ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [B.A.P] MOVE (Bangchan)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่สอง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 57


                  

     

     

    บทที่ 2

     

                ยงกุกยืนกอดอกเหลือบมองยงนัมที่คุกเข่าอยู่ตรงพื้นทีมองฮิมชานที่นั่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่บนโซฟาทีอย่างขัดใจ สายตาอ้อนวอนที่ส่งมาจากพี่ชายมองแล้วให้ความรู้สึกอยากเสยปลายคาง เขาตัดสินใจทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆอีกคนแล้ววาดมือขึ้นพาดพนักพิงเต๊ะท่าเจ้าพ่อมาเฟียเต็มที่

     

                “ยงกุกครับ...” คนเป็นพี่ถูมือเข้าด้วยกัน “...กูขอโทษครับ กูลืมบอกจริงๆ”

     

                “...” คนที่นั่งอยู่เบือนหน้าหนีเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างไร้ความหมาย

     

                “เป็นร้อนในเหรอวะ...” ชายหนุ่มชะเง้อคอมอง “...แล้วนั่นมองอะไร หันมาคุยกับกูสิครับ”

     

                ยงกุกหันกลับมาจ้องหน้าอีกฝ่ายตาเขียว คราวนี้เพิ่มการยกขาขึ้นมานั่งไขว่ห้างให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก คนเป็นพี่ที่เห็นแบบนั้นถึงกับผงะถอยหลัง ยกมือขึ้นปิดตาพลางส่ายหัวแรงๆประกอบ

     

                “ไอ้สัดไข่โผล่!” เขาเสียงดัง เหลือบเห็นฮิมชานเบือนหน้าหนีทั้งใบหูที่แดงก่ำ ผิดกับอีกคนที่ควรอายแต่กลับนั่งเฉยราวกับภูมิใจเสนอเต็มที่

     

                บรรยากาศรอบตัวเงียบลง ยงนัมยังไม่เลิกพยายามส่งสายตาอ้อนวอน แต่คนเป็นน้องเปลี่ยนเป้าหมายไปไล่จี้เอากับคนข้างๆแทน

     

                “นี่มึงน่ะ...” เขาสะกิดแขนฮิมชาน “...ไปนอนกับไอ้นัมไป”

     

                “ทำไมล่ะ ก็พี่ยงนัมบอกให้นอนกับนาย”

     

                “ห้องกูมีผีน่ะสิ...” ชายหนุ่มตอบหน้าตาย ยื่นมือไปตบบ่าอีกฝ่ายปุๆ “...พอดีเลี้ยงไว้ แล้วมันไม่ชอบให้คนอื่นเข้าห้อง เสียใจด้วยนะ”

     

                คนที่ได้ยินลอบถอนหายใจ ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าให้เหตุผลในการเอาตัวรอดได้ห่วยเท่านี้มาก่อน ฮิมชานปั้นยิ้มจริงใจส่งไปให้พลางตอบหน้าตายเช่นกัน

     

                “ไม่เป็นไร เราเข้ากับคนง่าย...” ยื่นมือไปตบบ่าอีกคนปุๆ “...กับผีก็ง่ายเหมือนกัน”

     

                “ไม่เอาโว้ยยยย!” สุดท้ายบังยงกุกที่เก๊กขรึมมาตลอดการสนทนาก็ลงไปดิ้นปัดๆส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ที่พื้นห้อง

     

    ยงนัมอาศัยจังหวะนั้นคว้าเอากระเป๋าสองใบของฮิมชานกระโดดข้ามตัวคนที่เอาแต่นอนทุบพื้นขึ้นไปชั้นสอง

    จัดแจงวางสัมภาระไว้ในห้องน้องชายเรียบร้อยก่อนตะโกนลงมาบอก

     

                “ขึ้นมานอนได้แล้วจ้าเด็กๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นสายเอาน้า ฮ่าๆๆ”

     

     

     

     

                เมื่อเหลือกันอยู่สองคน ยงกุกก็ขยับขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนโซฟาดีๆ พอสบตาเข้ากับฮิมชานที่นั่งอยู่ก่อนแล้วก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ

     

                “อยากนอนกับกูนักเหรอ...” เขาเอ่ยปากถาม “...ทำไมมึงไม่ปฏิเสธไอ้ห่านัมวะ”

     

                “กับพี่ยงนัมเคยนอนด้วยกันแล้ว” อีกคนตอบกลับเรียบเสียงเรียบ เรียกท่าทางตื่นตระหนกจากคนที่ไม่ค่อยเข้าใจคำว่านอนดีนักให้ผงะถอยไปชิดโซฟาอีกด้าน

     

                “นี่มึง…!” เขาอ้าปากพะงาบ “...กับไอ้นัม...”

