คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7
7
เพลาเดียวกันแต่ต่างสถานที่แลผู้คน...
ร่างสูงในอาภรณ์สีหม่นคล้ายชุดคลุมยาวกรอมเท้าก้าวเดินผ่านร้านรวงร้านแล้วร้านเล่าอย่างรีบร้อนพลางคอยหลบหลีกผู้คนสัญจรไปมาที่คับคั่งด้วยความชำนาญทางเป็นอย่างดี
สกยะเดินฝ่าความวุ่นวายนั้นไปท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาลผ่านบ่อน้ำใจกลางเมืองปัญจาบสู่ร้านน้ำชาของถนนฝั่งตรงข้ามก่อนจะเดินเรียบไปตามบ้านเรือนมากมายที่ปลูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีนั้นอย่างคุ้นเคย ชายหนุ่มเดินลัดเลาะมาจนกระทั่งถึงทางสามแพร่งอันจะนำพาเขาไปยังพระราชวังปัญจาบหนึ่ง ไปสู่วิหารมนตราหนึ่ง และไปยังป่าติดกับสุสานท้ายพระราชวังหนึ่งเขาจึงเลือกเลี้ยวซ้ายมุ่งตรงไปหยุดยืนอยู่ยังหน้าร้านโกโรโกโสแห่งหนึ่งแล้วเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะหายเข้าไปภายในนั้นอย่างรวดเร็ว
“ได้ข่าวว่าอย่างใดสกยะ?” ชายกลางคนร่างท้วมแต่งกายด้วยชุดพราหมณ์สีตุ่นถามขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้ามาภายในห้องใต้ดินของร้านเหล้าแห่งนี้
สกยะถอดเสื้อคลุมตัวโค่งของตนออกมาวางพาดไว้บนเก้าอี้ข้างโต๊ะซึ่งรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้ร่วมการต่อต้านก่อนจะหันมาสนใจทุกสายตาในห้องนี้ซึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียวอย่างรอคอย...
“เงากล่าวแก่ข้าว่าไอ้เฒ่าศนิวารมันจับกุมตัวคนร้ายได้คนหนึ่ง...” เขาหยุดพูดอย่างใช้ความคิดก่อนเอ่ยต่อ
“ข้า และเงาเห็นตรงกันที่ไม่มั่นใจว่าคนผู้นี้จะเป็นพรรคพวกของเรา... หรือท่านอาจารย์เห็นเป็นอย่างใด?” ประโยคสุดท้ายชายหนุ่มหันมากล่าวกับพราหมณ์เฒ่าอย่างขอความเห็น
“มันอาจเป็นแผนชั่วของไอ้สินธุคามก็เป็นได้!”
ทุกคนต่างหันไปมองที่ชายฉกรรจ์เจ้าของคำพูดซึ่งก็เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของพราหมณ์เฒ่าเช่นกันอย่างเห็นพ้องด้วย
“อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้” พราหมณ์เฒ่ากล่าวช้าเนิบนาบราวกับกำลังใช้ความคิด
“สกยะ... เจ้ารู้หรือไม่ผู้ใดคือนักโทษที่ว่านี้”
“นักโทษผู้นั้นมีนามว่าโคตมะขอรับท่านอาจารย์...”
“โคตมะ!...”
อีกฝ่ายพึมพำเสียงแผ่วหากในใจนั้นกลับหวนนึกกระหวัดไปถึงเรื่องราวแต่หนหลังที่ยาวนานถึงสิบหกปีขึ้นมาทันที...
เขาคิดว่าโคตมะคงมิรอดแล้วแน่ด้วยทั้งกนาท กบิล และปตัญชลีล้วนสิ้นชีพแล้วในครานั้นยิ่งต้องมาพลัดหลงกับอีกฝ่ายยามเมื่อถูกกองทหารไล่ล่าด้วยแล้ว และเมื่อวยาสนึกถึงผู้เป็นหัวหน้าแห่งตนก็ให้นึกถึงใครอีกคนขึ้นมาไม่ได้...
