คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6
6...
“เตรียมตัวกลับปัญจาบได้แล้ว!...” เจ้าชายทุษยันต์รับสั่งเมื่อทรงอ่านพระราชสาส์นจากองค์นันทะเสร็จสิ้น
ข้อความที่ได้รับจากพระราชบิดาซึ่งม้าเร็วจากปัญจาบนำมาถวายแก่พระองค์มีใจความอยู่ว่า...
ให้พระองค์รีบเสด็จกลับยังปัญจาบโดยเร็ว ด้วยบัดนี้ฝ่ายต่อต้านอันได้แก่ผู้จงรักภักดีต่อราชวงค์เก่าแห่งองค์โมฆราช ซึ่งเจ้าชายทรงทราบเพียงว่าพวกเขาเหล่านั้นคือ... ขบถได้เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหลังจากที่ทวิมาสก่อนได้ก่อการจลาจลขึ้นภายในเมืองปัญจาบแล้วเงียบหายไปได้ไม่นาน และครานี้ฝ่ายต่อต้านได้ลอบสังหารอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ที่จงรักภักดีต่อองค์นันทะไปแล้วหลายคน...
ยุวราชแห่งปัญจาบทอดพระเนตรองครักษ์ที่ก้าวออกไปเพื่อปฏิบัติตามรับสั่งของพระองค์อย่างร้อนพระทัยยิ่งก่อนจักทรงย่างพระบาทออกไปจากห้องพระบรรทมที่ถูกจัดขึ้นมาในตำหนักรับรองนี้แล้วจึงเสด็จตรงไปยังห้องพระโรงที่ใช้ประกอบพิธีสมาวรรตนะเมื่อทิวาก่อนนี้ทันทีด้วยงานพิธีการเฉลิมฉลองจัดขึ้นถึงสามทิวาราตรีฉะนั้นทุกพระองค์ และทุกคนจักต้องชุมนุมกันอยู่ ณ ที่แห่งนั้นอย่างแน่นอนรวมทั้งพระขนิษฐาในพระองค์ด้วยเช่นกัน
“น่าเสียดายที่หลานจะต้องรีบกลับ...” ท้าวโกสัมพีตรัสอย่างทรงเสียดายจริง ๆ เมื่อเจ้าชายทุษยันต์เสด็จมาเข้าเฝ้าพร้อมกับทูลลากลับนครปัญจาบ
“หม่อมฉันต้องขอพระราชทานอภัยในการณ์นี้ด้วยพะย่ะค่ะ”
“เอาเถิด... หากมีกิจก็จงรีบกลับไปทำ”
“ขอบพระทัยพะย่ะค่ะ...” เจ้าชายทุษยันต์หันพระพักตร์มาทางพระสหาย
“หากมีโอกาสเราจะมาเยือนโกสัมพีอีกครั้งอย่างแน่นอน”
“เราเองก็เช่นกันจักต้องไปกราบถวายพระพรต่อองค์นันท์พระราชบิดาท่านเฉกเช่นกัน” สองกษัตริย์รับสั่งอย่างหนักแน่นราวกับจักให้คำสัตย์สาบานต่อกันกระนั้น
“น้องยังไม่อยากกลับเพคะ...” เจ้าหญิงโฆษิตารับสั่งขึ้นเมื่อพระเชษฐามีรับสั่งให้พระนางทูลลาทั้งสามกษัตริย์แห่งโกสัมพี
“หากเจ้าพี่ประสงค์จักกลับปัญจาบก็ทูลเชิญเสด็จเถิดอย่าได้ห่วงน้องเลย” ตรัสพลางทรงแย้มโอษฐ์ละไมหากในพระทัยทรงคิดแผนการที่จักเชื้อเชิญองค์มนิกกะพร้อมด้วยรัมภตีให้ไปยังปัญจาบได้แล้วเพลานี้ซึ่งข้อนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับพระเชษฐาแห่งพระนางเอง...
