คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [BANGJAE] ONE SHOT
author : PLaimalill
couple : BangJae ft. Daelo Himup
rate : PG-16
"Black Paradise" - Beast
ไกลออกไป...
ร่างของคนๆหนึ่งกำลังเร่งฝีเท้าไกลออกไปเรื่อยๆอย่างไม่คิดที่จะหันหลังกลับมามองคนอีกกลุ่ม ดวงตาและริมฝีปากที่แย้มยิ้มในคราแรก ไม่สามารถรู้ได้อีกว่าเบื้องหลังแผ่นหลังบางนั่นมันกำลังเผยความปิติกับชัยชนะ หรือเสื่อมถอยกับสถานะผู้ทรยศ
ผู้ทรยศที่หลังจากนี้คงจะถูกตราหน้าจาก ‘เพื่อน’ ตัวเอง
“ทำไม...” เรี่ยวแรงของคนหนึ่งในนั้นลดลงจนกลายเป็นติดลบ ร่างสูงที่เคยก้าวร้าวแข็งกร้าว ในตอนนี้ราวกับกระต่ายแสนเชื่องที่แม้สีหน้าและดวงตาจะเย็นชาเสียจนน่ากลัว แต่ก็ไม่ขัดขืนถ้าคนอื่นจะแตะต้องตัว
ดวงตาที่หยิ่งผยองดูน่าเกรงขาม ในตอนนี้กลับเริ่มคลอน้อยๆไปด้วยน้ำสีใสที่คงคั้นมาจากความรู้สึกของการโดนหักหลังในตอนนี้ แม้จะพยายามไล่ตามคนๆนั้น แต่ก็กลับไร้เรี่ยวแรงจนถูกควบคุมตัวจากหน่วยสวาทอย่างง่ายดาย “ทำไม”
...ทำไมกัน
“ปล่อย!! ปล่อยสิวะเฮ้ย…!!”
“ปล่อยน้องกู เหี้ยเอ้ย!!”
“…ชิท!!”
เสียงโวยวายจากคนที่เหลือทำให้ต้องหันมาให้ความสนใจกับ ‘ความเป็นจริง’ น้องชายทั้งสามรวมกับอีกหนึ่งเพื่อนรักกำลังถูกควบคุมด้วยกำไลสีเงินที่เรียกว่า กุญแจมือ... คนที่มีศักดิ์เป็นพี่แต่ละฝ่ายพยายามดิ้นรนเพื่อให้คนอายุน้อยกว่าหลุดพ้น จงออบที่พยายามถีบคนที่ล็อคตัวจุนฮงให้ออกห่าง แดฮยอนที่พยายามดิ้นเพื่อที่จะเข้าไปหามักเน่ทั้งสอง ฮิมชานที่พยายามเอื้อมมือสุดแขนหวังคว้าปืนเพื่อน้องทั้งสามนั่นอีก...
แล้วเขา...
ทำอะไรบ้าง?
อ้อนวอนกับธาตุอากาศอย่างนั้นเหรอ...??
“ได้โปรด... อย่าไป”
คำขอสุดท้ายก่อนที่จะถูกคนในชุดเครื่องแบบกดตัวคุกเข่าลงแน่นิ่งกับพื้น...
ลูกกรงเหล็กไม่ได้สร้างความหวาดหวั่นได้มากเท่ากับการที่จะต้องมองดูคนที่ตนยกศักดิ์ให้เป็น ‘น้อง’ ต้องมาตกอยู่ในสภาพเดียวกันอย่างนี้ ใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่จะแสดงความขุ่นเคืองยิ่งทำให้คนอายุมากที่สุดละอายใจ เคยเอาตัวรอดมานับสิบนับร้อยเหตุการณ์กลับกลอก แต่ทำไมแค่เหตุการณ์ในระดับง่ายดายเขาถึงเลือกทางเดินได้ชิบหายวายวอดได้ขนาดนี้กัน...
“อาจจะเป็นเพราะหมอนั่น...” พึมพำพร้อมรอยยิ้มขันที่เป็นนัยน์สมเพชตัวเองเมื่อใบหน้าของ ‘คนทรยศ’ ลอยแทรกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ดวงตาแววโรจน์เพียงชั่วครู่ถูกปลุกกับเป็นดวงตาปกติ ร่างสูงผลุดตัวลุกขึ้นจากพื้นก่อนจะจัดการตัวเองให้เข้าไปใกล้น้องๆที่เหลือด้วยความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้
“หิวกันหรือเปล่า?” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเสียงแผ่ว คนเป็นน้องสามคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพียง ดวงตาแข็งกร้าวที่วูบไหวเสียจนสังเกตได้ทำเอาคนที่มองอยู่อยากที่จะกอดปลอบประทังความเหนื่อยล้ากายใจนี้ แต่พี่ชายดูเหมือนต้องการซ้ำตัวเองในเวลานี้ ...ไม่สมควรเลย
“ไม่หิว และไม่ต้องทำตัวเป็นหมาหงอย...ขอบคุณ” เป็นเสียงเพื่อนสนิทอย่างฮิมชานที่ตอกกลับมา ท่าทีติดเย็นชานั่นทำเอาน้องที่เหลือต้องสะกิดเรียกสติกันเป็นการใหญ่ พี่รองของกลุ่มได้แต่ตีสีหน้าเบื่อหน่าย หันเท้าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในมุมมืดของห้องซี่กรงที่ดูอับ ทั้งยังมีชอล์กมากมายวางตัวทิ้งกระจายอยู่เต็มพื้น ทรุดตัวลงนั่งเสมองกำแพงก็เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อมันดูเหมือนเป็นการนับวันที่จะต้องสิงอยู่ในที่บ้าๆแบบนี้
แม้ ‘น้อง’ จะแสดงท่าทีไม่ขุ่นเคือง
แต่ก็ใช่ว่า ‘เพื่อน’ จะก้มหน้ายอมรับสิ่งนี้เช่นกัน...
"พี่ๆฮะ..." คนเด็กสุดเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อดูเหมือนพี่รองพี่ใหญ่ประกาศสงครามผ่านคำพูดกระแทกกระทั้นและสายตา คนแก่สุดได้แต่ส่ายหน้าตอบกลับเนือยๆไปอย่างไม่ให้น้องชายคนสุดท้องคิดหนักต่างจากคนรองลงมาที่ยังคงนั่งกอดอกเอนศรีษะพิงกำแพงอย่างขุ่นเคืองจดจ้องไล้วนเจ้าตัวอักษรสีฝุ่นที่เลือนลางเต็มทีนั่น
ฮิมชานไม่ได้โกรธใครหรอก
เขาแค่โกรธตัวเองจนพาลกับคนอื่นก็เท่านั้น...
"...ไอ้โง่คิมฮิมชาน" จะก่นด่ากับตัวเองมากกว่านี้ก็คงเทียบไม่ได้ "นายนี่มันโง่จริงๆ"
...คิมฮิมชานคนโง่
...คนเห็นแก่ตัว
"มีอะไรหรือเปล่า?" ล้มเลิกการศึกประสาท ก้าวเท้าหนาเข้าใกล้ถามอย่างเป็นห่วง ยงกุกไม่ได้ถามลอยๆ แต่เขาแปลกใจไม่น้อยกับท่าทางที่คนโกรธคนยากอย่างคิมฮิมชานจะมีอะไรมาให้ฮึดฮัดเล่น
"ช่างเถอะ" แต่ก็โดนปัดความหวังดีอย่างที่เห็น คิดว่าบังยงกุกมีความอดทนมากนักหรือไง?
"มึงเป็นไรก็บอกกูมาสิ..."
"..."
"คิมฮิมชาน!!" คอเสื้อถูกกระชากขึ้นจนลำตัวที่นั่งอยู่โผลุกฮือขึ้นตามแรง น้องรอบข้างที่ในคราแรกยืนนิ่งดูเหตุการณ์ก็เป็นอันวิ่งเข้าแยกแต่ก็ติดที่หน้าพี่รองที่ส่ายเบาๆมายังน้องทั้งสามที่จำต้องออกไปประจำที่ดั่งเดิม
"...บอกมาได้หรือยัง?!" เสื้อยืดแทบบาดลำคอแต่ก็ทำได้เพียงกัดริมฝีปากตนแน่นตอกกลับ ช่างใจสักพักจนอีกฝ่ายก็เริ่มผ่อนเช่นกันก่อนที่จะเอ่ยประโยคออกมาแผ่วเบา "ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดยองแจ..."
"ทุกอย่าง" อยากจะง้างออกไปให้มากกว่านี้เหลือเกิน แต่สัญญาที่ตอกเข้าริมฝีปากก็ทำให้ตัดใจสลัดกลอนไม่ได้ แม่กุญแจยังคงเกาะสนิมแน่น มีเพียงสองทางแหละมั้งที่จะสามารถเปิดผนึกออกมา
ไม่โดนฟาดฟันเชือดเฉือนจนหักวิ่น
ก็ต้องรอเจ้าของมันมาไข...
"...อย่าบอกว่ามึง"
"กูไม่ได้อยู่ฝ่ายใครทั้งนั้น กูพูดในสิ่งที่กูคิด"
"เหอะ!"
"...ยองแจทำทุกอย่างต้องมีเหตุและผลเป็นตัวตั้ง สิ่งใดที่มันทำให้ยองแจตัดสินใจแบบนี้ฉันหวังว่านายจะทบทวนนะยงกุก" สรรพนามถูกปรับเปลี่ยน คำพูดที่ยื้อสติทำให้เจ้าของชื่อปล่อยมือที่จับยึดแน่นนั้นคลายลงอย่างเผลอไผล ดวงตาคมที่เคยแข็งกร้าวกลับว่างเปล่าก่อนที่มันจะกลับมาเป็นปกติสะบัดตัวออกเดินก้าวไปพิงแผ่นหลังที่ลูกกรงขึ้นสนิมปรับเปลี่ยนเรื่องให้กลับสู่ภาวะปกติ
นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมาแตกหักกันเอง....
“เรามาคิดหาวิธีออกจากที่นี่ดีกว่า” ตัดบทเรียกร้องความสนใจจากทุกฝ่าย ราวกับเรื่องเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น มันก็เป็นเพียงวังวนที่ถ้าตกลงไปอีกครั้งความรู้สึกที่เคยมีเหล่านั้นมันก็จะทำร้ายตัวเองเข้ามากเข้าไปทุกที
ความรู้สึกที่เขาเคยคิดว่าคนๆนั้นรู้สึกร่วมด้วย
ความรู้สึก... ที่สุดท้ายก็เป็นแค่ลมปาก
มันก็เพียงเสียงแผ่วเบาที่ออกมาจากคนทรยศที่ยังคงทำการเสแสร้งนั่นจนนาทีสุดท้าย...
ยังจะคิดอะไรอีกกัน
...บังยงกุก
ONE SHOT
เสียงกุญแจที่ไขดังลั่นในสถานที่อับแบบนี้เรียกความสนใจให้กับผู้ที่ต้องมาอยู่ในคุกใต้ดินพิเศษที่สร้างมาให้พวกเขาตัดขาดจากโลกภายนอกเสียจริง เสียงย่ำเท้าที่ยังคงก้องดังเข้ามาเรื่อยๆแต่ความมืดมิดที่มีเพียงแสงสว่างรำไรจากช่องระบายอากาศบนเพดานสูงลิบที่ส่องให้เห็นแค่บริเวณที่พวกเขาอยู่ไม่เผื่อแผ่ถึงทางเดินนั่นก็ทำให้ต้องรอเฉลยว่าบุคคลมาใหม่เป็นใครเมื่อฝ่ายนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“ไอ้ยองแจ!” แดฮยอนที่เย็นมาตลอดผลุดลุกแทบจะโผเข้าไปหาเจ้าของชื่อถ้าไม่ติดจงออบที่ผลุดลุกตามมาล็อคตัวไว้ “ใจเย็นก่อนสิครับ”
บรรยากาศเรียบเย็นจนรู้สึกสั่นแม้จะไม่มีลมพัดผ่านรุนแรงเข้ามาในนี้เลยสักนิด ทั้งยังเงียบเสียจนห้องทึบนี่สะท้อนเสียงลมหายใจที่แค่ฟังผ่านๆก็รู้ว่าแต่ละคนสกัดกั้นอารมณ์ไว้ขนาดไหน “สวัสดีครับ” แต่ต่างคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป ดวงหน้าหวานที่ในตอนนี้ประหนึ่งว่าถูกติดป้ายแสกหน้าว่า 'คนทรยศ' จำต้องส่งดวงตาเรียบนิ่งก้มหัวทำความเคารพท่ามกลางสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากคนภายในที่ก็ทำหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เท่าเทียมกันเสียเหลือเกิน...
“อย่าเข้ามาใกล้ยองแจ หยุดอยู่แค่ตรงนั้น!!” เป็นเสียงฮิมชานที่ตะโกนลั่นเมื่อเจ้าของชื่อเงยหน้าและกำลังจะสาวเท้ายาวก้าวเข้ามาใกล้ลูกกรงที่ภายในเต็มไปด้วยพวกเขาที่เรียงราย ร่างหนึ่งเดียวที่อยู่ภายนอกชะงักชั่วครู่ก่อนจะกดยิ้มมุมปากจ้องสายตาแน่วแน่ไปยังคนหนึ่งในนั้น
...ยงกุก
“ไม่เป็นไรหรอกฮะพี่ฮิมชาน... ถ้าเขาจะทำ”
“...ก็ให้เขาทำ”
แม้คำพูดจะเสมือนคุยกันกับเจ้าของชื่อ แต่ดวงตาที่ยังคงสบตรงกับร่างสูงที่คุ้นเคยนั่นอย่างไม่เกรงกลัวซึ่งแน่นนอนว่าอีกฝ่ายก็จ้องตอบกลับไม่แพ้กัน สายตาที่แข็งกร้าวปะทะเข้ากับสายตาที่กักเก็บความหมาย รอยแผลฟกช้ำที่ยังไม่หายดีไม่ได้ถูกเอ่ยถามความเป็นไป ร่างสูงที่ซูบลงมากก็ไม่ได้ถูกเอ่ยถามถึงสาเหตุเช่นกัน
“สบายดีหรือเปล่า จุนฮงอา ออบบี้ยา...”
สุดท้ายก็เป็นคนมาใหม่ที่เลือกจะเสหน้าหนี มือบางเอื้อมไปจะสัมผัส 'น้องชาย' ทั้งสอง แต่กลับต้องชะงักกับคำพูดที่ทำเอาเรี่ยวแรงที่จะส่งมือสัมผัสนั่นแทบไม่มีแรงแม้แต่จะเคลื่อนออกอย่างที่หวัง หรือแม้แต่จะเคลื่อนกลับอย่างที่สมควร
“กรุณาเรียกผมว่าเจลโล่”
“จงออบคือชื่อของผม ช่วยเรียกให้ถูกด้วยครับ”
มือที่เคยปลอบประโลมยามน้องต้องการอย่างเคยชินในอดีตยังคงแน่นิ่งค้างกลางอากาศ แรงสั่นน้อยๆอย่างจับสังเกตุได้ทำเอาคิมฮิมชานได้แต่กัดริมฝีปากแน่น...
...จงออบกับจุนฮงรักยูยองแจพอๆกับชีวิตตัวเองด้วยซ้ำ
“มาทำไม” ราวกับสิ่งซ้ำเติมเมื่อยงกุกเอามือของตัวเองปัดมือที่สั่นไหวนั่นให้ออกห่างจากน้องในความดูแลของตน พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำที่พูดขึ้นเสียงเรียบ
“ผ ผม...”
“อ่าไม่สิ ผมมาบอกแค่ว่าเดี๋ยวพวกนั้นจะมาพาพวกพี่ไปเรือนจำ” ร่างบางที่สั่นชั่วครู่ตั้งสติกลับมาทำตัวไม่ทุกข์ร้อนเหมือนเดิม ต่างจากยงกุกที่ผงะก่อนจะหันไปมองน้องเล็กสองคนดวงแววตาตื่น “รวมจุนฮงกับ...”
“ใช่ฮะรวมจุน...เจลโล่กับจงออบ ทุกคนจะถูกส่งตัวไปเรือนจำ... ทุกคน”
“บ้าหรือไง!! น้องมันยังไม่บรรลุนิติ...”
“ผมรู้!!!” และผมเป็นคนขอเองให้พวกเขาสองคนไปด้วย...
คำต่อท้ายไม่ได้หลุดออกจากปากตามไป ความจริงจุนฮงกับจงออบต้องไปอยู่ในอีกสถานที่หนึ่งที่ไว้สำหรับบุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ที่นั่นก็ใช่ว่าจะอันตรายน้อยกว่าเสียเมื่อไหร่ ให้น้องสองคนได้ไปอยู่ที่เดียวกับพวกพี่ๆ อย่างน้อยเขาคงจะห่วงน้อยกว่า เพราะยงกุกคงจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเด็กสองคนนี้แน่ๆ
...อย่างน้อยก็ยังคงมีคนคอยดูแล
และเด็กพวกนั้นคงจะสุขกว่าถ้าจะได้อยู่กับพี่ๆ
พี่ๆที่ไม่ได้รวมยูยองแจคนนี้...
