คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5
5
"ขอเดชะ!... บัดนี้ยุวราชแห่งปัญจาบพร้อมด้วยพระขนิษฐาเสด็จมาถึงยังประตูเมืองแล้วพระเจ้าข้า..."ม้าเร็วจากกำแพงเมืองเข้ามากราบทูลต่อพระเจ้าโกสัมพีขณะทรงว่าราชการงานเมืองในท้องพระโรง
"มาถึงกันแล้วรึ?!..." เจ้าชายมนิกกะรับสั่งกับพระองค์เองพลางหันพระพักตร์ไปยังพระราชบิดาแห่งพระองค์ก่อนตรัสออกมาว่า
"พระอาญามิพ้นเกล้าพระเจ้าข้า... ในฐานะเจ้าบ้าน และผู้เป็นสหายลูกเห็นควรที่จะออกไปต้อนรับการมาของทั้งสองพระองค์นะพะย่ะค่ะ"
"เจ้ากล่าวได้ถูกแล้วมนิกกะ... โกสัมพีและปัญจาบเป็นเสมือนบ้านพี่เมืองน้องคบค้าสมาคมกันมา ยาวนานเราควรต้อนรับยุวราช และราชกุมารีให้สมพระเกียรติ์"
เมื่อพระราชบิดาทรงเห็นดีตามนั้นพระราชโอรสก็ทูลลาเสด็จไปยังประตูพระนครด้วยพระองค์เองเพื่อทรงต้อนรับพระสหายในทันที
เจ้าชายมนิกกะเสด็จถึงที่หมายด้วยม้าทรงของพระองค์ในเพลาไม่นานนัก พระองค์ทรงทอดพระเนตรขบวนเสด็จของเจ้าชายทุษยันต์อันประกอบไปด้วยกองทหารองครักษ์สามสี่นาย และนางข้าหลวงนับสิบที่ตามเสด็จซึ่งบัดนี้หยุดรอท่าอยู่หน้าประตูเมืองอย่างรอคอยจึงทรงม้าในพระองค์ให้เข้าไปใกล้ขบวนเสด็จดังกล่าวทันใด
ภาพการมาถึงของเจ้าชายมนิกกะอยู่ในสายพระเนตรแห่งองค์ทุษยันต์ตลอดเวลาดังนั้นเมื่อองค์มนิกกะเสด็จมาถึงพระองค์เจ้าชายทุษยันต์ก็ทรงเสด็จลงจากม้าทรงแล้วย่างพระบาทตรงไปที่พระสหายด้วยพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความปราโมทย์ ทั้งสองพระองค์ต่างใช้พระหัตถ์ของตนแตะลงบนพระอังสาของอีกฝ่ายสายพระเนตรแต่ละพระองค์มองอีกฝ่ายอย่างทรงยินดีพระโอษฐ์ก็แย้มยิ้มอยู่ตลอดเพลา
"เราไม่ได้พบกันนานเท่าใดแล้วนะทุษยันต์?!... หึ หึ" เจ้าชายมนิกกะเป็นฝ่ายรับสั่งขึ้นก่อน
"หึ... ดูเหมือนว่ามันจะนานนับสิบปีได้กระมัง..." องค์ทุษยันต์ตรัสด้วยสุรเสียงอันแจ่มใส ขัตติยราชทั้งสองคงยึดเอาสถานที่แห่งนั้นในการสนทนาวิสาสะกันอีกนานแน่หากเจ้าชายมนิกกะจะไม่ทรงทอดพระเนตรผ่านไปเห็นสตรีโสภานางหนึ่งที่กำลังก้าวลงมาจากรถทรงคันงามซึ่งจอดอยู่ไม่ห่างออกไปนักทางเบื้องหลังของเจ้าชายทุษยันต์แล้วขณะนี้...
และเมื่อยุวราชแห่งปัญจาบทรงพบว่าพระสหายของพระองค์เงียบไปจนผิดสังเกตจึงทอดพระเนตรตามสายพระเนตรของโอรสเจ้ากรุงโกสัมพีก็ทรงพบว่าบัดนี้พระขนิษฐาในพระองค์กำลังเสด็จตรงมายังที่ ๆ สองพระองค์ประทับอยู่แล้วนั่นเอง
"ถวายพระพรเพคะเจ้าพี่มนิกกะ..."
