อเพิ่มออร่าของความหดหู่
“อะไรของพี่เนี่ย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
“แล้วถ้าเป็นแค่เพื่อนจะไปทำไอ้ที่อยากทำได้ยังไงกัน..”
“ผมไปล่ะ” มุนจงออบทำท่าจะละออกไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดกับเขาสักนิด แต่ประโยคต่อมาของคนเป็นพี่ก็ชะงักการเคลื่อนไหวของเขาเอาไว้ได้อยู่หมัด
“ฉันเองก็อยากลูบซิคแพ็คของยงกุกนี่นา กล้ามก็อยากกัด..”
“พะ..พี่..”
“ถ้าเป็นแค่เพื่อนก็ทำไม่ได้น่ะสิ โฮฮฮฮฮฮฮฮฮ..” เป็นอีกครั้งที่คิมฮิมชานลงไปนอนดีดดิ้นอยู่กับโต๊ะสร้างความหวาดผวาให้แก่เหล่าพนักงานอู่ซ่อมรถ จงออบรีบถลาเข้าไปหา ฉุดกระชากลากถูคนเป็นพี่ให้ออกเดินตามไปยังห้องรับรองลูกค้าก่อนจะปิดประตูตามดังปัง
“บอกมาสิ..” คนเป็นน้องละล่ำละลักถามทั้งที่หอบตัวโยน “..พี่ชอบพี่ยงกุกงั้นเหรอ?”
“โง่..” คิมฮิมชานว่าเสียงเรียบ ทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้แถวนั้นแรงๆระบายอารมณ์ “..นี่ฉันคิดว่ามีแต่หมอนั่นคนเดียวนะที่โง่ดูไม่ออก แกก็อีกคนงั้นเหรอ ไม่เห็นหรือไงว่าฉันอ่อยมันขนาดไหน ฮึ่ยยย!”
“อึ้งแดก”
“ว่าไงนะ!”
“ก็พี่เล่นตะแล๊ดแต๊ดแต๋ไปทั่วอู่แบบนี้พี่ยงกุกก็คงคิดว่ามันเป็นนิสัยของพี่เหมือนที่ผมคิดนั่นแหละ ใครจะไปเชื่อว่ามีคนประหลาดๆแบบพี่มาชอบกัน”
“นี่แกด่าฉันเหรอ!”
“ก็มันจริงนี่นา!”
“แต่สายตาที่ฉันมองมันไม่เหมือนมองคนอื่นนะ มันเป็นสายตาแบบที่ว่าอยากกลืนเข้าไปทั้งตัวอ่ะเข้าใจมะ!”
“แรดว่ะ!”
“มุนจงออบ!” คนเป็นพี่ที่ปรี๊ดแตกทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปเขย่าตัวน้องชายแรงๆระบายอารมณ์ ลำพังแค่ปัญหาหัวใจที่แก้ไม่ตกก็ทำเอาเครียดสิวขึ้นมาสองเม็ดแล้ว นี่ยังจะมาเจอน้องชายกวนประสาทอย่างเด็กนี่อีก ทำเป็นมาพูดว่าเขาแรด มันล่ะไม่แรดกว่าหรือไงมีแฟนตั้งแต่ปีก่อน แถมยังฮอตระเบิดระเบ้อจนน่าหมั่นไส้สุดๆอีก ไม่รู้ไปทำเสน่ห์อีท่าไหนเขาถึงหลงกลแง่งขิงเตี้ยๆอย่างมัน แล้วดูเขาสิ เจอหน้ากันก็ทุกวันแถมยังอ่อยแล้วอ่อยอีก ไม่ยักเห็นว่าบังยงกุกจะรู้สึกรู้สาอะไรที่ไหน ทำไมเขาไม่สมหวังเหมือนเด็กนี่บ้างนะ มุนจงออบมีดีอะไรกัน!
..แต่เดี๋ยวนะ..
..ถ้าเขาขอเคล็ดลับพิชิตใจผู้ชายจากมุนจงออบเด็กแง่งขิงนี่ล่ะ!..