“ยูยองแจ!!!” มือหนารอดผ่านช่องซี่ลูกกรงกระตุกคอเสื้ออีกคนเข้าใกล้ไม่ได้สนใจว่าเรี่ยวแรงนั่นทำเอาหน้าท้องและแผ่นอกกระแทกกรงเหล็กเสียจนรู้สึกจุก ใบหน้าหวานที่บอบช้ำเก็บอาการเสียเรียบนิ่งจนคนที่ร้อนใจแทนกลับเป็นคิมฮิมชานเสียเอง “ปล่อย ยงกุก!... มึงปล่อยยองแจ!!”
ร่างกายที่บอบช้ำ... ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเจ็บปวดที่ก้อนเนื้อภายในเสียเลย ให้ตายสิ...
“นายนี่มัน...!”
“...แต่ผมสามารถทำให้ทุกคนกลับมาเป็นสามัญชนคนปกติได้”
“??!!!”
“ออกจากวงการนี้ ออกจากวงการนี้อย่างถาวร” คำพูดพร้อมสายตาแน่วแน่ที่ไล่เรียงคนต่อคนจนครบทุกคนที่ดูจะอึ้งไม่น้อยกับคำที่ตัวเองกล่าวออกมา ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่คนตรงหน้าที่เริ่มผ่อนแรงที่ปกคอเสื้อตัวเองด้วยคำพูดแฝงไว้ในแววตาที่ในตอนนี้คนตรงหน้าคงไม่คิดที่จะสนใจ...
ไหนบอกจะเชื่อใจกัน
อ่า... นี่หวังอะไรอยู่นะ ยูยองแจ
“ออกจาวงการนี้... ถ้าพี่สัญญาว่าจะไม่เข้ามายุ่งกับวงการนี้อีก เอกสารทุกอย่าง ทุกหน่วยงานที่หมายหัวกลุ่ม B.A.P จะไม่มี จะไม่มีอีกต่อไป”
“ประวัติทุกคนจะใสสะอาด”
“...ทุกคน” ...ยกเว้นผม
ONE SHOT
‘อย่าทำให้ฉันเลือกทางเดินที่ฉันไม่อยากเดินปัง’
‘อย่าทำให้จุดจบของพวกเราคือสิ้นลมทุกคน...’
‘ปังทำเพื่อนีลได้ไหม?’
“ฉันสัญญา” อะไรที่ทำให้คำพูดคืนนั้นของอีกคนไหลเข้ามาใส่หัวได้ก็ไม่รู้ ใบหน้าอ้อนวอนและแสนเจ็บปวดของคนตรงหน้าที่เคยได้ขึ้นชื่อว่า ‘คนรัก’ ที่ร่ำร้องอ้อนวอนเขาในสิ่งเดิมๆไม่เว้นแต่ละวันในอดีต และจนถึงตอนนี้สิ่งที่อีกคนเสนอมาก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆที่เคยขอไว้ และแน่นอนที่เขาตอบตกลงไป เพราะว่าน้องของเขาที่เหลือยังคงต้องมีอนาคต...
ใช่ เป็นเพราะสาเหตุนั้น
...สาเหตุที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไอ้คนทรยศตรงหน้า!
“ก ก็ดีฮะ ดีที่สุดเลย” น้ำเสียงติดแสนเศร้าต่างจากสีหน้าที่ยังคงปรับเป็นไม่ทุกข์ร้อนอะไร แต่สำหรับคนที่รับรู้ทุกอย่างอย่างคิมฮิมชาน...“ไม่นะยองแจ...”
“ทุกคนสัญญากับผมแล้วนะ สัญญาแล้วนะ” ร่างบางเมินเสียงกรีดร้องของพี่รอง ก่อนจะจัดการไขกุญแจลูกกรงตรงหน้าให้เปิดออก โดยที่ใบหน้าแย้มยิ้มด้วยความปิติราวกับไม่ใช่คนเมื่อครู่ ทุกคนต่างนิ่งค้างกับรอยยิ้มนั้น
รอยยิ้มที่ราวกับยูยองแจ...
ยูยองแจที่บริสุทธิ์คนเดิม..
“ไม่ยองแจ...ไม่!!!”
“แดฮยอน รบกวนช่วยพาพี่ฮิมชานไปทีนะ” เปิดประตูออกกว้าง น้องเล็กสองคนถูกผลักให้ออกมาก่อน ก่อนจะตามด้วยแดฮยอน และเหลือแต่พี่ใหญ่สองคนที่ยังคงยืนนิ่งจนเป็นยองแจที่ต้องหันไปอ้อนวอนกับอดีต ‘เพื่อนสนิท’ ที่แม้จะแสดงท่าทีไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมเดินเข้าไปพาตัวพี่รองที่ยังคงพยายามขืนร่างของตัวเองเอาไว้ ตรงสู่ประตูหลังที่ยองแจผายมือนำทางไว้ตั้งแต่ทีแรกแล้ว...
"ยองแจ อย่าทำแบบนี้!" ห้ามจนนาทีสุดท้ายที่หายลับ เจ้าของชื่อตอบกลับเพียงท่าทีนิ่งเฉยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองครั้งสุดท้าย
ขอบคุณนะครับ... แม่กุญแจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม
...พี่ฮิมชาน
ร่างสูงของคนสุดท้ายกำลังจะก้าวผ่านไป มือบางเคลื่อนมือไปจับลูกกรงข้างตัวแน่นทั้งๆที่ยังคงสีหน้าปกติ ดวงตาใสกดจ้องเพียงพื้นที่ปรากฎเพียงช่วงเท้าของอีกคนทั้งที่พยายามจะเงยขึ้นแต่สมองกลับสั่งการว่า 'อย่า'
ทุกอย่างมันกำลังจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี เขาควรที่จะหยุดเห็นแก่ตัวแล้วก้มหน้ายอมรับในสิ่งที่ตัดสินใจ เหตุผลส่วนตัวไม่สมควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหตุและผลที่ถูกตีความสร้างสรรค์จุดจบแล้ว
ทุกอย่างมันกำลังจะจบ
ความอดทนเป็นศูนย์เมื่อนึกถึงอนาคตที่จะไม่มีคนๆนี้ ร่างบางละทิ้งความเสแสร้งทุกอย่างโผเข้ากอดแผ่นหลังที่กำลังเดินผ่านไปด้วยความรู้สึกหวาดกลัว แนบใบหน้าให้กับแผ่นหลังแกร่งที่เคยอบอุ่นแต่ในตอนนี้กลับหนาวเย็นเสียจนอีกคนกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่...
"รักปังนะ" เสียงแผ่วเบาแต่กลับดังกึกก้องในหูของเจ้าของชื่อ ไม่มีการตอบรับในทันทีมีเพียงแรงชะงักฝีเท้าที่ไม่ได้ถูกสานต่อ...
รักงั้นหรือ? "...นาทีสุดท้ายของนายคือการพล่ามในสิ่งที่ฉันก็แยกไม่ออกว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกเลยแจนีล" เอ่ยออกไปด้วยเสียงอ่อนแอที่อ่อนลง แรงอัตราการเต้นของก้อนเนื้อด้านซ้ายมันแผ่วเบาจนคนโดนกอดรู้สึกได้ มือที่สั่นไหวยามโอบกอดมันยิ่งบีบความรู้สึกให้ก้ำกึ่ง
"แต่นาทีสุดท้ายของฉัน...."
มันเจ็บ...
"ฉันเกลียดคนทรยศอย่างนาย"
...จนเขาไม่สามารถให้อภัย
เสียงยังคงราบเรียบแต่กลับให้ความรู้สึกแปลกประหลาด มือหนาแกะท่อนแขนบางที่ยอมผละออกอย่างว่าง่ายเร่งฝีเท้าไปยังประตูอีกฝั่งที่ภายนอกนั้นมีคนที่เขาสมควร 'รัก' และ 'ดูแล' รอคอยอยู่
ไม่มีการหยุดยื้อจากร่างบางที่มองตามแผ่นหลังด้วยแววตาสั่นระริก อมยิ้มขันกับตัวอย่างนึกสมเพช ไม่อยากจะทรุดตัวหมดท่าความแข็งแรงแข็งกร้าวของตัวเองทั้งหมดในเวลานี้
...
อยากหยุดเวลาไว้เสียเหลือเกิน
ยูยองแจอยากจะหยุดเวลาที่จะได้อยู่กับบังยงกุกไว้เสียเหลือเกิน
กึก
ฝีเท้าที่ห่างไปไกลกำลังหยุดนิ่งที่ทางออกระหว่างภายนอกและภายในของบานประตู ยองแจยังคงมองนิ่งดวงตาส่อแววยินดีอย่างปิดไม่มิด... พระเจ้ากำลังให้รางวัลเขาหรือไร
ร่างสูงที่หยุดยืนอยู่ห่างไกล ใบหน้าที่เสมองด้วยหางตาทั้งที่หันหลังอยู่ มันเกือบจะจบสวยแล้ว... แต่ประโยคแผ่วเบาที่พึมพำออกจากริมฝีปากหนาก็ทำให้เรี่ยวแรงที่น้อยนิดพังครืนทรุดตัวอย่างหมดท่าทันที...
"แจนีลของฉันเขาตายไปตั้งแต่คิดจะทรยศแล้วยูยองแจ..."
บังยงกุกพูดไม่ผิดหรอก
เขามันเป็นยูยองแจที่ทรยศทุกคน
ไม่ใช่แจนีล... ไม่ใช่แจนีลคนรักของบังยงกุกอีกต่อไป
คนทรยศ... สมควรที่สุดแล้ว
สมควรแล้วยูยองแจ
.
.
.
ผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วนะ...
นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีกลุ่มB.A.P นานเท่าไหร่แล้วที่จุนฮงกับจงออบเข้าเรียนมหา'ลัย นานเท่าไหร่แล้วที่แดฮยอนยังคงวิ่งหางานทำ นานเท่าไหร่แล้วที่ยงกุกกับฮิมชานต้องวิ่งเข้างานเป็นกะอย่างที่ไม่เคยทำ นานเท่าไหร่แล้วที่...ไม่มียูยองแจ
มันนาน...ทั้งๆที่มันพึ่งผ่านไปยังไม่ครบเดือนด้วยซ้ำ
เบรคถูกเหยียบมิดเมื่อถึงที่หมาย เจลโล่กับจงออบลงจากรถอย่างรู้หน้าที่แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมากล่าวลาพี่ชายทั้งสามที่พยักหน้ารับ รอยยิ้มถูกส่งให้กันและกัน มักเน่ทั้งสองจัดการจัดเสื้อนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อนจะกระชับหนังสือในมือเข้ามหา'ลัยไป
'พี่ซื้อทิ้งไว้ให้ ลองใส่กันก่อนนะ น่าจะหลวมอยู่หน่อย'
'พี่จะซื้อทำไม?! เราไม่ได้เข้ามหา'ลัยกันน้า!~'
'เงียบเลยเจลโล่ยา ออบบี้ไม่ต้องเถียงด้วย! ซื้อทิ้งไว้ ยังไงพวกนายก็ต้องเรียนให้จบ.... ในอนาคตพวกนายอยู่กับอาชีพพวกนี้ไม่ได้ทั้งชีวิตหรอกนะ'
'บ่นเป็นแม่เลย~'
'เงียบปากกันเลย มาเดี๋ยวพี่ติดกระดุมให้ ...หวังว่าสักวันพวกนายจะได้ใช้มันนะ'
'พวกเราไม่ใช่เด็กกันแล้วน้าพี่ยองแจ'
'แต่ก็ยอมใส่ดีๆนี่นา... เด็กดี คึ'
จะมีใครเถียงไหมว่าไม่กลับไปนึกถึงเหตุการณ์นี้?
พวกเขายังจำวันที่ร่างบางชูเสื้อสีขาวสะอาดนั่นให้กับมักเน่ไลน์ที่ตีหน้างงใส่ได้ดี ยังจำภาพเด็กน้อยที่ถูกจับแต่งตัวได้ไม่ลืม ยังจำภาพที่พี่ชายที่เหลืออีกสามคนเกาะประตูกลั้นขำกับภาพตรงหน้าได้เป็นอย่างดี
และยิ่งคนใส่...
"นายรู้สึกแปลกๆเหมือนฉันไหมเจลโล่"
ในเวลาเกือบอาทิตย์ที่เข้าเรียน มีวันไหนที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กัน
..."มันเหมือนพี่ยองแจมาส่งพวกเรา"
"...ทุกวันเลย"
เท้าทั้งสองหยุดชะงัก ดวงตาสองฝ่ายประสานกันก่อนจะกัดปากแน่น คนโตกว่าเสตาหลบมองพื้นเมื่อดูเหมือนว่าตนจะพล่ามอะไรผิดไป แต่ก็ต้องหันมาสนใจน้องเล็กที่อยู่ๆก็กลับทรุดตัวลงไปนั่งยองวางหนังสือไว้ข้างตัวเเล้วเป็นที่เรียบร้อย "เจลโล่?"
"ฮึก..."
"...เจลโล่"
"ทำไมมันต้องเป็นแบบน..นี้ อึก ท ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้"
"ไหนสัญญาว่าจะไม่ทิ้งกัน ทำไมเขาถึงทำกับเราอย่างนี้พี่จงออบ...ฮือ"
น้ำตาน้องเล็กไหลลงอย่างหมดท่า พอๆกับคนโตกว่าที่ทรุดลงโอบกอดปลอบประโลมอย่างไม่ได้ใคร่สนใจว่าตอนนี้พวกเขาสองคนกลายเป็นจุดสนใจของคนในมหา'ลัยไปกว่าครึ่ง ...บางทีมันคงต้องใช้เวลา
พวกเขาไม่เหมือนพวกพี่ๆที่คิดจะเกลียดก็จดจำเข้ากระดูกดำหรอกนะ
คุณเข้าใจไหม?... พยายามเกลียดแต่ก็เกลียดไม่ลง คุณเคยเป็นแบบนี้อย่างเราสองคนหรือเปล่า..??..
บางทีจงออบก็คิดนะ
โอกาสมันมีครั้งเดียว... ยังจะยึดติดกับอคติเพียงชั่วข้ามคืนแค่นั้นงั้นหรือ...
ไม่ใช่จะให้อภัย
แต่ความรู้สึกมันบอกว่าเรื่องทุกอย่าง 'ไม่ถูก'
ONE SHOT
ผลั่ก!
ร่างทั้งร่างทรุดลงทันทีเมื่อชนกับคนแปลกหน้าซึ่งก็ไม่ได้สนใจใยดีกับ 'คนจรจัด' ที่กำลังหนีหัวซุกหัวซุนกับคู่อริเก่าที่ยังคงตามมาไม่ย่อท้อ ร่างบางรีบผลุดลุก มือบางกระชับหมวกที่ปิดใบหน้าก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าตรอกซอยอย่างพยายามหาทางรอดให้กับตัวเอง
ตอนนี้ไม่มียศศักดิ์ใดๆคุ้มหัวแล้ว...
"เห้ย! มันอยู่นั่น!!!" สติถูกเรียกกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมแรงวิ่งที่เท้าผลัดกันก้าวอย่างว่องไว ยศศักดิ์ตำรวจที่เคยมีถูกปลดทิ้งจนเป็นแค่เศษเดนมนุษย์ปกติธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะเจอเพื่อนตำรวจที่เคยรู้จักอยู่ตรงหน้า แต่ใครจะช่วยคนที่กลายเป็นผู้ร้ายเพียงชั่วข้ามคืนอย่างเขากัน?
...ชีวิตนี้ไม่ต่างจาก ยองแจ อยู่คนเดียวเลยสักนิด
บางทียองแจก็นึกขำตัวเองเหลือเกิน
ทำไมเขาถึงดิ้นรนเพื่อให้คนห้าคนเหล่านั้นมีความสุข
ทำไมเขาถึงต้องมาถูกตามล่าทั้งๆที่คนพวกนั้นคงไม่สนใจ
ทำไม... ทำไม
....ทุกอย่างมันผิดที่ใครกัน
คำถามมากมายเหลือเกิน...
ปัง!!
กระสุนเฉียดศรีษะไปเพียงนิดเดียว หมวกที่เคยปกคลุมร่วงหล่นไปตามแรงกระสุนที่กระแทกเข้าปีก ร่างทั้งร่างชาวาบยืนนิ่งอยู่พักใหญ่กับเหตุการณ์เมื่อครู่
ถ้าเมื่อกี้ไอ้นั่นไม่ยิงพลาด...
เขาก็ตาย
"ใครยิงวะ!! หัวหน้าบอกห้ามจับตาย แม่งเอ๊ย!!!"
ยองแจควรจะดีใจหรือเปล่า..??... เขามีเวลารอดไปอีกวันงั้นหรือ
...น่าสมเพชสิ้นดี
เหมือนว่าเขาคงจะอดฉลองเอาเสียแล้วเมื่อตั้งสติได้อีกทีคนนับสิบก็รุมล้อม ร่างกลางวงกดยิ้มมุมปากก่อนจะล้วงหยิบวัตถุสีดำเงากระชับในมือแน่น มีดพกสามเล่มที่ปลอกติดกระเป๋ากางเกงและข้อเท้ากำลังจะถูกยกขึ้นมาใช้งาน...
เขาไม่รอดหรอก
แค่กระสุนที่เหลือนัดเดียวจากการไล่ล่ากว่าสามอาทิตย์ก็ถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเกินไปแล้ว
แต่คนมันยังไม่อยากตาย... ถึงจะไม่มีใครอยู่ข้างกายก็ขออยู่กับความฝันที่หลอกตัวเองไปวันๆก็เกินพอ...
.
.
.