เจ้าหญิงโฆษิตารับสั่งเมื่อทรงมาถึงทั้งสองพระองค์พร้อมกับยกพระหัตถ์ขององค์เองขึ้นแตะที่พระ นลาฎก่อนที่จะทรงก้มลงวางพระหัตถ์ลงบนพระบาทของเจ้าชายมนิกกะซึ่งเจ้าชายเองก็ทรงแย้มพระโอษฐ์พร้อมกับตรัสให้พระพรเบา ๆ
"นี่คงเป็นโฆษิตาน้องน้อยของเราล่ะสิท่า?..." ยุพราชแห่งโกสัมพีหันมารับสั่งกับพระสหายพระพักตร์มีรอยแย้มสรวลเล็กน้อย
ราชบุตรในองค์นันทะทรงตอบรับพระราชปุจฉานั้นเบา ๆ
"สิบหกปีทำให้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กลายเป็นสาวงามผู้โสภาถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่?... "
องค์มนิกกะรับสั่งชมด้วยทรงเอ็นดูพระขนิษฐาของผู้เป็นสหายอยู่แล้วพร้อมกับทรงพระสรวลเบา ๆ อย่างทรงพระสำราญพระทัยก่อนที่จะรับสั่งเชื้อเชิญให้ขัตติยราชทั้งสองผู้มาเยือนเสด็จสู่พระราชวังโกสัมพี....
ภาพดรุณีน้อยแปลกหน้า และเจ้าชายมนิกกะชี้ชวนกันชมความงดงามของอุทยานหลวงเบื้องพระพักตร์ขณะนี้สร้างความร้อนรุ่มในหทัยเจ้าหญิงโฆษิตาเป็นยิ่งนัก!... นางผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน... พระนางเฝ้าแต่ถามองค์เองพลางย่างพระบาทไปยังทิศที่ทรงทอดพระเนตรนั้นในทันที... ความสงสัยกำลังเล่นนางเจ้าหญิงคนงามพร้อม ๆ กับความร้อนประหลาดจากไฟริษยาก็กำลังแล่นลิ่วขึ้นมาทั่วหทัย
รัมภตีย่อกายลงถวายพระพรต่อผู้มาใหม่ในทันใดเมื่อนางทราบถึงการมาของพระนางเป็นคนแรกส่งให้เจ้าชายมนิกกะซึ่งมิทันทอดพระเนตรเห็นนั้นต้องหันพระพักตร์ไปตามสายตาของดรุณีข้างกายอย่างทรงใคร่รู้ และเมื่อทรงเห็นว่าผู้ซึ่งมาถึงคือพระนางโฆษิตาก็ทรงมีพระราชปฏิสันถานกับอีกฝ่ายด้วยดี
"หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ประทับอยู่กับเจ้าพี่ทุษยันต์เสียอีก?... แต่พอไปถึงที่ประทับของเจ้าพี่กลับไม่พบพระองค์ที่แท้ก็ทรงมาประทับอยู่ที่นี่เอง..."
พระนางตรัสหลังจากถวายพระพรต่อองค์มนิกกะเสร็จสิ้นแล้วจึงชายพระเนตรไปจับจ้องอยู่ที่สตรีอีกนางซึ่งยืนอยู่เคียงข้างพระวรกายองค์มนิกกะอย่างไม่ทรงเป็นมิตรนัก....
"พี่ต้องขออภัยเจ้าด้วยโฆษิตาที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี เอาอย่างนี้ก็แล้วกันพี่จะดูแลเจ้า และทุษยันต์ให้ดียิ่งกว่าเดิม" รับสั่งอย่างทรงเอาพระทัยเต็มที่
"จริงสิ!... น้องมาก็ดีแล้วจะได้ทำความคุ้นเคยกับรัมภตี เป็นหญิงด้วยกันคงคุยกันถูกคอมากกว่า..."
