คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Part 5
บางทีคุณก็พร้อมหลอกคนทั้งโลกเพื่อคนๆเดียว
และบางที...
คุณก็พร้อมที่จะหายไปพร้อมความจริงทั้งหมดที่มีแค่คุณคนเดียวกอบกุมเอาไว้
มันก็แค่บางที
...บางที
“เชวจุนฮง เชวจุนฮง เชว... จุนฮง”
แกร๊กๆ
“...” ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
มีเพียงเสียงเล็กเอ่ยซ้ำชื่อเดิมๆที่ทำให้คนรอบตัวเริ่มส่ายหัว
ปลายปากกาสีเริ่มซีดเซียวและจางลงในที่สุดแต่มือเรียวยังคงบังคับจรดปลายปากกาลงสมุดเล่มหนา
ยูยองแจ พึมพำชื่อของใครบางคนที่คนรอบตัวรู้จักกันดี พร้อมเขียนสิ่งที่เอ่ยนั้นลงไปเรื่อยๆมาหลายชั่วโมงแล้วตั้งแต่ที่อีกคนตื่นเช้าขึ้นมาต้อนรับวันใหม่หลังจากฝันร้ายที่พึ่งพบเจอ
เป็นเพราะว่าจำเชวจุนฮงคนนั้นไม่ได้มันเลยทำให้รถชนผู้ชายคนนั้น
แต่ตอนนี้เขาว่าเขาจำได้แล้วนะ
แต่ทำไมคนที่บอกจะเล่นกับเขาถึงยังไม่มาหาสักที
“เปลี่ยนแท่งไหมครับยองแจ
แท่งนี้สีมันไม่มีแล้วนะคนเก่ง” กระดาษเริ่มเป็นรูทะลุไปแผ่นต่อแผ่นเพราะการลงแรงที่เริ่มแรงขึ้นเมื่อสีไม่ออกดั่งใจคิด
คนดูแลใกล้ชิดอย่างหมอเจ้าของไข้บยอนโยฮันเขยิบเข้าไปลูบผมอย่างปลอบเด็กน้อยให้ใจเย็น
ก่อนจะหยิบปากกาในกระเป๋าอกเสื้อตัวเองยื่นให้ไป
โดยที่คนตัวเล็กก็ยิ้มแย้มรับไปอย่างดี
“บางทีผมคิดว่าพวกคุณควรจะออกไปกันได้แล้วนะครับ”
เคลียกับคนภายใต้การดูแลตัวเองเสร็จก็เขยิบตัวกลับมาสู้หน้าคนมากมายรอบตัว
โยฮันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าคำยืนยันของเขาและผลตรวจมันไม่ชัดเจนหรืออย่างไรทำไมตำรวจพวกนี้ถึงยังยืนยันที่จะมาดูคนไข้ของเขาให้ได้
ถึงจะได้ยินมาบ้างว่ายูยองแจโดนข้อหาอะไรพ่วงหลัง
แต่อย่างไรตอนนี้คนบ้าก็คือคนบ้า คนจิตไม่ปกติยังจะมาตามระแวงเดี๋ยวก็เป็นโรคประสาทตามกันให้ถ้วนหน้าหรอก
“จริงอยู่ที่เมื่อคืนเขามีอาการที่เหมือนจะจำอะไรได้มาบ้างแล้ว
แต่เพราะฝืนตัวเองมากไปมันยิ่งทำให้เซลล์สมองทำงานหนักถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตามเลยยิ่งบีบให้ลืมเรื่องทุกอย่างเพื่อให้สมองได้พัก
และถ้ายิ่งพวกคุณมาเกาะติดเขามากๆ ระวังเขาจะขาดสติเอาง่ายๆเพราะความเครียดนะครับ”
“เขาไม่ได้มีสตินึกคิดมากพอจะมาตอบคำถามพวกคุณหรอก
ผมว่าเรื่องนี้พวกคุณก็รู้กันดีนะ”
โยฮันว่าจบก็ชี้นิ้วที่ป้ายชื่อโรงพยาบาลที่ปักอยู่ที่อกเสื้ออย่างเหน็บอ้อมๆ
ย้ำเตือนว่าที่ที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่นี้คือโรงพยาบาลของคนจิตไม่ปกติ ขยับเสื้อกาวน์ตัวเองน้อยๆก่อนจะหันไปสนใจคนไข้ตัวเองต่อ
ทิ้งให้ตำรวจกว่าห้านายจำต้องหันหลังกลับกับคำไล่อ้อมๆนั่นทันที
จริงอยู่ที่โยฮันรู้ว่าคนพวกนั้นทำตามหน้าที่
แต่อย่างน้อยก็ควรคำนึงว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง จะให้คนบ้ามานั่งตอบคำถาม ไตร่สวนสอบความ
สรุปใครกันแน่ที่บ้ากัน
“ยองแจบอกหมอได้ไหมว่าเขียนชื่อเชวจุนฮงทำไม?
เขามีอะไรสำคัญงั้นเหรอฮึ?”