“น้องจักอยู่ที่นี่เพื่อประโยชน์อันใด?...” องค์ทุษยันต์รับสั่งอย่างอ่อนพระทัยในหทัยนั้นไม่ทรงวางพระทัยในตัวพระน้องนางแม้เพียงนิดด้วยทรงเกรงว่าเจ้าหญิงผู้น้องจักทรงกระทำสิ่งที่ระคายเคืองเบื้องยุคลบาทต่อทั้งสามพระองค์นี้ก็เป็นได้
“งานเฉลิมฉลองออกจะครึกครื้นซ้ำยังมีอีกตั้งสองราตรีน้องอยากอยู่ร่วมฉลองจนครบวาระเพคะ”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงพี่ก็เห็นใจน้องอยู่ แต่ครั้นจะให้น้องอยู่ที่นี่ตามที่หวังเกรงว่าเมื่อถึงยามต้องคืนสู่ปัญจาบเจ้าจักต้องเดินทางเพียงลำพังนอกจากจักทำให้พี่กังวลในตัวเจ้าแล้วมาตรแม้นเสด็จพ่อทรงทราบอาจทรงตำหนิพี่ได้ในการณ์นี้”
ก่อนที่พระนางโฆษิตาจักทรงรับสั่งตอบกลับมาเจ้าชายมนิกกะที่ทรงนิ่งฟังมานานก็ทรงตรัสขึ้นอย่างประนีประนอมว่า
“เรื่องนั้นมิต้องกังวลไปดอกทุษยันต์เมื่อถึงเพลานั้นเราจักเป็นผู้นำพาน้องหญิงโฆษิตากลับคืนสู่พระนครด้วยตนเอง”
“นั่นยิ่งทำให้เราหนักใจเพราะมันจักทำให้พระองค์ยุ่งยากไปด้วย”
“ท่านกล่าวราวกับเรามิใช่มิตรสหายกันกระนั้น... เอาเถิดเราบอกแก่ท่านแล้วว่าจักต้องไปถวายพระพรต่อองค์นันทะให้จงได้จึงถือว่าการไปเยือนปัญจาบครั้งนี้เรามิเสียเวลาเปล่าแน่”
“เมื่อเป็นเช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอขอบพระทัยพระองค์ยิ่ง...” เมื่อพระสหายทรงรับคำแข็งขันออกปานนั้นเจ้าชายทุษยันต์จึงทรงอนุญาตตามที่พระนางโฆษิตาทรงต้องการ แต่อะไรบางอย่างในพระเนตรแห่งองค์ขนิษฐาทำให้พระเชษฐาทรงวิตกกังวลขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุจนทรงต้องรับสั่งกับพระน้องนางว่า
“น้องอยู่ทางนี้อย่าได้ทำสิ่งใดให้ขัดเคืองพระทัยต่อทั้งสามพระองค์นะโฆษิตา”
“เพคะ...” แต่ถ้อยรับสั่งของเจ้าหญิงคนงามไม่ได้ทำให้พระเชษฐาทรงวางพระทัยได้เลยถึงกระนั้นองค์ทุษยันต์ก็มิอาจทำประการใดได้จึงทรงปล่อยให้การณ์เป็นไปตามกรรมของแต่ละคนนั่นเอง...
ย่ำรุ่งอุษาสางวันใหม่มาเยือน...
ขบวนเดินทางของเจ้าชายทุษยันต์ตั้งท่ารอพระองค์อยู่อย่างพร้อมเพรียงหน้าประตูเมืองโกสัมพี... เมื่อทรงเสด็จมาถึงพร้อมด้วยพระขนิษฐาและพระสหาย
“ส่งไกลแค่ไหนก็ต้องจากกันอยู่ดี...” ยุวราชแห่งปัญจาบรับสั่งขึ้นคล้ายจักทรงบอกลา
“เช่นนั้นก็พบกันที่ปัญจาบนะทุษยันต์...”
สองพระสหายแย้มโอษฐ์ให้กันและกันอย่างทรงมีไมตรีจิตอันดีโดยไม่ทรงรู้เลยว่าในภายภาคหน้าเมื่อองค์มนิกกะเสด็จเยือนปัญจาบนั้นมิตรภาพระหว่างทั้งสองพระองค์จักยังทรงมั่นคงเพียงใด
“พี่ไปล่ะโฆษิตา...”