พระราชธิดาในท้าวนันทะมิทรงรับสั่งกับดรุณีตรงพระพักตร์แม้นางนั้นจะกล่าวถวายพระพรพลางแย้มยิ้มมาให้พระองค์อย่างมีไมตรีจิตก็ตาม
"หม่อมฉันไม่ทราบมาก่อนเลยว่าพระองค์มีพระขนิษฐาด้วย..."
"หามิได้เพคะ!... หม่อมฉันมิบังอาจ..." ประโยคนี้รัมภตีเป็นผู้กล่าวทักท้วงขึ้นมาอย่างร้อนรนด้วยเกรงอาญา และด้วยเจียมตนนั่นเอง
"รัมภตี คือ บุตรีท่านแม่ทัพโกลียะ และเป็นสหายคู่ใจพี่ด้วย..."
ถ้อยรับสั่งแรกขององค์มนิกกะไม่ทรงทำให้ราชธิดาแห่งนันทะราชทรงรุ่มร้อนในพระทัยเท่ากับรับสั่งสุดท้ายที่ออกจากโอษฐ์พระองค์ด้วยบัดนี้พระพักตร์ที่งามล้ำนั้นแปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงด้วยความไม่พอพระทัย แม้พระนางจะทรงอยากเข้าไปกระชากร่างสตรีนางนั้นให้ถอยห่างออกมาจากเจ้าชายมนิกกะที่พระนางมีใจสนิทเสน่หาสักปานใดแต่ก็ทรงทำได้แค่เพียงฝืนแย้มสรวลออกไปพร้อมกับรับสั่งฉอเลาะต่อองค์มนิกกะเท่านั้น...
ทั้งสองพระองค์รวมทั้งรัมภตี และเหล่านางกำนัลผู้ติดตามต่างเที่ยวชมความงามของอุทยานโกสัมพีอย่างชื่นชมโดยมีเจ้าชายมนิกกะเป็นผู้นำทางซึ่งพระองค์จะทรงสนทนากับทั้งเจ้าหญิงโฆษิตา และรัมภตีบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อมิให้ฝ่ายใดต้องเสียน้ำใจ... หากส่วนใหญ่แล้วพระนางโฆษิตาจักเป็นผู้ผูกขาดการสนทนาซะมากกว่า
มวลหมู่ไม้ดอกนานาชนิดส่งกลิ่นหอมรวยรื่นชื่นอุรามากับสายลมโชยอ่อน หากพระทัยแห่งเจ้าหญิงโฆษิตานั้นกลับมีแต่ความว้าวุ่นแลหึงหวง สีพระพักตร์แม้เรียบสนิทแต่นั้นเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น!...
และขณะนั้นเองมหาดเล็กผู้หนึ่งก็มาเข้าเฝ้าพร้อมกราบทูลต่อเจ้าชายว่าปุโรหิตเฒ่าทูลเชิญเสด็จสู่ห้องพระโรงเพื่อซักซ้อมความพร้อมสำหรับพิธีสมาวรรตนะในอีกไม่กี่ราตรีข้างหน้านี้
"เช่นนั้นเจ้าพาเจ้าหญิงโฆษิตา และรัมภตีไปพบเสด็จแม่แทนเราด้วยก็แล้วกัน..."
พระองค์รับสั่งกับมหาดเล็กคนเดิมก่อนจะหันพระพักตร์มารับสั่งขออภัยต่อพระนางโฆษิตาแล้วจึงเสด็จจากไปในทันใด
"เชิญเสด็จทางนี้พะย่ะค่ะ..." มหาดเล็กคนดังกล่าวเอ่ยพร้อมกับนำทางเจ้าหญิงไปตามทางที่ปูลาดด้วยหินศิลาแลงซึ่งเป็นทางยาวที่ทอดไปสู่พระตำหนักหลวงบ้างเช่นกัน...
เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาขบวนเสด็จของเจ้าหญิงโฆษิตาพร้อมด้วยรัมภตีก็มาถึงตำหนักใหญ่ตระการตาอันเป็นที่ประทับของพระมเหสีในท้าวโกสัมพี พระนางโฆษิตาย่างพระบาทเข้าไปใกล้องค์พระมเหสีพร้อมทรงกล่าวถวายพระพรต่อพระนางด้วยพระจริยวัตรที่แช่มช้อยงดงามแม้จอมนางแก่งโกสัมพีเองยังทรงอดที่จะชื่นชมมิได้จึงทรงแย้มโอษฐ์พร้อมรับสั่งต้อนรับอีกฝ่ายด้วยดี
เมื่อราชธิดาในองค์นันทะถวายพระพรต่อพระนางเสร็จสิ้นบุตรีแม่ทัพใหญ่แห่งโกสัมพีจึงคลานคู้เข่าเข้าไปปฏิบัติเช่นนั้นบ้าง
"อ้าว!... รัมภตี เจ้าก็มาพร้อมกับเจ้าหญิงโฆษิตาด้วยหรือนี่?..." พระมเหสีกัตชลีรับสั่งเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นอีกฝ่ายด้วยรัมภตีนั้นเข้านอกออกในราชฐานชั้นในนับแต่เยาว์พระนางจึงทรงเอ็นดูประดุจลูกหลานอยู่ไม่น้อย
"เพคะ..." ดรุณีน้อยเอ่ยตอบสั้น ๆ ตามวิสัย
"ดีทีเดียว... เราคิดจักให้ใครไปตามตัวเจ้ามาพบเพื่อช่วยตระเตรียมงานสมาวรรตนะของมนิกกะอยู่พอดี" พระนางรับสั่งด้วยพระทัยที่เปรมปรีดิ์ สายพระเนตรทอดมองไปรอบ ๆ พระตำหนักซึ่งเต็มไปด้วยเหล่านางกำนัลมากมายที่มาช่วยกันกรองมาลัยและปักผ้าซึ่งจะใช้ในงานดังกล่าว
ทรงจัดแจงให้รัมภตีกรองมาลัยไม้ดอกหลากหลายอีกทั้งจัดพานพุ่มไม้ประดับหลากสีสันซึ่งนางก็ทำได้อย่างประณีตบรรจง และงดงามท่ามกลางสายตาที่ชื่นชมของทุกคนจักมีก็แต่เพียงเจ้าหญิงโฆษิตาเท่านั้นที่มิทรงสบพระอารมณ์ในการณ์นี้ด้วยทรงถูกปล่อยให้ประทับอยู่เฉยโดยไม่ได้จับต้องสิ่งใดเลยแม้พระมเหสีกัตชลีจะทรงคอยสนทนากับพระนางอย่างสม่ำเสมอก็ตามที...
เสียงแจกันใบโตหล่นกระทบพื้นดังเพล้ง!...
"พอเถิดเพคะทูลกระหม่อม!..." นางข้าหลวงร้องห้ามเสียงหลงพร้อมกับคอยหลบหลีกถ้อยโถโอชามประดามีที่เจ้าหญิงโฆษิตาทรงขว้างปามาเพื่อระบายอารมณ์แห่งพระองค์
ทว่าแทนที่จะทำให้เจ้าหญิงโฆษิตาจะสงบพระทัยลงมันยิ่งสร้างความขุ่นเคืองให้กับพระนางยิ่งกว่าที่เป็น พระราชธิดาในท้าวนันทะใช้หัตถ์กวาดถาดพระสุธารสที่อยู่บนโต๊ะข้างพระแท่นบรรทมปลิวไปกระทบผนังห้องเสียงดังเกรียวกราวจนนางข้าหลวงคนสนิทสะดุ้งโหยงพร้อมอุทานอย่างตื่นกลัว
"อุ้ย!... ว้ายย!..." ขณะพยายามหลบหลีกสิ่งของประดามีที่อาจลอยมาหาตนอีกด้วยน้ำพระหัตถ์ผู้เป็นนาย
"เจ็บใจนัก!... นี่แน่ะ!" พระนางยังทรงขว้างปาข้าวของเครื่องใช้ไปเรื่อยหาได้ใส่พระทัยต่อสิ่งใดไม่ พระโอษฐ์ก็ทรงเฝ้าบริภาษคำหยาบอย่างทรงเกรี้ยวกราด
"หยุดนะโฆษิตา!..." สุรเสียงก้องกังวานคุ้นพระกรรณทำให้พระหัตถ์ที่ทรงยกแจกันดินเผามีค่าขึ้นเตรียมจะทุบทิ้งต้องทรงยกค้างก่อนจะทรงลดพระหัตถ์ลงแล้ววางแจกันใบนั้นลงเช่นเดิมอย่างขัดพระทัยขณะทรงทรุดองค์ลงบนพระแท่นในพระอาการปั่นปึ่ง พระเนตรมิยอมเหลือบแลมาที่พระเชษฐาแม้แต่น้อย...
