ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อมาวสี...ปัจฉิมภาครสาตล(ลิขิตมา)

    ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 8

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 50


    8…

     

    ร่างของผู้เป็นหนามหัวใจแห่งพระนาง นั่งมองออกไปนอกบานหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย ริมฝีปากชายาแห่งอัศกะเม้มแน่นอย่างขัดเคือง ปรารถนาเหลือเกินที่จะเข้าไปกระชากผมอีกฝ่ายให้หลุดติดมือมา ทว่าเมื่อนึกผลที่จะตามมาซ้ำสิ่งที่คบคิดกับมุจรินอาจผิดพลาดได้ ทำให้ความร้อนรุ่มแห่งไฟริษยาคลายลงไปได้บางส่วน อาจเป็นด้วยอาการเคลื่อนไหวของพระนาง เป็นเหตุใด้นางมนุษย์ผู้นั้นหันขวับมามองอย่างระแวดระวัง ดวงตาหญิงผู้นั้นเบิกกว้างอย่างไม่ไว้ใจเด่นชัด ทำให้พระนางภยาจำต้องแสร้งตีสีหน้าเห็นใจ ขณะก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างร้อนใจ

    ผู้ที่ก้าวเข้ามาทำให้อมาวสีขยับกายถอยห่างอย่างระแวง ด้วยสำนึกรู้ว่าพระชายาผู้นี้คงไม่ได้มาเพราะหวังดีต่อนางแน่ เสี้ยวอึดใจนั้นหญิงสาวแน่ใจว่าเห็นประกายตาราวอยากฆ่าของอีกฝ่าย ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นเห็นอกเห็นใจขึ้นมาแทนในฉับพลันนั้น

    ข้าไม่ได้มาร้ายนางแทตย์เอ่ยอย่างปลอบประโลม ซ้ำน้ำเสียงที่หลุดลอดออกมาก็ถูกปรับให้แผ่วเบา ราวเกรงผู้อยู่ภายนอกจะได้ยินการสนทนาระหว่างพวกตนกระนั้น

    มากับข้าเถิด หากขืนชักช้าจักเสียการได้พร้อมกันนั้นมือเรียวของชายาทูตอัคคีก็เอื้อมมาคว้าข้อมืออมาวสีไว้มั่น พลางรั้งให้หญิงสาวก้าวตามตนไป แต่ธิดาท้าวโมฆราชขืนตัวเองไว้ไม่ยอมก้าวตามอีกฝ่ายไปแต่โดยดี อมาวสีไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเพราะมีหรือที่หญิงผู้มีแต่ความหึงสาพยาบาทเมื่อหลายทิวาก่อน จะมาพร้อมความปรารถนาดีเช่นนี้ ซ้ำร้ายธิดาท้าวโมฆราชเกรงว่าทั้งอัศกะและผู้เป็นชายาอาจซ่อนแผนร้ายบางอย่างเอาไว้ก็เป็นได้ ปลายเท้าทั้งสองของนางจึงจิกลึกบนพื้นห้องดุจจะยึดมันเอาไว้กระนั้น

    จะพาข้าไปไหน?...”

    หนีไปจากที่นี่อย่างไรเล่า?...” น้ำเสียงพระนางภยาหงุดหงิดเด่นชัด หากสายตาของนางไม่ยอมจับจ้องคู่สนทนา เพียงแต่เมียงมองไปยังประตูทางเข้าในอาการระแวดระวัง ก่อนกระแสเยาะหยันปนถากถางจะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนางอีกครั้งว่า

    รึเจ้าอยากอยู่เป็นชายาอีกคนของอัศกะกันล่ะ?”

    ร่างบอบบางของอมาวสีแข็งทื่อกับคำถามนั้น แค่นึกถึงสัมผัสจากทูตอัคคีขนสันหลังของนางก็ลุกเกรียวด้วยความสะอิดสะเอียนแล้ว เหมือนพระนางภยาจะอ่านสีหน้านางได้จึงเร่งมาว่า

                    งั้นก็ตามข้ามาสิ...” น้ำเสียงนั้นคล้ายจะไม่ยอมผ่อนเวลาให้อมาวสีได้คิดไตร่ตรองกระนั้น ธิดาท้าวโมฆราชจึงจำต้องซอยเท้าถี่ ๆ ตามแรงฉุดของพระนางภยาไปในที่สุด เพราะหากให้เลือกระหว่างออกจากที่นี่เพื่อไปพบสิ่งไม่น่าปรารถนา กับการอยู่เพื่อรอคอยการกลับมาของอัศกะแล้วไซร้ ธิดาท้าวโมฆราชขอเลือกอย่างแรกดีกว่า...

    อมาวสีถูกชายาจ้าวแห่งไฟนำผ่านผู้คุมขังทั้งสอง โดยไม่มีใครสังสัยในความบริสุทธิ์ใจแห่งพระนางเลยแม้แต่น้อย... ระยะทางจากตัวปราการออกมาสู่อาณาเขตภายนอก ก่อนจะถึงกำแพงป้อมไม่ใช่ใกล้ ๆ มันยาวไกลเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ขณะสตรีทั้งสองก้าวฉับ ๆ ออกมาด้วยความร้อนใจ ทุกย่างก้าวที่ห่างออกมาจากปราการอสูรแห่งนั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึงของอมาวสี... นางกลัวว่าพวกตนอาจถูกจับได้ แต่เมื่อนึกถึงผู้นำทางของตนแล้ว ธิดาท้าวโมฆราชก็ได้แต่ลอบถอนใจด้วยความโล่งอก เพราะคงไม่มีผู้ใดสงสัยในการหลบหนีครั้งนี้แน่... ด้วยจะมีใครเล่านึกเดาได้ว่าผู้ช่วยเหลือนางจักเป็นผู้ซึ่งนอนเคียงข้างอัศกะอยู่ทุกราตรี น่าแปลกนักที่ตลอดระยะทางซึ่งหลบออกจากอุดรปราคโชยติษ ไม่มีเงาของเนกุระหรือกลิ่นไอของนางเทวีผู้เป็นปริศนานั้นเลยแม้แต่น้อย ทว่าธิดาท้าวโมฆราชไม่มีเวลาติดใจสงสัยนักในยามนั้น จึงปัดความอยากรู้ทิ้งไปชั่วคราวหันมาใส่ใจกับการไปจากป้อมอสูรแห่งไฟเพียงอย่างเดียว

    หลายอึดใจต่อมา ป้อมอสูรแห่งอุดรทิศก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เมื่อพระนางภยานำทางศิษย์แห่งโคตมะผ่านพ้นออกมาจากกำแพงสูงตระหง่านนั้นได้ในที่สุด หญิงทั้งสองหยุดเท้าลงเพื่อพักหายใจ มันไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหอบจากการหนีเสียทีเดียว หากแต่เป็นด้วยความระทึกในหัวอก พร้อมกับความรู้ที่ว่าพวกตนจะได้รับผลตอบแทนเช่นไรกับการกระทำครั้งนี้นั่นเอง