เบรคถูกเหยียบขึ้นอีกครั้ง รถถูกบังคับทาบเทียบฟุตบาทก่อนเจ้าเครื่องยนต์นั่นจะจอดสงบนิ่ง ประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออกคิมฮิมชานลงจากรถบิดผ่อนคลายความเมื่อยล้า หาวออกมาน้อยๆเกาหัวตัวเองแรงๆสีหน้าอย่างคนไม่อยากจะทำอะไร การเตรียมตัวด้วยการบิดขี้เดียจจบลงแต่ดูเหมือนสองคนที่เหลือไม่ตามลงมาก็ได้แต่ขมวดคิ้วก่อนจะจัดการพาตัวเองไปท้าวแขนที่รถก่อนจะตะโกนเรียกสติกับไอ้หนึ่งคนที่เอาแต่เหม่อและไอ้อีกหนึ่งคนผู้น้องที่นั่งเคลียกับเอกสารการสมัครงานทั้งๆที่มันสมควรจะจบตั้งแต่ที่บ้านแล้วด้วยซ้ำ!
"พวกคุณมึงจะไม่ทำงานกันหรือไงวะครับ??!!!!"
"แก... เมื่อกี้ฉันเดินผ่านซอยสี่เหมือนจะมีเรื่องกันนะ มาเป็นแก๊งค์เหมือนในหนังญี่ปุ่นเลย"
กึก
ราวกับทุกอย่างถูกหยุด ร่างสูงที่ยืนอยู่นอกรถยืนนิ่งเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าของหญิงสาวกลุ่มที่เดินผ่านร่างตน
แก๊งค์?
"นี่ไม่รู้ว่าพวกไหนแต่ตอนฉันผ่านซอยเห็นที่หลังมือพวกนั้นเขียนตัวอังษร E ตัวใหญ่เบอเริ่มกันทุกคนเลย โคตรน่ากลัวอ่ะ!"
E?
สักที่หลังมือ?
"เป็นอะไรไปฮิมชาน?" ยงกุกเอ่ยถามทันทีที่ลงจากรถและเห็นท่าทางเพื่อนรักตรงหน้า แดฮยอนที่ตามลงมาก็ตีหน้าสงสัยไม่ต่างกันเสียเท่าไหร่นัก แต่คำตอบที่ได้รับมีเพียงนิ้วชี้ของเจ้าของที่แตะเข้าริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณให้บรรยากาศสมควรเงียบสงัด กลุ่มหญิงสาวห้าหกคนผ่านไปแล้ว แต่ปัญหายังคงไม่ถูกแก้ให้กระจ่างเท่าที่ควร... E?
...Ermine
"เออมีน!"
ปัง!
ไม่ต้องรออะไรอีก เสียงลั่นไกที่เกิดขึ้นก็ทำเอาสัญชาตญาณเก่าของทุกคนออกมาวิ่งโผตามเสียงนั่นไปทันทีแม้จะคิดสงสัยแต่ฝีเท้าก็มาหยุดอยู่ที่ตรอกซอยลึกนี่แล้ว คำพูดสุดท้ายที่คิมฮิมชานตะโกนขึ้นก็เป็นตัวจุดชนวนสำคัญไม่น้อยที่เร่งให้ฝีเท้าสองคนที่เหลือโผตาม
กลุ่มนั่นที่เคยหมายหัวพวกเขาไว้...
'ออกจากวงการนี้...'
เสียงย้ำเตือนติดหูเสียจนเท้ายงกุกชะงัก ร่างของแดฮยอนถูกยื้อด้วยมือของตนก่อนจะส่งสายตาที่เป็นอันเข้าใจทั้งสองฝ่ายเมื่อแดฮยอนยอมกลับไปที่รถ โดยที่ตัวเองยังคงต้องเร่งฝีเท้าตามฮิมชานที่วิ่งนำออกไปไกล
ฝ่าเท้ายังคงย่ำหนักตรงสู่จุดกำเนิดเสียงอย่างไม่ทนรอบุคคลสองคนที่เหลือ เสียงปืนยังคงติดหู แต่สิ่งที่ยังคงย้ำเตือนคือชื่อกลุ่มที่เป็นเจ้าของตราสัญลักษณ์ที่หลังมือนั่น
กลัว
...กลัวเสียงปืนเมื่อครู่จะเป็นใครสักคนที่เขารู้จักโดนเข้า
สภาพศพสองคนที่อยู่ตรงหน้าที่กองอยู่ไกลออกไปทำเอาต้องเร่งฝีเท้าเข้าไปหา ใครจะว่าเขาบ้าก็ไม่ผิดเสียเท่าไหร่ เพราะเขากำลังแย้มยิ้ม...
ไม่ใช่คนที่เขากลัว
สัมผัสแผ่วเบาที่หลังทำเอาฮิมชานผวาเฮือก แต่เมื่อเห็นว่าเป็นยงกุกก็ถอนหายใจโล่งอกยาว ร่างคนสูงกว่าย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ได้ให้ความสนใจชายชุดดำที่นอนอาบเลือดตรงหน้าแต่กับพ่นถ้อยคำให้กับคนข้างกายแทน "ไปทำงานกันได้แล้ว"
"ต แต่..."
"ฉันไม่ใช่พวกผิดคำพูด..."
ฮิมชานลุกขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ นัยน์ตาเสมองไปอย่างตรอกซอยแยกซ้ายขวาราวกับยังคงกังวลอย่างปิดไม่มิด แต่ไม่ทันจะหันหลังออกกลับทางเดิม ร่างยงกุกที่ปรับท่ายืนนิ่งอยู่ที่ศพทั้งสองนั่นก็ทำเอาเท้าเขาชะงัก
...มีอะไร?
"พี่ฮิม..." แดฮยอนที่พึ่งตระหนักว่าจะเอากุญแจรถวิ่งตามมาก็ชะงักกับท่าทีพี่ใหญ่เช่นกัน ไม่มีเสียงใดๆเกิดขึ้นอีกและธุระข้างต้นที่ว่าจะมาเอาอะไรนั่นก็ถูกตัดออกไปทันที แดฮยอนก้าวไปนั่งยองที่ข้างศพทั้งสองต่างจากพี่ใหญ่ที่กำมือแน่นยืนนิ่งหน้าแดงก่ำ
"วิถีกระสุนเดียวกับพี่ยงกุก...." วิเคราะห์สภาพการณ์นั่งจ้องใช้สายตาคมไล้ทั้งที่สมองก็ยัวคงกรุ่นคิดถึงสิ่งที่จะพูดต่อ... คิมฮิมชานกัดปากแน่นรอลุ้นถึงคำตอบและก็ต้องตื่นตกใจเมื่ออยู่ๆยงกุกก็ผลุนผลันวิ่งออกไป
ศพหนึ่งกับลำคอที่ถูกเจาะกร่อน อีกศพกับเส้นเลือดใหญ่ช่วงเกือบไหปลาร้าที่กระสุนฝังภายใน การฆ่าคนมากกว่าหนึ่งโดยกระสุนเพียงนัดเดียว....
ใครกันนะ ชื่อมันติดอยู่ที่ริมฝีปากจริงๆ
"นั่นยงกุกไปไหน?!!" ล้มเลิกตั้งใจรอฟังคำตอบจากคนเด็กกว่า ครั้นจะวิ่งตามก็ติดที่มือแดฮยอนคว้าไว้ ฮิมชานได้แต่ตะโกนถามก่อนจะเป็นแดฮยอนที่ดีดนิ้วเป๊าะสีหน้าดูเปรมดั่งกำลังคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนที่หลังจากนั้นจะดวงตาเบิกกว้างตะโกนสั่งพี่ชายข้างกายลั่น
"....วิ่งไปที่รถ!!"
.
.
.
รถคันเดิมที่พึ่งผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็กลับมาจอดเทียบท่า เสียงเบิ้ลเครื่องแรงขึ้นตามลำดับความคุกกรุ่นภายในของคนขับรวมถึงคนที่นั่งอยู่ในรถอีกสอง "มึงอย่าคิดว่าจะลงไปยงกุก!" ว่าเครียดแล้วกลับเครียดมากเพิ่ทไปอีกเมื่อเจ้าของชื่อทำท่าจะลงจากรถอย่างร้อนใจจนฮิมชานต้องตะหวาดเข้าให้ กว่าเขาจะกวาดล้อมให้คนที่วิ่งลืมตายให้ขึ้นรถมารับจุนฮงกับจงออบได้ก็เกือบได้กินลูกปืนแทนเพราะเจ้าคนไม่กลัวตายที่วิ่งโผเข้าไปยังทางจอดรถที่ในตอนนี้สะท้อนภาพร่างที่คุ้นเคยถูกตบฉาดเข้าที่ใบหน้าและโดนจับยัดอะไรบางอย่างเข้าปาก
"มาแล้ว!" เสียงแดฮยอนเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเห็นร่างคุ้นตาทั้งสองวิ่งหอบแฮกลงมา ประตูรถถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนที่คนทั้งสองจะรีบแทรกตัวเข้ามานั่ง ไม่ทันได้ถามอะไรโน๊ตบุ๊คที่สมควรจะถูกเก็บไว้หลังรถกลับถูกยื่นตรงหน้าพร้อมประโยคจากพี่รองที่ถูกส่งตรงกับน้องเล็ก
"นายจำกลุ่มเออมีนได้ไหม?" มันไม่ใช่ประโยคคำถามเชวจุนฮงเข้าใจมันดี และยิ่งชื่อกลุ่มที่มันมาจากชื่อสัตว์ที่สื่อถึงความร่ำรวยโอ่อ่านั่น กลุ่มที่พวกเขาเคยไปแก้เผ็ดข้อหาที่มาหาเรื่องพวกเขาที่อยู่สงบโดยการไปหลอกล่อฝ่ายศัตรูการค้าพวกมันให้ส่งยาวันเดียวกัน สถานที่เดียวกัน ปริมาณคันเรือเดียวกัน ความเสียหายนับเกือบพันล้าน... เป็นการเด็ดหางที่สะใจและดูเหมือนมันคงจำกลุ่มพวกเขาได้ไปจนวันตาย
"โกดังร้างในสุดย่านอับกูจอง" อุปกรณ์จอสี่เหลี่ยมในมือถูกปิดก่อนคนเด็กสุดจะเอ่ยออกมา รวมไปถึงสารถีที่ทันทีที่รับรู้ที่หมายก็เร่งคันเร่งเหยียบมิดทันที แต่ผ่านไปสักระยะกลับแทบเหยียบเบรคมิดทันทีเช่นกันเมื่อน้องเอ่ยถามจี้จุดเข้าให้
"พี่ๆช่วยเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นได้ไหมครับ?"
ไม่ใช่...
คำถามของจุนฮงแดฮยอนก็ไขความกระจ่างกับเรื่องที่พึ่งประสบมาเต็มสองตา
แต่คำถามของจงออบต่างหากที่ทำให้ทุกสายตาจดจ้องไปที่คนขับรถอย่างเจ้าของชื่อ... "ผมว่าพี่มีเรื่องที่ต้องเล่ามากที่สุดนะครับ... พี่ฮิมชาน
ONE SHOT
ไม่ไหว... ตามันเปิดเห็นแต่ความพร่าเลือนและแสงไฟสีส้มแดงจับภาพไม่ได้เลยสักนิด จะค้างไว้นานไม่กระพริบเพื่อปรับโฟกัสแต่ผลัพธ์ก็เช่นเดิม... ไม่ต่างจากเขาตาบอดเลย
ปัง!
เสียงปะทะภายนอกยิ่งทำเอาคนพิการชั่วคราวเริ่มสั่น นัยน์ตาหวานยังคงพร่าเลือนแต่จำต้องอาศัยความไม่คมชัดนั่นมองรอบตัวก่อนจะจัดการแก้มัดข้อมือจากเศษผ้าหนาด้วยเศษแก้วที่คล้ายกับเศษกระเบื้องเป็นนัยน์นั่นอย่างทุลักทุเล
ก็นะ... คนถ้ามันจะตาย ยังไงก็ต้องหาทางเอาตัวรอดจนกว่าจะตายอย่างที่ว่านั่นแหละ
เพราะยานอนหลับนั่นแน่ที่เขาโดนจับยัดเมื่อตอนโดนแบกมา ดูเหมือนมันจะไม่ธรรมดาเมื่อมันทำเขาหลับสนิททันทีที่ขึ้นรถและไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ดวงตาที่ไม่สามารถแยกคน สัตว์ สิ่งของออกอย่างนี้... ผลข้างเคียงที่ทุเรศที่สุด!!
ปัง!! โครม!
เสียงปะทะด้านนอกที่เริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้นทำเอาร่าบางต้องถอยตัวควานไปทั่วเพราะมองไม่ชัด ก่อนจะเป็นอันหลังชิดแนบกับกำแพงกอดเข่านิ่งอย่างคนทำอะไรไม่ได้...
"ป ปืน?" มือที่ปัดป่ายคว้าเข้ากับด้ามที่คุ้นเคย สิ่งของมันขลับที่ดูจะเกิดอุบัติเหตุทำให้เจ้าของลืมตกทิ้งไว้ถูกอีกคนครอบครองถอดมาเช็คกระสุนด้วยการไล่สัมผัสเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกไม่น้อยที่อย่างน้อยพระเจ้าก็ยังประทานตัวช่วยมาให้เขาบ้าง
"ยองแจ!!!!"
คุ้น... เสียนี่มันคุ้นเหลือเกิน
"ย๊าห์!!! ยูยองแจ!"
ใครกัน เสียงนี้มันช่างคุ้นเหมือนกับเสียงแรกเช่นกัน
"พี่ยองแจ!! โอ๊ะ ไอ้บ้านี่!"
ร่างบางเจ้าของชื่อค่อยถดตัวขึ้นมายืนตรงแม้จะยังคงพิงกำแพงเพื่อเป็นตัวช่วยกับเรี่ยวแรงที่เริ่มหดหาย เสียงย่ำเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ทำเอาร่าบางใจสั่นมือกุมวัตถุในมือแน่นจนเหงื่อซึม
ไม่ใช่ว่ากลัวที่จะลั่นไก
...แต่กลัวที่คนโดนฝังกระสุนจะเป็นเจ้าของเสียงท่ีคุ้นเคย
"ใคร?" เสียงแผ่วเบาเอ่ยถามแต่กลับได้รับการตอบรับคือเสียงฝีเท้าที่ดูจะร่นระยะมากขึ้นไปอีก
"ฉันถามว่าใคร?!!" ปืนถูกยกขึ้นจ่อหน้าคนตรงหน้า เขามองเห็นว่าคนๆนั้นประจันหน้าเขาอยู่ แต่เขามองไม่เห็น
เขาไม่สามารถมองเห็นผ่านม่านตาพร่าเลือนว่าคนตรงหน้าคือใครได้จริงๆ
ปัง!/ปัง!
.
.
.
รถยนต์ค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านคนหมู่มากที่ต้นซอย บรรยากาศรอบข้างยังคงเป็นปกติสุขเช่นเคย คนมากมายจับจ่ายซื้อของสนองตัณหาตัวเองอย่างไม่รู้จบ ก้าวตามวัตถุสมัยนิยม ก้าวตามอาหารหลากรส ก้าวตามหางานทำเพื่อประทังชีวิต รวมถึงกิเลสทุกสิ่งที่ 'พวกเขา' เคยหลงอยากได้อยากมี
...จนยอมที่จะเสียคนสำคัญเพื่ออิสระ
อิสระที่ก็ไม่ต่างจากกิเลสความอยากอย่างหนึ่ง
กิเลสที่ห่างจากคำว่าเห็นแก่ตัวเพียงเส้นบางๆ...
"เขาเปลี่ยนชื่อเป็นตัวเขาเอง" การอธิบายเริ่มขึ้นเงียบๆ เสียงฮิมชานเอ่ยทั้งมือก็ยังคงบังคับพวงมาลัยเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยต่อให้คนที่เหลือที่นิ่งไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย
"ตอนนั้นฉันคิดว่ายองแจพูดเล่น แต่พอตอนนั้นที่โดนจับตัวยองแจกลับทิ้งโน๊ตไว้ให้..."
"การโดนจับตัวเป็นแผนที่ต้องการจับฝ่ายนั้นและจับพวกเรา"
"พี่รู้ตั้งแต่ต้น?" ทุกคนแตกตื่น แต่ก็เก็บอาการได้ดีจนเป็นแดฮยอนที่หลุดปากถาม การรับฟังเงียบๆอย่างมีมารยาทถูกหักดิบไปเมื่อข่าวสารใหม่ช่างทำให้ความรู้สึกติดหน่วง
"อือ... ตอนนับเงินครั้งสุดท้ายฉันถึงตบบ่ายงกุกมันไม่ให้คิดมากไง เพราะอย่างไรยองแจก็ต้องรอด ใครจะปล่อยให้ตำรวจฝีมือดีเสียไปง่ายๆกัน" แตะเบรกเมือเจอลูกระนาด ขับระนาบอย่างเชื่องช้าเมื่อยังคงไม่พ้นเขตผู้คน พยักหน้าตอบกลับคำถามจากคนข้างกายอย่างสัตย์จริง “ตำรวจ?”