เมื่อมองจนคนพวกนั้นหายลับไปจากสายตาก็เหหันมาสนคนข้างตัว
ดูมือเล็กๆนี่จะไม่มีแม้แต่ความเมื่อยเกาะกินทั้งๆที่เมื่อคืนโวยวายแทบเป็นแทบตาย
ดีหน่อยที่มาฟื้นโวยวายตอนมาถึงโรงพยาบาลนี้
แต่พอเช้ามาก็สงบเสียจนคนตรวจเนี่ยล่ะที่งงแล้วงงอีก
ร่างเล็กเอาแต่ส่งเสียงพึมพำคำอะไรก็ไม่รู้สามพยางค์เรียงแล้วเรียงอีกสลับไปมาจนเขาปวดหัว
จนสุดท้ายคำแต่ละคำก็แทรกเขาหูจนเขาเริ่มคุ้นเคยและประติดประต่อได้ว่าอีกคนคงกำลังพูดถึงน้องชายที่เขาก็พอรู้มาจากประวัติและนั่นดูเหมือนจะถูกเพราะอีกคนตอบรับด้วยการกระโดดโลดเต้นและหอมแก้มเขาไปที...
ทำตัวน่ารักไม่รู้ตัวเลยให้ตายสิ ไม่ผิดหวังที่อุตส่าห์สอนอีกคนเขียนชื่อ เชวจุนฮง
คนนั้น... นี่เขาคิดอะไรเนี่ย?
“จุนฮงจะมาเล่นด้วย
ต้องจำชื่อจุนฮงให้ได้เดี๋ยวโกรธแล้วจุนฮงจะไม่มาเล่นด้วย” ว่าไปก็สะกดคำไป
รอยยิ้มหวานแย้มยิ้มสดใส ขอบคุณที่คนพวกนั้นออกไป
เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ได้ยินคำพูดอื่นนอกจากเชวจุนฮง เชวจุนฮง เสียงก็แหบจะตายอยู่แล้วยังจะพูดมากอีก
ร่างกายยังไม่หายดีเลยคนไข้ของเขา
“เดี๋ยวหมอต้องไปตรวจเพื่อนคนอื่นนะ
ยองแจนอนพักก่อนไหม เดี๋ยวหมอมาแล้วค่อยมาเขียนใหม่เนอะ”
เหลือบเห็นนาฬิกาข้อมือที่ตีเวลาเข้าบ่ายทำเอาคนเป็นหมอหน้าเหวอ
คนตัวสูงรีบหันไปเอ่ยกับเด็กน้อยในสายตาตน ยองแจมองกลับอย่างงงๆแต่ก็ยอมคืนให้
ก็ถ้าไม่ยอมฟังคุณหมอจะไม่มาเล่นด้วย... เขาไม่อยากอยู่คนเดียว
มือหนาของคนสูงกว่ารูปหัวคนว่าง่ายก่อนจะเก็บทุกอย่างให้เข้าที่
มันเป็นกฎของที่นี่อยู่แล้วที่จะต้องเก็บทุกอย่างให้พ้นมือคนไข้ ก็รู้ๆกันอยู่ว่าที่นี่มีแต่คนไม่ปกติ
ต่อให้จะเป็นดินสอ ยางลบ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีคนดูแลแค่แปบเดียวบางทีก็อาจจะเกิดอันตรายได้
จะทั้งเอาปากกาทิ่มตัวเอง หรือเอาเข็มหมุดที่ติดบอร์ดมาเจาะตา เจาะหู
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้เสมอนั่นล่ะ
ขนาดห้องยังมีแค่ห้องเปล่าๆไร้เตียงไร้ตู้
ไร้เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆเลย
ผนังก็บุด้วยหนังอย่างดีกันคนเอาหัวไปโขกกำแพงเล่นล่ะนะ...
“ยองแจนอนรอหมอนะ
หลับตาฝันถึงสิ่งดีๆแล้วเดี๋ยวเรื่องดีๆก็จะเกิดเนอะ หมอไปก่อนเดี๋ยวหมอรีบมาหานะครับ”
พยักหน้าและยอมทำตามอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
นัยน์ตาใสเหม่อลอยเมื่อมือหนาผละออกไป
หมอโกหก
...ยองแจฝันให้จุนฮงมาเล่นกับยองแจเมื่อคืนยังไม่เห็นมาเลย
หรือเราจะต้องฝันอีก? นั่นสินะ
“อ๊ะ...” ร่างกายต่อต้านทันทีเมื่อมีอะไรสัมผัสริมฝีปาก
ยองแจเม้มปากแน่นเมื่อมือหนาเอื้อมมาป้อนยาแต่ก็ยอมคลายออกและรับมันเข้าปากพร้อมน้ำอึกใหญ่
“หมอลืมเอายาให้ คราวนี้เรียบร้อยแล้วล่ะ
หมอไปจริงๆละ”
ยิ้มให้กับคนไข้ตรงหน้าก่อนจะผละลุกเก็บของทุกอย่างติดตัวออกไป
โยฮันมองผ่านหน้าต่างตรงประตูให้แน่ใจอีกครั้งว่าทุกอย่างเรียบร้อย
พอเห็นอีกคนแน่นิ่งเหม่อลอยอย่างปกติก็วางใจเดินไปจัดการเรื่องอื่นๆต่อ
แต่ถ้าบยอนโยฮันช้าไปอีกสักก้าว
คงจะทันเห็นยาแคปซูลเม็ดโตที่ยูยองแจฝืนขืนมันไว้ไม่ให้กลืนไหลตามน้ำลงไปถูกคายทิ้งลงข้างตัว
พร้อมหางตาที่มองที่ช่องหน้าต่างตรงบานประตูนั้นด้วยความว่างเปล่า
...