     

                “พี่ยงนัมนอนกรนมากเลย...” ฮิมชานทำท่านึก เพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของอีกคน “...จำได้ว่าตอนนั้นหลับลงตอนตีสาม”

     

                “กูก็กรน...” ยงกุกรีบสวน ขยับมานั่งท่าเดิม “...ดังกว่าไอ้นัมประมาณสามเท่า”

     

                “ไม่เป็นไรช่วงนี้เราหลับง่าย” เขาส่งยิ้ม สายตาสบกับคนที่พยายามถลกแขนเสื้อขึ้นทำท่าทางเหมือนนักเลง

     

                “จะเอาใช่มั้ย!?”

     

                “ไม่เอาได้มั้ย?”

     

                แล้วยงกุกก็ได้แต่กระโดดขึ้นเต้นเร่าๆอย่างคนทำอะไรไม่ได้ พี่ชายฝาแฝดที่หายขึ้นไปข้างบนไม่ได้กลับลงมาอีก ป่านนี้คงปิดประตูลงกลอนทิ้งปัญหาไว้ให้เขาจัดการคนเดียวแล้ว

     

                ยงกุกเหลือบมองคนที่นั่งนิ่งๆบนโซฟาแล้วก็นึกสงสาร ฮิมชานยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมเพราะหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเขาทั้งคู่ก็มาลงเอยที่หน้าเกมจนถึงตอนนี้ ชายหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะตัดสินใจกระตุกแขนอีกคนให้ลุกขึ้น จ้องหน้ากันและกันแล้วเอ่ยปาก

     

                “อยู่กับกูมีกฎข้อเดียว...” เขาทำเสียงเข้ม ยื่นหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายเหมือนบทมาเฟียขมขู่เด็กที่เคยดูในทีวี “...ให้พึงระลึกไว้เสมอว่า กูใหญ่!’

     

                “หา!!!” ฮิมชานร้องเสียงหลง สายตาปรับระดับลงต่ำอย่างอัตโนมัติด้วยความไม่ตั้งใจ

     

                ทันทีที่ยงกุกก้มมองตามแล้วเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรก็ต้องรีบยกมือตัวเองขึ้นมากุมปิดไว้พลางกระโดดถอยหลัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาอาฆาตให้อีกคนที่ยืนหน้าแดงหูแดงได้อย่างน่าตลก

     

                “อะไรเฮ้ย!...” เขาโวยวาย “...กะ กูหมายถึงมึงต้องทำตามกูทุกอย่างต่างหาก กูเป็นใหญ่อ่ะเข้าใจมั้ย!

     

                อีกคนถอนหายใจโล่งอก พยักหน้าตามอย่างว่าง่าย

     

                “ได้สิ...” ริมฝีปากสีสดวาดยิ้ม “...เราจะทำตามนายทุกอย่างเลย”

     

                .

                .

                .

                .

                .

     

                “มีใครเคยบอกว่ามึงกวนตีนมั้ย?” ยงกุกยกมือขึ้นขยี้หัวสั้นเกรียนของตัวเองแรงๆด้วยความหงุดหงิด ดวงตาจ้องมองใบหน้าขาวๆที่ลอยอยู่ไม่ไกลอย่างกินเลือดกินเนื้อ เมื่ออีกคนทำท่าจะเอ่ยปาก เขาก็รีบยกมือชี้หน้าหยุดไว้ทันที

     

                “ถ้ามึงพูดตามกูอีกคำนะ...” เขากดเสียงต่ำ “...กูจะโบกให้ร่วง”

     

                “หึ...” อีกคนหัวเราะขึ้นจมูก “...ก็นายบอกให้เราทำตามทุกอย่าง ก็นี่ไง”