    อมาวสีหมุนตัวกลับไปหานางแทตย์สาวซึ่งยืนหอบอยู่ไม่ห่าง ด้วยหมายจะขอบคุณอีกฝ่ายเพราะความช่วยเหลืออันนี้ เมื่อรู้ว่า... ยามนี้นางปลอดภัยแล้ว... แต่หญิงสาวรู้สึกเช่นนี้ได้เพียงไม่นาน เมื่อจู่ ๆ กระแสลมประหลาดก็พัดวูบวาบผ่านมา มิหนำซ้ำตรงหน้านางนั้นบัดนี่ใบหน้าสวยสดของพระนางภยากลับแปรเปลี่ยนเป็นอิ่มเอมสมใจชอบกล... มันดูน่าสะพรึงกลัวท่ามกลางความสลัวพร่ามัวของดินแดนรสาตลแห่งนี้ เพราะใบหน้านั้นไม่ต่างจากผีนรกซึ่งผุดขึ้นมาจากอเวจีสักนิด... ความกลัวแปลก ๆ เข้าเกาะกุมทั่วร่าง จนธิดาท้าวโมฆราชไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ไม่มีทางที่หญิงผู้นี้จะยอมเสี่ยงจากความโกรธกรุ่นของผู้เป็นสวามี หากนั่นไม่ได้นำมาซึ่งผลประโยชน์อันควรค่าแก่การเสี่ยงของตน และยามนี้โอกาสที่จะกำจัดเสี้ยนหนามตำใจอย่างอมาวสีก็มาถึงแล้ว... ความหมายในดวงตาชวนผวานั้น ทำให้ศิษย์แห่งโคตมะเผลอถอยหลังอย่างลืมตัว แต่ก่อนที่หญิงสาวจะทันหันหลังวิ่งจากมา ชั่วพริบตานั้นไหล่บอบบางทั้งสองข้างของนางก็มีบางสิ่งตะปบหมับและเกาะกุมไว้เสียแล้ว ความเจ็บหนึบบริเวณไหล่บอบบางทั้งสองไม่เท่ากับความตระหนกที่กำลังได้รับเลยสักกระผีก

    ดวงตาของอมาวสีเบิกกว้างตะลึงงัน ยามมองร่างสูงสง่าของบุรุษผู้ซึ่งเกาะกุมนางไว้อย่างเหนียวแน่น แรงบีบบนไหล่นางแทบทำให้กระดูกไหปลาร้าหักเป็นสองแท่น ชายผู้นั้นคงจะรับรู้สิ่งนี้ได้จึงผ่อนแรงลงเล็กน้อย หากไม่มากพอที่หญิงสาวจะสะบัดพ้นอุ้งมืออีกฝ่ายได้ ด้านซ้ายของนางมีร่างของสตรีนางหนึ่งซึ่งธิดาท้าวโมฆราชนึกเดาว่าคงเป็นสหายของชายผู้นี้!...

    พวกเจ้ามาได้ทันใจดีเทียวมุจริน!น้ำเสียงลิงโลดของพระนางภยา บอกอะไรหลายอย่างให้อมาวสีได้รู้ด้วยความสิ้นหวัง กระนั้นชื่อเสียงเรียงนามของอีกฝ่าย ส่งให้หัวใจธิดาท้าวโมฆราชกระตุกด้วยความยินดี เพราะระลึกได้ว่ามุจรินผู้นี้คือสหายของอัสยุชที่รามานนเคยเอ่ยถึงถ้าเช่นนั้นพวกเขามาช่วยนางใช่หรือไม่

    เจ้าคือมุจริน สหายของอัสยุช!...ความกลัวกลายมาเป็นความดีใจอย่างสุดซึ้ง โดยอมาวสีไม่รู้เลยว่าการพบกับมุจรินครั้งนี้ไม่มีสิ่งใดที่ใกล้เคียงกับคำว่าน่ายินดีเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวสังเกตว่าร่างอรชรในชุดของบุรุษเพศนั้นเกร็งเครียดขึ้นมากะทันหัน แทบจะพร้อม ๆ กับพบว่ามือของมุจรินกำเข้าหากันแน่นและสั่นเทา จนธิดาท้าวโมฆราชกลัวว่าเล็บอาจจิกลึกลงบนผิวเนื้อของนางก็เป็นได้

    อยู่ต่อหน้าข้าอย่าได้เอ่ยชื่อเขาอย่างสนิทสนมเช่นนี้อีก หาไม่แล้วเจ้าอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะพบหน้าอัสยุชอีก!”

    ครานี้ความยินดีลบเลือนหายไปสิ้น ศิษย์แห่งโคตมะเบือนหน้าจากมุจรินมาที่พระนางภยาบ้างเมื่อน้ำเสียงเกรี้ยวกราดแบบเดิม ๆ ดังมาว่า

    ฆ่ามันเสียเลยสิ!”

    ลมหายใจของอมาวสีจุกแน่นอยู่ในลำคอ ความหนาวเหน็บเข้าจู่โจมทั่วร่างนางในฉับพลัน เมื่อความตาย

    เหมือนจะมาเคาะประตูรอท่าอยู่ตรงหน้าขณะนั้น... อุ้งมือของชายเพียงหนึ่งเดียวผู้ยังเกาะกุมไหล่ทั้งสองของธิดาท้าวโมฆราชอยู่บีบกระชับแน่นขึ้น ทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือกร้านนั้นอย่างเสียไม่ได้...

                    เขาเป็นแทตย์หนุ่มใบหน้าคมสัน รูปร่างสูงโปร่งหากไม่เท่าอัสยุช แววตาอีกฝ่ายมองสบมาในอาการเฉยเมยไม่บอกความรู้สึกแต่อย่างใด หากเพียงหันไปเอ่ยกับสตรีทั้งสองนางน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยว่า

                    ไม่ได้... ท่านอาจารย์ต้องการตัวนางทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่สายตาคมกล้าของปาณทพมองไปยังนางแทตย์ทั้งสองนิ่งแน่ว ไม่แยแสว่าร่างน้อยข้างกายผู้กลายมาเป็นเชลยของเขาจะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเงื้อมือของตนสักเพียงใด เท่านั้นเองที่แทตย์หนุ่มกล่าว จากนั้นเขาก็นำตัวอมาวสีจากมาทันที ปล่อยให้มุจรินมองญาติผู้พี่ของตนเลิกลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก สุดท้ายจึงวิ่งตามศิษย์ร่วมอาจารย์ไปเท่านั้น...