อาหารอ่อนถูกตักจ่อปากคนป่วยที่จำต้องอ้ารับอย่างจำยอม
จุนฮงระเลียดอาหารที่แดฮยอนป้อนด้วยอาการฝืนๆจนคนรอบข้างรู้สึกได้
ไม่ใช่ว่าไม่รู้สึกดีที่ได้คนรักมาดูแลใส่ใจ
แต่เพราะตอนนี้เขายังมีสิ่งที่ยังติดค้างในใจนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงจะดีใจเสียใจหนักใจเบาใจได้ไม่สุดอยู่อย่างนี้
“ไม่อร่อยเหรอ?” แดฮยอนถาม
จุนฮงส่ายหน้า
“คุณทำสีหน้าแบบนั้นเป็นใครเขาก็คิดกันทั้งนั้นแหละครับ
คุณแดฮยอนอุตส่าห์ทำมาให้เพราะกลัวอาหารโรงพยาบาลไม่ถูกปาก หยุดเหม่อเถอะครับ”
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกดูจะถูกแก้จากคนข้างกายอย่างบังยงกุกที่พูดออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
สายตาคนที่ยืนนิ่งอยู่นั่นไม่ได้หันมามองคนที่ตนพูดด้วยเสียเท่าไหร่
แต่เชวจุนฮงเดาได้ไม่ยากเลยว่าอีกคนกำลังรู้สึกแบบไหน
บังยงกุกก็ยังคงเป็นบังยงกุก
...และตอนนี้อีกคนก็แค่ไม่อยากให้จองแดฮยอนรู้สึกแย่มากไปกว่านี้
ถึงจะทำเป็นไม่แคร์แต่อย่างไรก็ห่วงอยู่เบื้องหลังอยู่ตลอดอยู่ดี
“มันอร่อยพี่ไม่ต้องคิดมาหรอกครับ
ผมกินเรื่อยๆเลยเห็นไหม
อย่างที่พี่บอกละมั้งร่างกายพึ่งฟื้นตัวมันเลยดูเฉื่อยๆยังไงไม่รู้” โดนตำหนิมาก็ว่าคลายเครียดเข้า
จุนฮงไม่ได้โกรธยงกุกหรอกที่เหน็บแนมเขาเพราะสำหรับเขาเรื่องแค่นี้มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากนักกับสิ่งที่พวกเขาสองคนได้ทำผิดกับอีกคนไว้
บังยงกุกเป็นคนดีเกินกว่าที่เขาจะเกลียดพี่ชายคนนี้ลง
“อ อือ...” แดฮยอนรับคำน้อยๆ
ก่อนจะป้อนที่เหลือเรื่อยๆจนหมดในที่สุด
เสียงหวานของคนตัวเล็กไม่คิดที่จะเอื้อนเอ่ยอะไรออกมามากนัก
หลังจากที่มันเคยดูเหมือนเป็นเพียงธาตุอากาศมาพักใหญเมื่อหลายชั่วโมงที่แล้ว
ซ้ำยังมีใครอีกคนอยู่ในห้องอีกด้วยนั่นล่ะที่เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มันทำให้ตนเลือกที่จะปิดปากเงียบ
แค่ช่วงเวลาที่จุนฮงสลบไป ตอนเขาวานให้ไปซื้อของให้และขอให้ยืมเครื่องครัวเล็กๆน้อยๆของทางโรงพยาบาลก็ถูกตอกกลับด้วยท่าทีนิ่งเสียจนมันเหมือนเขากำลังต่อสู้อยู่กับความหนาวติดลบกับหุ่นหิมะตรงหน้า
สายตาเย็นชามันมาพร้อมกับคำตอบรับเพียงแค่รับทราบแค่นั้น...
ไม่ได้มีอะไรมากกว่านี้
ก็เพราะอย่างนั้นล่ะยิ่งทำให้เหมือนแดฮยอนก้าวต่อไปไม่ถูก
“เดี๋ยวกินยาแล้วนอนพักสักหน่อยนะ
รีบๆพักอย่าพึ่งฝืน
อย่างน้อยถ้าทำตามจะได้รีบออกจากโรงบาลฯไปจัดการเรื่องที่อยากทำได้ง่ายขึ้นนะ”
ทันที่เก็บจานเรียบร้อยก็เดินเอ่ยพร้อมถือจานผลไม้มาหา
แดฮยอนเอ่ยเข้าทั้งๆที่มือก็ยังคงสาละวนกับการปลอกเสียจนเป็นเชวจุนฮงล่ะเสียวมือแทน
“พี่ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวบาดมือ” ปากไปไวกว่าความคิด
และคนข้างตัวก็ไวไม่ต่างกัน ยงกุกผลันตัวมาแย่งไปท่ามกลางดวงตาขอบคุณของเชวจุนฮง
แดฮยอนมีปัญหากับการปลอกผ่าทุกอย่างโดยไร้เขียง
ยงกุกกับจุนฮงจำได้ขึ้นใจเลยล่ะ
“พี่...”