     

    พูดตามทุกคำนี่กวนตีนแล้วครับ” ชายหนุ่มถอนใจ โบกมือปัดๆเป็นเชิงไล่อีกคน “ขึ้นห้องไปก่อนไป กูจะปิดบ้าน”

     

                ฮิมชานพยักหน้าอย่างว่าง่าย หมุนตัวกลับก้าวเดินขึ้นชั้นบน

     

                เมื่อก้าวสุดขั้นบันไดก็พบพื้นที่โล่งๆไม่กว้างนักเป็นทางเดินไปสู่ห้องต่างๆ สังเกตโดยรอบก็พบว่ามีอยู่ด้วยกันสามห้อง ตรงหน้าเขาคือประตูสองบานที่รูปร่างเหมือนกันทุกประการ ส่วนด้านขวามือคิดว่าเป็นประตูห้องน้ำ

     

                ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกผลักประตูบานหนึ่งเข้าไปก่อนจะพบสัมภาระตัวเองถูกตั้งทิ้งไว้ เขาควานหาสวิตซ์ไฟก่อนจะก้าวเข้าด้านในแล้วกวาดตามองทั่วบริเวณ

     

    ขนาดของห้องนี้ไม่กว้างนัก แถมรกไปด้วยของใช้ส่วนตัวทั้งหลายที่วางอย่างไม่เป็นระเบียบ ที่สะดุดตาที่สุดตั้งแต่แรกเห็นคือโปสเตอร์รถจักยานยนต์ที่ถูกแปะไว้ทั่วทั้งห้อง รวมถึงโมเดลรถแบบเดียวกันที่วางเรียงรายบนโต๊ะเขียนหนังสือ

     

    ฮิมชานก้าวเข้ามายืนกลางห้องอย่างไม่รู้จะทำอะไร ยังไม่กล้าตัดสินใจจัดของตัวเองให้เข้าที่เพราะไม่รู้จะเอาไว้ตรงไหน เดินไปหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงได้ไม่นานอีกคนก็กลับเข้ามา

     

    ยงกุกหอบเอาขนมสองสามห่อไว้ในอก เหลือบมองไปยังคนที่เคยนั่งบนเตียงก็เห็นว่ารีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน เขาส่ายหัวน้อยๆ ไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของอีกฝ่ายนัก บางทีหมอนั่นก็ชอบทำเหมือนขี้เกรงใจเสียเต็มประดา แต่พอถึงคราวอยากจะกวนประสาทก็ทำได้เจ็บแสบจนเขาอยากกระทืบให้จมดิน

     

    ชายหนุ่มโยนห่อขนมลงบนเตียงพร้อมกับทุ่มตัวเองลงไปสุดแรง สองมือควานหารีโมทเครื่องปรับอากาศขึ้นมากดเปิด ตะแคงตัวหันไปมองคนที่ยืนนิ่งก่อนจะขมวดคิ้ว

     

    “มองไรวะ...” เขาเอ่ยถาม “...ไปอาบน้ำดิ หรือมึงจะซักแห้ง”

     

    “จะให้เราเอาของไว้ที่ไหน”

     

    “ตรงไหนก็เอาเหอะ...” ว่าพลางกลิ้งตัวนอนหงาย ดึงเอาผ้าห่มขึ้นมากอด “...เสร็จแล้วปิดไฟด้วยล่ะ”

     

    “จะนอนแล้วเหรอ ไม่อาบน้ำหรือไง?”

     

    “อาบแล้ว...” สองมือคว้าเอาขนมห่อหนึ่งขึ้นมาแกะ “...เมื่อเช้า”

     

    “แล้วนั่นกินขนมตอนนี้เนี่ยนะ...” เขาขมวดคิ้ว “...ไม่แปรงฟันหรือไง”

     

    “แปรงแล้ว...”