     

                    ร่างบอบบางของพระนางภยาเซถลาเป็นนกปีกหัก หลังสิ้นเสียงเนื้อกระทบกับอะไรสักอย่าง... ริมฝีปากบอบบางของชายาคนงามแตกยับ เมื่อสะบัดใบหน้ากลับมามองเจ้าของฝ่ามือนั้นอย่างตัดพ้อ ความแสบร้อนจากร่องรอยแห่งน้ำมือผู้เป็นสวามี ไม่ทำให้พระนางเจ็บช้ำร้าวรานเท่ากับความอัปยศที่กำลังประสพอยู่ขณะนี้ เมื่อทูตอัคคีผู้เป็นพระบดีแห่งนางหาญกล้าตบตีตนต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้

                    เจ้ากล้าดีเช่นไรจึงปล่อยตัวนางมนุษย์ผู้นั้นไป?!” อัศกะคำรามดุจอาการของเสียร้ายที่ถูกกระตุกหนวด ท่าทีฮึดฮัดน่ากลัวนั้นแทบทำให้แทตย์ทุกตนผงะไปตาม ๆ กัน ร่างสูงผละห่างออกมาจากชายาผู้หมอบคู้แนบร่างกับพื้นในอาการสั่นสะท้านไม่ต่างจากพายุร้าย หากท้าวเธอไม่รู้จักนางดีคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังกลัวลานและสำนึกผิดต่อการกระทำเป็นแน่ ทว่าทูตอัคคีรู้ดีถึงจิตวิญญาณนางผู้เป็นคู่ทุกข์ว่า... ร่างที่กำลังสั่นเทิ้มนั้นหาได้มาจากความหวาดหวั่นเพียงอย่างเดียวไม่ แต่มันมาจากความหึงสาอาฆาตของนางเสียเป็นส่วนใหญ่ ดวงตาหรี่แทบปิดสนิทของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษเพ่งมองผู้ต้องหาแห่งตนนิ่งแน่ว มิยอมเคลื่อนกายเข้าไปใกล้พระนางแม้เพียงก้าว ด้วยเกรงว่าความอดกลั้นที่มีเพียงน้อยนิดนั้นจะหมดลงนั่นเอง

                    ข้าอยากฆ่าเจ้านัก!... หากไม่ติดพ่อเจ้า ป่านนี้เจ้าได้ไปเยือนยมโลกแล้ว เจ้าไม่รู้หรือไรว่าทำให้แผนการของข้าฉิบหาย รู้หรือไม่ว่าอีกไม่กี่ทิวาอัสยุชมันจะมาที่นี่แล้ว ซึ่งข้าไม่มีอะไรไว้ต่อรองกับมันแล้วด้วย และแม้แต่ชีวิตเราข้าก็ยังไม่แน่ใจนักว่ามันจะละเว้นให้!

                    พระนางมองผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัวไปยังสวามีด้วยความเจ็บซ้ำ หากความหึงสานั้นยังคงอยู่

                    ข้าไม่รู้หรอกว่าแผนการของท่านเป็นอย่างใด แต่ข้ายอมเสียทุกสิ่งหากไม่มีวันยอมแบ่งปันท่านกับผู้ใดเด็ดขาด!

    นี่เจ้า!... ผู้หญิงงี่เง่า!... โง่นักที่คิดได้เพียงแค่นี้ใบหน้าเหี้ยมเกรียมของอัศกะตวัดมามองเจ้าของคำพูดอย่างเอาเรื่อง พลันเพียงก้าวยาว ๆ ก้าวเดียวเขาก็มาถึงตัวพระนางภยา ชั่วแต่มาตยันร้องเตือนสติขึ้นเสียก่อนว่า

    ช้าก่อนเถิดท่านอัศกะ... เพลานี้สิ่งที่ควรทำก็คือการตามหาตัวนางมนุษย์ผู้นั้นนะขอรับ

    เมื่อได้ฟังดังนั้นทูตแห่งไฟจึงละความสนใจจากผู้เป็นชายาในทันที พร้อมผลักร่างพระนางออกในอาการรังเกียจคล้ายกับนางเป็นโรคระบาด หันมาเอ่ยกับคนสนิทของตนแทน

    นางเป็นเพียงมนุษย์ หากจักเดินทางในรสาตลเช่นนี้ย่อมไม่ง่ายนัก ข้าเชื่อว่านางคงยังไม่ไปไหนไกล ให้พวกอสูรออกไปค้นหาตัวนางให้พบแล้วนำตัวกลับมาให้ข้าให้จงได้

    ขอรับ ข้าจะไปเตรียมกำลังให้พร้อมและรีบทำตามที่ท่านสั่งเดี๋ยวนี้...” มาตยันรับคำก่อนก้าวจากไปทำตามคำสั่ง ขณะที่อัศกะหมุนตัวกลับมามองชายาคนงามของตนราวอยากฆ่าอีกครั้ง ก่อนขู่ฟ่อดุจอสรพิษร้ายว่า

    ข้าจะจัดการกับเจ้าภายหลัง!” จากนั้นทูตอัคคีก็ผละจากไป โดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลมายังพระนางภยาเลยสักนิด กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ลืมที่จะกำชับเหล่าแทตย์ผู้อารักให้กักขังนางแทตย์ไว้จนกว่าเขาจะกลับมาจากการค้นหาอมาวสี...

    อัศกะพร้อมมาตยันและกำลังอสูรส่วนหนึ่งออกไปค้นหาในรัศมีห้าโยชน์กินเวลาหลายชั่วยาม กระทั่งเพลาล่วงเลยผันผ่าน แสงสุรีย์ที่ฉายส่องมาสลัวเลือนหายไปจากนภากาศเหนือน่านฟ้ารสาตลก็ยังไม่สามารถพบตัวธิดาท้าวโมฆราชได้ สุดท้ายทั้งหมดจึงบ่ายหน้ากลับคืนสู่ป้อมอสูรอย่างทำอะไรไม่ได้

    อาการกระสับกระส่าย เดินไปมาของอัศกะในห้องโถงกว้าง ซึ่งกลายเป็นที่คุมขังชั่วคราวของพระนาง ภยาทำให้มาตยันเอ่ยขึ้นว่า

    เราค้นทุกซอกทุกมุมในรัศมีที่เป็นอาณาเขตอุดรปราคโชยติษแล้วแต่ไม่พบแม้แต่ร่องรอยของนาง ข้าเกรงว่านางอาจไปจากรสาตลแล้วก็เป็นได้