“ขอให้เจ้าพี่เดินทางด้วยความปลอดภัยเพคะ...” รับสั่งสุรเสียงหวิวนิด ๆ ด้วยไม่ทรงเคยถูกทิ้งให้อยู่เดียวดายเช่นนี้มาก่อน แต่หากจักให้พระนางเปลี่ยนพระทัยนั้นอย่าได้หวัง
“ออกเดินทางได้!...” เจ้าชายทุษยันต์ทรงตะโกนรับสั่งกับเหล่าทหารองครักษ์ให้ออกเดินทางสุรเสียงดังลั่น
แล้วกองทหารนับสิบนายก็ค่อย ๆ ทยอยเดินขบวนออกจากกำแพงพระนครอย่างไม่รีบร้อนนักท่ามกลางสายพระเนตรของเจ้าหญิงโฆษิตา และเจ้าชายมนิกกะที่ทรงทอดมองตามทุกย่างก้าวที่เจ้าชายทุษยันต์เสด็จจากไป
“เหตุใดเจ้าจึงหยุดม้าเสียล่ะ?” แทนที่จะตอบคำถามอีกฝ่ายกลับดีดตัวลงจากหลังเจ้าอาชา และก้าวไปข้างหน้าอย่างระแวดระวังพลางตะโกนก้องออกไปราวกับกำลังเอ่ยวาจาอยู่กับผู้ใดกระนั้น...
“จะหลบอยู่ไยนาคะ?!”
ทันทีที่อัสยุชกล่าวจบร่างสูงโปร่งแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีเขียวน้ำทะเลก็ค่อย ๆ ก้าวแทรกผ่านออกมาจากซอกหินผาดังกล่าวราวกับเล่นปาหี่ก็ไม่ปาน บุรุษผู้มาใหม่มีใบหน้าสวยงามราวอิสตรีแต่ทว่าแววตาคู่นั้นกลับเยือกเย็นไร้ซึ่งความอบุอุ่นทำให้อมาวสีถึงกับขนสันหลังลุกซู่เลยทีเดียว และในความรู้สึกนี้นางก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าอีกฝ่ายคงมิได้ประสงค์ดีต่ออัสยุชอย่างแน่แท้...
นาคะเหลือบแลมาทางอมาวสีในร่างมาณพน้อยนิดหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเบนสายตากลับมาที่อัสยุชอีกครั้ง และเอ่ยออกมาว่า
“ประสาทรับสัมผัสของเจ้ายังดีเยี่ยมเช่นเดิม...”
“เจ้านี่ช่างดื่อด้านเหมือนภูตผีไม่มีผิดคอยตามติดขอส่วนบุญจากข้าไม่เลิกราสิน่า!...”
“ตราบใดที่ข้ายังมิได้ดังหวังข้าก็จักตามติดเจ้าไปทุกหนแห่ง เว้นแต่ข้าจักสิ้นใจตายไปก่อนเจ้าเท่านั้น!...” นาคะกล่าวตอบมาอย่างเยือกเย็นจ้องเขม็งไปที่คนตรงหน้านิ่งราวกับมีความแค้นเคืองสั่งสมมาเนิ่นนานหลายกัปกัลป์...
อมาวสีลอบมองไปที่อัสยุชซึ่งเป็นอยู่ไม่ห่างออกไปเท่าใดนักก่อนที่เสียงกระซิบทุ้มต่ำแผ่วเบาของชายหนุ่มจะดังขึ้นว่า
“ไปคอยข้าที่หมู่บ้านชายป่าข้างหน้า!... ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดทำตามที่ข้าสั่งก็พอ!” ประโยคหลังรีบพูดรัวเร็วแทรกขึ้นเมื่อรู้ว่ามาณพน้อยบนหลังม้ากำลังจะอ้าปากพูด
และขณะที่อัสยุชมัวสนใจอยู่กับสหายแห่งตนนาคะก็อาศัยช่วงเวลานั้นพุ่งทะยานเข้าจู่โจมอีกฝ่ายในทันใด!... อัสยุชฟาดฝ่ามือของตนลงบนบั้นท้ายเจ้าม้าหนุ่มเต็มแรงส่งให้มันวิ่งหน้าตั้งเตลิดไปตามทางเท้าผ่านช่องแคบผาอิงกันนั้นไปจนลับตาอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นตกใจนิด ๆ ของมาณพบนหลังม้า!...