     

    “เมื่อเช้าสินะ” ฮิมชานดักทาง หัวเราะขึ้นจมูกอย่างรู้ทัน

     

    “เมื่อเย็นวาน”

     

    แต่คำตอบที่ได้ทำเอาหน้าเหวอไปพักใหญ่ ยงกุกกลั้นขำกลิ้งไปมาบนเตียงเมื่อเห็นสีหน้าอีกคน ขนมที่เคยอยู่ในถุงจึงหกเรี่ยราดออกมาเกลื่อนที่นอน ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลางสบถเสียงดัง ฮิมชานที่เห็นภาพนั้นถึงกับส่ายหน้าระอา

     

    ทำตัวเองแท้ๆยังมีหน้ามาโวยวาย

     

    “โว้ย! เสียของหมด” เขาปัดที่นอนพาเอาเศษพวกนั้นหล่นลงพื้น

     

    “นี่ ทำแบบนั้นห้องก็เลอะหมดดิ” อีกคนที่กำลังรื้อเสื้อผ้าออกมาจัดใส่ตู้หันไปเอ็ด พอก้มลงมองที่พื้นก็พบว่าสกปรกไปด้วยเศษขนม รวมถึงเศษขยะเก่าๆที่ไม่เคยเก็บไปทิ้งด้วย

     

    “ก็ทำเตียงให้สะอาดอ่ะ” พอปัดภาระพ้นตัวได้ก็เอกเขนกนอนกินต่ออย่างสบายใจ

     

    ฮิมชานลุกขึ้นยืนเท้าเอว ก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่นอนนิ่งแล้วเตะเบาๆที่ข้างเตียง ยงกุกผงกหัวขึ้นมามอง เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าทำอะไรก่อนจะทิ้งหัวลงกับหมอนต่อ

     

    “นี่...” ฮิมชานสะกิด “...ลุกขึ้นมากวาดพื้นเลย”

     

    “ไม่” เขาครางงึมงำ

     

    “ถ้านายไม่ลุก...” ก้มตัวลงไปใกล้ จ้องมองใบหน้าของคนที่หลับตาพริ้มแล้วนึกอยากจะลอบฆ่า “...เราจะลงไปนอนกับนายนะ”

     

    “เฮ้ย!!!

     

    ทันทีที่สิ้นคำ ยงกุกก็ผลุดลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงเสยเอาปลายคางฮิมชานจนหน้าหงายลงไปนั่งกับพื้น เสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดดังระงมจนชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อึกๆอักๆมองคนที่นั่งก้มหน้ายกมือกุมริมฝีปากนิ่ง

     

    “ขอโทษๆ เป็นไรมั้ยวะ...” เขาคลานเข่าเข้าไปใกล้ขณะที่อีกคนพยักหน้าตอบช้าๆ “...เลือดเหรอ?”

     

    “เออเซ่! ซี๊ด...” ฮิมชานเงยหน้าจ้องตาเขียวปัด ที่ริมฝีปากด้านล่างปรากฏรอยแตกเล็กๆที่มีเลือดซึม “...จะตกใจอะไรขนาดนี้เนี่ย”

     

    “ก็มึงบอกจะลงมานอน...” เขากระชับผ้าห่มเข้าหาตัว “...กับกู กูก็ต้องตกใจดิ”

     

    “นอนด้วยแล้วผิดตรงไหนล่ะ...” เขาใช้หลังมือปาดรอยเลือดทิ้ง เบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันแสบพอตัว “...ยังไงคืนนี้เราก็ต้องนอนด้วยกัน”

     

    “โนๆ ผิดแล้วพวก” วาดมือขึ้นโบกไปมา

     

    “อะไร?”

     

    “กู...” เขาชี้มือเข้าหาตัวเอง “...บนเตียง”

     

    “?”

     

    “ส่วนมึง...” แล้วชี้ออกไปหาอีกคน “...พื้นครับ”

     

    “นายนี่มัน!