"เจ้าเกิดมีจิตวิกลจริตไปแล้วเช่นนั้นรึจึงทำเยี่ยงผู้ซึ่งไร้การอบรมเช่นนี้?!!..." องค์ทุษยันต์รับสั่งอย่างมิทรงพอพระทัยปานกัน!
"หามิได้เพคะ!..." นางข้าหลวงคนสนิทที่ติดตามมาจากปัญจาบออกรับแทนแต่แล้วก็ต้องหุบปากฉับลงทันใดเมื่อพบกับสายพระเนตรราวตำหนิจากเจ้าชายทุษยันต์
ผู้เป็นเชษฐาเลือกที่จะหันมาตรัสกับพระน้องนางว่า
"หากมิเป็นเช่นนั้นแล้วด้วยเหตุใดจึงลุกขึ้นมาขว้างปาข้าวของเยี่ยงนี้?!"
"เจ้าพี่จะรู้สิ่งใด!..."
"ก็เพราะไม่รู้จึงได้ถามเจ้าน่ะสิ!... ว่าอย่างใด?"
"น้องไม่พอใจใครบางคนก็เท่านั้น!..."
เพียงเท่านี้พระเชษฐาก็ทรงพอจะเดาออกแล้วว่าคนผู้นั้นเป็นใคร พระองค์ได้แต่ทรงถอนพระทัยอย่างไม่รู้ว่าจักทำการใดกับพระน้องนางดี เหตุใดจักมิทรงทราบถึงความในใจของพระขนิษฐาเล่าว่าทรงคิดเช่นไร และยุวราชแห่งปัญจาบเองก็เพิ่งทรงทราบเช่นกันว่าองค์มนิกกะผู้สหายนั้นมีนางในดวงใจเสียแล้วยามนี้ยากที่พระนางโฆษิตาจะแทรกแสงเข้าไปได้
"เพียงเท่านี้เจ้าถึงกับต้องลดตัวลงไปประพฤติตนเยี่ยงไพร่ช่างน่าอดสูใจยิ่งนัก..." ตรัสพลางทรงส่ายพระพักตร์อย่างทรงระอาเต็มทนต่อพฤติกรรมของผู้ร่วมอุทร
"เจ้าพี่!... แม้แต่พระองค์ก็ทรงตำหนิน้องหรือเพคะ?!" รับสั่งพลางทรงกันแสงถ้อยรับสั่งสั่นเครืออย่างยากที่จะทรงกลั้นไว้ได้อีกต่อไป
"พี่ไม่ได้ตำหนิเจ้าในเรื่องหัวใจหรอกนะ..." ทรงทรุดนั่งลงเคียงข้างขนิษฐาพร้อมทรงนึกหาถ้อยดำรัสที่จะทรงกล่าวปลอบพระทัยอีกฝ่าย
"โฆษิตา... เรื่องความรักมันเป็นเรื่องของหัวใจของคนสองคนที่ตรงกันหากแม้หัวใจไม่ตรงกันแล้วไซร้ดิ้นรนไปก็รังแต่จะเจ็บตัวเปล่า"
"เจ้าพี่ก็รู้น้องมีใจปฏิพัทธ์อยู่แต่เจ้าพี่มนิกกะพระองค์เดียว!..."