“ข้ามคำถามนี้ไปละกัน...” กระจกส่องหลังถูกฮิมชานเสมองไปสบเข้ากับใบหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนตน ช่างใจพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบข้อสงสัยของจงออบดำเนินการต่อด้วยเรื่องราวที่ยังสานต่อไม่จบ
"ชื่อในหน่วยงานเราจะถูกลบทั้งหมด และถูกเติมเต็มด้วยชื่อของยองแจ และแน่นอนว่าอีกไม่นานเขาก็คงถูกดีดออกจากตำแหน่งอย่างตอนนี้"
"ไอ้พวกที่ตามหาเรามีสายในตำรวจเยอะไปแค่ไปรื้อข้อมูลเห็นชื่อเห็นรูปก็หลงเชื่องมงายวิ่งล่าอย่างไม่คิดว่ากลุ่มบ้าที่ไหนแม่งจะใช้ชีวิตอยู่คนเดียว"
"ฉันอยากจะง้างปากพูดทุกอย่างตั้งแต่ก่อนวันเกิดเรื่องวันนั้น แต่บอกเลยว่าฉันกลัว... ฉันไม่อยากติดคุก ฉันมัน...เห็นแก่ตัว" ไม่มีใครกล้าแย่ง... ถ้าลองคิดว่าตนหยุดอยู่ ณ จุดๆนั้น ความกลัวมันคงตีตื้นและแน่นอนว่าคงไม่พ้นการคิดถึงตัวเองเป็นอย่างแรก
“ยองแจไม่ให้ฉันบอกใคร”
“และตามจริงฉันคงจะเป็นไอ้โง่เหมือนพวกนายถ้าวันนั้นฉันไม่ได้ได้ยินที่ยองแจคุยกับเพื่อนที่เป็นตำรวจด้วยกันจนคาดคั้นและได้คำตอบนั้นมา”
คันเร่งถูกเหยียบมิดเมื่อปลอดคน เกียร์ถูกปรับก่อนมือหนาจะกำชับพวกมาลัยในมือพาพาหนะตรงสู่สถานที่ที่น้องเล็กบอกเมื่อครั้งต้น บรรยากาศที่มีแต่ความเงียบถูกแทรกมาด้วยเสียงพี่ใหญ่ที่ทำเอาแม้แต่ฮิมชานที่คิดว่ารับรู้เรื่องทุกอย่างต้องหักพวงมาลัยจอดข้างทางหันมาสนใจคนด้านหลังแน่นิ่ง
“ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดยองแจ...”
“มันผิดที่พี่มาตั้งแต่ต้น”
คนที่สมควรพูดเรื่องทั้งหมดไม่ได้มีแค่คิมฮิมชาน.... แต่มันรวมถึงบังยงกุกด้วยต่างหาก
…
ลมหายใจขาดห้วง อึดใจเดียวที่รับรู้ถึงมือที่คุ้นเคยที่โอบแน่นที่รอบเอวและกระชากเข้าหาตัว แต่แรงอัดที่เฉียดเข้าที่หัวไหล่ขวารวมถึงกลิ่นคาวที่แตะเข้าปลายจมูกก็ทำเอาเรียกแรงกระตุกสั่นให้เข้าใจได้ไม่ยากว่าร่างบางในอ้อมกอดกำลังหวาดกลัวมากแค่ไหน
เสียงกระสุนที่ลั่นพร้อมกันปลิดหัวใจของคนมองให้สะดุดกึกเมื่อคนตรงหน้าร่างบางเหนี่ยวไกต่างกับอีกฝ่ายที่กลับมีท่าทางลังเลเสียจนบุคคลมาใหม่รีบเคลื่อนฝ่าเท้าอย่างไม่ต้องรีรอ
ปัง! / ปัง!
ร่างบางของยองแจถูกเจลโล่กระชากเข้าหาตัวก่อนที่ฝ่ายนั้นจะลั่นไกเจาะกลางศรีษะ พร้อมๆกับยงกุกที่ลั่นไกเจาะเข้ากระหม่อมฝ่ายนั้นทันที!
บาดแผลเล็กน้อยที่ลาดไหล่นั่นทำเอาคนมาใหม่สิ้นสติ ดวงหน้าหวานพร้อมแรงกระตุกสั่นทำเอามือหนากดย้ำซ้ำๆเจาะลูกกระสุนลงตรงใบหน้าของคนของฝ่ายนั้นที่ดับสนิทตั้งแต่นัดแรกที่เขาลงมือจนจงออบและฮิมชานต้องเข้าไปยื้อเมื่อพี่ใหญ่ที่รัวสาดกระสุนจนหมดแม๊ก
"ค ใคร?"
"ฮ ฮึก... ใคร!!!"
ยองแจพยายามยื้อตัวหนีออกจากอ้อมกอดของน้องเล็ก อ้อมกอดจากเด็กน้อยที่คุ้นเคย กลิ่นกายคนรอบตัวที่คุ้นชินเทียบไม่ได้กับสติที่กู่ไม่กลับ ความหวาดกลัวกำลังทำให้ร่างบางดิ้นพล่านตะโกนลั่นเรียกสติยงกุกให้เลิกบ้าและโผหา 'คนสำคัญ' ของตัวเองที่ปล่อยน้ำตาร่วงเผาะตามแรงโน้มถ่วงท่ามกลางสายตาของคนทั้งสี่ที่มองอย่างแปลกใจ
"ยองแจ... ยองแจ!! ยองแจมองพี่!!!" ยงกุกคุกเข่าให้เทียบเท่ากับคนที่ดิ้นพล่าน ใบหน้าหวานที่ราวกับไร้สติส่ายไปมาทำเอาคนในเหตุการณ์ใจหายไปตามๆกัน มือหนาสัมผัสใบหน้าให้ตาสบตาแต่กลับต้องเป็นกอดแน่นเมื่ออีกฝ่ายไม่มีการตอบสนอง
"พี่อยู่นี่!... แจนีลมองพี่ มองพี่!!"
เจลโล่ที่ผละออกมาเริ่มน้ำตาคลอเมื่อเห็นสภาพของพี่ชายที่รัก จงออบและแดฮยอนก็ไม่ต่างกันนัก ร่างคนผิวแทนกำวัตถุสีดำขลับแน่นหันหน้าไปพยักหน้าอย่างรู้กันกับพี่รองที่หันหลังหนีอย่างรับสภาพน้องรักไม่ได้
เสียงย่ำเท้าที่ลงถี่รับรู้ได้ไม่ยากว่าการปะทะครั้งที่สองกำลังจะตามมา ร่างในอ้อมกอดพี่ใหญ่ถูกกดแน่นแนบแผ่นอกหนาหยดน้ำตาไหลชุ่มไปทั่วเสื้อสีทะมึน เสียงกรีดร้องดังแผ่วเบาสลับกันไป... "นีล..." นี่คงเป็นการเรียกสติครั้งสุดท้าย อันตรายมันก้าวเข้ามาใกล้เสียเหลือเกิน
ริมฝีปากที่สั่นระริกถูกครอบงำด้วยริมฝีปากหนาที่กดจูบอ่อนโยนลงเรียกสติ ไม่มีการลุกล้ำ แต่รับรู้เพียงแต่ความเศร้าและเหมือนคำขอโทษมากมายที่เป็นความหมายนัยน์ แรงข่วนที่เคยใช้มันฟาดฟันปกป้องตัวเองผ่อนแรงลงก่อนจะฝืนตาที่มีแต่ความพร่านั่นจดจ้องเจ้าของคำกายนั่นที่เริ่มถอนริมฝีปากออก ..."ปัง"
เขาเห็นเจ้าของอ้อมกอด ถึงจะไม่ชัดแต่เขาก็รับรู้ถึงความอบอุ่นนั่นดี "พี่.. ม มาช่วย...ผม?" ร่างสูงพยักหน้าอย่างรุนแรงทันทีที่เสียงแผ่วเบาเอ่ยถาม ดวงตาคมคลอไปด้วยน้ำสีใสอย่างปลื้มใจกับการตอบรับที่แสดงถึงว่าอีกคนลดถอยความหวาดกลัวสิ้นสติไปเกือบครึ่งแล้ว แต่ไม่ทันไรก็ต้องกดกอดแน่นเมื่ออีกคนโวยวายและกลับมาดีดดิ้นอีกครั้ง
"...ออกไป ออกไปให้หมด!!"
บังยงกุกไม่เข้าใจ... ทำไมกัน?
"เกลียดผมสิ! อย่ามาเวทนาผม ออกไปให้หมด! ผมไม่ได้ขอความช่วยเหลือใคร!!" โวยลั่นก่อนจะกัดแขนฝังเขี้ยวไปที่แขนแกร่งที่พยุงร่างตนจนหลุดออก เขยิบตัวหนีไขว่คว้าควานหาวัตถุสีดำขลับที่ผละออกจากมือไปก่อนจะตั้งตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล... ได้โปรดหนีไป
อย่าทำให้สิ่งที่เขาตัดสินใจมันสูญเปล่า
"ยูยองแจ!" แดฮยอนตะหวาดลั่น ทั้งที่กำลังจะเดินออกไปจัดการกับพวกที่เหลือแต่การที่ร่างเพื่อนสนิทโวยวายกัดแขนพี่ใหญ่แบบนี้มันกลับทำเอาเขารู้สึกโกรธ!
...โกรธตัวเอง
"เลิกบ้าแล้วทำเป็นเก่งสักที...!!!..." พวกเขารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว เรื่องที่ทำให้คนที่โดนจมเขี้ยวไม่คิดจะตอบกลับคนกระทำ แน่นอนเลยว่าต่อให้อีกคนกระทำโดยการฆ่าบังยงกุกให้ตาย พี่ใหญ่คงจะยอมสิริราบปลิดชีวิตตัวเองอย่างยินยอมเสียด้วยซ้ำ...
"ฉันไม่ได้ขอให้ใครมาช่วย! ฉันก็อยู่ของฉันดีๆพวกพี่จะมายุ่งทำไมกันอีก!!!" ....
อยู่ดีเหรอ?.... การโดนตามล่าตลอดเวลาเกือบเดือนนี้มันคือการใช้ชีวิตอยู่ดีงั้นเหรอ
"ฆ่าคนทรยศคนนี้สิ ไม่ต้องมาช่วย! ไม่ได้ขอให้มาช่วยเลยสักนิด!!...ฮึก" ก้อนสะอื้นพุ่งตรงมากลางลำคอ แนบชิดแผ่นหลังหลบทั้งที่แทบมองไม่เห็น ดวงตาที่สะท้อนภาพดำเป็นขีดสลับกลับแบล็คกราวน์นั่นเข้าใจได้ไม่ยากว่าทุกคนยังคงอยู่ครบ.... หนีไปสิ
หนีไปสักที!
"หุบปาก!"
"ผมก็ไม่ได้ขอให้พี่มารับกรรมแทนพี่ยงกุก! ไอ้ตัวไหนมันสั่งมันสอนน้องอะไรไว้ก็ปล่อยให้มันแก้ไขตัวมันเอง ปัญหาของมัน! ไม่ใช่ของพี่!!" มุนจงออบตะหวาดลั่นอย่างเหลืออด สีหน้าเกรี้ยวกราดถูกแสดงออกมาอย่างที่ไม่เคยเห็น นิ้วถูกชี้เด่นชัดจุดประสงค์ไปยังพี่ใหญ่ ไม่มีการเคารพอันใดอีกแล้วในเวลานี้...
"ทุกอย่างมันควรจะจบไปตั้งแต่เรื่องที่พวกเราตัดสินใจลงส่งยาแล้วฆ่าผู้บริสุทธิ์สี่คนนั้นที่เผลอมาเห็นแล้วด้วยซ้ำ เพราะคำพูดบ้าๆจากเขาและความหวาดกลัวของพวกเราไม่ใช่หรือไง!!!!" ...ต่อให้เลวให้ชั่วปล้นเงินโกงอะไรมามากมายแต่พวกเขาไม่เคยฆ่าคนที่ไม่รู้เรื่องแบบนั้นเลย ภาพคนบริสุทธิ์สี่คนที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน ร่างของครอบครัวสุขสันต์พ่อ แม่ พี่ชาย และน้องชายค่อยๆถูกปลิดทีละคนอย่างเลือดเย็น เลือดที่สาดกระเด็นสาดหน้าพร้อมหัวใจที่กระตุก...จงออบจำมันได้ดี
ถึงคนที่ยิงจะเป็นยงกุกก็ตาม
"เราควรจะหยุดตั้งแต่ตอนนั้น ..."
"พี่ขอโทษ..." ยงกุกเอ่ยออกมาแผ่วเบา เขาเคยพร่ำสอนน้องมาตลอดว่าอย่านำผู้บริสุทธิ์มาเกี่ยวข้อง แต่วันนั้นเขากลับทำมันเพราะความหวาดที่ครอบงำ ยังจำเสียงจุนฮงที่ปฏิเสธลั่นได้ก้องหูที่แม้สุดท้ายจะกดกระสุนลงสมองเด็กน้อยที่ดูจะยังไม่ถึงเจ็ดขวบด้วยซ้ำ...
'ยิงมันเจลโล่!!'
'ผ ผม...ผมไม่ทำพี่ยงกุก...ผมทำไม่ได้!'
'ถ้ามึงไม่ยิงก็ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพี่!!!'
ทุกอย่างมันผิดที่เขา.... ผิดที่บังยงกุกคนนี้
ยองแจพยายามอ้อนวอนให้เขาหยุดทุกอย่าง แต่กลับกันเขาก็ยังคงทำทุกอย่างอย่างคนนึกสนุกและหวังผลตอบแทนมากมายที่ถีบส่งตัวเองให้ขึ้นสูง ทั้งๆที่รู้...
ทั้งๆที่รู้ว่าคนที่เป็นถึงคนรักมียศศักดิ์เป็นถึงตำรวจ
การทำเลวต่อหน้าผู้พิทักษ์.... การกระทำที่ต่ำช้าที่สุด
อันตรายอยู่แค่เอื้อม... แต่อีกคนก็ปกป้องเขาจนนาทีสุดท้าย
"ไปกันเถอะ" ฮิมชานพูดขึ้นก่อนจะก้าวนำไป ปล่อยทิ้งเบื้องหลังไว้ให้คนในความดูแลตนตัดสินใจเอง...
จะตามเขามาหรือหยุดนิ่ง ก็ปล่อยให้พวกเขา 'ตัดสินใจ' กันเอง
หน้าที่ของ แม่กุญแจ จบลงแล้ว ตอนนี้มันเหลือเพียง คิมฮิมชาน ที่มีหน้าที่ดูแลน้องของตนเท่านั้น
เพราะถ้าให้ย้อนไปยังจุดเริ่มต้นจริงๆลึกๆแล้ว.... มันเกิดจากเขาและยงกุก
พวกเขาสองคนนี่แหละที่เป็นคนเริ่มต้นทุกอย่าง
‘พวกเขา’ นี่แหละคนผิดตัวจริง
"ยงกุก!!"
ปัง!!
เสียงยองแจที่ดังครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะแทรกด้วยเสียงกระสุนที่เจาะผ่านกลางลำตัวของเจ้าของเสียงที่ดันตัวเองมารับกระสุนแทนเจ้าของชื่อ...
ONE SHOT
เตียงผู้ป่วยที่เคลื่อนอย่างเร่งด่วนพร้อมๆกับผู้ติดตามที่วิ่งกันขวักไขว่ไม่ได้สนใจถึงข้อมือที่ถูกล็อคด้วยกุญแจมือตัวเองเลยสักนิด เสียงไซเรนหยุดไปแล้วเหลือเพียงแต่เสียงหอบแฮกกับการต้องวิ่งตามทั้งๆที่ถูกควบคุมตัว
ขอแค่ได้เห็นว่าอีกคนปลอดภัย.... จะเอาพวกเขาไปฆ่าไปแกงที่ไหนก็เชิญ
“รอด้านนอกนะคะ” ตามเสตปเหมือนทีวี นางพยาบาลยื้อยุดร่างสูงที่ดึงดันตัวเองเข้าไปอย่างเผลอไผลก่อนจะปิดประตูรีบวิ่งเข้าไปสมทบกับคนไข้รายใหม่ปล่อยญาติคนไข้ที่ถูกกุมขังกับที่ล็อคเหล็กไว้กับตำรวจนับสิบที่ยืนหอบไม่แพ้กัน
พวกเขาได้รับแจ้งถึงสถานการณ์ที่เขตอับกูจองจากหัวหน้าหน่วย เมื่อไปถึงก็เกิดเหตุการณ์ปะทะที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ครั้งเดียวจากสภาพที่หนักหนามากพอให้รับรู้ว่าคนตายอย่างต่ำก็ยี่สิบคน บุกเข้าภายในก็เห็นเพียงแค่ร่างของชายทั้งห้ารวมถึงอีกหนึ่งที่ถูกอุ้มแนบอกกำลังส่งกระสุนกลับให้กับพวกที่เหลือ
พวกเขาจำได้ว่าตะโกนลั่นในการเข้าจับกุม ชนกลุ่มน้อยหกคนนั่นยอมผายมือวางอาวุธลงทันทีต่างจากพวกที่เหลือที่เตรียมคร่าชีวิตชายทั้งหกที่ศูนย์กลางนั่นจนเป็นสาเหตุให้ตำรวจอย่างพวกเขาตัดสินใจจับตายทั้งหมด หลงเหลือเพียงชายหกคนที่ทันทีที่จบเรื่องก็กรีดร้องอ้อนวอนขอรถพยาบาบอย่างเร่งด่วนก่อนจะตะโกนออกมาดังลั่นว่าพวกเขาคือกลุ่ม B.A.P ที่เคยถูกหมายหัว และจะยอมมอบตัวทันทีถ้าหากคนในอ้อมกอดของหนึ่งในนั้นรอดพ้นจากกระสุนที่ฝังกลางหลัง...