“ผมขอกินยาเลยได้ไหม ผมอยากนอนแล้วล่ะ”
ไม่รอให้แดฮยอนได้เอ่ยอะไรจุนฮงก็เอ่ยแทรกทันที
แดฮยอนที่หันไปสนใจคนที่แย่งของในมือไปรีบกลับไปให้ความสนใจกับเสียงใหม่ทันที
ร่างเล็กรีบลุกขึ้นหยิบยาหยิบน้ำให้โดยที่คนบนเตียงก็ยอมกินแต่โดยดี
ครั้นที่สายตาอีกคนจะเลิกสนใจตัวเอง
จุนฮงก็พยายามหาเรื่องให้แดฮยอนสนใจตัวเองให้ได้เช่นเดิม
ยองแจเขาก็ห่วงแต่แดฮยอนเขาก็หวง
...จริงอยู่ที่จุนฮงก็ไม่ได้คิดอะไรแต่เขาก็ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันย้อนกลับเสียเท่าไหร่
ถึงตอนแรกเขาจะป่วงๆกับตัวเองแต่พอยงกุกดึงความสนใจแดฮยอนไปนั่นก็หมายความว่าถ่านไฟเก่ามันจะถูกจุดได้ทุกเมื่อ
“พี่ยงกุกเอาไปเก็บเลย ไม่กินแล้ว” คนตัวสูงว่าเข้า มือก็จับแน่นกับมือเล็กของคนรักตัวเอง
“ครับ” ไม่มีการโต้แย้ง
ยงกุกน้อมรับแม้สายตาจะเผลอมองมือที่กอบกุมกันไว้คู้นั้นและเผลอแสดงความเจ็บปวดผ่านม่านตาก็เท่านั้นเอง
“นอนพักเถอะ เดี๋ยวพี่อยู่นี่แหละ
ตื่นมาก็ไม่ต้องกลัวพี่ไม่ได้ไปไหน” ร่างสูงเอนลงนอนตามคำสั่งคนตัวเล็ก
แดฮยอนกุมมือหนาที่กุมมือตัวเองแน่น
ความคิดในหัวตีรวนไม่น้อยเมื่อทุกอย่างมันตีขึ้นเรื่อยๆจนเขาเริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก
“ครับ” น้ำเสียงว่าง่ายพร้อมดวงตาที่หลับปุ๋ยทำให้แดฮยอนยิ้ม
ความน้อยใจในตอนแรกที่เจอกันหลังจากไม่ได้เจอกันนานถูกลบเลือนอย่างง่ายดายรวมถึงเรื่องเมื่อสักครู่นี้ด้วย
...หัวใจแดฮยอนเต้นปกติแล้วล่ะ
จุนฮงรอบมองท่าทีพวกนั้นด้วยความโล่งใจ
พี่แดฮยอนอาจจะคิดเหมือนเขาในบางทีก็ได้... เพราะบางทีเชวจุนฮงก็เกลียดตัวเองที่กำลังจมลึกกับสิ่งที่มายั่วยุข้างทางทั้งๆที่เราเดินจับมือกันมาตลอดทางก็เป็นได้
ไม่สิเขาไม่ได้คิดอะไร
แล้วพี่แดฮยอนก็ไม่ได้คิดอะไร
แต่ตอนนี้เขาแค่เกลียดตัวเองนิดหน่อยเพราะทั้งๆที่กำลังจับมือคนรักของตัวเองไว้
หึงหวงไร้สาระกักขังคนของตัวเองไว้ ละทิ้งทุกอย่างและหาเรื่องดึงดันคนของตัวเองไว้
แต่กลับยังกล้าที่จะเหม่อถึงใครบางคนที่ตอนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันไว้ได้อย่างไร
นี่เขาเป็นอะไรไป?
โอเคตอนนี้เขาควรที่จะแยกแยะ
อย่างแรกเขาควรทำตัวเองให้หายไข้ และค่อยออกไปหาพี่ชายจิตผิดปกติของเขา
ตอนนี้เขาควรเรียงความสำคัญใหม่ ใช่... ตอนนี้แดฮยอนกลับมาแล้วนั่นหมายถึงทุกอย่างแดฮยอนต้องเป็นที่หนึ่ง
เลิกเอาความผูกพันในอดีตของพี่น้อง ล้มเลิกทุกอย่างและมาจับวางคนสำคัญที่สำคัญเพียงเพราะเครือญาติจำเป็นให้โยนไปไกลๆ
เชวจุนฮงต้องกลับไปอยู่ในจุดเดิม
เขาไม่ใช่หมอที่จะรักษายูยองแจได้
...เขาไม่ใช่
เพราะฉะนั้นมันไม่มีค่าเลยที่จะต้องร้อนรน
...ถูกแล้วจุนฮง นายไม่จำเป็นต้องร้อนรนกับคนๆนั้น
ต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง
ต่างคนต่างอยู่...
อย่างที่เคยเป็นตอนที่พวกเราไม่ได้อยู่ประเทศเดียวกัน
.
.
.
ถ้าเคยลองเดินไปในทางเดิมแล้วเจอจุดหมายปลายทางเป็นเรื่องยากอยู่แล้วที่เจ้าของฝีเท้าจะเลือกเปลี่ยนทิศ
ก็คงสามารถเปรียบกับหมาตัวหนึ่งได้ล่ะมั้ง
ถ้าเพียงได้ลองโดดลงโซฟาหนึ่งครั้งแล้วมีคนรับมันไว้ ครั้งต่อไปมันก็คิดว่าจะยังมีคนรับมันไว้เฉกเช่นเดิม
มาลองดูกันไหมว่า ยูยองแจ จะเป็นดังคำกล่าวที่ว่าไหม?