“น้องชาย..” จู่ๆแรงเขย่าที่รุนแรงหลายริคเตอร์เมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นสัมผัสแสนอ่อนโยนที่ลูบเบาๆไปมาตามร่างกาย ไหนจะรอยยิ้มหวานชวนขนลุกที่ส่งมาจากพี่ชายตรงหน้าอีก บอกเลยว่ามุนจงออบหลอนเสียยิ่งกว่าเห็นผีกลางวันแสกๆ
“อะ อะไรพี่”
“ช่วยพี่หน่อยสิ..” ฮิมชานทำเสียงอ่อนเสียงหวาน กระพริบตาปริบๆเป็นลูกแมวน้อยๆขี้อ้อน แต่กลับจิกกรงเล็บปีศาจลงบนแขนน้องชายอย่างไม่เข้ากั๊นเข้ากัน “..ช่วยให้พี่ชายคนนี้มีผัวที!”
.
.
.
.
.
และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ตอนนี้คิมฮิมชานกำลังยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่ในห้องนอนของตัวเอง ข้างๆกันนั้นมีมุนจงออบที่หัวเราะคิกคักกับใบหน้าบูดบึ้งของพี่ชายอย่างมีความสุข
“แกแกล้งฉันใช่มั้ย!?” เสียงแหบทุ้มเหวดังลั่นอย่างเหลืออด สองมือช่วยกันดึงเอาชายกระโปรงสั้นบางๆให้ยืดลงมาปกคลุมต้นขา ขณะที่สายตาก็ตวัดมองเชือดเฉือนอีกคนอย่างไม่ลดละ
“แกล้งอะไรเล่า นี่ล่ะเคล็ดลับผม ‘เอาตัวเข้าแลก’” ว่าพลางกวาดสายตามองร่างพี่ชายในชุดคอสเพลย์การ์ตูนผู้หญิงแบบครบสูตรยิ้มๆ
“ฉันไม่น่าไว้ใจโอตาคุติดการ์ตูนแบบแกเลยจริงๆ” เขาตบหน้าผากตัวเองดังป้าบ ทอดสายตามองร่างตัวเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่อีกครั้งด้วยความท้อใจ เสื้อแขนกุด กระโปรงสั้น ถุงน่องตาข่าย รองเท้าส้นสูง แถมยังมีสายหนังบ้าบออะไรไม่รู้พันอยู่ตามต้นแขนต้นขาอีก มีหวังบังยงกุกเห็นคงหวาดกลัวเขาในร่างกระเทยควายแปลงเพศนี่แน่ๆ
“นั่นพี่จะทำอะไรอ่ะ จะดึงมันทำไม” มุนจงออบถลาตัวเข้ามาคว้ามือพี่ชายที่กำลังถลกกระโปรงเตรียมรูดถุงน่องสีเข้มลงกับพื้น
“ก็ถอดออกน่ะสิ จะให้เชื่อแกแล้วใส่แบบนี้ไปให้บังยงกุกดูหรือไง”
“ก็ใช่น่ะสิ เชื่อผมเหอะนะ รับรองพี่ยงกุกเห็นแล้วน้ำลายยืดท่วมห้องนี้แน่นอน”
“น้ำลายมันหรือเลือดหัวฉันจะท่วมห้องนี้ก่อนกันแน่! ไม่เอาอ่ะ ปล่อยฉันเลยจงออบฉันจะถอดออกกกกกก”
“หยุดดิ้นน่าพี่ฮิมชาน อ๊ะนั่น..!” จู่ๆมุนจงออบก็ทำหน้าตกใจแล้วลากตัวพี่ชายไปแอบยืนดูเหล่าพนักงานที่กำลังทยอยเก็บของเพื่อแยกย้ายกลับบ้านอยู่ตรงหลังเสา “..พี่ยงกุกเลิกงานแล้ว แล้วดูท่าเหมือนกำลังจะออกไปไหนด้วย ลีลามากๆระวังเหยื่อหลุดมือไปตลอดชีวิตนะพี่”
“ปล่อยเลยจงออบ”
“ถอดใจง่ายจัง ผิดหวังว่ะ”
“ปล่อย..”