    ทว่าทูตแห่งไฟไม่คิดเช่นนั้น เพราะแม้หญิงสาวจะออกไปจากดินแดนแห่งนี้จริง แต่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถหลุดพ้นจากดินแดนแห่งพระสมุทรไปได้ทั้งที่ยังมีลมหายใจอยู่ ซึ่งนั่นย่อมหมายความว่า... หากธิดาท้าวโมฆราชจักกลับสู่ดินแดนมนุษย์แล้วไซร้นางจักต้องตายอย่างแน่นอน

    นางอาจตายไปแล้วก็ได้...” ถ้อยคำของพระนางภยาทำให้ชายทั้งสองหันขวับมามองที่ทันที แต่ด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกันโดยแท้

    ความโกรธกรุ่นดุจไฟสุมขอนปรากฏชัดบนใบหน้าอัศกะ แต่แล้วความสว่างบางอย่างก็วิ่งผ่านเข้ามาในความคิดของท้าวเธอ รอยยิ้มเยือนดุจเพิ่งนึกบางอย่างออกของทูตอัคคี ทำให้ผู้เป็นชายาสะท้านเยือกไร้สาเหตุ และมันไม่ได้พ้นไปจากสายตาค้นคว้าจับจ้องราวเหยี่ยวของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษเลย อัศกะสาวเท้าเข้ามาใกล้ชายาแห่งตน มือกร้านได้รูปฉกวูบออกมาคว้าต้นแขนนางมากำไว้แน่นอย่างไร้ปรานี ก่อนเอ่ยเสียงเข้มว่า

    รึไม่ก็มีผู้พานางหลบหนีไปแล้ว อย่างนั้นใช่หรือไม่ภยา?” จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษเห็นร่างอรชรของผู้เป็นชายาแข็งทื่อ นางสะดุ้งดุจผู้รู้ตัวว่าความลับกำลังถูกเปิดเผย และก่อนที่พระนางจะทันได้ถดถอยหนีอุ้งมือหนาแข็งยิ่งกว่าหินผาของทูตอัคคีก็จิกลึกพร้อมบีบแน่น จนกระดูกของนางแทบแหลกคามือ กระแสเสียงของเขาไม่ต่างอะไรกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายยามจะขย้ำเหยื่อ

    บอกมา!

    ทะ... ท่านอัศกะปล่อยข้าเถิด!...พระนางหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด หมายดิ้นรนให้หลุดพ้นจากแรงบีบเค้นนั้นอย่างไร้ผล

    บอกข้ามาก่อนว่าผู้ใดกันที่พาเชลยของข้าหนีไป?!ใบหน้าหล่อเหลานั้นกระด้างและดุดันอย่างน่ากลัว สำหรับพระนางแล้วนรกยังดูน่าพิสมัยกว่านี้นัก เมื่อต้องเผชิญกับอารมณ์โกรธเกรี้ยวของชายตรงหน้า

    ขะ... ข้าไม่รู้!...” นางเบือนหน้าหนีมาเสียจากแววตาคมกล้าจ้องจับผิดคู่นั้น หัวใจระส่ำระส่ายด้วยความผวาเหลือจะกล่าวหากอีกฝ่ายได้รู้ความจริง แต่ความหึงหวงอยู่เหนืออารมณ์ทั้งปวงในยามนั้นนางจึงไม่คิดจำนนง่าย ๆ

    ประกายตาทูตแห่งไฟวาววามลุกเรือง ก่อนที่มันจะอ่อนแสงลงอย่างปัจจุบันทันด่วน ความรู้เท่าทันปรากฏบนดวงตาคู่นั้นกะทันหัน ส่งกระแสหนาวเหน็บทั่วเรือนกายนางแทตย์จนแทบสิ้นสติ ร่างบางของพระนางภยาถูกเหวี่ยงออกไปดุจสิ่งของไร้ค่าอย่างมิทันได้ตั้งตัว เสียงหวีดร้องด้วยความตื่นกลัวและเจ็บร้าวทั่วสรรพางค์ตามมา เมื่อร่างนางกระแทกกับแท่นประทับราวขยะที่ไม่มีใครต้องการ หูได้ยินเพียงเสียงสั่งการของผู้เป็นสวามีดังขรมว่า

    เตรียมไพร่พลให้พร้อม ข้าจะออกไปนำตัวเชลยของข้ากลับมาอีกครั้งถ้อยคำนั้นทำให้ผู้เป็นชายาตวัดสายตาไปมองอย่างระแวดระวังนิด ๆ ไม่แยแสความเจ็บปวดที่ได้รับเมื่อครู่นี้

    ทะ... ท่านรู้รึว่าจักไปตามหานังมนุษย์นั่นได้ที่ใด?”

    เสียงหัวเราะห้าวลึกอย่างเหยียดหยามคือคำตอบจากอัศกะ คล้ายคำถามนั้นของนางสร้างความขบขันให้

    เขาเสียเต็มประดา จากนั้นจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษและมาตยันพร้อมเหล่าอสูรต่างก็ออกจากป้อมอสูร มุ่งหน้าไปตามทิศทักษิณในทันใด...

     

    หึ หึ... เป็นจริงดั่งคำท่านอัศกะคาดไว้ไม่มีผิดมาตยันเอ่ยอย่างชื่นชมผู้เป็นนาย เมื่อบัดนี้ตนได้มาประจันหน้ากับปาณทพและมุจริน ซึ่งทั้งสองกำลังคุมตัวอมาวสีมุ่งหน้าไปยังทักษิณปราคโชยติษนั่นเอง

    อัศกะนำไพร่พลไล่ล่ามาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็มาพบเป้าหมายของตนโดยไม่ยากเย็น สายตาทูตอัคคีแลเลยมาหยุดนิ่งที่ใบหน้าหวานละมุนของดรุณีผู้เคยเป็นเชลยแห่งตน ก่อนกล่าวเสียงนุ่มดุจเห็นใจและปลอบประโลมว่า

    เจ้าคงลำบากน่าดู...”

    ลมหายใจอมาวสีติดขัดด้วยความขลาดกลัว ดรุณีน้อยนั้นรู้สึกราวกับจะจับใช้ที่ต้องพบเจอกับชายผู้นี้อีก ร่างบางแข็งขืนและสั่นสะท้านภายใต้การจับกุมของปาณทพ ซึ่งไม่ยอมปล่อยนางด้วยเกรงว่าจะหลบหนี และเขาคงรู้สึกได้ถึงความกลัวที่นางมีต่อทูตอัคคีจึงกระชับอุ้งมือที่เกาะกุมหญิงสาวแน่นขึ้น ธิดาท้าวโมฆราชไม่รู้ว่าสิ่งใดทำให้ศิษย์แห่งพระศุกร์ปฏิบัติราวกับจะให้กำลังใจนางเช่นนี้ แต่ไม่มีเวลาค้นหาคำตอบแล้ว ด้วยน้ำเสียงของปาณทพดังขึ้นมาเสียก่อนว่า

    พระนางภยาหักหลังเราหรือเราอย่างไรกัน?”