ยูยองแจที่แสนดื้อด้าน
แต่ภาพในตอนนี้มันกลับกลายเป็นยูยองแจผู้แสนสว่างจ้าใสซื่อบริสุทธิ์จนคนมองขนลุกขนพอง
ริมฝีปากคนมองเบะลงอย่างนึกสมเพชกับโชคชะตา
ภาพในห้องสี่เหลี่ยมที่มีคนตัวเล็กนั่งจุ้มปุ้กเหม่อลอยยิ้มบ้างนิ่งบ้างตามประสาคนไม่รู้เรื่องอะไร
มันน่าสนุกนักเชียวที่จะเล่นกับคนที่ถ้าเป็นปกติคงจะเล่นได้ด้วยยาก
แกร๊ก
มือกดปลดล็อคประตูจากภายนอกด้วยคีย์การ์ดที่แอบหยิบมาจากเคาน์เตอร์ผู้ดูแล
รอยยิ้มเริ่มประดับใบหน้าเมื่อจะได้รอดูความสนุกในไม่กี่นาทีนี้ต่อไป
“โอ๊ะโอว... ลืมไปว่ามีแกอยู่” เสียงเข้มหันไปเอ่ยกับกล้องวงจรปิดที่หันมา
ใบหน้าที่ปิดมิดรวมทั้งหัวจรดเท้านั่นคงไม่ได้ให้คำตอบได้ว่าคนที่กล้องจับภาพอยู่ตรงนี้คือใคร
รู้แค่ว่า... เป็นผู้ชาย
ร่างสมส่วนยักไหล่อย่างไม่ได้ใคร่สนใจ
เขายังมีเวลาให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้สบาย
เพราะฉะนั้นก็ควรจัดการกับเรื่องสนุกตรงหน้าให้รีบๆเสร็จเสียก่อน
“จิตสำนึกเหรอ?
ถ้ามันสตาร์ทเครื่องติดนี่ก็ควรให้หมอโรคจิตทุกคนทำการวิจัยแล้วล่ะ” พูดไปก็โบกสะพัดรูปในมือไปมา ภายใต้มาร์คปิดปากสีดำสนิทเรียวลิ้นนั้นเดาะเล่นจนเกิดเสียงที่ถ้าคนได้ยินคงนึกรำคาญหู
มือข้างที่ว่างก็ควงปากกาไปมาอย่างใช้เวลาให้นึกคิด
ก่อนที่เพียงแค่ชั่วนาทีเบื้องหลังแผ่นรูปจะถูกขีดเขียนข้อความลงไป
... “นายคงไม่มีกุญแจ แต่เครื่องนายน่าจะสตาร์ทติดนะยูยองแจ” คำพูดเป็นนัยเอ่ยขึ้นพร้อมๆกับสิ่งในมือที่ถูกลอดผ่านช่องประตูเข้าไปด้านใต้
ไม่ได้สนใจว่าอีกคนจะเห็นทันทีหรือไม่
ฝีเท้าหนาก็หันเหพาตัวเองไปยังสถานที่ต่อไปที่ต้องจัดการทันที
“จะมาถ่ายมั่วซั่ว นี่ถ่ายไปแล้วจะรู้เหรอว่าใครนะฮึ?”
ก็แค่ไปลบคลิปตัวเอง ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเลยสักนิด
... “จะถ่ายจ่อหน้าก็ได้นะ เดี๋ยวก็ไม่มีรูปมีคลิปแล้วอยู่ดี”
แวะเขย่งปลายเท้าอยู่หน้ากล้อง
ก็แค่ให้กล้องได้จับความชัดขึ้นอีกหน่อย อยู่สูงเสียขนาดนั้น
ถึงเขาจะสูงพอตัวแต่จะให้มิดเท่าเพดานสองเมตรกว่าก็ไม่ใช่เรื่อง
กึก
เดินมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหันหลังกลับไปมอง
...ดูเหมือนว่าเหยื่อจะกินกับดักตัวเบ้อเร่อเลยล่ะ
...
ผลัก!
ไม่ต้องได้คิดอะไรมากอีกต่อไป
ประตูถูกเปิดออกอย่างง่ายดายโดยไม่มีการสงสัยจากคนที่อยู่ในชุดคนป่วย...
ตอนนี้ยองแจรับรู้เพียงแต่ต้องรีบไป
...คนที่อยู่ใกล้นายนี่น่าจะตายไปให้หมดนะ
ว่าไหม?...
เอาอีกแล้ว... ประโยคนี้อีกแล้ว
รูปการ์ตูนล้อเลียนคนถูกโดนยิงตายมันไม่ใช่เรื่องน่าซีเรียสแต่เพราะประโยคที่ถูกเขียนขึ้นมาด้านหลังมันกำลังทำให้คนได้รับตัวสั่น
ประโยคที่เหมือนกระชากความตื่นกลัวทั้งหมดที่เคยมีออกมาเหมือนผลักดันความสงบให้ติดลบเสียจนจะกลับไปขุดให้เอาอยู่ก็คงเป็นเรื่องที่ยาก
กลัว...
ทุกครั้งที่ประโยคนี้เข้ามามันไม่เคยมีเรื่องดีเกิดขึ้นเลยสักครั้ง
และทุกครั้งมันเหมือนเขาสูญเสีย ถึงนี่จะเป็นแค่ความรู้สึก ถึงเขาจะจำไม่ได้
แต่ความสูญเสียมันยังคงจดจำอยู่ลึกลงไปในจิตใจ
ไม่ได้ตั้งใจเป็นเด็กดื้อที่คุณหมอบอกให้กินยานอนแล้วจะไม่ทำตาม
แต่เขากลัวความรู้สึกสูญเสียนี้
มันเหมือนมีคนมากระซิบว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นเป็นฉากๆจนหลอนประสาทไปในตัว....