“ไหนบอกชอบนักชอบหนาไง แค่นี้ก...”
“ฉันจะไปโทรตามยงกุก ถ้าขืนแกไม่ปล่อยแล้วฉันไม่ได้ยงกุกเป็นผัวฉันเอาแกตายแน่ไอ้น้องเวร!”
.
.
หลังจากไล่น้องชายจอมกวนประสาทออกไปจากห้องได้แล้ว คิมฮิมชานก็มานั่งจ้องมองโทรศัพท์ด้วยใจตุ้มๆต่อมๆกับรายชื่อเตรียมโทรออกที่ขึ้นหราว่า บังยงกุกของฉัน เขาสูดหายใจเข้าสุดปอดก่อนจะหลับตาปี๋จิ้มกดโทรออกแล้วยกมันแนบหูด้วยมือชื้นเหงื่อ
สัญญาณดังอยู่เพียงไม่กี่ที..
‘ว่าไง’
คิมฮิมชานที่ตื่นเต้นมากจนนั่งไม่ติดเก้าอี้ได้ยินเพียงเสียงแรกก็ทำเอาพูดไม่ออก เขายกมือขึ้นจับหน้าอกแล้วพยายามผ่อนลมหายใจให้คงที่ สะบัดมือสั่นๆให้พัดเอารอยชื้นจากเหงื่อที่ผุดตามไรผมให้จางไป
“วะ หวัดดียงกุก”
‘มีอะไรหรือเปล่า’
“นาย..เลิกงานแล้วใช่มั้ย”
‘ใช่’
“แล้วว่างหรือเปล่า”
‘ฉันต้องออกไปซื้อของเข้าอู่ให้เฮีย นายมีอะไร?’
ซื้อถุงยางมาด้วยสิ เอ้ยผิดๆๆๆ เกือบเผลอพูดอย่างที่ใจคิดออกไปแล้วไง ฮิมชานคิดพลางตีปากตัวเองแรงๆหลายที
“ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้เหรอ ฉันอยากให้นายขึ้นมาหาหน่อย”
‘ไว้หลังจากที่ฉันกลับเข้ามาแล้วกัน’
“ไม่ได้!”
‘…’
“คือธุระฉันมันสำคัญมากจริงๆ นะ” ท้ายประโยคมีการทอดเสียงให้ฟังดูออดอ้อนจนยงกุกเงียบเสียงไปสักพัก
‘ธุระที่พ่อนายสั่งก็สำคัญ’
“ว่าไงนะ! งั้นนายก็เลือกสิบังยงกุก ระหว่างพ่อฉันกับฉันที่เป็นเพื่อนนายมาเกือบเจ็ดปี!” และกำลังจะเลิกเป็นในไม่ช้า..
‘ฮิมชาน ฉันลำบากใจ’
“...” แต่ฉันลำบากกาย ไอ้ถุงน่องตาข่ายนี่ก็คันยิบๆจนอยากจะถอดทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
‘โอเคๆ งั้นรอแปปนึง ฉันไปวานคนอื่นก่อน’
“โอเค”
ทันทีที่วางสายจากอีกฝ่าย ฮิมชานก็รีบวิ่งเข้าหากระจกเงาจัดแต่งร่างกายให้เข้าที่ ตากลมโตสบเข้ากับตัวเองผ่านกระจกแล้วสะกดจิตให้เลิกตื่นเต้น พึมพำทุกอย่างที่พอจะให้กำลังใจตัวเองได้อยู่นานจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆแต่กลับทำเอาสิ่งที่ทำเมื่อครู่พังครืนไม่เหลือชิ้นดี
คนตัวขาวกรีดร้องไร้เสียงกับตัวเองคนเดียวก่อนจะหันซ้ายหันขวาหาที่ซ่อน จนสุดท้ายก็วิ่งเข้าไปแอบอยู่หลังประตูห้องน้ำแล้วโผล่แค่หัวอย่างเดียวออกมาตะโกนบอกคนด้านนอก
“ขะ เข้ามาเลย!”