     

     

     

     

    หลังจากจัดการสัมภาระและอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ฮิมชานก็เดินกลับเข้ามายังห้องนอน ยงกุกหลับไปแล้ว หลับโดยที่ยังมีซองขนมคาอยู่ในมือ เขาเดินเข้าไปดึงมันออกมาวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะเขย่าปลุกอีกคน

     

    “นี่...” ออกแรงมากขึ้นเมื่อไม่เห็นท่าทีตอบรับ “...นี่นาย ตื่นก่อน”

     

    อีกฝ่ายขยับตัวปรือตาขึ้นมามอง เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนปลุกก็เบี่ยงตัวหันหลังให้ทันที “ปลุกไม จะนอน”

     

    “นอนทั้งๆที่ไม่ได้แปรงฟันเนี่ยนะ...” เขาขึ้นเสียง “...สกปรกให้มันมีขอบเขตหน่อยสิ”

     

    “นี่ด่าใช่มั้ย?” ชายหนุ่มหันกลับ ลุกขึ้นนั่งพลางยกมือเกาหัวเบาๆ

     

    “ใช่ที่ไหน”

     

    ยงกุกหรี่ตาใส่เหมือนไม่เชื่อในคำพูด

     

    “เอาน่าๆ เข้าห้องน้ำไปได้แล้ว” เขารุนหลังอีกฝ่ายให้ออกเดิน แต่กลับรู้สึกถึงแรงที่ขืนตัวเอาไว้เมื่อตอนใกล้จะถึงห้องน้ำ

     

    “เออ เครื่องนอนมึงอ่ะ หยิบเอาในตู้นะ...” ยกมือชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ “...ส่วนที่นอนก็หาเอา ตรงไหนว่างก็ปูตรงนั้น”

     

    “นี่ให้เรานอนพื้นจริงดิ”

     

    “ลูกผู้ชาย พูดแล้วไม่คืนคำเว้ย...” เขาจับลูกบิดประตูห้องน้ำ “...กูอาบน้ำล่ะ”

     

    ฮิมชานจัดการปูที่นอนตัวเองให้เรียบร้อย พยายามอย่างยิ่งแล้วที่จะหาพื้นที่ที่ดูสะอาดที่สุดแต่สุดท้ายก็ต้องจบลงที่การหยิบไม้กวาดมากวาดเอาเศษขนมและเศษขยะทั้งหลายด้วยตัวเอง เขาได้ยินเสียงน้ำหยุดไหลตอนที่ล้มตัวลงนั่งบนเบาะ ทุกอย่างเงียบลงเพียงครู่ เสียงตะโกนก็ดังลั่นมาจากคนด้านใน

     

    “เฮ้ย ไอ้ข้างนอกอ่ะ...” บังยงกุกแหกปากร้อง “...ไอ้ฮิมชาน”

     

    คนที่นั่งอยู่ลุกขึ้นเดินไปใกล้ เตะขาเข้ากับประตูห้องน้ำหนึ่งทีแล้วตอบกลับ “มีอะไร”

     

    “คือ กู...” เขาอ้ำๆอึ้งๆ “...ลืมผ้าเช็ดตัว

     

    ริมฝีปากสีสดวาดยิ้มขึ้นทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ ชายหนุ่มพิงหลังเข้ากับผนังหน้าห้องน้ำพลางยกมือขึ้นกอดอก “แล้ว?”

     

    “หยิบให้หน่อยสิวะ...” เสียงจากด้านในเริ่มดังขึ้น “...พาดอยู่บนเก้าอี้อ่ะ เร็วๆหน่อย กูหนาว”

     

    “...” ปรายตามองผ้าผืนที่ว่า

     

    “เฮ้ย ได้ยินมั้ยวะ” เขาลงมือทุบประตูรัวๆเมื่อเห็นว่าอีกคนเงียบไป

     

    “อือ...” ฮิมชานครางตอบรับ พยายามเป็นอย่างมากที่จะควบคุมไม่ให้เสียงตัวเองสั่นเพราะอยากหัวเราะ “...หนาวมากมั้ยยงกุก?”

     

    “โคตรๆ...” เสียงที่ตอบกลับแทรกไปด้วยเสียงฟันกระทบกัน “...แข็งไปหมดแล้วเนี่ย”

     

    “เหรอ”

     

    “เออ”

     

    “บังยงกุก...” ชายหนุ่มขยับเข้าหาประตู ยื่นหน้าไปใกล้เพื่อให้แน่ใจว่าเสียงที่ส่งไปจะดังชัดเจน “...เราปูที่นอนเสร็จแล้วนะ”

     

    “เออ เอาผ้าเช็...”