โอ้หนอ!... อนิจจาพระราชธิดาทูลกระหม่อมปานฉะนี้จักเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไร้บ้างก็หารู้ไม่ แต่มาตรแม้นโคตมะยังมิตายเช่นนี้พระองค์หญิงน้อยจักต้องยังมีพระชนม์ชีพอยู่อย่างแน่แท้... พราหมณ์เฒ่าคิดคำนึงอย่างยินดีแล้วความรู้สึกที่มีอยู่กลับกลายมาเป็นความกังวลแทนเพราะการที่โคตมะถูกจับกุมเช่นนี้แล้วพระราชธิดาอมาวสีเล่าจักเป็นเช่นไร...
“สกยะ... นอกจากโคตมะผู้นี้แล้วยังมีผู้อื่นอีกหรือไม่?”
“หามีไม่ขอรับ!”
คำตอบจากผู้เป็นศิษย์ทำให้คิ้วสีขาวของอีกฝ่ายขมวดเข้าหากันอย่างคิดหนักก่อนจะเอ่ยออกมาในที่สุดว่า
“เตรียมกำลังให้พร้อมเราจะไปช่วยโคตมะกัน!”
“แต่ท่านอาจารย์ โคตมะผู้นี้... ” คำพูดของวาสิกาต้องหยุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อพราหมณ์เฒ่าผู้เป็นอาจารย์ยกมือห้าม
“โคตมะคือหัวหน้าแห่งปัญจเวท” วยาสชี้แจง
“แต่ถึงกระนั้นไอ้แม่ทัพสินธุคามมันอาจใช้แผนอุบาทว์ให้คนของมันสวมรอยเป็นท่านโคตมะเพื่อล่อให้เราไปติดกับก็ได้” ประโยคนี้ผู้เฒ่าร่วมขบวนการเป็นผู้กล่าวขึ้นท่ามกลางเสียงร้องรับอย่างเห็นด้วยของทุกคนซึ่งวยาสเองก็เห็นจริงตามนั้นเขาจึงเอ่ยอีกว่า
“ถ้าเช่นนั้นข้าจักให้ทุกคนได้เห็นโคตมะเพื่อการย์จักได้มิผิดพลาด”
ว่าแล้วผู้นำฝ่ายต่อต้านก็จัดการบริกรรมคาถาพร้อมกับกวนน้ำในถ้วยดินใบเล็กตรงหน้าซึ่งวางอยู่บนโต๊ะด้วยปลายนิ้วของตนไม่นานนักถ้วยใบย่อมนั้นก็ค่อย ๆ ปรากฏแสงสีทองเจิดจ้า!... วยาสจัดการยกถ้วยดินดังกล่าวขึ้นมาก่อนจะเทมันราดรดลงบนโต๊ะกว้างต่อหน้าทุกคนอึดใจต่อมาน้ำที่หกเรี่ยราดกระจายเต็มโต๊ะไม้นั้นก็ค่อยรวมตัวกันก่อกำเนิดรูปใบหน้าของใครบางคนขึ้นมาทีละนิด ๆ อย่างน่าประหลาดแท้!...
“นี่คือโคตมะ... สกยะ วาสิกา และวกาลพวกเจ้าทั้งสามจงนำคนของเราไปช่วยเขากลับมาให้ได้!!”
พราหมณ์เฒ่าเอ่ยกับศิษย์เอกทั้งสามแล้วร่ายมนตราซ้ำอีกครั้งเพื่อให้ปรากฏใบหน้าโคตมะให้เด่นชัดยิ่งขึ้นจากเดิมที่เป็นเพียงภาพมัว ๆ ขาวดำมาสู่ภาพสีอย่างชัดเจนก่อนที่ภาพมนตรานั้นจะเลือนหายไปในที่สุด
รุ่งอรุณวันใหม่มาเยือนจนสุริยาทิตย์เคลื่อนคล้อยลอยเลื่อนสู่ปัจฉิมทิศ...