“เฮ้!... เดี๋ยวก่อนสิ!” มิไยที่อมาวสีจักหันกลับไปมองเบื้องหลังซึ่งก็พบว่าบัดนี้ชายทั้งสองต่างพุ่งเข้าปะทะห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายท่ามกลางเสียงดังตูมตาม!.... ของพลังเวทที่ระเบิดออกมาโดยที่นางมิอาจทำประการใดได้เลย
เจ้าพาชีฝีเท้าจัดตัวนั้นวิ่งห้อตะบึงนำพาหญิงสาวผ่านพงพีมาจนกระทั่งถึงชายป่าบริเวณทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักขณะนี้...
อมาวสีบังคับให้เจ้าม้าหนุ่มหยุดฝีเท้าลงภายในใจก็คิดว่าตนควรจักกลับไปที่ ๆ เพิ่งจากมาหรือไม่รึว่านางควรจักมุ่งหน้าเข้าไปยังหมู่บ้านที่มองเห็นอยู่สุดสายตาท่ามกลางแมกไม้ใบหนานี้ดี แต่ยังไม่ทันที่ศิษย์แห่งโคตมะจะได้ตัดสินใจสิ่งใดสายตาของนางก็เหลือบแลไปพบเข้ากับกองโจรชุดดำหรืออีกนัยหนึ่งก็คือกองทหารม้าในอาณัติแม่ทัพศนิวารแห่งกองพลอัศวนึกสองนายเสียก่อน และสิ่งที่ทำให้นางทราบได้ในทันทีว่ากองทหารชุดดำเหล่านั้นคือกองพลอัศวเมธก็คือชุดที่คนเหล่านั้นสวมใส่อยู่ขณะนี้นั่นเองซึ่งอมาวสีคิดว่าพวกเขาอาจออกมาลาดตระเวนหรือไม่ก็หาเสบียงอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเช่นนั้นธิดาท้าวโมฆราชก็รีบกระโดดดีดตัวลงจากหลังม้าพร้อมกับนำพาเจ้าอาชาหนุ่มก้าวหลบลงไปในพุ่มไม้ใบหนาทึบริมทางอย่างว่องไว!
ขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้นสายตาหญิงสาวก็คอยจับจ้องอยู่ที่นายทหารทั้งสองนิ่งมิกล้าแม้แต่จักหายใจไม่นานนักพลทหารทั้งสองก็หายไปจากบริเวณดังกล่าวจนลับไปจากสายตาอมาวสีในที่สุด... แต่ถึงกระนั้นนางก็มิกล้าจักออกจากที่ซึ่งตนหลบซ่อนอยู่ขณะนี้ แต่ครั้นนึกถึงนัดหมายที่ให้ไว้กับอัสยุชร่างบางก็ทำท่าจะขยับลุกออกมาจากพุ่มไม้
แต่ทว่า... นางยังมิทันได้ก้าวออกมาจากที่ซ่อนด้วยซ้ำก็มีบางสิ่งบางอย่างตกลงมาบนบ่าบอบบางข้างขวาของหญิงาวเสียก่อนส่งให้ธิดาท้าวโมฆราชร้องลั่นอย่างลืมตัว!...
“ว้ายย!...” ก่อนจะหันขวับมามองสิ่งนั้นอย่างตกใจแล้วนางก็พบเข้ากับร่างสูงของอัสยุชยืนอยู่ข้างกายไม่ห่างนักพร้อมด้วยสายตาเคลือบแคลงที่ส่งมาให้
แม้ชายหนุ่มจักรู้สึกพิกลในเสียงร้องลั่นของเด็กหนุ่มเมื่อครู่นี้ แต่ความสงสัยในการกระทำราวกับหลบซ่อนตนเองจากผู้ใดของอีกฝ่ายทำให้อัสยุชเลือกที่จะเอ่ยถามมาว่า
“เจ้าซ่อนตัวจากผู้ใดรึ อคามี?”