     

    “แต่แย่หน่อย...” เขาวาดยิ้มขึ้นเต็มสองแก้ม “...ที่เราดันอยากนอนบนเตียง”

     

                “ไม่ได้!” แทบจะทันทีที่ฮิมชานพูดจบ เสียงทุ้มก็ตะโกนลั่นมาจากอีกฝั่งพร้อมกับแรงทุบปึงปังที่บานประตูผิดกับอีกคนที่กลั้นหัวเราะจนหน้าแดงหูแดงขณะยกมือขึ้นอุดปากตัวเองไว้แน่น

     

                “งั้นก็เดินออกมาเอา...” เขาพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ “...ผู้ชายด้วยกัน เราไม่ถืออยู่แล้ว”

     

                “ไม่ได้!...” ยงกุกกดเสียงต่ำ “...กูผู้ชาย แต่มึง...ไม่แน่ใจ”

     

                “เยอะ”

     

                “ว่าเหรอ!

     

                “ใช่ที่ไหน”

     

                “พรุ่งนี้กูจะให้ไอ้นัมย้ายห้อง!

     

                “เอาวันนี้ให้รอดก่อนมั้ย?”

     

                “ไอ้...!

     

                เพียงแค่คิดว่าอีกคนจะเต้นเร่าๆด้วยความโมโหแค่ไหนก็ทำเอาฮิมชานยกยิ้มจนแก้มตุ่ย รู้สึกทั้งมีความสุขและสนุกจนลืมไปเลยว่าตัวเองเคยรู้สึกเศร้าเสียใจมากแค่ไหน

     

    “นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา งั้นเราไปนอนก่อนแล้วกันนะ” เขาแสร้งทำเป็นย่ำเท้าห่างออกไปทั้งๆที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีเสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายตอนที่เขายืนประเมินสถานการณ์อยู่ตรงนั้น

     

    แต่ก็เพียงชั่วครู่

     

    ก็ได้...” เสียงทุ้มดังแผ่วออกมาจากด้านใน

     

    “หือ?”

     

    “ก็ได้! มึงจะนอนบนเตียง บนโต๊ะ บนหิ้ง บนห่า บนเหวอะไรก็เอาเถอะ แต่ตอนนี้เอาผ้าเช็ดตัวมาก่อน กูจะแข็งตายละสัด!!!

     

    “จัดไป”

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “มึงจำเรื่องนี้ไว้เลยนะ...” บังยงกุกเหลือบตามองอีกคนที่นั่งหยิบนู่นวางนี่อยู่บนเตียงตัวเองอย่างหงุดหงิด สองมือที่เช็ดผมออกแรงเพิ่มขึ้นเพื่อระบายอารมณ์งุ่นง่านในใจ “...แค้นนี้ต้องชำระ!

     

    “อย่าคิดเล็กคิดน้อยสิ...” ฮิมชานคว้าเอาตุ๊กตาสีส้มเก่าๆแถวนั้นขึ้นมาพลิกดู “...ไม่แมนหรอก”

     

    “ไม่ต้องมาสอน...” เขาเดินมาฉวยเอาของในมืออีกคนมาถือไว้ก่อนจะล้มตัวลงนั่งบนเบาะที่ถูกปูอยู่ใกล้ๆกัน “...แล้วก็อย่าเที่ยวหยิบจับของของคนอื่นเขามั่วซั่วด้วย”

     

    “เราขอโทษ” ชายหนุ่มว่าเสียงอ่อย

     

    “ไม่ต้องมาเสียงอ่อย ไม่ให้อภัย...” ยงกุกล้มตัวลงนอนหันหลังพลางตวัดเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนมิดหัว “...ปิดไฟด้วย!

     

                “เราขอโทษจริงๆ...” อีกคนที่นั่งอยู่รีบคลานมาคุกเข่าตรงขอบเตียง เหลือบมองเห็นอีกฝ่ายทำท่าเมินเฉยแล้วก็หน้าสลด “...ที่จริงแค่แกล้งเล่น เราไม่ได้อยากนอนบนเตียงหรอก”

     

                “...”

     

                “ยงกุก...” ฮิมชานเอื้อมมือไปสะกิดคนใต้ผ้าห่มซึงไร้การตอบกลับ

     

                “...”