บังยงกุกก้าวเดินช้าๆเข้ามาด้านในห้องก่อนจะหันซ้ายหันขวาไปมาเมื่อไม่เห็นคนที่โทรเรียกเขา คิมฮิมชานค่อยๆยืดคอให้เฉพาะใบหน้าโผล่พ้นขอบประตูห้องน้ำแล้วแกล้งส่งเสียงกระแอมเรียก
“เอ่อ..”
“เข้าไปทำอะไรในนั้น” คนตัวสูงที่ยืนคว้างกลางห้องเมื่อครู่ค่อยๆมุ่งหน้าไปหาอีกฝ่ายแต่กลับโดนตะคอกใส่ให้ถอยออกมาแทน เขาทำหน้าสงสัย คว้าจับลูกบิดประตูแล้วทำท่าจะกระชากให้อีกคนหลุดออกมา
“อย่านะ!” คิมฮิมชานร้องเสียงหลง
“อะไรของนาย เรียกฉันมาแต่กลับหลบหน้าเนี่ยนะ”
“ไม่ได้หลบหน้า แต่ขอทำใจแปปนึง” คนพูดว่าเสียงอ่อยพลางทำสีหน้าอ้อนวอน ลอบกวาดสายตามองไปทั่วร่างของบังยงกุกแล้วยิ่งตื่นเต้น
อีกฝ่ายมาหาเขาด้วยชุดทำงานแบบจั้มท์สูทที่ยังไม่ได้เปลี่ยน เดาว่าคงจะรีบร้อนมากหรือไม่ก็กะว่าจะทำงานต่อ บังยงกุกเป็นแบบนี้เสมอ เอาจริงเอาจัง มุ่งมั่น จนดูเหมือนไม่สนใจใคร รวมถึงเขาเองด้วย ทั้งๆที่ตลอดมาเขาแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าสนใจในตัวอีกฝ่ายมากแค่ไหน หรือจะจริงอย่างที่จงออบบอกกันว่าลักษณะนิสัยของเขามันเข้าหาคนอื่นมากเกินไป จนบังยงกุกรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้พิเศษ..นี่เขาจะบ้าตายแล้วนะ..
“จะออกมาได้หรือยัง” กว่านาทีที่ทั้งคู่ทำเพียงแค่จ้องมองหน้ากัน จนบังยงกุกทนไม่ไหวส่งเสียงออกไปเรียกสติคนที่เอาแต่เหม่อมองมาทางเขา คนตัวขาวสะดุ้งสุดตัวเผลอปล่อยมือออกจากลูกบิดจนประตูเปิดออกกว้างเผยร่างกายในชุดคอสเพลย์การ์ตูนผู้หญิงให้ปรากฏต่อหน้าอีกฝ่ายเต็มตา
บรรยากาศโดยรอบเงียบลงชั่วขณะ คิมฮิมชานยืนหลับตาปี๋แบบไม่อยากยอมรับความจริงในขณะที่บังยงกุกเองก็ดูจะอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ชายหนุ่มเผลอกลั้นหายใจตอนที่กวาดสายตามองไปทั่วร่างของเพื่อนสนิทด้วยความสับสน
คิมฮิมชานเป็นคนขาว ผิวของหมอนั่นดูสุขภาพดีชนิดที่สาวๆต้องชิดซ้าย ใบหน้ารึก็น่ารัก ตากลมๆใสๆ จมูกเรียวเล็ก ปากบางเป็นกระจับแถมยังมีสีชมพูดูเป็นธรรมชาติ โดยรวมแล้วเพื่อนของเขาเป็นคนดูดีมากๆ แต่..ไม่ใช่กับชุดนี้...
ถึงยังไงคิมฮิมชานก็เป็นผู้ชาย แถมยังสูงโปร่งเหยียบ 180 ซม. พอร่างกายถูกปกปิดด้วยเสื้อรัดรูปเล็กๆกับกระโปรงพริ้วไหวสั้นๆแบบนี้แล้วเขาเองก็รู้สึกว่ามัน...พิลึก
เอาเป็นว่ามันไม่ได้ถึงกับทนมองไม่ได้แต่ก็อย่าใส่เลยจะดีกว่า
“นาย..” เสียงของเขาขาดห้วงแถมยังทุ้มต่ำกว่าปกติ “..กำลังทำอะไรงั้นเหรอ?”