"โฆษิตา... พี่เตือนน้องก็ด้วยหวังดี และทำได้ก็เพียงแค่ปลอบใจน้องเท่านั้นสุดแท้แต่ใจเจ้าจะคิดเห็นก็แล้วกัน" รับสั่งสิ้นก็ทรงทำท่าว่าจะเสด็จจากไปแต่แล้วเจ้าชายทุษยันต์กลับหันพระพักตร์กลับมารับสั่งอีกว่า
"พิธีสมาวรรตนะของมนิกกะที่จะมีขึ้นในไม่ช้านี้พี่หวังว่ามันคงจะไม่ล่มกลางครันหรือมีเหตุให้ต้องยุ่งยากใจหรอกนะถ้าเจ้าเห็นแก่มนิกกะ..." แล้วร่างสูงสง่าสมขัตติยราชนั้นก็ก้าวลับออกจากห้องพระบรรทมไปในที่สุด
"พระองค์..." นางข้าหลวงคนเดิมรีบเข้ามาถวายการดูแลพระนางอย่างห่วงใยเมื่อพระเชษฐาได้เสด็จจากไปแล้ว
"ขอพระองค์อย่างได้ทรงวิตกทุกข์ร้อนไปเลยเพคะ... เรื่องวิวาหะเป็นเรื่องของผู้เป็นพ่อแม่จัดการ และหากพระเจ้ากรุงโกสัมพีจะต้องทรงเลือกระหว่างพระองค์กับบุตรีแม่ทัพเพื่อที่จะมาเป็นพระสุนิสาหม่อมฉันเชื่อว่าพระองค์จักต้องทรงถูกเลือกอย่างแน่แท้เพคะ"
"คอยดูเถอะ!... ข้าจะต้องกำจัดมันให้พ้นทางให้จงได้" เจ้าหญิงโฆษิตารับสั่งอย่างเคียดแค้นดุจต้องการให้สัจจะกับพระองค์เองกระนั้น
ตลอดระยะเวลาที่เตรียมงานพิธีสมาวรรตนะพระนางโฆษิตาทรงได้แต่เฝ้ารอคอยเวลาของพระองค์ที่จะมาถึงด้วยพระทัยจดจ่อจึงมิทรงแสดงพระอาการอื่นใดให้เป็นที่ระคายพระทัยเจ้าชายมนิกกะเลยแม้น้อยนิดซึ่งอีกเหตุผลหนึ่งนั้นก็คือ พระนางทรงเห็นจริงตามถ้อยรับสั่งสุดท้ายของพระเชษฐาในวันนั้นนั่นเอง...
ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่จะนำมาใช้ในวันพิธีถูกจัดการเตรียมไว้พร้อมสรรพอย่างเรียบร้อยโดยพระปรีชาแห่งพระนางกัตชลีและมีรัมภตีคอยช่วยอีกแรง
การณ์คงจะสงบเงียบเช่นนี้ไปจนถึงวันประกอบพิธีหากจะไม่เป็นเพราะก่อนวันพิธีเพียงหนึ่งวันนางข้าหลวงในเจ้าหญิงโฆษิตาจะไม่นำความในสิ่งที่ตนได้ยินมาจากนางกำนับแห่งโกสัมพีเกี่ยวกับงานพิธีและรัมภตีมาถวายรายงานแก่พระนางเสียก่อน
"ทำไม?!... เหตุใดต้องให้มันเป็นผู้มอบมาลาแก่เจ้าพี่มนิกกะด้วย?!" ตรัสอย่างทรงฉุนเฉียวพระหทัยเคืองขุ่นอย่างที่สุด!... ทั้ง ๆ ที่ทรงสู้ทนอดกลั้นความไม่พอพระทัยเอาไว้ได้นานกว่าหลายราตรีทอดพระเนตรสิ่งใดก็ดูขัดพระเนตรพระกรรณไปเสียสิ้น...
"พระทัยเย็นไว้เพคะ!... ว้ายย!