ไม่ชอบ ไม่ชอบแบบนี้เลย
ยองแจวิ่งไปมาไม่ลืมหูลืมตา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองวิ่งไปเพื่อจุดหมายอะไร
ความกลัวมันเอาชนะทุกอย่างจริงๆเพราะที่แน่ๆมันทำให้คนตัวเล็กวิ่งลงมาสู่กลางถนนใหญ่ได้ในเวลาต่อมาอย่างไม่ได้ทันจะเตรียมตัว
“ที่นี่ที่ไหน?” พึมพำกับตัวเองเมื่อรู้สึกถึงอาการตื่นกลัวเริ่มลดระดับ
อาจจะเป็นเพราะสองข้างทางที่คนไม่พลุกพล่านนักก็เป็นได้ที่ทำให้ยองแจพยายามฝืนตัวเองให้ดูปกติให้ถึงที่สุดถ้าไม่นับชุดโรงพยาบาลที่กลายเป็นจุดสนใจในเวลาต่อมา
“คุณรู้จักที่นี่ไหม พาผมไปทีสิ” ความหน้าด้านมีเต็มร้อยกับคนไม่เต็มคุณเคยได้ยินไหม?
และตอนนี้ยูยองแจก็เป็นอย่างนั้นอย่างไม่มีเปอร์เซ็นต์ลดเฉกเช่นกัน
รูปในมือถูกส่งถามทางทั้งๆที่ไม่มีเค้าลางอะไรใดๆเลยสักนิด
การปฏิบัติของแต่ละคนต่อคนตัวเล็กก็ต่างกันจนบางทีร่างบางก็ได้รับแรงผลักอย่างนึกรำคาญเป็นการตอบแทนจากคนแปลกหน้า
ถามว่ายอมแพ้ไหมก็คงตอบแทนเลยได้ว่าไม่
แม้ฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีมืดแต่ยูยองแจก็ยังคงใช้รูปการ์ตูนล้อเลียนเรื่องตลกร้ายนั้นหาจุดหมายปลายทางต่อไป
ทั้งๆที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ร่างสูงใหญ่ที่นั่งดูมาสักพักทำท่าทีแคะขี้เล็บอย่างเบื่อหน่าย
น่าเสียดายที่ยูยองแจไม่ใช่คนที่ตนได้คาดประเมินไว้ในตอนแรก...
จะทั้งตอนเป็นบ้าหรือเป็นปกติยูยองแจก็ไม่คิดที่จะเดินก้าวเท้าสวมรอยใคร
...ยองแจไม่เคยหวาดกลัวอะไรถ้าเกี่ยวกับเรื่องครอบครัวตัวเอง
“ที่บ้านเลี้ยงเชื่องดีนักน้า” ต่อให้ตัวเองรู้ว่าตอนแรกโดดไปจะมีคนโอบอุ้ม ครั้งที่สองจะไร้คนรับ
เชื่อสิ จะยองแจตอนนี้หรือแต่ก่อนต่อให้ต้องโดดเข้ากองไฟก็คงยอม
เอาจริงๆที่ลากอีกคนให้ออกมาจากที่นั่นก็เพื่อให้แผนลงล็อคตรงเผงล่ะนะ
ตอนนี้ก็คงเหลือเพียงรอเวลา ถ้าเป็นไปตามที่คิดบางทีสมบัติตระกูลยูอาจจะเด้งมาง่ายๆอย่างที่ไม่ต้องไปยืมมือใครช่วยเลยล่ะ
น่าสงสารดี
“แล้วเจอกันนะ คุณหนูคนโตแห่งตระกูลยู”
...
รถวนไปมาจนคนขับเองยังรู้สึกเวียนหัว
ยงกุกค่อยๆเหยียบคันเร่งเพื่อให้เวลากับตัวเองในการมองดูร่างของพี่ชายของเจ้านายตนเองที่จากการคาดเดาแล้วคงจะไปไม่ได้ไกลจากรัศมีโรงบาลฯทางจิตนี่
ท้องฟ้ามืดครึ้มยิ่งยากกับการค้นหา
ครั้นจะยุติความคิดค้นหาไว้ก่อนก็ติดที่เชวจุนฮงโวยวายเสียยกใหญ่เมื่อปาร์คนาบีโทรมาแจ้งเรื่องที่ยูยองแจหายตัวไปจากโรงพยาบาลและเจ้านายเขาก็ไม่ยอมที่จะอยู่โรงบาลฯเสียท่าเดียวจนเขาจำต้องใช้รถเข็นพาอีกคนขึ้นรถมาด้วยอย่างเหนื่อยใจ
บอกให้กลับกับคุณแดฮยอนแท้ๆ
บังยงกุกล่ะเหนื่อยใจ
ร่างกายยิ่งเต็มร้อยอยู่ด้วยนี่นะ...
“นั่นๆๆ!” เสียงจุนฮงเรียกให้คนขับรถหันพวงมาลัยหักเข้าหา
เป็นอีกครั้งที่จุนฮงเอ่ยขอขอบคุณพระเจ้าที่รักษาใครคนนั้นไว้ให้เขา แต่ดูเหมือนสายตาพวกเขาจะแย่เกินไป...