สายตาที่มองมาราวกับจะจับพิรุธนั้นทำให้อมาวสีอึดอัดยิ่งนักแต่นางก็แก้ตัวไปได้น้ำขุ่น ๆ
“ข้ามิได้หลบซ่อนผู้ใดอย่ามากล่าวหากันหน่อยเลย!” ก่อนที่จะเบนความสนใจของชายหนุ่มไปอีกทาง
“ว่าแต่เจ้าเถอะเป็นอย่างใดบ้าง?... แล้วนี่เหตุใดจึงได้ไปมีเรื่องมีราวกับเจ้าคนเมื่อตะกี้นี้จนถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันด้วย?”
“มิใช่เรื่องของเจ้า!...” ตอบกลับมาอย่างเย็นชาแต่อมาวสีกลับไม่รับรู้น้ำเสียงห้วน ๆ นั้นด้วยนางกำลังพออกพอใจกับความโล่งใจที่กำลังได้รับอยู่เพลานี้เมื่ออีกฝ่ายเลิกใส่ใจในเรื่องนางแล้วนั่นเอง
“เราจะพักค้างคืนที่หมู่บ้านนี้...” อัสยุชยังเป็นฝ่ายพูดพร้อมกับก้าวนำหน้ามาณพน้อยไปในทิศที่ตั้งของหมู่บ้านเบื้องหน้าซึ่งอมาวสีมองเห็นอยู่ลิบ ๆ นั่น...
ทั้งสองขอพักค้างแรมในโรงเลี้ยงม้าเล็ก ๆ ของชาวนาผู้หนึ่งซึ่งไม่มีห้องว่างพอที่จะให้อาคันตุกะทั้งสองพักอาศัยด้วยได้แม้เพียงชั่วข้ามคืนก็ตามเพราะมันเป็นเพียงบ้านหลังเล็ก ๆ โล่ง ๆ เท่านั้น แต่ยังดีที่พอจะมีอาหาร และน้ำดื่มให้กับคนทั้งสองบ้าง...
ตกดึกคืนนั้นขณะที่อมาวสีกำลังจัดการปูผ้าเตรียมที่จะหลับนอน... โดยมิคาดฝันมาก่อนจู่ ๆ เสียงดังอึกทึกครึกโครมภายในบ้านของชาวนาผู้ใจดีก็ดังลั่นขึ้นมา!... มันเหมือนกับผู้เป็นเจ้าของกำลังรื้อค้นเพื่อหาอะไรสักอย่าง แต่เหตุใดภรรยาชาวนาจึงร้องอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นกลัวแปลก ๆ ด้วยเล่า...
ธิดาท้าวโมฆราชนอนฟังการสนทนาด้วยจิตใจเต้นระทึก!... ด้วยผู้ซึ่งก่อให้เกิดเสียงดังรบกวนนางก็คือทหารม้าแห่งปัญจาบนั่นเองทั้งที่หญิงสาวคิดว่าพวกมันได้จากไปหมดแล้วเสียอีกแต่นี่กลับมาปรากฏตัวอยู่ ณ ที่นี้ถึงสามนายด้วยกัน
ความกลัวบวกกับความเป็นห่วงในตัวเจ้าของบ้านทำให้อมาวสีอดที่จะมองไปยังคนซึ่งนอนหลับสนิทไม่รับรู้ต่อสิ่งรอบกายใด ๆ ทั้งสิ้นใกล้ ๆ ตนนั้นไม่ได้ ศิษย์แห่งโคตมะค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นจากพื้นโรงเลี้ยงม้าที่มีเศษฟางเศษหญ้าอยู่ประปรายอย่างแผ่วเบาแลเงียบกริบก่อนจะย่องไปที่ตัวเรือนซึ่งมีหน้าต่างเปิดออกมาโดยอาศัยไม้ย้ำยันบานของมันเอาไว้นั้นอย่างอยากรู้ขณะที่เสียงดังเอะอะภายในยังไม่ยอมซาไปเลยขณะนี้หากยิ่งทวีความรุ่นแรงมากยิ่งขึ้น!...
“กรี๊ดด!...”
“อุบ!...”