" นางข้าหลวงรีบหลบเป็นพัลวันทันใดเมื่อคนโทน้ำดินเผาใบเขื่องลอยละลิ่วตรงมาที่ตนโดยแรง ก่อนจะหลนแตกละเอียดเสียงดังไม่ห่างจากเท้าหญิงรับใช้ไปเพียงองคุลีเดียว
"จะให้เย็นอยู่อย่างใดไหว?!!..." รับสั่งพร้อมทรงทรุดนั่งลงพระแท่นอย่างทรงหงุดหงิดพระทัยเต็มกำลัง
"บอกข้ามาหน่อยสิ!... ข้าจักต้องทำการใดให้มันหายแค้นลงไปได้บ้างฮึ?!" ทรงหันมารับสั่งถามนางข้าหลวงคนสนิทสุรเสียงกร้าว
"สิ่งที่หม่อมฉันทูลได้ในยามนี้ก็มีเพียงขอให้พระองค์ทรงอดทนเพคะ... มาตรแม้นคิดอ่านทำการใดในยามนี้คงมิเป็นผลดีต่อพระองค์เป็นแน่ซ้ำยังยากยิ่งต่อการทำการด้วยถิ่นนี้หาใช่ถิ่นพำนักแห่งเราไม่เพคะ"
"แล้วเมื่อใดเล่า?!... เมื่อใดจึงจะเป็นทีของข้าบ้าง?"
อีกฝ่ายยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงสูง แววตาพราวไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล และว่า
"เมื่อพระองค์ประทับอยู่ในปัญจาบยามนั้นแลจักทำการใดย่อมหาผู้ใดสามารถขัดขวางได้ไม่เพคะ"
"เจ้าหมายความว่า...."
"เพคะ... เมื่อเสร็จสิ้นพิธีสมวรรตนะแล้วไซร้พระองค์จักต้องทรงเสด็จคืนสู่ปัญจาบยามนั้นแลพระองค์ก็ทรงรับสั่งเชื้อเชิญเจ้าชายมนิกกะพร้อมด้วยรัมภตีเยี่ยมชมปัญจาบของเราสิเพคะ หึ หึ..."
"หึ ๆ และเมื่อถึงปัญจาบข้าจักให้การต้อนรับรัมภตีเป็นอย่างดีเลยทีเดียว!" พระนางรับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวลสุรเสียงกังวานใสอย่างสมพระทัยยิ่ง
เหล่าเสนาอำมาตย์ใหญ่น้อยนับพันต่างเข้าร่วมพิธีสมาวรรตนะของเจ้าชายมนิกกะอย่างพร้อมเพรียง เจ้าชายทุษยันต์ และขนิษฐาก็เสด็จมาถึงพร้อมประทับยังแท่นรับรองที่องค์ราชาแห่งโกสัมพีจัดเตรียมไว้ให้ เหล่าข้าราชบริพารทั้งหลายต่างยิ้มแย้มแจ่มใสและรอคอยที่จะชมบารมีในยุพราชแห่งตนอย่างใจจดจ่อ....
และบัดนี้เจ้าชายมนิกกะกำลังทรงย่างพระบาทผ่านลานพระที่นั่งหน้าท้องพระโรงเข้ามายังภายในด้วยความสง่างามองอาจสมเป็นขัตติยราชตระกูลเสียงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงดนตรีดังกระหึ่มเป็นระยะ ๆ องค์มนิกกะเสด็จประทับอยู่เบื้องหน้าปุโรหิตเฒ่าผู้ประกอบพิธี
พราหมณ์เฒ่าร่ายเวทพร้อมกับเจิมที่พระนลาฎของเจ้าชายแล้วจึงถวายพลูลงพระเวทแด่โอรสเจ้ากรุงโกสัมพีก่อนที่องค์มนิกกะจักคำนับปุโรหิตเฒ่าแล้วทรงพระวรกายลุกขึ้นพร้อมกับย่างพระบาทไปยังบริเวณที่รัมภตียืนรอท่าอยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไมเพื่อรับมาลาดอกดาวเรืองจากมือนางพระองค์ทรงแย้มโอษฐ์ตอบกลับไปแล้วนำมาลานั้นคล้องลงบนพระศอขององค์เองก่อนจะเสด็จไปยังหน้าพระที่นั่งแห่งพระราชบิดาในพระองค์ซึ่งทรงประทับอยู่เคียงคู่กับพระมเหสีกัตชลีผู้เป็นชายา