“หือ?”
“ฉันหมายถึง..ชุดนั่น” ว่าพลางบุ้ยปากไปยังชุดอีกฝ่าย
“เอ่อ คือ..” คิมฮิมชานเสียงสั่น ทำใจกล้าจับชายกระโปรงขึ้นโบกนิดๆตอนที่ช้อนสายตาถาม “..นายว่าไง?”
“อะไร?”
“ตอนที่เห็น นาย..รู้สึกยังไงเหรอ?”
“...”
บังยงกุกยืนนิ่งไม่ตอบคำถามแต่ก็ไม่ได้ละสายตาไปจากคนตรงหน้า เขาเงียบกริบ ไม่พูดไม่จาอะไรแถมยังทำหน้าตายชนิดที่กล้ามเนื้อน่าจะอัมพาตกินไปแล้ว และท่าทีแบบนั้นก็ทำเอาคิมฮิมชานใจแป้วอยู่ไม่น้อย
คนตัวขาวขบเบาๆบนริมฝีปากล่างของตัวเอง ทำใจกล้าเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายใกล้ๆ เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังช้าๆฝ่าความเงียบ อีกเพียงช่วงตัวเดียวเขาก็จะถึงตัวบังยงกุกอยู่แล้ว แต่ด้วยความไม่คุ้นชินกับรองเท้าผู้หญิงแบบนี้ก็ทำให้พลาดท่าข้อเท้าพลิกล้มโครมใส่อีกคนเต็มแรง
แถมจังหวะที่อ้าแขนรับร่างของเขาบังยงกุกยังเซแถ่ดๆไปหงายหลังลงบนเตียงอย่างสวยงามอีก
ทำเลเหมาะสมเป็นที่สุด!
“อั่ก..” แรงกระแทกที่ไม่เบาเลยสักนิดทำเอาคนตัวสูงถึงกับหายใจสะดุด เขาคลายแขนที่รัดร่างของอีกฝ่ายไว้แล้วกวาดสายตาสำรวจ เห็นว่าแก้มขาวๆของเพื่อนสนิทแดงแจ๋แถมยังเห่อร้อนจนเขาเองรู้สึกได้ “..นาย ไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“มะ..อะ!” จังหวะที่พยายามยันตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืน ความเจ็บปวดก็วิ่งปราดขึ้นมาจากข้อเท้า คิมฮิมชานนิ่วหน้าทิ้งตัวใส่ยงกุกอีกรอบให้ได้ขอโทษขอโพยกันยกใหญ่
“นายคงข้อเท้าแพลง..” ยงกุกช่วยดันร่างของอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นนั่งเรียบร้อยบนเตียง ส่วนตัวเองก็ไถลตัวลงกับพื้นเพื่อช่วยดูอาการบาดเจ็บให้ เขาจับข้อเท้าขาวขึ้นบิดไปมาแล้วถอนหายใจ “..เล่นอะไรไม่เข้าท่า”
“...”
“ต้องทายา ไม่อย่างนั้นมันคงบวม”
“อืม” คนเจ็บว่าสั้นๆขณะสูดปากเพราะความเจ็บไปพลาง เขาลอบมองหน้าบังยงกุก ก่อนจะเบะปากงอแงที่อะไรๆก็ไม่เป็นไปตามแผนสักนิด นอกจากจะอ่อยไม่ได้ผลแล้วยังต้องเจ็บตัวในสภาพทุเรศๆแบบนี้อีก บอกเลยว่างานนี้มุนจงออบไม่ได้ตายดีแน่ๆ!