อมาวสียืนแอบอยู่ใกล้ ๆ กับหน้าต่างที่ว่าก่อนจะค่อย ๆ โผล่ออกไปมองลอดบานหน้าต่างซึ่งมีแสงเทียนริบหรี่จุดเอาไว้ภายในนั้นอย่างระมัดระวัง ภาพที่นางพบเห็นทำให้เลือดในกายธิดาท้าวโมฆราชเดือดขึ้นมาปุด ๆ
“ทะ... ที่นี่ไม่มีคนที่ท่านต้องการตัวหรอกนายท่าน!... ได้โปรดกลับออกไปเถิด!...” ชาวนาเจ้าของบ้านกล่าวอ้อนวอนเสียงสั่นพร่าอย่างหวาดกลัวบนศีรษะของเขามีรอยแตกจนเลือดแดงสดไหลอาบเป็นทางแต่ทหารชั่วจักสนใจก็หาไม่ มัน และเพื่อนอีกสองคนต่างช่วยกันทำลายข้าวของภายในบ้านอย่างอุกอาจไม่กลัวเกรงต่อสิ่งใดก่อนจะลงมือรื้อค้นริบเอาทรัพย์สินของมีค่าซึ่งมีอยู่เพียงน้อยนิดไปต่อหน้าต่อตาผู้เป็นเจ้าของแม้ชาวนาผู้นั้นจะพยายามขัดขวางอย่างสุดกำลังแต่ก็ไม่เป็นผล... เขากลับยิ่งถูกเหล่าทหารหาญกลุ้มรุมทุบตีแบบไม่ยั้งมือ!...
“โอ๊ย!...”
“ดะ... ได้โปรดอย่าทำร้ายเขา!!... ฮื้อ ๆ” ภรรยาสาวของชาวนาร้องขึ้นอย่างเป็นห่วงพลางถลาเข้าไปช่วยพยุงคนเป็นสามีทั้งน้ำตานองหน้า...
แต่อนิจจา...
“อาฮะ!... เจ้านี่มีเมียสวยนี่หว่า หึ ๆ ๆ” แล้วพวกมันก็หัวเราะดังลั่นอย่างพอใจก่อนที่เพื่อนคนหนึ่งของเจ้าสัตว์ร้ายในคราบของทหารกล้าจะตรงเข้าฉุดดึงภรรยาของชาวนาผู้เคราะห์ร้ายออกมาแล้วระดมกอดรัดฟัดเหวี่ยงนางอย่างเมามันส์
“กรี๊ดด!... ปล่อยข้าน่ะ!...” เสียงส่าหรีขาดวิ่นดังคับห้องสร้างความปั่นป่วนในช่องท้องอมาวสียิ่งนัก...
“ดะ... ได้โปรดอย่าทำร้ายเราเลย!...”
กำปั้นที่ประเคนลงบนใบหน้าชาวนาผู้เป็นสามีคือคำตอบของคำขอร้องนั้นก่อนเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดจะดังขึ้นเป็นเสียงถัดมา
“ท่านพี่!” สองสามีภรรยาต่างร้องร่ำอย่างน่าเวทนานักสุดที่อมาวสีจักทนนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป
“หยุดการกระทำอันชั่วช้าสามานย์ของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้นะ!...”
นายทหารแห่งกองพลอัศวนึกต่างหันมามองยังผู้เข้ามาขัดขวางความสำราญของตนอย่างพร้อมเพรียง
ใบหน้ากร้านแดดอีกทั้งรอยแผลเป็นที่มีอยู่บนร่างกายของแต่ละคนบ่งบอกให้ทราบถึงการกร่ำศึกมามากต่อมากทำให้ดรุณีน้อยในคราบของมาณพใจแกว่งไปได้อย่างง่ายดายพลางลอบกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอเมื่อนึกถึงการที่ตนต้องรับมือกับทั้งสามในครานี้...
“เจ้านี่เป็นใครกันละเนี่ย?... หากไม่อยากตายก็จงรีบหลบไปให้พ้นซะเจ้าหนุ่ม!” หนึ่งในสามเอ่ยขึ้นอย่างข่มขู่อมาวสีละสายตามาจากภาพสองสามีภรรยาผู้น่าส่งสาร แล้วเอ่ยว่า
“ข้าเป็นใครนั้นไม่สำคัญ... แต่นี่รึคือการกระทำของบุรุษกล้า?!”