ไม่ใช่คนที่เขาต้องการ
ติ๊ดๆๆ....
ผิดหวังได้ไม่เท่าไหร่ก็จำต้องรับโทรศัพท์
“ครับ ป้านาบี” จุนฮงเอ่ยเสียงอ่อยอย่างอ่อนแรง
พอๆกับยงกุกที่ล้าจนเลือกที่จะเหยียบเบรกหักรถเข้าฟุตบาตข้างทาง
“เจอคุณหนูแล้วนะคะ
พอดีตำรวจเจอเลยพาส่งกลับโรงพยาบาล แต่คุณ เอ่อ... คุณจินรี
คุณจินรีให้ไปรับคุณหนูกลับมา เธอใช้เหตุผลที่ว่าที่โน่นดูแลไม่ได้จนทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้
ใจป้าก็ตกลงเห็นด้วยเลยอนุญาต ตอนนี้คุณหนูกำลังจะกลับมาแล้วแหละค่ะ”
เหมือนยกภูเขาออกจากอก
จุนฮงถอนหายใจอย่างสุดตัวเอนหลังหลังพิงเบาะ
ยงกุกลอบมองท่าทีนั้นอย่างพิจารณาแม้ตัวเองก็นึกโล่งใจตามเช่นกัน
...คุณหนูของเขาจะรู้ไหมว่าตัวเองยิ้มออกมากว้างขนาดไหน?
“หยุดยิ้มเถอะครับ
คุณนอนพักก่อนเดี๋ยวถึงบ้านแล้วผมจะปลุก” ยงกุกว่าเข้าอย่างยิ้มๆ
จุนฮงเก็บปากทันทีก่อนจะทำเฉไฉมองไปข้างนอกทั้งๆที่รู้ว่าก็คงไม่ทัน
จริงๆก็ไม่รู้ตัวหรอกถ้ายงกุกไม่ทัก...
เขาดีใจเว่อร์อีกแล้วสินะ
“พี่รีบๆขับกลับเถอะ ป่านนี้คนที่บ้านรอกันแย่แล้ว”
พูดไปก็ไม่ได้มองหน้าคนสนทนา คำพูดกำกวมนั่นทำให้ยงกุกอดจะยิ้มมุมปากออกมาน้อยๆ
ถ้าตอนนี้ให้เขาเดาก็คงอยากจะรีบกลับไปหาคุณยองแจ... หรือไม่บางทีก็คุณแดฮยอนที่ส่งคนมารับให้กลับไปก่อนตอนแรก
คิดถึงตรงนี้รอยยิ้มก็หายไป สสีหน้าเรียบนิ่งถูกบังยงกุกหยิบกลับมาใส่อีกครั้ง
เรื่องของเจ้านายขี้ข้าไม่ควรแส่
จำไว้สิบังยงกุก
ต่อให้เชวจุนฮงจะเลือกใครดอกไม้ที่ถูกตัดไปใส่ในแจกันก็ไม่มีวันถูกกลับมาต่อที่ต้นได้อีกแล้ว
...เลิกคิดฟุ้งซ่านและเหยียบคันเร่งเพื่อฟื้นคืนสติ
คนอายุน้อยกว่าไม่ได้ว่าอะไรในเมื่อก็เป็นความตั้งใจที่เขาต้องการกลับบ้านเร็วๆอยู่แล้ว
เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านหลังโต
ยงกุกหักเลี้ยวเข้าประตูรั้วก่อนจะจอดเทียบที่หน้าบ้านอย่างปลอดภัย จุนฮงรีบผลุนผลันลงจากรถไปทันทีแม้จะทุลักทุเลไปบ้างเพราะอาการบาดเจ็บ
ยงกุกไม่ได้ลงไปช่วยอะไรแต่กลับเลือกที่จะขยับเกียร์เคลื่อนตัวเอารถไปจอดที่โรงจอดรถแทน...
“...” ภาพตรงหน้าทำเอาร่างที่พึ่งเข้ามาหาเสียงตัวเองไม่เจอ
จุนฮงมองดูภาพที่แน่นอนว่าตอนนี้คนที่มีศักดิ์เป็นอาที่นั่งอยู่ไม่ไกลเขาไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นัก
เขาสนเพียงแต่คนสองคนที่ใครคนหนึ่งกำลังนั่งชิดมุมกำแพงและอีกคนกำลังพยายามขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆเท่านั้น
“คุณหนูไม่ยอมคุยกับใครเลยตั้งแต่ตื่น
เธอโดนฉีดยานอนหลับตอนอยู่ที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ พึ่งตื่นเมื่อสักครู่นี้เลย”
“คุณแดฮยอนพยายามไกล่เกลี่ยแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
ขนาดป้าเองแท้ๆคุณหนูยังเริ่มตีตัวออกห่างเหมือนช่วงแรกๆที่พวกคุณท่านเสียเลย”
เสียงของนาบีที่พึ่งเข้ามาแน่นอนว่าจุนฮงรับฟัง
ภาพที่ยองแจพยายามทำตัวลีบเบียดตัวเข้ามุมห้องเรื่อยๆกับแดฮยอนที่พยายามไม่เข้าใกล้มากเกินไปเอ่ยปลอบไม่ขาดปากมันทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก
แต่ที่ตอนนี้ตัวเขานิ่งอยู่ตรงนี้เพราะคำว่าเลือกไม่ได้...