“เอ่อ..นาย..ถุงน่อง” จู่ๆบังยงกุกที่ง่วนอยู่กับข้อเท้าเขาก็ชะงักมือนิ่งก่อนจะอ้อมแอ้มบอกเสียงค่อย เมื่อเหลือบลงไปมองก็เห็นว่าอีกฝ่ายถอดรองเท้าส้นสูงให้แถมยังถือยาเตรียมตัวแล้ว แต่ถุงน่องตาข่ายสีดำของเขาก็ยังขวางการทายาของหมอนั่นอยู่ดี บังยงกุกหูแดง แถมยังมีท่าทีเหมือนคนทำอะไรไม่ถูกจนเขาแอบลอบยิ้มพร้อมๆกับแผนการบางอย่างที่ผุดขึ้นมาในใจ
“หือ? อะไรเหรอ?”
“น..ย ต้..ถุ..น..ง”
“ห๊ะ!”
“นายต้องถอดถุงน่อง!” เสียงทุ้มโพล่งขึ้นดังลั่นเมื่อถูกต้อนให้จนมุม คิมฮิมชานหัวเราะแผ่วเบาในความเงียบ เท้าแขนลงกับเตียงด้านหลังแล้วเอนตัวด้วยท่าทีสบายๆ
“งั้นเหรอ..” ปลายเท้าเรียวยื่นออกห่างตัวไปแตะลงที่แนวซิปกลางแผงอกกว้างพร้อมเขี่ยเบาๆขณะเอ่ยประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นายก็ถอดให้ฉันสิ”
“...”
สิ้นเสียงหวานทุกอย่างก็หยุดชะงัก บังยงกุกจ้องค้างกับฝ่าเท้าอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่ตรงหน้าเขา เมื่อไล่สายตาขึ้นไปตามแนวขาก็สะดุดกับชายกระโปรงที่ถลกเปิดจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน คิมฮิมชานแยกขาออก นั่นทำให้ภาพตรงหน้ายิ่งล่อแหลมมากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า และเขามั่นใจได้เลยว่าหมอนั่นตั้งใจ
คนตัวสูงหลุบตาลงต่ำ ลอบผ่อนลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอแล้วค่อยๆยืดตัวคล้ายจะผละออกไป
“ดะ เดี๋ยวสิ!” คิมฮิมชานกระชากฝ่าเท้าที่เล่นซนเมื่อครู่กลับเข้าหาตัวด้วยความรีบร้อน โผเข้าไปคว้าต้นแขนแข็งแรงของอีกฝ่ายทันทีที่นึกได้ เมื่อครู่เขาเห็นว่าบังยงกุกเบือนหน้าหนีเขา คล้ายกับว่าไม่ชอบใจ และนั่นก็ทำให้เขาแทบอยากจะร้องไห้กับการกระทำอันบ้าระห่ำของตัวเอง..แต่เขาก็แค่อยากลองดู..เผื่อว่าอีกคนจะชอบ..
..แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว..
..ว่าบังยงกุกไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเลย..
“ขอโทษนะ” คนตัวขาวว่าเสียงอ่อย “นายไปเถอะ”
“...”
“เอาหลอดยามาสิเดี๋ยวฉันจัดการเอง” เขาคว้ามือออกไปรับแต่อีกฝ่ายกลับชักมือหลบวูบ
“คุยกันให้รู้เรื่อง”
“จะคุยเรื่องอะไร?”
“เรื่องที่นายลุกขึ้นมาแต่งตัวบ้าๆแล้วก็ท่าทางที่ทำเหมือนจะ...” เสียงทุ้มชะงักไปแล้วทำหน้าเหมือนพูดไม่ออก
“อะไร?”
“ก็...เหมือนจะ..ยั่วฉัน” ใบหูของคนพูดแดงวาบขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุแต่คิมฮิมชานกลับไม่เห็น ตอนนี้คนตัวขาวกำลังน้อยใจแถมยังอายสุดขีดเมื่อได้ยินตรงๆจากปากอีกฝ่ายว่าสิ่งที่เขาทำมันเหมือนคนบ้า ดวงตากลมใสรื้นขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้เต็มแก่
“หึ..” เขาแค่นหัวเราะ “..แค่นี้ก็รู้แล้วว่านายไม่ได้คิดอะไร”
“พูดออกมาตรงๆคิมฮิมชาน ว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไร” บังยงกุกหมดความอดทนเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเอาแต่งึมงำอะไรอยู่คนเดียว เขาตรงเข้าไปจับต้นแขนขาวแรงๆแล้วกระชากเข้ามาใกล้ พยายามก้มหน้าลงไปสบตาแต่อีกฝ่ายกลับเบือนหน้าหนีท่าเดียว
“ช่างเถอะน่า นายไปได้แล้ว” คนพูดพยายามดีดดิ้น
“ก็แล้วเรียกฉันขึ้นมาหาทำไม ให้มาดูนายแต่งคอสเพลย์เหรอ”
“ไม่มีอะไรน่า ปล่อยซักที”
“หรือจะหัดไปยั่วใครแล้วมาซ้อมกับฉันไว้ก่อน!”