โอรสท้าวโกสัมพีใช้พระหัตถ์แตะที่พระนลาฎของพระองค์ก่อนที่จะทรงเอื้อมพระหัตถ์นั้นไปวางไว้ที่พระบาทของพระราชบิดา และพระราชมารดา สองกษัตริย์แย้มพระโอษฐ์ออกมาอย่างทรงปลื้มปิติเหลือจะพรรณนาในการณ์นี้พร้อมกับทรงมอบพลูที่ว่าให้แด่องค์มนิกกะเช่นเดียวกับที่ปุโรหิตเฒ่ากระทำแล้วรับสั่งถามว่า
"เจ้าร่ำเรียนสำเร็จกลับมาเช่นนี้พ่อเองก็ดีใจมีสิ่งใดที่เจ้าปรารถนาหรือไม่?... พ่อให้เจ้าขอพรได้ตามแต่ใจประสงค์"
"ข้าแต่ทูลกระหม่อม... ลูกมิประสงค์สิ่งใดขอเพียงให้พระองค์ทั้งสองอยู่ให้ลูกชื่นใจเช่นนี้ไปอีกนาน ๆ ก็พอแล้วพระเจ้าค่ะ" เจ้าชายรับสั่งด้วยพระทัยอันจริงแท้
สองพระองค์ให้ทรงตื้นตันในพระทัยนักไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในการศึกษาของผู้เป็นบุตร หรือถ้อยรับสั่งของพระราชโอรสก็ตาม
"เอาล่ะเมื่อเสร็จสิ้นพิธีอันเคร่งครัดนี้แล้วก็ขอเชิญทุกท่านกินดื่มได้ตามแต่ใจต้องการ..." แล้วท้าวโกสัมพีก็รับสั่งให้เริ่มงานเฉลิมฉลองแห่งองค์มนิกกะทันใด
เหล่าข้าราชบริพรารวมถึงแขกบ้านแขกเมืองที่มาร่วมพิธีครั้งนี้ต่างกินดื่มกันอย่างสนุกสนาน...
"เรายินดียิ่งนักที่ท่านมาร่วมงานครั้งนี้..." องค์มนิกกะตรัสกับเจ้าชายทุษยันต์เมื่อพระองค์ทรงนั่งลงบนพระแท่นข้างพระวรกายเจ้าชายแห่งปัญจาบขณะที่อีกฝ่ายกำลังมอบพลูแก่พระองค์เช่นกัน
"เราต้องมาแน่ในเมื่อกาลก่อนท่านยังไปร่วมพิธีสมาวรรตนะของเราที่ปัญจาบไฉนเราจะละเลยมิใส่ใจเล่า" รับสั่งแล้วก็ทรงมองหาใครบางคน
"แล้วสหายน้อยของท่านนางนั้นไปไหนซะแล้วล่ะ?"
"รัมภตีน่ะรึ?" ตรัสพลางทรงสรวลเบา ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ทรงแย้มโอษฐ์บาง ๆ ออกมาอย่างหยอกเย้า
"นางคงอยู่กับบิดาของนางกระมัง..." รับสั่งจบสองขัตติยราชก็ทรงพระสรวลออกมาพร้อมกันอย่างพระอารมณ์ดี
ในขณะที่เจ้าหญิงโฆษิตาซึ่งประทับอยู่ข้าง ๆ กันนั้นได้แต่รับสั่งค่อนขอดองค์ทุษยันต์อยู่ในพระทัย อย่างทรงขุ่นเคืองแลน้อยพระทัยในพระเชษฐาด้วยทรงรู้ทั้งรู้ยังทรงแกล้งเอ่ยถึงสตรีนางนั้นต่อหน้าพระนางอีกดำริเช่นนั้นพระหัตถ์จึงทรงขยี่ขยำพลูที่จะทรงมอบถวายแด่เจ้าชายมนิกกะจนแหลกคาพระหัตถ์ในบัดดล
ความคิดเห็น