ตำรวจยศศักดิ์มากมายแทบทรุดทันทีเมื่อเห็นหน้าคนที่ว่า ใบหน้าหวานที่คุ้นเคยกำลังมีลมหายใจที่แผ่วบาง
...เพื่อนของหัวหน้าซองแจ
“ส่งตัวไปเลยไหมครับหัวหน้า” ซองแจส่ายหน้าเบาๆก่อนจะสะบัดมือเป็นนัยน์ให้ตำรวจนับสิบ ณ ที่ตรงนี้ให้หายออกไป ลูกน้องทำสีหน้าลำบากใจเล็กน้อยก่อนสุดท้ายจะยกพลไปรอที่รถอย่างที่เห็นสมควรจนในตอนนี้จึงเหลือเพียงซองแจกับผู้ชายอีกห้าคนที่ถูกล็อคกุญแจมือไว้
“พวกคุณรู้ไหมว่าดับอนาคตยองแจขนาดไหน? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้นะทั้งๆที่หมอนั่นควรจะได้เลื่อนขั้นไม่ใช่สายลับอย่างที่เคยเป็นแท้ๆ” เอ่ยขึ้นมาอย่างเหลืออด เขาเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้างโดยเฉพาะกับหัวหน้ากลุ่มที่แน่นอนว่าเขาเคยเห็นมาตั้งแต่ก่อนที่จะมาเป็นตำรวจด้วยซ้ำ แต่ก่อนแต่ไรก็เคยบอกยองแจว่าอย่าไปยุ่งกับคนพวกนี้....
แล้วนี่เป็นไง?
“พวกคุณรู้บ้างหรือเปล่าว่าเรื่องที่คุณก่อมันเยอะมากแค่ไหน แล้วรู้ไหมว่า ณ ตอนนี้มันกลายเป็นความผิดของยองแจคนเดียวไปแล้ว อีพวกกลุ่มนรกนั่นมันคอยตามล่ายองแจจนตอนนี้ชีวิตมันไม่มีคำว่าสงบสุขแล้วด้วยซ้ำ ไม่สิ... ชีวิตมันไม่มีความสงบสุขเลยตั้งแต่ที่เจอกับพวกคุณทุกคน!”
“พี่ฮิมชาน!” จงออบพูดลั่นเรียกสติพี่ชายที่ลุกฮือ ฮิมชานกัดเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะตัดสินใจนั่งลงเฉกเช่นเดิม ซองแจไม่ได้ตกใจอะไรนักเพราะเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้มากมายอยู่แล้ว ไม่สิ เพราะต่อจากนี้เขาก็ไม่คิดจะพร่ำเพ้ออะไรอีก เพียงแต่เขาก็อยากให้ทุกคนรู้เช่นกันว่าเพื่อนตนต้องโดนอะไรมาบ้างในสิ่งที่ตัวเองแทบไม่ได้เป็นคนก่อ เขาก็แค่อยากระบายให้กับคนพวกนี้ให้รู้สึกกดดันอย่างที่ยูยองแจเคยเป็น...
“ผมจะไม่เอาตัวยองแจเข้าคุกเพราะผมทำไม่ได้ และผมก็จะไม่เอาพวกคุณเข้าคุกเช่นกันเพราะยูยองแจก็คงไม่ยอม เราไม่ได้รู้จักมักจีอะไรกันสักเท่าไหร่สำหรับพวกคุณทั้งสามแต่สำหรับยงกุก ฮิมชาน...”
“กูบอกมึงตั้งแต่ก่อนที่เรียนจบแล้วว่าอย่าให้ยองแจเสียน้ำตา!”
ผลั่ก! ผลั่ก!
หมัดลุนๆถูกซัดใส่หน้าเจ้าของชื่อทั้งสองที่ไม่มีการตอบกลับ ร่างยงกุกกับฮิมชานยังคงนั่งแน่นิ่งไม่ได้มีท่าทีขึ้นอย่างเมื่อครู่ราวกับคนยอมรับความผิดท่ามกลางน้องๆที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทน
“...ผมตัดสินใจแล้วและหวังว่าพวกคุณจะยอมรับและปฏิบัติตามเพราะพวกคุณก็ไม่ได้เลวร้ายมากนัก”
“ทางเราต้องการหน่วยสืบราชการลับเพิ่มเติม และผมยื่นเสนอชื่อพวกคุณและยองแจไป ผมเคลียกับข่าวฉาวพวกคุณได้หมดแล้วเหลือเพียงแต่ให้พวกคุณมอบตัวก่อนจะเซ็นสัญญาถึงการติดยศศักดิ์นั้นพร้อมทั้งข้อตกลงที่ถ้ามีการตุกติกจะจับตายรวมถึงยองแจที่อาจจะโดนเป็นคนแรกเลยถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น”
“ผมจะไม่รอจนยองแจฟื้น และผมต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้...”
“พวกเราตกลง”
ONE SHOT
ข่าวดีของวันนี้คือการที่ร่างตรงหน้าได้รับอนุญาตในการถอดเครื่องช่วยหายใจแล้วเป็นที่เรียบร้อย ดวงหน้าหวานที่มีน้ำมีนวลต่างจากเมื่ออาทิตย์ก่อนทำเอารอยยิ้มแย้มปรี่ประดับเข้าที่ใบหน้าของทุกคนหลังจากไปฝึกซ้อมอย่างหนักในการได้รับหน้าที่ใหม่ที่สุจริตอย่างคนปกติทำแม้จะเหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็แทบหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเมื่อมาเจอข่าวดีแบบนี้
“มึงว่ายองแจจะมองเห็นไหม?” เสียงแผ่วเบาของฮิมชานไม่ได้รับคำตอบใดจากพี่ใหญ่ที่รอยยิ้มแย้มกลับเรียบสนิททันทีเมื่อถูกเอ่ยถามในสิ่งที่กระตุกก้อนเนื้อด้านซ้าย
ตอนนี้คงได้แต่ภาวนาให้อีกคนฟื้นกลับมาเป็นปกติก็เท่านั้น
“...แค่เขาตื่นขึ้นมาก็เกินพอแล้วล่ะ ต่อให้เขาตาบอดกูก็จะเป็นตาให้เขา แค่ให้เขาฟื้น” คงเป็นสิ่งเดียวที่บังยงกุกตอบได้ เขาไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่ในคำตอบของตัวเองเมื่อนึกย้อนในสิ่งที่เคยทำกับอีกฝ่ายไว้มากมาย ตอนเขาปกติกลับไม่คิดจะแก้ไข แต่กลับมาคิดที่จะทำก็เมื่อต้องสูญเสีย...
ไม่ได้ดูดีเลยสักนิด
“ฝันดีนะครับ แจนีล” ค่ำคืนวันนี้บังยงกุกคงจะนอนหลับฝันดีเมื่อได้จุมพิตคนรักปลอบขวัญให้หลับฝันหวาน ริมฝีปากหนาที่ในที่สุดก็ได้กลับมาสัมผัสริมฝีปากบางตรงหน้าอย่างไม่มีเครื่องช่วยหายใจมาเป็นตัวกั้นมันก็เกินพอให้ยงกุกมีชีวิตอยู่ต่อไปวันๆแล้ว...
เรี่ยวแรงในวันนี้ดูเหมือนจะเกินลิมิตกับการที่จะต้องใช้สมองในการกระทำมากกว่าการใช้กำลัง การโดนฝึกอบรมทั้งทางด้านพละกำลังและทางด้านแนวคิดอย่างหนักหน่วงนั่นกำลังทำให้ร่างกายของพวกเขาแทบไม่ไหว ไม่บ่อยครั้งนักที่พวกเขาจะทิ้งตัวลงนั่งปิดเปลือกตาให้หลับสนิทอย่างหมดท่าอย่างไม่รับรู้ถึงการมาของครอบครัวคนบนเตียง...
บาปกรรมที่พวกเขาสร้างมาคงสาหัสเกินกว่าที่จะหดหายเพียงแค่คำว่ากลับตัว
เสียงสะท้อนร่ำไห้ของการสูญเสียมากมายเหมือนดังกระจกสะท้อนกลับเป็นนัยน์ให้รับรู้ว่าพวกเขายังคงต้องตอบแทน
ความสุขที่เคยเกิดกับการกระทำต่ำช้า การเอาคืนกลับคืนมาเมื่อมันถึงเวลาของมันเอง
...นรกมันอยู่แค่เอื้อม แต่พวกคุณยังไม่ถึงเวลาได้มองเห็นเท่านั้นเอง
“ร่างกายของคนไข้ฟื้นแล้วครับ แต่ดวงตาไม่ตอบสนองเลย”
เสียงชายสูงวัยสะท้อนก้องในหูเพียงแผ่วๆ ร่างบนเตียงทีเคยนอนนิ่งมานานกลับขยับแผ่วเบาที่ปลายนิ้วรวมถึงดวงตาที่หนักอึ้งแต่เจ้าของก็พยายามที่จะลืมตาอ้าออก ร่างชายหนุ่มใส่ชุดกราวน์เริ่มชัดเจนแต่ดวงตาที่หลับมานานกลับอ่อนล้าจนมันเหนื่อยที่จะลืมต่อ มันคงจะปิดสนิทไปอีกรอบกับความอ่อนแรงแล้วถ้าไม่ติดรูปร่างหญิงที่คุ้นเคยที่ยืนอยู่ข้างเคียงกันที่ทำเอาดวงตาอ่อนล้าเบิกกว้างแม้มันจะออกมาในลักษณะขนาดปกติธรรมดาของคนทั่วไปแต่เขาก็พยายามฝืนจ้องมองให้ได้มากที่สุดแล้ว
...แม่
ยิ่งจดจ้องนานสมรรถภาพการรับรู้ก็ยิ่งอ่อนลง ร่างบนเตียงจ้องมองบุคคลสองคนพูดคุยกันทั้งๆที่หูเริ่มไร้รับการได้ยินจากการความอ่อนล้า ความรู้สึกเกือบสุดท้ายร่างบนเตียงจำได้เพียงแรงเข็นที่ไม่เบาแรงนักราวกับเร่งรีบที่บุคคลมากกว่า2คนขับเคลื่อนย้ายเตียงที่เขานอนอยู่
แต่เขาจำความรู้สึกสุดท้ายได้ดี
เขา ‘มองเห็น’ ...บังยงกุก
มันเป็นเรื่องยินดีทีตื่นมารับรู้ว่าคนๆนั้นกำลังหลับสนิทเฝ้าตนอยู่ แต่มันคงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างสุดท้ายของยูยองแจจริงๆเพราะเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินคือเสียงของบุพการีที่ให้กำเนิดตนออกมา
“...จะว่าอะไรไหมคะคุณหมอ ถ้าฉันจะส่งลูกฉันไปรักษาตัวที่อเมริกาคืนนี้”
…แม่ครับ
.
.
.
หิมะขาวโพลนค่อยๆร่วงโรยหล่นลงมาขนานกับพื้นทางเดินเท้าริมถนนที่คนยังคงเดินขวักไขว่ รอยยิ้มจากคู่รักมากมาย รสจูบที่หยิบยื่นให้กัน ...น่าอิจฉา
มันเคยเป็นภาพที่สวยงามตาแต่ในตอนนี้มันกลับไม่ใช่เลยสักนิด
บังยงกุกไม่ชอบมันอีกต่อไปแล้ว
ฤดูหนาวที่มาพร้อมกับเทศกาลปีใหม่มันเคยเป็นช่วงที่เขารอคอยให้ผ่านเวลาไปช้าๆ แต่ในเวลานี้มันไม่ต่างจากการรอคอยเวลาให้มันผ่านไปอย่างเร็วๆที่สุด.... ไม่อยากรับรู้
เท้าหนาเร่งก้าวเข้าสู่ที่หมายที่เขาเข้ามาได้มาเกินครึ่งปีแล้ว ตั้งแต่ที่ตื่นมาในโรงพยาบาลวันนั้นและสีหน้าวิตกกังวลของทุกคนจ้องมองไปยังเตียงที่ว่างเปล่ามันก็เหมือนกับวิญญาณที่เคยมีหลุดลอยไปอย่างแทบไม่มีวันหวนคืน ยิ่งคำพูดบอกเล่าของคุณหมอดูแลไข้ก็ยิ่งไม่ต่างจากเอาไม้หน้าสามมาตีกแสกหน้าเขาเลยสักนิด
คุณนายยูพายองแจกลับไปอยู่ด้วยแล้ว
เหตุการณ์มันผ่านมาได้ไม่ถึงปี แต่ในความคิดของเขาตอนนี้มันยิ่งกว่าเวลากว่าชาติเศษเลยเสียด้วยซ้ำ มันทั้งจุกทั้งเจ็บในการที่จะต้องคิดว่าจะไม่ได้เจออีกคนอีกตลอดกาล ซึ่งมันไม่ต่างจากเอามามีดมาปักกลางหลังเขาแล้วรอให้แผลปิดสนิททั้งๆที่ยังคงเสียบวัตถุแหลมคมให้ย้ำความปวดหน่วงนั่นเลย “…”
“อ้าว สวัสดีจ้ะยงกุกอา” เสียงตื่นตกใจเล็กน้อยของเจ้าของร้านสีพาสเทลเอ่ยทักทายซึ่งเจ้าของชื่อที่พึ่งก้าวเท้าผ่านปุยนุ่นสีขาวที่หนาวเย็นก็ทำเพียงพยักหน้ารับให้อย่างอายๆเมื่อสังเกตุได้ว่าวันนี้คนในร้านมันแน่นกว่าทุกวันและคนพวกนั้นก็ลอบมองเขาเสียจนเขารู้สึกว่าประหม่า
เป็นใครใครก็น่าจะมองแหละ
ก็ร้านบาร์ถักไหมพรมพวกนี้พวกผู้ชายที่ไหนจะเข้ากัน?
“นี่ก็เหลือแค่ต่อทุกอย่างนะ เดี๋ยวพี่ไปเตรียมอุปกรณ์ให้เสื้อถักจะเสร็จแล้วดีใจหรือเปล่า ฮะฮะ” เสียงหญิงสาวอายุมากกว่าที่ในตอนนี้เลี่ยนจากสถานะเจ้าของร้ายกลายเป็นคนรู้จักเอ่ยขึ้นอย่างล้อเลียน ยงกุกไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่พยักเนือยๆตอบกลับไปก่อนจะกวาดสายตาไล่มองหาที่นั่งที่หาได้ยากเย็นเสียเหลือเกินในวันนี้
“มีคนนั่งไหมครับ?”