“บังยงกุก!” คิมฮิมชานควันออกหูเมื่ออีกฝ่ายตะคอกใส่แถมยังพูดอะไรที่ไม่เป็นความจริงอีกต่างหาก แก้มขาวๆขึ้นริ้วแดง เขาโกรธสุดขีดจนเผลอระบายความในใจที่อัดอั้นออกไปเสียหมดเปลือก “ได้ อยากรู้นักใช่มั้ย? ที่ฉันเรียกนายขึ้นมาวันนี้เพราะอยากจะยั่วนายไง ที่ฉันลุกขึ้นมาแต่งตัวเป็นไอ้บ้าแบบนี้ก็เพื่อจะอ่อยนาย เผื่อว่านายอาจจะชอบ แล้วเป็นไงล่ะ โดนหาว่าบ้าแถมยังถูกตะคอกใส่อีก ฉันน่ะไม่อยากเป็นเพื่อนกับนายแล้ว แถมนี่มันจะครบเจ็ดปีแล้วด้วย ขืนไม่ทำอะไรซักอย่างก็ต้องเป็นเพื่อนกันไปตลอดชีวิตน่ะสิ!!!”
“...”
“...”
“แล้ว..ทำไมถึงไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉันแล้วล่ะ?”
“ก็เพราะว่าฉันชอบนายไง อยากได้เป็นผัวอ่ะเข้าใจมั้ยไอ้บังยงกุกหน้าโง่!!!”
เป็นอีกครั้งที่ทั่วทั้งห้องเกิดความเงียบขึ้นโดยฉับพลัน มีเพียงเสียงหอบหายใจแรงๆผสมกับเสียงสะอื้นในลำคอของคิมฮิมชาน บังยงกุกเบิกตากว้าง ตกใจกับสิ่งที่เพิ่งจะได้ยินจนทำอะไรไม่ถูก เขาสาบานตรงนี้ได้เลยว่าไม่เคยนึกมาก่อนว่าเพื่อนสนิทจะมีความรู้สึกพิเศษให้กับตัวเอง คิมฮิมชานเป็นคนร่าเริง ขี้เล่นขี้อ้อนกับพี่ๆทุกคนในอู่ กับเขาเองหมอนั่นก็แค่จะดูเหมือนชอบมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ เขาไม่เห็นจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะชอบพออะไรตัวเองเป็นพิเศษ หรือเขาเองจะปิดกั้นความรู้สึกเกินไป ก็คิมฮิมชานเป็นถึงลูกชายของเฮียเจ้าของอู่ ส่วนเขามันก็แค่...
“ออกไปเลยไป ฮึก” ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรให้เรียบร้อยดีอีกฝ่ายก็ออกปากไล่เขาเสียแล้ว บังยงกุกเงยหน้าขึ้นสบตา เห็นว่าคิมฮิมชานใช้หลังมือถูจมูกฟืดฟาดขณะที่จ้องหน้าเขาเหมือนเด็กๆ
“ฉันไม่เคยรู้”
“ก็เพราะว่านายมันโง่!”
“ยอมรับก็ได้ ฉันเป็นแค่ลูกน้องต๊อกต๋อยในอู่ซ่อมรถนี่นา”
“อย่ามาดราม่าเรื่องฐานะนะ!...” คนที่ยังไม่หยุดสะอื้นดีออกปากตวาด “..คิดว่าที่ฉันหลงนายมากขนาดนี้เป็นเพราะนายรวยหรือยังไง ก็เห็นๆกันอยู่ว่าทั้งโง่ทั้งจน! ฉันรักในความดีของนายต่างหาก ความขยัน ความมุ่งมั่น ความตั้งใจ...”