คนหนึ่งก็คนรัก อีกคนก็พี่... ไม่สิ พี่คนนั้นเขาต้องเกลียด ไม่ๆ...
เขาก็แค่ต่างคนต่างอยู่ เลิกงุ่นง่านทำตัวเลือกไม่ได้แบบนั้นสักที
ตอนนี้พี่แดฮยอนกลับมาแล้ว...
แดฮยอนของจุนฮงกลับมาแล้ว
คนสำคัญของจุนฮงกลับมาแล้ว
ยูยองแจก็จิตผิดปกติอย่างที่เป็น
แค่รอวันที่อีกคนกลับมาเป็นปกติไม่ก็แค่สองปีที่จะต้องอยู่ด้วยกันเขาแค่เอาส่วนของเขาไป
ดูแลในส่วนตระกูลที่เขาได้รับและก็แค่ต่างคนต่างเดินทางใครทางมัน
จำไม่ได้แล้วเหรอ?
แค่นี้เอง
เรื่องแค่นี้เองเชวจุนฮง
“พี่แดฮยอนปล่อยเขาเถอะ เดี๋ยวก็คงดีขึ้น
ขึ้นไปพักกันเถอะครับ” ค่อยๆก้าวเข้าไปพยุงร่างของคนรักที่ดูชะงักไปไม่น้อย
แดฮยอนมองจุนฮงสลับกับยองแจอย่างไปต่อไม่ถูก ถึงจะงงกับจุนฮงแต่ก็ยังคงห่วงยองแจ
จะให้เขาขึ้นไปนอนทั้งๆที่ดูพี่ชายของคนรักตนเหมือนคนฝันร้ายอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เหรอ
“แล้ว... แล้วยองแจ?”
“ป้านาบีครับ ฝากดูด้วยนะครับ
ตอนหลังคุณพ่อคุณแม่ตายเขาเป็นยังไงก็ทำยังงั้นแหละ”
นาบียืนนิ่งกับคำพูดนั้น คุณหนูคนเล็กเธอไม่ได้สาวความต่อแต่กลับพยายามลากคนที่ขึ้นชื่อว่าคนรักออกไป
ท่าทีดีใจที่เคยเป็นเมื่อไม่กี่วันกลับถูกแทนที่ด้วยความไม่ใส่ใจเฉกเช่นเดิมเหรอ?
นาบีได้แต่นึกอยู่ในใจ
ให้เธอทำเหมือนที่แต่ก่อนเคยทำ?
... ”งั้นฉันไปพักบ้างละกัน” จินรีเอ่ยขอตัวไป
นั่นก็คงดีอยู่นิดหน่อยในความคิดนาบี เหลือแค่เธอและคุณหนูของเธอน่ะดีแล้ว
ไม่ต้องแล้วล่ะความเป็นห่วงของใครคนอื่น
ปล่อยทิ้งคุณคนโตไว้ชั่วคราว
ก่อนจะไปพาคำโกหกคำโตมาส่งถึงที่
ร่างสูงวัยวางเจ้าสี่ขาลงก่อนจะเขยิบตัวไปไม่ไกลจากร่างคนที่กำลังหวาดกลัวนัก “มีโซมานี่... มานี่เร็ว”
คุณจุนฮงคงยังไม่รู้
ไม่รู้เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ควบคุมคุณหนูคนโตเธอได้ก็เกี่ยวเนื่องกับตัวของคุณเต็มๆ
“คุณหนูจุนฮงส่งเจ้ามีโซมาให้คุณหนู
คุณหนูจำได้หรือเปล่า อย่ากลัวมันเลยนะ เห็นไหม มันจะทำอะไรได้
น้องชายคุณหนูส่งมาไงคะ เดี๋ยวแกก็กลับมาหาคุณหนูแล้ว หมามันไม่ทำร้ายคุณหนูหรอก
ใจเย็นๆนะคะนะ”
นาบีไม่ได้เขยิบตัวเข้าไปใกล้
เธอเพียงแค่นั่งดูไม่ไกลให้เจ้าบีเกิลแสนน่ารักทำความคุ้นเคยกับเจ้าของคนเดิม
ร่างที่กำลังหวดกลัวเหมือนเริ่มจะค่อยๆผ่อนคลาย
นั่นก็ทำให้เธออดจะยิ้มออกมาอย่างโล่งใจไม่ได้
...คุณจุนฮงไม่เคยรู้เลยว่าแค่ชื่อและคำว่าน้องชายมันทำให้คุณเขารู้สึกปลอดภัยแค่ไหน
“มันชื่อมีโซ มีโซแปลว่ารอยยิ้ม...
คุณจุนฮงคงอยากเห็นรอยยิ้มของคุณหนูนะคะ”
ทุกอย่างมันก็เป็นแค่คำโกหกคิดเองเออเองของเธอก็เท่านั้นเอง
“อย่ากลัวอีกเลย... คุณหนูของป้า”
TBC.
talk; อย่างงนะคะ เดี๋ยวจะคลี่คลายเรื่อยๆ บอกให้คนอ่านอย่างงนี่คนแต่งงงเอง 555 ล้อเล่นค่ะ เรื่องนี้น่าจะประมาณสิบกว่าตอนจบ ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ^^
ความคิดเห็น