    มุจรินเองก็อยู่ในอาการงุนงงและสับสนพอกันกับศิษย์ร่วมอาจารย์ มิวายที่ทูตแห่งไฟจะได้ยินถ้อยคำนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างลำพองว่า

    ฮึ ช่างโง่เขลานัก... อย่างนางจะรู้จักผู้ใดนอกเสียจากญาติผู้น้องอย่างเจ้า รึไม่จริง มุจริน?ประโยคหลังหันมากล่าวกับนางแทตย์พลางยิ้มอย่างพอใจ

    พี่ข้าเป็นอย่างใดบ้าง?!” มุจรินถามร้อนรนด้วยอดเป็นห่วงผู้เป็นญาติตนไม่ได้ แม้อีกฝ่ายจะไม่นึกถึงนางในยามมีสุขนอกจากมีทุกข์ก็ตาม

    หากทูตอัคคีเพียงแสยะยิ้มน่าเกลียดด้วยความโอหังพร้อมคำรามว่า

    ห่วงตัวเองก่อนจะดีกว่ากระมังว่าแล้วก็พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายทันที โดยมิยอมให้ตั้งตัวเลยแม้เพียงนิด... ขุมพลังอันเกิดจากพระเวทของอัศกะทำให้ปาณทพและมุจรินต้องดีดตัวหลบออกไปคนละทิศทางอยางหวุดหวิด!...

    ปาณทพไม่ลืมที่จะฉวยข้อมืออมาวสีให้พุ่งตามเขาไปด้วย ธิดาท้าวโมฆราชยังไม่ทันจะได้ตั้งสติได้ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มผู้เกาะกุมมือนางก็ผละจากไปเพื่อรับมือกับทูตแห่งไฟเสียแล้ว ความโกลาหลเกิดขึ้นในบัดนั้น เสียงโลหะกระทบกันดังสอดแทรกกับเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น อันเกิดจากพลังมนตราของทั้งสองฝ่ายที่ห้ำหั่นกันนั้นยิ่งก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายโดยแท้ และเมื่อศิษย์แห่งโคตมะเหลียวหาสตรีผู้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ของปาณทพ ก็พบว่าบัดนี้มุจรินกำลังรับมือมาตยันอยู่อย่างทุลักทะเลเต็มทน อมาวสีมองภาพการรบพุ่งตรงหน้าอย่างว้าวุ่นใจมิรู้ควรทำประการใดดี แต่แล้วความคิดที่จะหลบหนีก็ผุดขึ้นมาในใจของนางกะทันหัน ร่างบางรีบสาวเท้าหลบเร้นออกมาจากสมรภูมิเลือดนั้นอย่างเงียบเชียบ นางอาศัยความชุลมุนนั้นทำให้มิมีผู้ใดรู้เห็นถึงการหลบหนีของนางแม้แต่คนเดียว

    อัศกะใช้ดาบแห่งตนเข้าฟาดฟันไปยังปาณทพอย่างว่องไว จนก่อให้เกิดแรงอัดมหาศาลเป็นรูปกากบาทไคว่ พุ่งทะยานตรงเข้าหาแทตย์หนุ่มอย่างรวดเร็วหมายปลิดชีพของปาณทพในคราวเดียว และแม้ศิษย์หนุ่มแห่งพระศุกร์จะสร้างเกราะป้องกันเอาไว้แล้ว ทว่าแรงแห่งพลังเวทก็อัดกระแทกกระทั้นพาร่างที่ยืนรอรับพลังนั้นเข้าเต็มเหนี่ยว ลากร่างเขาไปไกลหลายสิบหลา ร่างสูงของปาณทพถูกอัดเข้ากับหินยักษ์เต็มแรง!... เสียงดังสนั่นหวัน

    ไหวราวแดนบาดาลจะพินาศในเดี๋ยวนั้น

    ทูตอัคคีพุ่งปราดเข้าประชิดอีกฝ่ายทันทีหมายซ้ำ ทว่าการณ์กลับมิเป็นเช่นดังหวัง เมื่อมุจรินซึ่งกำลังรับมือมาตยันอยู่นั้น ถือโอกาสที่อีกฝ่ายมีช่องว่างสลัดหลุดจากการตามติดของแทตย์ตนนั้น แล้วขว้างมีดบินขนาดโตกว่าฝ่ามือเข้ามาขวางพลังของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษเอาไว้ได้ เป้าหมายจึงเปลี่ยนจากหัวใจปาณทพมาเป็นไหล่ซ้ายของเขาแทน

    ความปวดแสบปวดร้อนจากบาดแผลที่ได้รับไม่ทำให้ชายหนุ่มสะดุ้งสะเทือนอันใด แม้แต่เลือดสีแดงไหลโชกอาบไล้ไปทั่วอาภรณ์ที่เขาสวมก็ไม่ได้ทำให้ร่างสูงผวา หัวใจเขาร้อนรุ่มและเต้นกระหน่ำด้วยความตื่นตัวจากการต่อสู้ จนลืมสิ้นแม้ความรู้สึกทั้งปวงนอกจากการเอาชีวิตรอด แม้จะเจ็บร้าวลึกสักปานใดปาณทพก็กัดฟันตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้อย่างเหลือเชื่อ สายตาเขามองกราดยังการสัปยุทธ์ตรงหน้าและเตรียมพร้อมจะรับมืออริศัตรูซึ่งดูเหมือนพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมที่จะปลิดชีพเขา

    ฝ่ายอัศกะ แม้จะไม่พอใจผลงานที่เกิดขึ้นนักหากก็ไม่รั้งรอรีบพุ่งเข้าหาเหยื่อเกือบทันควัน!...

    ท่านอาจารย์... ท่านมาแล้วรึ?!” คำร้องเรียกของมุจรินเอ่ยอ้างดังขึ้น มันเป็นกลเก่าที่อาจไม่ได้ผลทว่านางแทตย์ไม่มีอะไรต้องเสียแล้วมีจึงเสี่ยงใช้แผนนี้ หากมันยิ่งกว่าได้ผลเพราะส่งให้ทั้งอัศกะและมาตยันต่างชะงักงันไปพร้อม ๆ กัน พลางหันไปมองยังทิศที่ศิษย์สาวแห่งพระศุกร์ร้องขึ้นทันใด เพียงเท่านี้ก็นานพอที่จะทำให้ศิษย์แห่งพระศุกร์ทั้งสองกระโดดเหาะหนีไปได้อย่างง่ายดาย แม้จะเป็นคนละทิศทางก็ตามที กว่านายและบ่าวทั้งสองจะล่วงรู้ถึงอุบายเก่าแก่นั้น แทตย์ชายหญิงทั้งสองก็จากไปไกลยากแก่การที่จะติดตามเสียแล้ว...