“...”
“เออ! แล้วก็ซิกแพ็คด้วย!!”
“หึหึหึ”
“หุบปากแล้วไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้เลย!”
“แล้ว...” บังยงกุกอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเอาแต่ก้มหน้าปาดน้ำตาตีเนียนเข้าไปใกล้ๆ “...ที่บอกว่าอยากได้เป็นผัวนี่จริงหรือเปล่า?”
“-///////-”
“ไหนดูสิ หน้าตาก็ผ่านนะ หุ่นก็เอ๊กซ์ใช้ได้ แต่นิสัยเสียไปหน่อย”
“ไอ้ห้อย!..” มือขาวฟาดเข้าเต็มแรงกลางหลังของคนที่ขยับมายืนข้างๆ “..ถ้าไม่ได้คิดอะไรก็ไปไกลๆเลย”
“ใครว่าไม่คิดล่ะ”
“...”
“เล่นเพียบพร้อมไปทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติแบบนี้ใครจะกล้า ถึงนายไม่คิดแต่คนที่ด้อยกว่าอย่างฉันมันคิดนะ เกิดพ่อนายรู้เข้าฉันไม่โดนไล่ออกไม่มีงานไม่มีข้าวกินเลยเหรอ”
“เว่อร์น่า” คิมฮิมชานว่าเสียงค่อยแต่กลับขมวดคิ้วมุ่นเพราะเมื่อคิดตามแล้วก็น่าเป็นกังวลจริงๆอย่างอีกฝ่ายว่า
“ฉันเองก็...” บังยงกุกตีเนียนสอดมือเข้ากับเอวอีกฝ่ายแล้วขยับเข้าแนบชิด “..ชอบนายเหมือนกัน”
“จริงเหรอ?”
“อืม มีอะไรให้ไม่ชอบล่ะ สวย รวย อัธยาศัยดี..” เขาเกยคางเข้ากับไหล่แคบ “..ก้นใหญ่ด้วย”
“ไอ้!”
“แต่ถ้าฉันจะเสี่ยง มันจะคุ้มใช่มั้ย?”
“...”
“ฉันมีครอบครัวให้ต้องดูแลอีกสองชีวิตเลยนะ พ่อนายจะไม่เป่าสมองฉันกระจุยใช่หรือเปล่า”
“...”
“...”
“ได้ทั้งใจ..ทั้งกายฉัน...” คนตัวขาวเขี่ยนิ้วเบาๆลงกับหลังมือของคนที่กอดรอบเอวของตนอยู่ค่อยๆ “...นายว่ามันคุ้มหรือเปล่าล่ะ?”
“งั้น..ใจได้ไปแล้ว..แล้วกาย..”
“คิดว่าฉันใส่กระโปรงมาเพื่ออะไรล่ะ?”
บังยงกุกหัวเราะหึกับท่าทางแสนยั่วยวนของคนในอ้อมแขน เขากดจูบเบาๆลงกับต้นคอหอมๆแล้วแลบลิ้นเลีย มือใหญ่เลื่อนลงไปจับอยู่ที่ชายกระโปรงผ้านิ่มก่อนสอดเข้าไปสัมผัสกับขอบยางยืดของถุงน่องและจับดีดเบาๆ
.
.
.
“ลาก่อนมิตรภาพเจ็ดปีของเรา”
จบแล้วค่ะ 5555555555 ฟิคเบาสมองสนองความหื่นเนอะ อาจจะสับสนตกหล่นอะไรไปบ้างอย่าถือสาเลยน้าาาาา นี่เดี๋ยวถ้าบิ้วอารมณ์ได้อาจจะมาต่อที่เหลือนะคะ 5555555555 ว่าแต่ที่เหลือมันคืออะไร
ขอบคุณคนอ่านมากๆค่ะ ♥
ความคิดเห็น