     

                “ยงกุก คือ เฮ้ย!

     

                ทันทีที่มือหนาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ร่างทั้งร่างของฮิมชานก็ร่วงพรวดลงจากเตียงล้มทับเอาคนที่ตอนแรกแสร้งนอนนิ่งเป็นขอนไม้แต่กลับฉวยโอกาสแก้แค้นเอาตอนทีเผลอ แต่ดูท่าว่าแผนที่ยงกุกวางไว้จะผิดจังหวะไปสักหน่อย

     

                “โอ๊ย! มึง ฮิมชาน เฮ้ย ลุกๆ เข่ามึงแทงอกกู ไอ้สัดจุก ลุก!” ชายหนุ่มโวยวายเสียงดังลั่นพลางพยายามตะเกียกตะกายพาร่างตัวเองออกมาให้พ้นผ้าห่มที่ตอนนี้พันมั่วไปหมดรอบตัวทั้งคู่

     

                “นะ นาย อยู่นิ่งๆสิ เราลุกไม่ขึ้น” อีกคนก็พยายามร่วมมืออย่างเต็มที่ ติดก็ตรงที่อีกฝ่ายเอาแต่ออกแรงดิ้นและแหกปากจนเขาทำอะไรไม่ถนัด

     

                “โอ๊ย เจ็บๆ เอามือมึงออกไปจากหัวกู...” ยงกุกตะกุยผ้าห่ม “...เฮ้ย! นั่นไข่กู อย่าไถลไปตรงนั้น!

     

                “อยู่นิ่งๆสิ!” ฮิมชานตวาดกลับทั้งใบหน้าแดงก่ำ

     

                “ก็มึงจะบี้ไข่กูแล้วอ่ะ อย่าไถลต่ำสิวะ!

     

                “นายก็อย่าดึงเราสิ เราลุกไม่ได้!

     

                “ก็มึง...!

     

                “ก็นาย...!

     

                หลังจากต่างฝ่ายต่างพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันเลวร้ายอย่างสุดความสามารถแล้ว สุดท้ายบังยงกุกที่ถูกผ้าห่มกักขังตัวไว้ก็สามารถหลุดออกมาสูดหายใจข้างนอกได้...อย่างตื่นตะลึง

     

                ใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าห่มเบิกตากว้างเมื่อประจันเข้ากับใบหน้าของใครอีกคนที่จ้องมายังเขาไม่วางตา แถมถ้าประสาทสัมผัสไม่บกพร่อง เขาว่าเมื่อกี้ปลายจมูกเขาเฉียดแก้มคิมฮิมชานไปเสี้ยววินาที

     

                ขนแขนพากันลุกพรึบพรับ

     

                “ขะ ขอโทษ” คนที่คร่อมอยู่ด้านบนละล่ำละลักบอกพร้อมด้วยใบหน้าที่แดงจัดไปถึงหู สองแขนพยายามออกแรงดันตัวเองติดก็แต่ที่มือด้านขวาดันไปพันเอากับผ้าห่มที่อีกฝ่ายนอนทับไว้จนแกะไม่ออก

     

                “ลุกออกไป” ยงกุกเกร็งใบหน้าตัวเองให้อยู่ห่างอีกคนที่สุดจนมันแทบจมมิดลงไปกับหมอน สายตาก็เสหลบไปทางอื่นอย่างทำตัวไม่ถูก

     

                “ดะ ได้”

     

                “...”

     

                “นะ นายช่วยขยับตัวหน่อยได้มั้ย”

     

                ฮิมชานพยายามกระชากมือตัวเองออกจากตรงนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะด้วยชะตาฟ้าลิขิตหรือนรกเล่นตลกอะไรถึงได้ดึงให้เขาล้มพรวดลงไปใส่อีกคนเสียอย่างนั้น อะไรๆที่มันเคยอยู่ห่างกันในตอนแรกถึงได้กระแทกเข้าหากันอย่างจัง

     

                .

                .

                .

                .

                .

     

                จะผิดหน่อยก็ตรงที่มันดันเป็น จมูกโด่งๆของยงกุกและปากแดงๆของฮิมชาน

     

     

     

                ขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ ^^

        

     

     

     

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×