    ทูตแห่งไฟสบถอย่างฉุนเฉียว ดวงตาแดงฉานด้วยฤทธิ์แห่งความตื่นเต้นจากการรบพุ่งเมื่อครู่ยังคงอยู่ ขณะมองดูซากศพแทตย์ทานพซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับตนอย่างเฉยเมย หางตาเห็นมาตยันหันซ้ายแลขวาอย่างค้นหาอะไรสักอย่าง ก่อนที่น้ำเสียงวิตกของคนสนิทจะแว่วมาว่า

    ท่านอัศกะ... อมาวสี นางไม่ได้อยู่ที่นี่เสียแล้วขอรับ!

    บัดซบ!เสียงคำรามหงุดหงิดของอัศกะดังกังวาน ขณะมองกราดทั่วบริเวณนั้นเสมือนจะค้นหาความจริงในคำพูดคนสนิทแห่งตน

                    อย่าเพิ่งวู่วามไปเลยท่านอัศกะ... ข้าไม่เห็นมันทั้งสองจะมีผู้ใดนำตัวอมาวสีไปด้วยเลยสักคน ซ้ำที่นี่ก็ยังไม่มีแม้เงาของนาง ข้าเดาว่านางคงฉวยโอกาสหนีไปขณะที่เราต่อสู้กันเป็นแน่

                    ทูตอัคคีมองคนสนิทอย่างใช้ความคิดและเห็นจริงกับอีกฝ่ายเช่นกัน

                    นางคงยังไปได้ไม่ไกล เรารีบตามหาจะดีกว่า กล่าวอย่างไม่ร้อนใจนักด้วยถือว่าพวกตนเป็นผู้ชำนาญทางแถบนี้ แต่เมื่อทั้งสองรวมทั้งเหล่าแทตย์ทานพในอาณัติทั้งหลายออกค้นหาอย่างละเอียดลออทั่วอาณาบริเวณนั้น กลับไม่พบแม้เส้นผมสักเส้นของธิดาท้าวโมฆราชเลย ครั้นมองขอบฟ้าอันไกลลิบที่เริ่มเปลี่ยนสีจากทองเป็นเทาอัศกะก็เอ่ยขึ้นว่า

                    ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามา ข้าเกรงว่าเราอาจต้องกลับไปตั้งหลักยังป้อมอสูรเสียก่อนแล้ว เมื่อไม่อาจทำสิ่งใดได้พวกเขาจึงตัดสินใจผละจากมาอย่างแสนเสียดาย เพราะไม่ต้องการเดินทางท่ามกลางความมืดมิดที่มีเป็นสองเท่าของดินแดนแห่งนี้ ด้วยแม้ไม่มีอันตรายใหญ่หลวงทว่ารสาตลมีแม่น้ำล้ำลึกหลายสาย หากไม่ใช่ผู้ซึ่งอยู่ในพื้นเพแถบนั้นมีอันต้องตกลงไปในแม่น้ำที่ว่าโดยไม่อาจหวนกลับขึ้นได้อีกนั่นเอง...

     

                อัศกะกลับมาถึงอุดรปราคโชยติษยังมิทันพักผ่อนให้หายเหนื่อย แทตย์ซึ่งเฝ้าประตูทวารก็รายงานถึงการมาของอัสยุชให้ทูตอัคคีทราบเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงสร้างความกลัดกลุ้มให้แก่จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษยิ่งนัก เพราะบัดนี้เขาหามีอมาวสีไว้ต่อรองกับอีกฝ่ายไม่ ความคิดของอัศกะว้าวุ่นขณะเท้าก็ก้าวไปยังส่วนรับรอง ซึ่งอัสยุชรอคอยอยู่ก่อนแล้ว ความกังวลใจของแทตย์หนุ่มก็ยิ่งทวีขึ้นเป็นเท่าตัว เมื่อ ณ ที่นั้นอัสยุชมิได้มาเพียงลำพังหากแต่มาพร้อมด้วยรามานนและนิมมารกะอีกสองตน เช่นนี้แล้วหากมีปากเสียงกันถึงขั้นต้องประมือเขามิต้องรับมือกับทั้งสามคนในคราวเดียวกันหรืออย่างไร... คิดพลางลอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง

                    ข้ามาเพื่อรับตัวอมาวสีคืน...” อัสยุชเอ่ยขึ้นเสียงเรียบทันทีที่อีกฝ่ายก้าวเข้ามาภายในห้องนั้น

                    ริมฝีปากทูตแห่งไฟเม้นแน่น ขณะเหลือบมองมาตยันผู้เป็นคนสนิทซึ่งอยู่ข้างกายไม่ห่าง จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษได้แต่อึกอัก มิรู้จะตอบกลับไปเช่นไรดี คิดแล้วยิ่งให้โกรธกริ้วผู้เป็นชายานักกับการหึงหวงไร้ความคิดอย่างที่เป็น สายตาท้าวเธอแลเลยไปยังพระนางภยาบ้างอย่างมาดร้าย หากสะกดใจยั้งไว้จนสุดกำลังพลางคิดอ่านการณ์ตรงหน้าที่จักกล่าวกับบุตรแห่งอัศรีด้วยความอับจน

                    ฝ่ายพระนางภยาผู้ชายาซึ่งนั่งรอท่าอยู่ก่อนในที่นั้น เมื่อเห็นว่าพระสวามีมิกล้าตอบกลับประโยคของอัส ยุชนางจึงชิงตอบกลับไปเสียเองว่า

                    ท่านก็บอกพวกเขาไปเสียสิว่า... นางมนุษย์ผู้นั้นหลบหนีไปแล้วเพลานี้

                    ทูตอัคคีหันขวับไปถลึงตามองพระนางอย่างเอาเรื่อง ดวงตาที่เคยมีแต่ความกรุ้มกริ่มเจ้าชู้ยักษ์นั้นฉายแววกระด้างจนพระนางภยาแทบผงะ ทว่าเมื่อนางแทตย์ได้สติอีกครั้งก็เพียงแต่ยิ้มเยือนราวกับมิหวาดกลัวในอากัปกิริยาของอีกฝ่ายคล้ายจะท้าทายกระนั้น

                    ร่างสูงสง่าของอัสยุชยังคงนิ่งรอคำอธิบายจากจ้าวแห่งไฟด้วยความอดทนยิ่งยวด กระนั้นมือที่คอยแต่กำแล้วคลายของเขาก็ทำให้รามานนซึ่งรู้ใจอีกฝ่ายดีนั้นนึกรู้แล้วว่า อีกไม่นานความอดทนของบุตรแห่งอัศรีคงมลายลงเป็นแน่แท้

                    อัศกะหันกลับมายังอาคันตุกะทั้งสาม ก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุดว่า