“นั่งเลยจ๊ะ ยายมาคนเดียวน่ะพ่อหนุ่ม”
นั่งลงได้ไม่นานไหมพรมสีฟ้าครามที่เริ่มคุ้นตาก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าก่อนที่ร่างสูงโปร่งของหญิงสาวจะรีบกระวีกนะวาดออกไปรับลูกค้าที่ในตอนนี้เริ่มแห่เข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ลืมหันมาขอโทษขอโพยกับชายหนุ่มเมื่อระลึกได้ว่าตนยังไม่ทันได้สอนวิธีการทำให้อีกคนเลย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวยายสอนไอ้หนุ่มคนนี้ให้ แม่หนูไปเถอะ”
บังยงกุกหันมาอมยิ้มเล็กน้อยให้กับหญิงสูงวัยที่ช่วยแก้ปัญหา ใบหน้าที่ร่วงโรยไปพอสมควรถูกดวงตาคมพินิจเมื่อเริ่มรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก... “เลิกจ้องยายเถอะพ่อหนุ่ม วัยแก่คร่ำครึแต่ก็มีเขินมีอายเป็นนะหนุ่มเอ้ย” หญิงวัยชราพูดอย่างติดขำจน พ่อหนุ่ม ที่ว่าก็อดจะหลุดหัวเราะให้กับความเป็นกันเองไม่ได้.... เขาไม่ได้หัวเราะมานานมากแล้วเหมือนกันนะเนี่ย
“หนุ่มทำตามยายนะ สอยแขนเชื่อมกับตัวต้องร้อยเข็มมาในแนว...” การอธิบายยาวเหยียดพร้อมการปฏิบัติที่ดูไม่คล่องนักสำหรับผู้ทำตามทำให้หญิงแก่อมยิ้มเอ็นดูร่าตีมือแกร่งเบาๆเมื่อทำผิดจนแทบจะต้องรื้ออกมาแก้ใหม่ วันเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกว่าจะคงที่ ต่างคนต่างเริ่มที่จะหันไปใส่ใจสิ่งที่ตัวองทำก่อนจะเป็นภาวะเงียบสงบท่ามกลางเสียงคุยเบาๆภายในบาร์สีพาสเทลนี่
ONE SHOT
“พ่อหนุ่มถักเสื้อหนาวให้ใครเหรอ ทำมานานแล้วล่ะสิ รู้จักกับเจ้าของร้านแบบนี้” เริ่มต้นสนทนาเมื่อจัดการกับผ้าพันคอตัวเองจนสุดผืน อีกฝ่ายชะงักค้างไปนานก่อนเลือกที่จะเลี่ยงคำถามแรกไปตอบอีกคำถามในประโยคนั่นแทน
“…ก็ นานอยู่ครับ กว่าผมจะมีเวลาว่างมานั่งทำให้ได้ขนาดนี้ก็ 7 เดือนแล้ว”
7เดือนที่เหมือนนรกหลายชาติของผม
“อ่า ตอบยายไม่หมดคำถามนะเราน่ะ แต่นี่ก็เก่งมากแล้ว ถึงจะใช้เวลานานแต่สำหรับให้กับคนพิเศษพ่อหนุ่มมีความอดทนสูงมากเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า”
ยงกุกกดมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อดูเหมือนคนสูงวัยด้านข้างจะจับไต๋ได้ที่เขาเลือกที่จะเลี่ยง โดยที่ดวงหน้าคก็พยักหน้าขึ้นลงตามคำเชิงชมของอีกคนที่เอ่ยบอกว่าเขามีความอดทนสูง มันก็เป็นเรื่องจริง จริงๆนั่นล่ะ เหนื่อยจากการทำงานหาวันหยุดก็แทบไม่มีแต่ก็พยายามสละเวลาในแต่ละวันที่พอมีเดินเข้าอกร้านกุ๊กกิ๊กนี่ทั้งๆที่คงไม่มีชายคนอื่นใดทำ
“...แต่ก่อนผมเป็นคนใจร้อนน่ะครับยาย ใจร้อน ร้อนเสียจนต้องวุ่นวายให้คนๆหนึ่งต้องคอยตามแก้ตามห้าม”
“ผมเลวชนิดที่ว่าไม่สมควรให้อภัยเสียด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังยืนอยู่ข้างผม ยืนจนเป็นผมที่ออกปากไล่เขาไป”
“ขอโทษนะครับที่ผมพูดอะไรไปแบบนั้น ผมลืมตัวน่ะครับ” แทบเลื่อนมือละจากผืนไหมตรงหน้ามายั้งปากตัวเองแทบไม่ทันเมื่อนึกขึ้นได้ เอ่ยขอโทษขอโพยไปแต่ก็ได้รับรอยยิ้มเอ็นดูใจดีนั่นกลับมาพร้อมประโยคที่ทำให้หัวใจเรียบเย็นขาดความดูแลจากพ่อแม่ตัวเองแช่มชื่นขึ้นมาไม่น้อยกับคำพูดเป็นกันเองที่หญิงสูงวัยให้กลับมา
“ไม่หรอกพ่อพนุ่มเอ้ย มีอะไรไม่สบายใจอยากจะพูดก็พูดเถอะ ยายก็ไม่ใช่วัยหนุ่มสาวที่จะมานั่งหัวเราะต่อกระซิกส่งแผ่ไปหลายปากหลายหู บางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าหากยายจะช่วยเราแก้ปัญหาได้บ้าง”
สีหน้าใบหน้าคมขมวดคิ้วอย่างนึกคิดเล็กน้อย แต่ความอึดอัดตันใจที่ผ่านมาก็ทำให้เขาเลือกจะพูดกับผู้หญิงด้านข้างที่แผ่ซ่านไปด้วยความอบอุ่นและคุ้นเคย
ยงกุกคิดว่าเขาเคยเจอคุณยายคนนี้มาก่อน
...แต่ก็แค่คิด มันคุ้นอยู่ที่ความทรงจำเหลือเกิน
“ผมถักนี่ให้คนรักของผมครับ”
“แต่ตอนนี้เขาย้ายไปอยู่กับแม่เขาที่อเมริกาแล้ว ย้ายไปแบบไม่บอกลาผมสักคำ ย้ายไปทั้งๆที่ทุกอย่างมันกำลังจะจบลงด้วยดี” บางทีเขาอาจจะตกแต่งเรื่องไปสักหน่อย... เอาตามจริงถ้าจะลาจากกันแค่ให้รับรู้ว่าคนทางนั้นปลอดภัยมากพอก็คงจะดีกว่านี้
“ผมมาทำนี่เพราะเขาเคยถักถุงเท้าให้ผมคู่นึง แต่ผมทำมันหายแล้วล่ะ มารื้อหาเอาตอนที่ร่าเสียเขาไปก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนซะแล้ว ผมก็แค่อยากตอบแทนและขอโทษเขาด้วยเสื้อตัวนี้.... ถึงบางทีมันอาจจะไม่ถึงมือเขาในชาตินี้ก็ตาม”
ยกย้อนไปถึงร่างบางที่นั่งหลังขดหลังแข็งทั้งๆที่งานเต็มหัวก็อดจะยิ้มกับเสื้อที่กำลังจะเสร็จสมบูรณ์ในมือตัวเองไม่ได้ ถึงแม้มันจะไม่ได้ถึงมืออีกคน แต่ขนาดที่เขากะไว้ก็ทำให้เขาพออบอุ่นใจบ้างว่ามีอีกคนข้างกาย
“พ่อหนุ่มดูรักเธอมาก”
“รักมากสิครับ ผมโดนพ่อแม่ทิ้งให้อยู่บ้านเด็กกำพร้า พอบ้านไม่มีทุนก็กลายเป็นเด็กเร่ร่อนจนมีเขานี่แหละที่ยื่นมือเข้ามาช่วยไว้”
“ผมไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เขากลับใช้เวลาว่างที่พอมีเอาความรู้มาสอนพวกผมกับน้องๆที่เป็นเด็กเร่ร่อนเหมือนกันจนน้องผมสามารถสอบเข้าเรียนได้จนจบมัธยมปลาย”
“พระเจ้าคงกำลังจะไถ่บาปให้กับผมแหละครับ หยิบยื่นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตให้ก่อนที่จะใช้ชีวิตโดยลืมเขาอย่างสนิทใจ มันเจ็บจังครับยาย มันเจ็บจนหลายครั้งที่ผมอยากจะตายวันละพันๆครั้ง”
“พ่อหนุ่มอยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม?” คุณยายจัดการซ่อนปมไหมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆพับผ้าพันคอผืนหนาสีน้ำตาลอ่อนโดยไม่ลืมเอ่ยถามคำถามที่เป็นนัยน์อยากรู้ความคิดเห็น
“ไม่ครับ ผมไม่อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่ผมต้องการแก้ไขทุกอย่างไม่ให้ซ้ำรอยเดิม”
“ผมทำผิดมาเยอะมากท่ามกลางเสียงร้องห้ามของเขา ถ้าหากมีโอกาสผมคงไม่สามารถย้อนอดีตได้ แต่ผมอาจจะเลือกเส้นทางเดินที่ดีมากกว่านี้”
เหมือนทุกอย่างกลับไปเงียบสงบอีกครั้ง บังยงกุกหลังจากพูดไปตามความสัตย์จริงก็มาจัดการซ่อนปมตามที่หญิงข้างกายเอ่ยสอน เสียงเก้าอี้เลื่อนย้ำหนักเกินพอดีด้านหลังทำเอาคนที่กำลังเปรมสุขกับสิ่งในมือต้องอดจะหันไปสนใจไม่ได้ ยิ่งคำพูดที่หญิงวัยชราข้างกายเอ่ยออกมา
“...เธอว่ายังไงล่ะ ยูฮานา”
เขาว่าแล้วว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยคนด้านข้างนี่นัก
ม มาอยู่ที่นี่ได้ไง!
“หนูจะว่าไงได้ล่ะคะแม่ เล่นทำลูกหนูไม่เป็นอันทำอะไรอยู่ที่นู้นจนต้องลากกลับมาขนาดนี้อ่ะ” ดวงตาคมเบิกกว้าง ทิ้งของในมือที่ใกล้เสร็จเต็มทีอย่างเผลอไผล ร่างเพรียวบางที่เคยคุ้นเคยเมื่อในอดีตเดินกระฟัดกระเฟียมานั่งลงข้างกายคนสูงวัยที่จัดการเก็บไม้ถักนิตติ้งและเข็มโครเชต์เข้ากระเป๋าข้างตัว
“ไม่ต้องมามองฉันอย่างนี้เลยนะนายบังยงกุก ฉันล่ะไม่น่าใจดีหาข้าวปลาอาหารให้พวกแกตั้งแต่เด็กเลยถ้ารู้ว่าโตมาแล้วจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกฉันเกือบตายน่ะ!”
โหวกขึ้นตามที่ใจนึกคิด ดวงหน้าที่ขึ้น40มีริ้วรอยความโกรธเคืองประดับอยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรเสียน้ำเสียงขุ่นเคืองนั่นก็เป็นตัวย้ำได้ดีว่าอีกคนก็โมโหมากในระดับหนึ่ง
คุณแม่เธอมักจะมาถักผ้าพันคอที่นี่เป็นประจำโดยให้คนรถที่บ้านมาส่งมารับจนเธอได้รับข่าวมาว่ามีเด็กผู้ชายที่เคยอยู่ในความดูแลตนในอดีตที่ชื่อบังยงกุกมานั่งที่นี่ถักเสื้อกันหนาวสีฟ้าครามแทบทุกอาทิตย์จากแม่ของเธอ เธอคงไม่ใจอ่อนขนาดบินกลับมาเพื่อมาหาเด็กคนนี้โดยเฉพาะหรอกถ้าไม่ติดถึงลูกคนเดียวของเธอที่ดูอย่างไรเสียอยู่กับเธอที่นู้นก็เหม่อลอยไม่เป็นอันทำอะไร... จนเธอยอมใจอ่อน
และยิ่งมาเห็นมาได้ยินแบบนี้.... ให้ตายสิ!
ยองแจติดนิสัยใจอ่อนจากเธอไปแน่ๆ
“ฮานา เบาหน่อย”
“ก็ขอบ่นหน่อยเถอะค่ะแม่ เหอะ ทำไมลูกหนูต้องมาวุ่นวายกับอีพวกโจรนี่ด้วยนะ ไม่เข้าใจเลย!”
“ผมไม่ใช่โจรนะครับ!”
“ผ ผม ตอนนี้ผมกลับตัวแล้วนะครับคุณแม่ ผมเลิกทุกอย่างแล้วจริงๆ”
ยงกุกแย้งขึ้น ท่ามกลางใบหน้าหญิงวัยกลางคนที่เล่นหูเล่นตาทำท่าเหมือนไม่อยากจะเชื่อเท่าที่สมควร
...ทั้งๆที่เธอรับรู้เรื่องของเจ้าเด็กตรงหน้าจากเพื่อนเจ้าลูกชายตัวดีมาตลอด
“ย .. ยองแจ คือยองแจอยู่ไหนเหรอครับ? แล้วทำไม...”
“กว่าจะเช็คตาให้หายขาดก็เกือบสามเดือน แผลที่โดนยิงกว่าจะเลิกระบมก็หลายเดือนอยู่ ฉันไม่ได้จะไม่ให้เจอกันตลอดชีวิตหรอกน่า แค่เอาไปขัดเงาให้กลับมาดูเป็นคนเหมือนเดิมหลังจากกลายเป็นศพเพื่อช่วยใครบางคน”
พูดไปตามความจริงที่ตกแต่งเล็กน้อย ตามจริงก็หวังให้ลูกเธอตัดใจได้และเริ่มต้นใหม่ แต่ยิ่งอยู่นานวันไปสุดท้ายก็มีแต่จะแย่ลงๆทุกที
“ยองแจถึงมันจะเป็นตำรวจเข้มแข็งฆ่าคนได้แต่นายก็รู้ว่าลูกฉันก็อ่อนแอตามประสา เอ่อ...คนรับ อ่ะนะ” ตบหน้าผากตัวเองเบาๆอย่างไม่อยากจะยอมรับ ถึงจะรู้เรื่องนี้มาหลายปีแล้วก็เถอะ
แต่ก็นะ
“เจ้าลูกบ้านั่นอ้อนทั้งน้ำตาเป็นอาทิตย์นะกว่าฉันจะใจอ่อนพากลับมาส่ง เพราะฉะนั้นถ้าทำลูกฉันเป็นอะไรอีกฉันเอากลับไปจับขังลืมที่ทำงานฉันไม่ต้องมาเจอกันอีกต่อไปเลย” เธอทำงานอยู่สถานฑูตที่นู้น เธอเป็นแม่หม้ายลูกติดเพราะพ่อของยองแจก็จากไปตั้งแต่ยองแจยังเด็ก ก็ไม่อยากจะใช้เรื่องนี้ขู่นักหรอก แต่ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆเธอะขังลูกเธอไว้ที่ห้องทำงานเธอแน่ๆ และมั่นใจได้ว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้านี่ไม่มีวันได้เข้าไปเจออย่างแน่นอนที่สุด
“...แล้ว แล้วตอนนี้ยองแจอยู่ไหนครับ?”
“...ก็วันๆมันก็ไม่เคยกลับบ้านตัวเองอยู่แล้ว คิดว่าฉันพากลับมามันจะไปไหนล่ะ?”
“ขอบคุณนะครับ ขอบคุณนะครับแม่ ขอบคุณนะครับยาย ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆครับ!”
การมาดักรอวันนี้ก็โอเคนะ ได้เห็นมุมหวานของเจ้าเด็กเถื่อนนี่
ง้อลูกฉันให้ได้นะ...พ่อลูกเขย
ONE SHOT
หัวใจเหมือนถูกกลับคืนมาเต้นอีกครั้ง วันนี้แม้ท้องฟ้าจะไม่เป็นใจเท่าไหร่ แต่เสื้อในมือที่เป็นใจในการเสร็จเรียบร้อยพอดีก็เป็นกำลังใจให้เขาวิ่งฝ่าฟันลมหนาวและหิมะขาวตรงสู่รถยนต์ที่คุ้นเคยสตาร์ทตรงสู่ ‘บ้าน’ ที่ในตอนนี้ ‘ครอบครัว’ ของเขากำลังจะกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง
เทศกาลปีใหม่นี้.... บางทีเขาอาจจะกลับมาชอบมันอีกครั้ง J
นึกขุ่นใจเล็กน้อยเมื่อเพราะหิมะขาวโพลนแสนชื้นแฉะนั่นแท้ๆที่ทำให้ระยะเวลาในการมาถึงช้ากว่าปกติ แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมาเมื่อความรู้สึกมีความสุขและดีใจมันล้นปรี่ยิ่งกว่าที่จะมาโกรธเคืองกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง มือหนาคว้าหมับถอดกุญแจรถก่อนจะเอื้อมเสื้อถักที่พึ่งเสร็จสดๆร้อนตรงสู่บ้านหลังโตที่คุ้นเคยพุ่งตรงเข้าข้างในอย่างไม่คิดที่จะรีรออีกต่อไป
...หัวใจมันเต้นรัวจนน่าใจหาย
“ยูยองแจ!...” เปิดประตูห้องรับรองเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงโหวกเหวกมาจากภายใน ยิ่งแผ่นหลังบางที่ผอมลงไปถนัดตาแต่ก็ยังจดจำได้ก็รีบเปิดไปตะโกนเรียกอย่างไม่คิด....
ตะโกนเรียกด้วยความรักและความคิดถึง
....แต่ก็ได้รับการแสดงความในใจที่น่ารักเสียเหลือเกิน = =
ผลั่วะ!
“โอ๊ะ!..” เบ้าตาซ้ายโดนหมัดขวาเข้าจังๆอย่างไม่ทันจะได้โอบกอดอย่างที่ควรจะมีในนิยายหรือในหนังตอนจบที่แสนสวย น้องๆในห้องที่กำลังจัดปาร์ตี้เล็กๆแทบเอามืออุดปากกันไม่ทันรวมถึงฮิมชานที่พองปากอย่างนึกเจ็บแทนแต่ก็ไม่มีใครคิดเข้าไปห้าม
วันนี้เป็นวันดี....
จะปีใหม่แล้วก็ต้องเล่นอะไรสักหน่อย
“หายไปยังไม่ถึงปี มีเมียใหม่แล้วหรือไงฮะ!” เป็นอีกครั้งที่ลงไปคำนับที่พื้นเมื่ออีกคนถีบเข้าช่วงกลางลำตัวจนรู้สึกจุก ในนิยายหรือหนังแสนหวานคือต้องร้องไห้คิดถึงกันปานจะขาดใจไม่ใช่เหรอ? ทำไมนี่มันผิดอย่างที่คิดไว้นักล่ะ
“โอ๊ยเดี๋ยวนีล อะไรวะเนี่ย มาถึงก็ต่อยเอา! ถีบเอา! นี่คิดถึงนะเนี่ย คิดถึงมากร้องไห้จะเป็นจะตายไหงเจอกันเสยเอาๆงี้อ่ะ อ๊ากกกกกกกกกกกกก”
หูถูกบิดอย่างแรงก่อนที่มือบางจะลากคุณพระเอก(?)มากองอยู่ที่หน้าโต๊ะรับแขกที่แสดงภาพแอบถ่ายของตัวเขากับผู้หญิงคนหนึ่ง....
นี่มันพี่นาอึนเจ้าของบาร์ถักไหมพรม!
“อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยปัง!” สรุปตอนจบสุดท้ายนี่จะไม่มีหวานแหววแล้วใช่ไหม? เขาจะได้จัดการไอ้ตัวการที่มันเล่นไม่รู้เรื่องนี้ให้แหลกคามือไม่ต้องไปสนใจฉากจบแสนหวานละ
“ไม่เคยนอกจากเว้ย! ก็มีเมียคนเดียวตั้งแต่เกิดมาเนี่ยแหละ”
“ไอ้ตัวไหนมันเล่นไม่รู้เรื่องวะ แล้วนี่ไปถ่ายมาทำยังกับรู้ทุกอย่างตั้งแต่ต้น....” โวยเข้ากับใบหน้าหวานทที่ซูบพร้อมลงไปแต่ความน่ารักยังคงอยู่ ถึงแม้เผลอมันจะน่ารักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ก่อนจะหันมาไล่เรียงเหล่าสมาชิกในครอบครัวตนที่ต่างทำเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้นหยิบนู่นนี่เข้าไปเฉไฉเปิดเพลงดูทีวีอย่างไม่แคร์ใคร ...ยกเว้นคิมฮิมชานที่ดูยังไงก็กลั้นขำจนท้องแข็ง
“คิม ฮิม ชาน”
“ของขวัญไง”
“ของขวัญบ้านแกดิ โดนต่อยถีบจนไม่เป็นท่าต้อนรับการเจอกันครั้งใหม่เนี่ยนะ!”