หากอีกฝ่ายจะสำนึกรึก็หาไม่กลับหัวเราะออกมาอย่างขบขันในวาจาของเด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มริ้มตรงหน้า
“หึ... เจ้าหนุ่มนี่ท่าอยากจะเป็นผู้กล้าว่ะ!” มันสำราก และหันไปหาเพื่อนซึ่งต่างก็หัวเราะอย่างสนุกสนานในกิจกรรมที่กำลังจะเกิดต่อไป
“งั้นก็สนับสนุนมันหน่อยเป็นไร...” ว่าแล้วหนึ่งในสามนั้นก็ถลาเข้าหาอมาวสีทันทีพร้อมกับเสือกดาบคมกริบวาววับจับต้องแสงเทียนในมือไปยังทิศที่มาณพน้อยยืนอยู่ทันใดท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกตกตะลึงของผู้เป็นเป้าหมาย และชาวนาสองสามีภรรยาคู่นั้น!...
แต่ทว่า... ยังมิทันที่คมดาบกล้าจะได้แตะต้องผิวกายของมาณพจำแลงแขนข้างซ้ายซึ่งถือดาบของทหารชั่วผู้นั้นก็มีอันต้องขาดกระเด็นตกลงสู่พื้นเสียงดังตุบ!... กลิ้งรุน ๆ ไปวางอยู่แทบเท้าอมาวสีพร้อมกับเสียงแผดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดเหลือคณาของมันซึ่งดังขึ้นประสานกับเสียงหวีดร้องด้วยความสยดสยองของภรรยา ชาวนาลั่นห้อง
“อ๊ากกกก!...”
“กรี๊ดดด!...”
ท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงแทบสิ้นสติต่อภาพที่เห็นของธิดาท้าวโฆราช ดีแต่นางกดลิ้นตัวเองเอาไว้ได้ก่อนที่จะกรีดร้องออกมาเฉกเช่นสตรีทั่วไปทั้งที่หัวใจเต้นระทึกไม่เป็นส่ำรวมทั้งผู้ร่วมเหตุการณ์สยองทั้งหลาย โลหิตแดงฉานพุ่งกระฉูดทะลักออกมาจากบาดแผลสู่พื้นห้องราวกับสายน้ำก็ไม่ปานพร้อมกันนั้นเสียงทุ้มต่ำแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจคุกคามอย่างมาดร้ายของใครบางคนก็ดังขึ้นว่า
“ข้ามีนิสัยเสียอยู่อย่าง
คือยามหลับไม่ชอบที่จะให้มีเสียงดังรบกวน”
ธิดาท้าวโมฆราชมองไปยังต้นตอของเสียงนั้นซึ่งทุกคนต่างก็ปฏิบัติไม่ต่างจากนางเลยแม้แต่น้อยราวกับนัดหมายกันเอาไว้กระนั้น...
ร่างสูงเพรียวน่าเกรงขามในชุดดำเมลืองของอัสยุชนั่งชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งอยู่บนขอบหน้าต่างบานที่อมาวสีใช้มันแอบดูเมื่อครู่นี้ท่ามกลางแสงจันทราสีเงินยวงในรัตติกาลอันมืดมิดกอร์ปกับเส้นผมสีดำสยายยาวเคลียบ่าอันนั้นของเขา และแววตาที่ดูกระหายเลือดคู่นั้นมันช่างทำให้ชายหนุ่มดูน่ากลัวยิ่งกว่ามฤตยูเทพนักในความคิดของอมาวสี!...
“รีบพาเพื่อนเจ้าไปรักษาตัวก่อนที่เลือดของมันจะไหลออกมาจนตายจะดีกว่านะ!...”
อัสยุชกล่าวอย่างเฉยเมยแม้จะเห็นอยู่ทนโท่ว่าอีกฝ่ายชักดาบออกจากฝักกรูกันเข้ามาหาตนด้วยคิดใช้วิธีหมาหมู่ก็ตาม... และด้วยความกลัวที่มีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วบวกกับความห่วงใยในตัวเพื่อนทำให้ทั้งสามรีบก้าวเข้าไปช่วยพยุงผู้ซึ่งบาดเจ็บก่อนจะรีบก้าวจากไปอย่างลนลาน และทุลักทุเลเต็มทน...
“ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเราสองคนเอาไว้ เราไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี...”