                    อมาวสี... นางถูกมุจรินพาตัวไปแล้วจากนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหลายแหล่ รวมถึงการปะทะกันระหว่างท้าวเธอและศิษย์แห่งพระศุกร์ก็พรั่งพรูออกจากปากทูตอัคคีจนสิ้น

                    คิ้วเข้มได้รูปของอัสยุชยกขึ้นในอาการเนิบนาบ ดวงตาฉายแววคุกคามนั้นจัจ้องคนพูดนิ่งแน่ว ราวจะมองให้ทะลุถึงความฉ้อฉลในจิตใจอัศกะมาตรแม้อีกฝ่ายคิดจะปิดบังมันไว้จากเขา ทว่าชื่อของมุจรินที่ออกจากปากจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษซึ่งมาเกี่ยวข้องกับการณ์ครั้งนี้ ทำให้หัวใจของหลานชายท้าวติสสะกระตุกวาบอย่างห้ามไม่ได้ บุตรแห่งอัศรียังจดจำได้ในวาจาที่นางแทตย์ผู้นั้นได้ลั่นไว้หลายทิวาราตรีก่อน ความกลัวไม่เคยมีมาก่อนกำลังเล่นงานชายหนุ่มจนร่างสูงนั้นเกร็งเครียดในบัดดล ทว่าเมื่อนึกได้ว่าอย่างน้อยธิดาท้าวโมฆราชก็มิได้ตกอยู่ในมือฝ่ายใดเมื่ออัศกะเล่าทุกอย่างจบลง หัวใจที่หนักอึ้งจึงทุเลาเบาบางลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

                    ร่างสูงสง่าเหนือบุรุษใดในชุดคลุมของอัสยุชหมุนตัวจนตัวผ้าสะบัดพลิ้วไหวกะทันหัน และโดยไม่รอท่าหรือส่งสัญญาณใด ๆ ให้กับใครทั้งสิ้นชายหนุ่มก็ทำท่าจะก้าวไปจากที่แห่งนั้นเสียแล้ว ทั้งรามานนและนิมมารกะต่างมองสบตากันอย่างสงกาด้วยไม่ใคร่เข้าใจในพฤติกรรมระยะหลังของอีกฝ่ายนัก นับแต่อัสยุชกลับคืนมาจากแดนมนุษย์นั้นเขาหาใช่ชายซึ่งเย็นชาไร้เมตตาอีกต่อไป กลับหุนหันมากขึ้นกว่าเดิมอย่างน่าประหลาดนัก

                    เจ้าจะไปที่ใดรึอัสยุช?” เสียงร้องถามของรามานนทำให้เท้าของเขาหยุดชะงักลง หากเป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนคำตอบจะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบที่มีแต่ความเฉยเมยอยู่เป็นนิจนั้นแผ่วเบา

                    ตามหาอมาวสี...โดยที่เจ้าตัวไม่เปลี่ยนกิริยาเป็นอื่นแม้แต่น้อย คือ... ก้าวไปเบื้องหน้าแน่วแน่ดุจมีจุดหมายปลายทางอันแน่นอนแล้วกระนั้นเขาไม่รู้ว่าจะตามหาหญิงสาวได้ที่ใดหากต้องรีบไปจากที่แห่งนี้หาไม่แล้วความโกรธที่กำลังลุกลามอยู่ในกาย อาจทำให้ป้อมอสูรแห่งนี้พินาศย่อยยับไปก็เป็นได้ แต่แล้วร่างของบุตรแห่งอัศรีกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่ ก่อนที่อัสยุชจะหันกลับมาช้า ๆ สายตาหรี่คมจับจ้องทูตแห่งไฟอย่างไม่เป็นมิตรเด่นชัด

                    ข้าจะกลับมาอีกครั้ง…” ถ้อยคำอัสยุชขาดหายเสมือนไม่ต้องการเอ่ยในสิ่งที่กำลังจะหลุดออกจากปากตน

    ภาวนาเถิดว่านางจะไม่มีอันเป็นไป หาไม่แล้วลมหายใจของพวกเจ้าก็จะต้องดับสูญไปเช่นกัน!” แม้วาจานั้นจะแผ่วเบาเรื่อยเฉื่อย แต่กลับแฝงไว้ด้วยความเฉียบขาดและคุกคามมากล้น เพราะแม้แต่รามานนและนิมมารกะเองยังอดที่จะสะดุ้งเสียววูบทั่วสันหลังมิได้

                    มากไปแล้วนะ อัสยุช!... นี่เจ้าหาญกล้ากล่าววาจาข่มขู่ข้าในเขตปกครองแห่งข้าเชียวรึ?! น้ำเสียงเดือดดาลปานไฟลามทุ่งดังกระหึ่ม ขนาดไตรโลกยังกระเทือนนั้นมาจากอัศกะ ร่างหนาของทูตแห่งไฟสั่นเทิ้มด้วยเพลิงโทสะ ไม่เคยมีผู้ใดโอหังกับท้าวเธอเช่นนี้มาก่อน และแม้จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษจักเตือนตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนแล้วถึงอาการเช่นนี้ของอีกฝ่าย กระนั้นก็อดฉุนเฉียวกับวาจาอวดดีของหลานชายท้าวติสสะไม่ได้ ความโกรธไร้ตัวตนกำลังแผ่กระจายออกมาจากร่างอัศกะจนแทบจับต้องได้ ใบหน้าคมเข้มของท้าวเธอแดงก่ำไม่ต่างอะไรจากผู้มีพิษไข้สุ่มร่าง หากพิษไข้อันนี้เป็นพิษไข้จากอารมร์คุกรุ่นรุนแรงของอัศกะมากกว่าอย่างอื่น

    ผู้ติดตามของทั้งสองต่างลุกขึ้นมาประจันหน้ากันอย่างเตรียมพร้อมหากจะมีการปะทะกันเกิดขึ้น ท่ามกลางความตื่นตระหนกของพระนางภยาและนางแทตย์ผู้รับใช้ของพระนาง ชั่วแต่นางแทตย์ทั้งหลายสะกดกลั้นความหวาดกลัวเอาไว้ได้ ด้วยการเม้มริมฝีปากแน่นจนเจ็บหนึบเพื่อมิให้แสดงความขลาดเขลาออกมา

    ข้าไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนี้...ปากพูดหากมือขวาของอัสยุชกลับยกขึ้นมาอยู่ระดับอก ไม่ต่างจากครั้งที่เคยเรียกหาอาวุธคู่กาย