“สีสันของชีวิตเว้ย”
บังยงกุกอยากจากยกปืนมาเป่าหัวพ่อเพื่อนตัวดีเสียจริง และคนตัวบางข้างกายนี่อีก... “นี่ก็ไปเชื่อมัน สมองกลวงแล้วเหรอฮะ โดนยิงไปนัดเดียวเนี่ย!”
“อย่ามาตะหวาดนะ นี่นีลงอนปังอยู่นะเว้ย!!!” ก็ตัวเขาก็ไม่รู้เหมือนกันนี่ ดีใจที่ได้กลับมาแต่ไหงมีรูปแฟนตัวเองคุยอ้อล้อกับผู้หญิงคนอื่น ไอ้เราก็นึกว่าจะกลับมาเก้อแล้วด้วยซ้ำไป....
“เออ ดี ไม่ต้องจบแบบสวยๆแล้วแม่ง พวกมึงก็กินฉลองไปละกัน ส่วนนี่เจลโล่ พี่ฝากเอาไปซักด้วยพึ่งทำเสร็จ” ร่างสูงถอนหายใจหน่ายๆ เอื้อมหยิบเสื้อไหมพรมสีฟ้าครามให้น้องเล็กที่ผวารับแทบไม่ทันก่อนจะลากอีกคนไปยังห้องนอนของ ‘เรา’
“พี่ทำเองเหรอ?” บิดมืออก เดินไปนั่งลงปลายเตียงเอ่ยถาม
“เออ นี่กะว่าจะเอาให้ด้วย แต่แม่งเปิดมาก็ต่อยเอาเสยเอาให้มันเอาไปซักก่อนแล้วค่อยเอาไปละกัน” ทำปากขมุบขมิบ สัมผัสเบ้าตาตัวเองหน่อยว่ามันบวมขึ้นแล้วหรือยัง น้ำเสียงติดน้อยใจทำเอาคนบนเตียงยิ้มขำก่อนจะนึกไปถึงสิ่งที่หญิงสูงวัยเคยบอกไว้เมื่อก่อนที่เขาจะมา…“เหมือนที่ยายบอกจริงๆด้วย”
“เงียบไปเลย หายไปแบบนี้รู้ไหมว่าคิดถึงขนาดไหน รู้ไหมว่าอยากตายกี่ครั้งตั้งแต่นายหายไป” คำพูดเหมือนรู้อะไรมาของอีกคนทำเอาร่างสูงใบหน้าแดงก่ำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องนั่งคุกเข่าให้ใบหน้าตรงกันจ้องมองลึกไปอย่างดวงตาคู่สนทนา
นัยน์ตาหวานเสหนี ริมฝีปากถูกกัดไปมา ยิ่งอีกคนเอ่ยย้ำอีกครั้งสุดท้ายก็ประคองใบหน้าคมให้รับจูบแผ่วเบาอย่างไม่มีการรุกล้ำย้ำๆจนคนที่เป็นฝ่ายเขินอายกลับเป็นคนอยู่ที่พื้นนั้นแล
“ตอบสิ ไม่ใช่เอาแต่จูบแบบนี้” เอ่ยเตือนแต่อีกคนก็ให้คำตอบด้วยภาษากายไม่เปลี่ยน
“แจนีลอา.... ไม่งั้นเราคงไม่ได้คุยกันรู้เรื่องแล้วนะต่อจากนี้” เขาว่านี่คงเป็นคำเตือนครั้งสุดท้าย นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้เจอกัน เล่นจูบเอาๆถึงแม้ไม่มีการรุกล้ำแต่ก็ปลุกสัญชาตญาณภายในกายให้คลุกกรุ่นจนอีกไม่นานมันคงได้ระเบิดออกมาจริงๆ
“...ก็แม่อนุญาตแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เงียบพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยบอกเป็นนัยน์ทั้งๆที่มือก็ยังคงคล้องรอบคออีกคนอยู่
“พี่ไม่เข้าใจ” ใบหน้าคมแสดงสีหน้าฉงน มือที่โอบล้อมเอวยังคงนิ่งเฉยเมื่อสมองยังคงฉุกคิดในสิ่งที่อีกคนพูด …“นายจะอยู่กับพี่ตลอดไป?” เอ่ยบอกตามที่คิดและแน่นอนว่าคนตรงหน้าแย้มยิ้มกว้าง ปากบางเม้มลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกคนจดจ้องตัวเองอย่างไม่ละ ยิ่งคำตอบต่อมาก็ทำให้ทุกอย่างเฉลยเข้าที่เสียจนบทรักที่ห่างหายไปนานแสนกลับคืน
“ก็ยกเว้นว่าพี่จะปล่อยโอกาสสุดท้ายให้หลุดมือ”
โอกาสสุดท้าย.... บังยงกุกจะไม่มีวันทิ้งยองแจอีกต่อไป
เพราะชีวิตของคนเรา ไม่ได้มีโอกาสที่สองไปซะทุกคน...
You only have one chance you know?
Special
ภาพตรงหน้าทำเอาคนแอบดูอดจะแย้มยิ้มกับความปริ่มสุขที่เก็บกดไม่ไหว ไม่บ่อยครั้งนักที่จะเห็นพ่อคนหล่อมาดเข้มดีแต่ตีหน้านิ่งมาสลอนหน้าแอ๊บแบ๊วง้องอนผู้กอบกุมก้อนเนื้อด้านซ้ายที่ดูท่าก็คงจะสนุกไม่น้อยที่แกล้งโกรธเคืองพ่อคนรักตัวดี
"แจนีลอา..... ดีกันนะ" ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงพื้นอย่างหมดท่า เชยคางตัวไว้ตรงเข่าของคู่สนทนานี่ยังคงนั่งห้อยเท้ากอดอกอยู่ปลายเตียงเบนใบหน้าไปนู่นนี่เลี่ยงสายตาไม่ให้สบเข้ากับคนตัวโตที่ในตอนนี้กลับทำตัวเด็กไม่สมอายุเข้าเสีย
"...พี่ตวาดผม" พึมพำเสียงเบาตีหน้าเศร้าจนคนแอบมองแทบหลุดขำลั่นออกมา ดูก็รู้ว่าเจ้าคนตัวบางนี่แกล้งโกรธขึงคงมีแต่บังยงกุกนี่แหละที่ทำหน้าจะร้องไห้เข้าทุกที "แจนีลอา...."
"ขอโทษ ขอโทษนะครับนะ ปากปังไม่ดีเอง จะไม่ตวาดแล้ว จะพูดเพราะทุกคำเลยนะ"
"ผมง่วงละ นอนแล้วนะครับ" หลุดขำพรืดกับความผิดหวังของพี่ใหญ่เมื่อคนตัวบางดันหัวทุยนั่นออกและพลิกตัวเอนลงนอนห่มผ้าน้องเล็กคลุมจนมิดคอ ฝังตัวเข้ายามเย็นอย่างดึงดันจะทำตามที่แย้ง
"ดีจัง..." เสียงพึมพำของน้องเล็กทำเอาพี่ที่เหลือตัดสินใจปิดประตูห้องนอนที่ยงกุกยังคงต้องยืนยันทำหน้าหวานแหววง้องอนตามหลักที่คิมฮิมชานได้สอนมา ไม่ใช่ว่าจะกลัวจับได้ไรหรอก...
เดี๋ยวกรามจะค้างก่อนเรียงตัวนี่ล่ะ
"มีความสุขสักทีแฮะ อื้อ~" แดฮยอนว่าเข้า ยืดแขนจนสุดบิดร่างกายร้องครางอื้ออึงกับความเมื่อยล้า หลุดยิ้มกับความน่าเอ็นดูของเจ้าเด็กตัวสูงที่ปากก็พร่ำว่าดีนู่นดีนี่แต่ตัวเองกับน้ำตาเอ่อ ให้ตายสิ... แฟนใครวะ
"ขี้แงอีกแล้ว..." ลูบหัวทุยที่ดวงหน้าก็ก้มหลบรีบเช็ดน้ำตาอย่างไม่อยากโดนล้อ แต่ก็อย่างปกติ โดนมือหนาเชยคางวางริมฝีปากตัวประทับดูดซับน้ำสีใสจนได้ใบหน้าแดงก่ำแทน
"พ พี่แดฮยอน!" เอามือฟาดเข้าให้แต่แทนที่เจ้าของชื่อจะร้องโอดโอยกลับรวบมืออีกคนกระชากเข้าแนบอกดึงดันร่างอีกฝ่ายให้แผ่นหลังบางแนบชิดแผงอกแกร่งก่อนจะกอดกระชับเอวบางไว้หลวมๆขโมยหอมแก้มเป็นกระทงที่สองในวันนี้
ก็น่ารัก... ให้เขาทำไง?
พอสังเกตดูแล้วเวลามันก็ผ่านมาเร็วไม่น้อยเลยกับเหตุการณ์มากมายที่ผ่านมา อุปสรรคมากมายที่ฝ่าฟันบางทีแดฮยอนก็คิดนะว่าเชวจุนฮงทนทำและทนรับสิ่งแวดล้อมอย่างนี้อย่างไรไหว การกระทำที่เด็กผิวซีดที่นั่งกอดเข่าอยู่ที่มุมทางเปลี่ยว ดวงหน้าบูดบวมจากการโดนทำร้าย ร่างกายเปรอะเปื้อนด้วยดินโคลนฝุ่นเขลอะที่ในตอนนี้เด็กคนนั้นกลับเติบโตมาพร้อมสีผิวสว่างคู่กายและส่วนสูงนำลิ่วใบหน้าไร้เดียงสาและมันสมองที่ฉลาดเกินวัย
ยังจำวันแรกได้ดีเพราะตัวเขาเองที่ไปวิ่งราวหาข้าวกินประทังชีวิตกับพี่ยงกุก ขโมยของได้มาพอจะวิ่งกลับไปใน 'บ้าน' ตัวเองก็ดันหลบหลีกจนไปโผล่ซอยที่มีเด็กคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ ว่าจะเดินหนีอย่างคนไม่ได้รับการศึกษาแต่ก็เพราะพี่ชายอย่างบังยงกุกที่ยื่นมือไปจูงให้เดินกลับมาด้วยนั่นแล... ต้องขอบคุณพี่มากจริงๆ
จัดการทำแผลด้วยฝีมือพี่รองอย่างพี่ฮิมชานที่เป็นเพื่อนกับพี่ยงกุกและเป็นพี่ชายผม พวกเราสร้าง 'ครอบครัว' กันขึ้นมาเพราะเด็กเร่ร่อนอย่างพวกเราไม่มีใครใคร่สนใจใยดีนักหรอก เด็กคนนั้นถูกดูแลเป็นอย่างดีจนสุดท้ายหายดีก็ถามชื่อแซ่และสรุปใจความได้คือ 'เชวจุนฮง'พ่อแม่โดนฆาตรกรรม อย่าถามถึงญาติสักคน เพราะที่หมายถึงฆาตกรรมคือ 'ฆ่าล้างโคตร' อืม... ชีวิตพวกเรานี่ไปทำบาปทำกรรมกันไว้เยอะมากในชาติที่แล้วแน่ๆเลย พี่ยงกุกกับพี่ฮิมชานเคยอยู่บ้านเด็กกำพร้าเพราะพ่อแม่ไม่เอาแต่ก็ถูกทิ้งไม่สนใจใยดีเมื่อไม่มีเงินทุนในบ้านที่รวบรวมเด็กไร้บุพการีไว้จนถูกยุบและปล่อยเด็กให้กลายเป็นเด็กเร่ร่อนอย่างเต็มตัว ส่วนผมไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่เอาหรอกนะ เขาแค่ติดพนันจนจำต้องเอาผมไปขาย พวกท่านรักผมนะ แต่ท่านรักการพนันนั่นมากกว่าก็เท่านั้นเอง ยิ่งเล่นเงินก้อนโตก็ร่อยหรอ สุดท้ายก็กู้เขาจนถูกเด็ดหัวเพราะไม่มีปัญญาคืนก็เท่านั้น และผมจะอยู่ทนใช้แรงงานในการส่งยาบ้าพวกนี้ทำไม ยังไงครอบครัวผมก็ไม่มีแล้ว เอาตัวรอดไปวันๆนี้แหละ...ตื่นเต้นดี
ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะที่กว่าจะให้เชวจุนฮงกล้าที่จะจับปืนแบบอย่างทุกวันนี้ได้ หลายครั้งหลายหนที่อีกคนเจาะกระสุนคลาดชีวิตคนแต่ละทีมันก็จะตามมาด้วยรอยน้ำสีบริสุทธิ์ที่มักจะมาพร้อมกันเสมอ แต่ทำไงได้ ถ้าไม่ทำ... คนที่โดนอาจจะเป็นตัวเราเอง
ตั้งแต่สิบปีก่อนจนถึงตอนนี้น้ำตาก็ยังเป็นของคู่กายอีกคนจนมันทำให้ใครคนหนึ่งลุ่มหลงไปอย่างไม่รู้ตัว วันแรกเด็กผิวขาวซีดน้ำตานองหน้ารอยแผลเต็มกาย จนวันนี้ที่ร้องไห้กับความดีใจที่ล้นอก ถึงตัวจะสูงนำเขาไปไม่ได้ตัวเล็กน่ารักในแบบใครๆแต่อย่างไรเชวจุนฮงก็คือคนที่จองแดฮยอนเลือกปกป้องตลอดชีวิตอยู่ดี...
รักไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้...
แต่ยังไงมันก็คือรัก... รักมาก
"รักเจลโล่นะ เลิกร้องไห้นะครับ"
ONE SHOT
จงออบชื่นชมภาพพี่คนที่สามโอบกอดน้องเล็กสุดด้วยรอยยิ้มมุมปาก ริมฝีปากบางกดยิ้มพร้อมดวงตาเศร้าสร้อย ก่อนจะตัดสินใจหันหลังเพื่อไปยังห้องรับแขกเพราะดูเหมือนพี่ยงกุกกับพี่ยองแจจะยึดห้องเขากับเจลโล่ไปเรียบร้อยแล้ว
"อ๊ะ" แค่เพียงหันไปก็ต้องผงะ แผงอกหนาที่อยู่ห่างปลายจมูกกำลังทำเอาคนไม่ได้ตั้งตัวตั้งหลักไม่ถูก นิ่งพักใหญ่ก่อนจะก้าวเท้าเลี่ยงตรงสู่จุดหมายเดิม... "จงออบอา..."
เสียงพี่รองไม่ได้ช่วยให้ปลายเท้าหยุดนิ่ง จนสุดท้ายก็เป็นอันเจ้าของเสียงต้องเดินตามปล่อยทิ้งแดฮยอนและจุนฮงไว้ที่ๆเดิมที่ในตอนนี้คงตัดขาดจากโลกภายนอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"นายดู...ไม่ดีใจเลยนะ"
เริ่มบทสนทนาอย่างราบเรียบก่อนจะทิ้งตัวลงโซฟาตามอีกคนที่เลื่อนมือไปเปิดทีวีด้วยรีโมทเป็นที่เรียบร้อย ".....ดีใจสิครับ ครอบครัว กลับมาพร้อมหน้าทั้งที"
"แต่สีหน้าน นา...."
"หน้าผมก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จะมาสนใจอะไรเอาตอนนี้กันล่ะครับ"
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง คิมฮิมชานล่ะอยากรู้จริงๆว่ามุนจงออบทำไมถึงมีสีหน้านิ่งเฉยไม่แคร์โลกแคร์เขาเอาเสียเลย มันก็จริงที่อีกฝ่ายมีใบหน้าเย็นชาเป็นของคู่กายแต่วันนี้มันกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนเขารู้สึกได้... "...นี่เราเป็นแฟนกันนะ"
มุนจงออบเข้ามาเป็นครอบครัวคนสุดท้าย ดวงตาที่ไม่สามารถอ่านออกมันช่างเป็นจุดสนใจเสียจนน่าค้นหา วินาทีแรกที่เจอความรู้สึกที่ชี้นำอย่างแรกคือปราบพยศเข้าเสีย แต่จะแกล้งอะไรก็โดนบังยงกุกขัดขวางอยู่ร่ำไป
'มึงกลับไปเฝ้าเด็กตัวเองเหอะ จะเลิกเรียนแล้วนะ'
'มึงก็อย่าคิดแกล้งน้องมันดิ แค่ที่น้องมันเจอมาก็หนักพอละดูทำตัว'
'มึงก็ดูหน้ามันดิ ความเคารพกูมีที่ไหน กลับไปหายองแจเด็กโรงเรียนตำรวจมึงเหอะ เออะ!'
'น้องมันไม่ได้แค่เสียพ่อแม่ไป แต่มันโดนพ่อบุญธรรมข่มขืนมาไอ้สัส! กูไปละ หวังว่ามึงจะมีความคิดพอ!'