เมื่อทุกอย่างสงบลงเช่นเดิมด้วยการจากไปของเหล่าทหารชั่ว ชาวนา และผู้เป็นภรรยาต่างก็เข้ามาขอบอกขอบใจกับทั้งอมาวสีและอัสยุชเป็นการใหญ่
“ไยเจ้ามิรอให้พวกมันตัดหัวข้าก่อนแล้วค่อยออกมาช่วยเล่า?!...”
มาณพน้อยเอ่ยน้ำเสียงฮึดฮัดแม้ในใจอยากจะกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายก็ตามขณะที่ทรุดนั่งลงบนที่นอนของตนซึ่งอัสยุชก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันหลังจากที่พวกตนก้าวออกจากบ้านมายังโรงเลี้ยงม้าแห่งนี้
“ข้าง่วงแล้วหากเจ้ายังไม่ง่วงก็แล้วไป...”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เอนกายล้มตัวลงนอนตามเดิมโดยไม่ใส่ใจกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นเช่นนั้นธิดาท้าวโมฆราชจึงล้มตัวลงนอนบ้างไม่นานนักนางก็หลับไปอย่างง่ายดายโดยมิรู้ว่าผู้ซึ่งนอนอยู่ไม่ห่างออกไปนั้นหาได้หลับสนิทเช่นตนไม่ อัสยุชขยับตัวลุกขึ้นยืนเมื่อแน่ใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิทไปแล้วจริง ๆ ชายหนุ่มอดที่จะมองดูใบหน้าในยามหลับของคนตรงหน้าไม่ได้เขาส่ายหน้ายิ้ม ๆ อย่างนึกเอ็นดูเด็กหนุ่มผู้เป็นสหายร่วมทางก่อนที่เขาจะก้าวออกมาจากโรงเลี้ยงม้าแห่งนั้น ชายหนุ่มกระโดดีดตัวข้ามกำแพงก่อด้วยอิฐแบบหยาบ ๆ นั้นออกไปอย่างง่ายดายราวกับนกติดปีกบิน และเมื่อเท้าทั้งสองของอัสยุชแตะสัมผัสกับพื้นดินรูกรังอันเป็นเส้นทางนำพาเขาไปสู่ตัวหมู่บ้านร่างสูงสง่าเพียงร่างเดียวบนถนนสายค่ำคืนนั้นก็มุ่งตรงไปยังทิศที่ตั้งหมู่บ้านทันที
ชายหนุ่มเดินไปตามเส้นทางแคบ ๆ ในตัวหมู่บ้านผ่านบ้านเรือนหลังแล้วหลังเล่าด้วยความชำนาญ และว่องไวประดุจความมืดมิดแห่งราตรีกาลเป็นมิตรสหายผู้คุ้นเคยแห่งตนกระนั้นทั้งที่ยามนี้ไร้ซึ่งแสงโสมส่องนำทางด้วยถูกบดบังจากหมู่เมฆาจนสิ้น หากความเป็นจริงแล้วมันกลับยิ่งทำให้อัสยุชรู้สึกคิดถึงถิ่นที่ตนจากมาอย่างมิอาจห้ามได้ด้วยนั่นเอง
ไม่นานนักเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งในตรอกเล็ก ๆ ซึ่งหาไม่ยากนักในหมู่บ้านที่มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือนนี้และขณะนั้นก็มีคนประมาณหนึ่งถึงสองคนกำลังก้าวออกมาจากบ้านดังกล่าวแล้วขณะนี้ และเมื่อทั้งหมดพบเห็นผู้มาเยือนความขลาดกลัวก็แล่นเข้าจับขั้วหัวใจอีกครั้งพลางเอ่ยถามตะกุกตะกักว่า
“จะ!... เจ้าต้องการสิ่งใด?!” เหล่าทหารกล้าแห่งปัญจาบทั้งสามนายซึ่งเพิ่งนำเพื่อนของตนมารักษาที่บ้านของแพทย์หนึ่งเดียวในหมู่บ้านนี้มองไปที่ชายตรงหน้าอย่างกลัวเกรง และจดจำได้เป็นอย่างดีถึงความร้ายกาจของเขา
“คำตอบของเจ้า...” อัสยุชเอ่ยช้า ๆ ชัด ๆ
ความคิดเห็น