    แต่หากมันเลี่ยงไม่ได้ ก็คงมีแต่ทำให้มันจบลงโดยเร็วเท่านั้น!จบคำดาบจิ๋วเล็กกระจิดริดก็ปรากฏขึ้นและลอยคว้างอยู่เหนือฝ่ามือหนาได้รูปของเขา เสียงอุทานตื่นตระหนกแว่วมาจากใครรามานนไม่ทันสังเกต ด้วยเฝ้าจับจ้องไพร่พลของทูตแห่งไฟเพราะความระแวดระวังให้ผู้เปรียบเสมือนน้องชายอยู่ ดาบเล่มเล็กในอุ้งมือบุตรแห่งอัศรีค่อย ๆ แปรเปลี่ยนขนาดขยายใหญ่และยาวขึ้นพร้อมกับลอยลงสู่อุ้งมือของผู้เป็นเจ้าของอย่างรู้งาน

    ภาพดาบเทวะเล่มนั้นซึ่งปรากฏอยู่ต่อหน้าส่งให้จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษผงะถอยหลังเล็กน้อยอย่างลืมตัว ด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงใบหน้าเจ้าเล่ห์ร้อยแผนการนั้น ซีดขาวราวกระดาษน่าอย่างขันในสายตานิมมารกะ หากชายอาวุโสยังคงความสุขุมเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

    ดวงตาอัศกะเบิกกว้างตะลึงมองอาวุธอันทรงฤทธิ์นั้นพลางกลืนน้ำอายอย่างฝืดคอเหตุใดท้าวเธอจะมิรู้ว่าดาเล่มนี้มีฤทธานุภาพร้ายแรงเพียงใด และมันเป็นอาวุธซึ่งเทพองค์หนึ่งมอบให้แก่พระนางอัศรีก่อนที่จะจากไปพร้อมกองทัพเทพในครั้งนั้น ถ้อยคำผรุสวาทเผ็ดร้อนของทูตอัคคีจุกแน่นในลำคอมิกล้าเปล่งวาจาใดออกไปแม้เพียงนิด นานหลายอึดใจที่เพลาเหมือนจะหยุดนิ่งรอคอย กระทั่งจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษเอ่ยตะกุกตะกักว่า

    นะนี่เจ้า!…” นั่นแหละความตึงเครียดจึงได้เบาบางลงบ้าง และนั่นก็มากพอที่จะทำให้อัสยุชเปลี่ยนใจจากการปะทะกับอีกฝ่าย ด้วยเขาเปรารถนาเพียงตามหาอมาวสีให้เจอเท่านั้นในยามนี้

    ต้องการทำการใดในรสาตลก็จงทำซะข้าไม่ขอยุ่งเกี่ยว แต่อย่าได้เข้ามายุ่มย่ามกับตัวข้าหรือแม้แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องกับข้าอีก หาไม่แล้ว...สายตาคมกล้าของหลานชายท้าวติสสะมองกราดทุกใบหน้า ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่พร้อมจะขย้ำศตรูที่ลุกล้ำอาณาเขตของมัน

    ถึงจะเป็นหนึ่งในสี่ทูตที่ดูแลเขตป้องกัน ข้าก็จะไม่ละเว้นมันแน่ทันทีที่กล่าวจบร่างสูงของอัสยุชก็หมุนตัวผละจากไป ซึ่งคราวนี้ไม่มีสิ่งใดรั้งชายหนุ่มเอาไว้ได้

    นิมมารกะผงกศีรษะให้กับรามานนคล้ายจะเร่งให้ก้าวตามอัสยุชไป ทั้งสองจึงรีบตามอีกฝ่ายไปติด ๆ ไม่เหลียวแลไปยังเบื้องหลังสักแวบเดียว กระทั่งทั้งสามผ่านออกมานอกกำแพงป้อมปราการแห่งอุดร คำถามร้อนรนของรามานนขณะเดินกึ่งวิ่งตามอัสยุชไปนั้นก็ดังขึ้นว่า

    เจ้าจะไปตามหาอมาวสีที่ใดกัน?”

    ดวงตาบุตรแห่งอัศรีมีแววไตร่ตรองขณะคิดหาคำตอบ

    ที่ซึ่งมุจรินควรจะไปทว่าจู่ ๆ อัสยุชก็หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน

    รามานน เจ้าไม่ต้องไปทักษิณปราคโชยติษกับข้า ช่วยค้นหารอบ ๆ อุดรปราคโชยติษนี่ก็พอ อมาวสีนางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาอาจยังคงอยู่แถวนี้ และหากแม้อัศกะมันไม่ได้พูดปดต่อข้าเรื่องที่ไม่มีใครได้ตัวนางไปล่ะก้อ ข้าเชื่อว่าเจ้าอาจพบนางได้ในรัศมีไม่ใกล้ไม่ไกลจากป้อมอสูรแห่งนี้แน่ ส่วนท่าน... นิมมารกะท่านไปกับข้าจากนั้นก็ก้าวจากไปทันที ทิ้งให้แทตย์ต่างวัยทั้งสองมองสบตากัน หากทำได้เพียงผงกศีรษะรับคำสั่งนั้นเงียบ ๆ เท่านั้นเอง

                    ขณะรามานนแยกไปทำตามคำสั่งของอัสยุช นิมมารกะก็มาเดินอยู่กลางป่ารสาตลพร้อมบุตรแห่งอัศรี...ความรักที่เคยมีต่อนางผู้นั้น ทำให้ชายกลางคนมอบความภักดีที่มีต่อธิดาท้าวติสสะให้แก่บุตรชายของนางจนสิ้น ในใจเขาก็ให้นึกฉงนนักในอาการกระวนกระวายของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุใดคนสนิทในท้าวติสสะจะไม่รู้ถึงหัวใจที่เย็นชากระด้างของหลานชายท้าวติสสะ ทว่าความร้อนรุ่มที่อีกฝ่ายกำลังสำแดงออกมาทั้งทางสีหน้าและการกระทำนี้ ในสายตาและความรู้สึกของนิมมารกะแล้วนับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของบุตรแห่งอัศรีนัก นางมนุษย์ผู้นั้นหรือเล่าที่ทำให้บุตรแห่งอัศรีเปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้ แล้วเกตุวดีผู้เป็นหลานสาวแห่งตนเล่าจักเป็นเช่นไร... นางแทตย์น้อยคงมิอาจเข้าไปอยู่ในหัวใจของอัสยุชได้เฉกเช่นหญิงมนุษย์ผู้นั้นเป็นแน่ ซึ่งนั่นคงไม่แคล้วที่นางแทตย์น้อยจะต้องประสบกับชะตารักเช่นเดียวกับตน แทตย์อาวุโสได้แต่ทอดถอนหายใจที่หนักอึ้งราวถูกหินผาหนักหน่วงทับไว้บนอก เอาแต่จับจ้องหลานชายท้าวติสสะเงียบ ๆ ขณะเดินทางเท่านั้นเอง...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×