วันนั้นนี่ทะเลาะกับไอ้เพื่อนอย่างยงกุกแทบตาย แต่สุดท้ายก็ดีหน่อยที่มันตัดบทไปหา 'ยูยองแจ' นักเรียนโรงเรียนมัธยมทหารและตำรวจที่อยู่หน้าปากซอยทางเข้า 'บ้าน' พวกเขา ตอนนั้นจำได้เลยว่ายงกุกแม่งเหมือนสตอกเกอร์เข้าไปทุกที แค่เพียงแวบเดียวที่ร้านขายของชำก็ตามติดจนรู้ที่อยู่ที่เรียนเดินตามเขาต้อยๆไปเป็นที่เรียบร้อย ยองแจก็ใจกล้าดีนะ ยอมรับดอกไม้ที่เจ้านั่นไปขโมยมาแถมยังยิ้มขอบคุณมันอีก.... จากรักแรกพบก็พัฒนาซะจนสนิทชิดเชื้อจนถูกเรียกว่าเป็นคนพิเศษ ไม่มีใครรู้ว่ายองแจเรียนอะไร ถึงแม้จะสนิทกันมากแค่ไหนก็มีแค่ผมกับยงกุกสองคนแค่นั้น ตอนนั้นพวกเรายังเป็นผู้บริสุทธิ์ทุกคน แต่เพราะตอนนั้นที่ยงกุกตะโกนใส่ผมว่าจงออบโดนพ่อเลี้ยงข่มขืน ทั้งๆที่ก่อนผมรู้เพียงแค่เขาเป็นเด็กกำพร้าอย่างผม ผมเลิกวุ่นวายกับเจ้าเด็กน้ำแข็ง... และคุยกับยงกุก
เราลงมือ 'ฆ่า' ชายวัยกว่าห้าสิบด้วยน้ำมือของเราสองคน ...คิมฮิมชานกับบังยงกุก
ทุกอย่างมันแยบยลจนน่าตกใจ พวกตำรวจหาหลักฐานไม่เจอและคดีถูกปิดด้วยการตีสาเหตุว่าเกิดอุบัติเหตุทั้งๆที่ดูอย่างไรเสียก็ยากที่จะเห็นด้วย แต่ก่อนที่เรายังคงเป็นเด็กที่ขโมยของกินไปวันๆ ถูกพัฒนาเมื่อครอบครัวของยองแจเอาข้าวมาให้พวกเขาทานทุกมื้อจนพวกเราล้มเลิกการวิ่งราวชิงทรัพย์และสิ่งบริโภคไปพักใหญ่ แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยอาชีพใหม่ 'รับจ้างฆาตกรรม'
ทุกอย่างเป็นเพียงเพราะความกระหายเงินของผมและยงกุก เราทำมันจน 'บ้าน' กลายเป็น 'บ้าน' อย่างแท้จริง ห้องเช่าเล็กที่ภายในมีเพียงพื้นเปล่ากว้างยาวเพียงคนยี่สิบคนสามารถนั่งถูกปรับเปลี่ยนเป็นบ้านเดี่ยวแสนหรูหราหลังจากผ่านการกระทำแสนทุเรศนั่นเพียงไม่ถึงหกเดือน
ไม่มีใครรู้.....
จนแดฮยอนและเจลโล่มาเห็นปืนและกระสุนรวมถึงแผ่นการว่าจ้างและเงินปึกมากมายที่กองอยู่ในห้องทำงานที่พวกพี่อย่างเขาห้ามนักห้ามหนาไม่ให้เข้ามา ...ความแตก
เหมือนพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเมื่อครั้งนี้พวกเขาถูกสั่งให้จัดการหัวหน้ามาเฟียที่คุมโซลทั่วฝั่งใต้และกลาง พวกเขาที่กำลังจะไปเที่ยวที่ฮงแดถูกชะงักด้วยกระสุนปืนที่เฉียดหน้าไปเพียงไม่กี่มิลร่างยงกุกและผมที่ชักปืนปกป้องน้องทั้งสาม.... เราชนะ แต่มันก็มาพร้อมกับความหวาดของ 'ครอบครัว' ตัวเอง หัวหน้ามันถูกจัดการด้วยกระสุนของบังยงกุกที่เจาะเข้าขมับ ลูกร้องนับสิบในตอนนั้นมาคารวะแทบเท้าก่อนที่จะรับรู้ว่าลูกน้องนับร้อยได้ถวายเป็นคนปกป้องครอบครัวเรา แต่ยงกุกก็ได้สั่งไปเพียงว่าไม่ต้องและให้ไปทำธุรกิจสุจริต ชื่อเสียงโด่งดังในเวลานั้นมาพร้อมกับร่างของ 'คนพิเศษ' ที่วิ่งถือใบปริญญามาพร้อมรอยยิ้มที่แนบสนิทลง
ยองแจเรียนจบตำรวจ....
...พร้อมๆกับยงกุกที่เริ่มต้นทำความผิดทุกรูปแบบ
ONE SHOT
"คำว่าแฟนของพี่คือแบบนี้หรือไง!!!!" เสียงสั่นเครือโวยวายลั่นพร้อมๆกับหมอนอิงที่ถูกโยนมาปะทะใบหน้า ร่างจงออบลุกฮือชี้หน้าคนนั่งนิ่งอย่างเหลืออด
แฟน.... บ้าที่สุด
คิมฮิมชานกำลังงุนงง นึกอยากจะโมโหกลับกับท่าทีไม่ให้ความเคารพอย่างที่ตัวไม่ชอบแต่ดวงหน้าหวานที่ปรับเปลี่ยนจากนิ่งเฉยเป็นสั่นเครือก็ทำให้ได้แค่ขมวดคิ้วแน่นแทน ...เขาทำอะไรผิด?
"พี่ไม่เคยรักผม ไม่เคยเลย!" อีกครั้งที่เขาแทบจะขึ้นมากระชากร่างบางตามนิสัยใจร้อน ใครบอกว่าผมไม่รัก?
"ถ้าพี่คิดจะคบผมเพียงเพราะรู้สึกผิดที่ฆ่าพ่อเลี้ยงผมตายก็ไม่ต้อง! มันตายๆไปน่ะดีแล้ว ไม่ต้องมาทำดีทดแทนไอ้เลวนั่นหรอก!!"
"ผมรู้ว่ามันตายเพราะฝีมือพี่มาตั้งแต่ต้น ไม่ต้องมาบอกจะดูแลผม ถ้าพี่ไม่ได้ต้องการผมเลย! ฮึก..."
"!!!"
จงออบรู้? ...
เขาจำได้ว่าไม่มีใครรู้หนิ ขนาดตำรวจพวกนั้นยังจับไม่ได้เสียด้วยซ้ำ งั้นวันที่จงออบร้องไห้ไม่ใช่ว่าเพราะไอ้พ่อเลี้ยงเลวนั่นตายแต่เป็นเพราะว่าผมขอดูแลเขางั้นเหรอ?
"พี่บอกจะดูแลผมทั้งๆที่แต่ก่อน อึก... ก็แกล้งผมสารพัด"
"พี่ดีกับเจลโล่ พี่ดีกับพี่ยองแจ พี่ดีกับทุกคนยกเว้นผม จะกี่ปีมาสุดท้ายพี่ก็ยังเกลียดผมอยู่ดี!"
"ผมพยายามฝึกยิ้ม ผมพยายามเข้าใกล้พี่ ผมพยายามเข้มแข็ง ...ทั้งๆที่ผมกลัวแทบตายแต่ผมก็ทำได้เพียงกอดตัวเอง"
"พี่เลือกคนอื่นๆทั้งๆที่ตอนนั้นพี่ประกาศปาวๆว่าผมเป็นแฟนพี่ คำจำกัดความนั้นคือเด็กที่กลัวแต่ต้องปลอบตัวเอง เกลียดแต่ต้องพยายามฝืนชอบ รักแต่ก็กลับไม่เคยได้รักตอบงั้นเหรอครับ?..."
"ผมอิจฉาพี่แดฮยอนกับเจลโล่ ผมอยากรู้ว่าการถูกกอดด้วยความรักมันเป็นยังไง ผมอยากมีรอยยิ้ม มีความสุข ผมอยากให้คนที่สร้างขึ้นมาคือพี่แต่มันกลับมีเพียงแค่ประโยคสองประโยคก่อนเราจะเดินผ่านกันเหมือนไม่รู้จัก..."
"เพราะผมมันน่ารังเกียจใช่หรือเปล่า... ร่างกายที่มันมีมลทินพวกนี้ใช่ไหม?!!"
"....เลิกเถอะครับ เลิกดูแลผมสักที"
หมับ!
จงออบกำลังจะเดินหันหลังออกไปให้ไกลจากที่ตรงนี้แต่มือหนากลับคว้าหมับเข้าที่ข้อมือก่อนจะกระชากโผให้คนตัวเล็กกว่ากระแทกปักเข้าสู่อ้อมอก กระชับแผ่นหลังบางให้แนบสนิท รูปศรีษะอีกคนเบาๆอย่างคนปลอบประโลม ไม่มีการกอดตอบมีเพียงมุนจงออบที่ยืนนิ่งด้วยท่าทีแตกตื่น
พี่ฮิมชานกอดเขา?
กอด..... กอดเขา?
"...ทำไมนายต้องรักพี่ด้วยนะ ไม่เข้าใจเลย" วางคางเกยไหล่บางกดจูบแผ่วเบาอย่างคนเผลอไผล นึกย้อนไปความโมโหทุกอย่างก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกผิด อืม.... ผมคบกับจงออบเพราะแค่จะให้ยองแจสบายใจก็เท่านั้น
ยองแจบอกว่าจงออบชอบผม และผมก็ชอบเด็กคนนี้ ผมแย้งมาตลอด ยองแจจะมารับรู้ความรู้สึกผมได้ยังไงในเมื่อผมชอบยองแจเขายังไม่เคยรู้เลย...
"นายก็รู้ว่าพี่เย็นชากับคนที่พี่เกลียด นายทนได้ยังไง? ห้าปีมานี่นายทนได้ยังไงหืม?" ร่างในอ้อมกอดกระตุกกึกใบหน้าหวานเงยดวงตาขึ้นมาสบกับเจ้าของอ้อมกอดอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ...ในที่สุดก็พูดออกมาสักทีนะครับว่า
เกลียด
"พี่ไม่คิดจะเข้าไปปลอบนายจะทั้งวันที่ฝึกปืนวันแรกที่นายยิงมันทั้งๆที่นายหวาดกลัวโดยมีเพียงยงกุกที่ดูแลอยู่ห่างๆ ต่างจากแดฮยอนที่กอดเจลโล่ที่ร้องไห้ทันทีกับความดังของมัน"
"จะวันที่ไปขโมยเงินที่พี่ไม่คิดที่จะเข้าไป จะวันที่ไปจัดการกับแก๊งค์ไหนพี่ก็ไม่คิดจะแล จะวันที่พึ่งผ่านมาที่ไปช่วยยองแจหรืออนาคตต่อๆไปพี่ก็คงจะทำในแบบเดิมๆ" คนในอ้อมกอดที่เคยนิ่งเฉยกลับดิ้นอย่างรุนแรงให้เขาปล่อยพันธนาการ ถ้าเป็นไปได้จงออบก็อยากจะปิดหูปิดตาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น... ถ้าอ้อมกอดมาพร้อมกับความเป็นจริง
มุนจงออบไม่ต้องการ
ฮิมชานยังคงกอดล็อคแน่นวางไหล่กับคนตรงหน้าที่ความเปียกชื้นที่ซึมผ่านผิวเสื้อก็คงเป็นตัวบอกได้ดีว่าอีกคนอ่อนแอจนยอมที่จะปล่อยหยดน้ำตาออกสู่สาธารณะสักที ก้อนเนื้อด้านซ้ายมันรู้สึกปวดหน่วงแต่ก็ยังจะดึงดันเรียกน้ำตาอีกคนเพิ่มขึ้นต่อไปอีก... เขาจำเป็นต้องพูด
"พอ ฮึก พอสักที!!!" ถ้าไม่รักก็พอสักที...
"นายรู้ไหมยองแจน่ะ เขาคือคนที่พี่รัก แต่เขากลับย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ใช่ แต่ก่อนพี่คงจะเถียงและแอบกินลับหลังไอ้ยงกุกมันอยู่บ้างแต่ตอนนี้พี่กลับไม่มีอะไรจะพูด"
"ยองแจบอกพี่ว่า...คนที่พี่รักคือนาย ไม่รู้ว่าใช้ไรมองนะ ทั้งๆที่พี่ทำร้ายนายทุกทาง"
"แต่นายรู้อะไรไหม..."
"พี่แอบมองนายตลอด พี่คอยช่วยอยู่ห่างๆตลอดและพี่ก็ปลอบเรา อยู่ตลอด... ตอนนายหลับรู้ไหมว่ามีใครไปจุมพิตเบาๆที่ริมฝีปากนี้ มีใครคอยเกลี่ยน้ำตาตอนที่นายฝันร้ายกับการต้องฆ่าคนแล้วกลับไปนอนหลับทั้งน้ำตา ไม่รู้เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่มันกลับเลิกไม่ได้สักที"
"พ พี่ฮิมชาน"
"ทิฐิพี่สูง สูงจนไม่กล้าที่จะหักหน้าตัวเองทั้งๆที่ยองแจก็ย้ำนักย้ำหนาว่าให้ดูแลก่อนที่จะเสียมันไป พี่ยอมรับว่านายก็เหมือนของตายที่ไม่มีวันไปจากพี่จนนายยอมพูดทั้งหมดออกมาวันนี้..."
"พี่จะคอยอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างหลังนาย ดูแลนายอยู่ห่างๆ อย่าเจ็บกับการที่จะรักพี่เลยนะ ...พี่อยากกอดนาย อยากกอด กอดทุกคืน พี่ไม่เคยรังเกียจร่างกายนาย...แต่พี่กลัวนายกลัว"
"...อย่าทิ้งกันเลยจงออบ อย่าทิ้งคนปากหนักที่รักนายเลยนะ" ใครๆก็อยากดูแลคนรักให้ดีที่สุดแต่คงมีแต่คิมฮิมชานที่แปลกไปจากใครๆที่ว่ากัน ไม่ได้ดูแลต่อหน้า พ่นคำว่าเกลียดอย่างไม่อยากยอมรับความจริง ทำเป็นไม่แคร์ว่าอีกคนจะรู้สึกอย่างไร.... แต่คิมฮิมชานก็รักมุนจงออบ
รัก... มากที่สุด
มือบางที่ตกข้างลำตัวลังเลที่จะเลื่อนขึ้นมาปลอบเบาท่ีแผ่นหลังร่างสูงที่ไม่ต่างจากดวงดาวที่เขาแทบเอื้อมไม่ถึง คำสารภาพหมดเปลือกของร่างสูงกำลังทำให้จงออบอ่อนแอจนกลัวกับทุกสิ่งทุกอย่าง แรงกระชับอ้อมกอดที่แน่นขึ้นนาทีต่อนาทีไม่ได้ทำให้หายใจไม่ออกแต่กลับทำให้ก้อนเนื้อซ้ายที่เกือบหยุดเต้นนั่นกลับกระตุกถี่จนกลัวว่ามันจะหลุดออกมา
"ผมจะทิ้งพี่ไปไหนเล่า! ฮือ...." มือบางกอดหมับแน่นกับอ้อมกอดที่โหยหา ซุกตัวเข้าอ้อมอกตรงหน้าปลดปล่อยน้ำตาแห่งความสุขสมจนร่างกายสั่นโคลง ความอัดอั้นทุกอย่าง ความอ่อนแอ ความเจ็บปวด ทุกอย่างมันผ่านพ้นไป 'ทั้งหมด' แล้วจริงๆ...
"พี่ทำให้เจลโล่ร้องไห้!" ร่างที่กอดแน่นค่อยๆผละออกจากกันเมื่อเสียงเจ้าพี่คนที่สามตะโกนลั่นพอหันไปดูก็เป็นอันอยากจะมุดหัวตัวเองลงวอลเปเปอร์สิงตัวเองเข้ากำแพงไม่ต้องมาหงเห็นไอ้แดฮยอนและน้องเล็กรวมถึงคนที่สมควรอยู่ในห้องอย่างบังยงกุกและยูยองแจมายืนนิ่งอยู่ทางเชื่อมจ้องมองมาที่สายตาเขาด้วยสายตากรุ้มกริ่มเว้นเสียแต่เจลโล่นั่นแหละที่ร้องไห้เป็นเผาเต่า "พ พวกนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?" ...ได้ยินไรบ้างวะเนี่ย!!
"มาทันที่มึงเล่าเรื่องหาเศษหาเลยกับยองแจว่ะ"
เรื่องมันเกือบจะจบสวยแล้วล่ะ ...เกือบแล้วจริงๆ
"เรื่องน้องนี่กูเคลียนะ..."
คิมฮิมชานยิ้มแหยตอบกลับน้ำเสียงเพื่อนรัก ปล่อยมือตัวที่กอดจงออบแน่นขยับถอยห่างอย่างเตรียมพร้อมเต็มที่ รวมถึงจองแดฮยอนที่เอื้อมมือมาปิดตาจุนฮงอย่างรู้หน้าที่... ขอไว้อาลัยแก่พี่รอง
"แต่เรื่องเมียมึงตาย ไอ้ฮิมชาน!!"
END
ความคิดเห็น