วยาสพร้อมด้วยเหล่าผู้เฒ่าซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอดีตเสนาอำมาตย์ผู้ภักดีต่อองค์โมฆราช และหนุ่มสาวผู้ร่วมขบวนการที่ยังเหลืออยู่ต่างเฝ้ารอการกลับมาของสกยะ วาสิกา และวกาลด้วยใจจดจ่อ
ทั้งสามนำกำลังจากไปตั้งแต่อุษายังไม่มาเยือนจนบัดนี้เวลาได้ล่วงผ่านดวงตะวันคล้อยต่ำศิษย์ทั้งสามแห่งพราหมณ์เฒ่าวยาสก็ยังมิคืนกลับมาแต่อย่างใดส่งให้ทุกฝ่ายต่างวิตกกังวลว่าแผนการโจมตีครานี้จักล้มเหลวจึงคิดจะส่งกองหนุนออกไปสืบดูลาดเลา
แต่แล้ว... กองกำลังของสกยะ วาสิกา และวกาลซึ่งมีเพียงสิบกว่าคนก็เดินทางกลับมาเสียก่อน
สกยะควบม้านำรถลากซึ่งมีร่างบาดเจ็บของใครบางคนนอนสลบไสลอยู่นั้นมุ่งตรงเข้าไปใกล้บ้านร้างซึ่งเป็นที่นัดหมายของพวกตน และผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่เห็นอีกฝ่ายรอท่าอยู่อย่างร้อนใจ...
ด้วยเกรงจักเป็นที่สนใจของผู้คนหากจะนำตัวโคตมะเข้าไปยังปัญจาบทันทีวยาสจึงนัดหมายให้มาพบกันที่บ้านร้างนอกเมืองอันเป็นบ้านของชาวนาผู้หนึ่งซึ่งถูกกองโจรบุกปล้นฆ่าทั้งบ้านนั้นนั่นเอง
เมื่อรถม้าจอดสนิทหน้าบ้านร้างหลังดังกล่าวสกยะจึงดีดตัวลงจากหลังม้าของตนแล้วรีบเข้าไปช่วยวกาลซึ่งทำหน้าที่สารถี และตอนนี้กำลังเข้าประคองร่างอันบอบช้ำไร้เรี่ยวแรงของโคตมะเข้าไปภายในบ้านหลังนั้นอย่างทุลักทุเลโดยมีวยาสก้าวตามไปติด ๆ ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของทุกคนในที่นั้น
“เหตุใดจึงกลับมาล่าช้านักเล่า?”
ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยถามขณะก้าวเข้าไปหาโคตมะเมื่อศิษย์ทั้งสองวางร่างผู้ซึ่งตนช่วยกลับมาลงบนเตียงกว้างภายในบ้านร้างนั้นเรียบร้อยแล้วก่อนจะจัดการร่ายเวทสมานแผลอย่างง่าย ๆ ให้กับคนเจ็บด้วยเขามิใช่จอมเวทย์ฝ่ายอาถรรพเวทเฉกเช่นโคตมะนั่นเอง
“แท้จริงแล้วกิจของเราเสร็จสิ้นก่อนเที่ยงวันด้วยมีเพียงแค่ทหารชั้นปลายแถวเท่านั้นที่คุมตัวท่านโคตมะมา แต่เป็นเพราะเราต้องดูแลท่านพราหมณ์ซึ่งบาดเจ็บเป็นเหตุให้เดินทางล่าช้า” สกยะอธิบาย
วยาสพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจเพราะความห่วงใยทำให้เอ่ยถามคล้ายมิเชื่อในฝีมือแห่งศิษย์ตน แต่ทั้ง สกยะ วกาล และวาสิกาต่างรู้แก่ใจดีถึงความรัก และห่วงใยของอาจารย์ที่มีต่อตน
เสียงร้องครางของคนที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงทำให้อาจารย์ และศิษย์ทั้งสี่หันความสนใจไปที่เจ้าของเสียงนั้นทันใด
“โอ๊ยยย!...”
โคตมะพยายามอย่างยากเย็นที่จะลืมตาขึ้นมา... สถานที่อันแปลกตาตรงหน้าหาใช่ที่คุมขังอย่างที่ตนเข้าใจไม่แต่จักเป็นที่แห่งใดนั้นเขายังมิอาจตอบได้ด้วยภาพที่ปรากฏอยู่แก่สายตาขณะนี้ช่างพร่าเลือนยิ่งนัก และด้วยความสงกานี้เองพราหมณ์เฒ่าจึงขยับกายหมายจักลุกขึ้นสำรวจดูให้ทั่วแต่แล้วความรู้สึกเจ็บร้าวลึกไปทั่วสรรพางค์กายก็ทำให้เขาต้องครางออกมาอีกครั้งอย่างสุดที่จะกลั้นเอาไว้ได้...
“อ่าาา!...”
“ท่านหัวหน้า!....”
เสียงร้องเรียกคุ้นหูที่ดังขึ้นใกล้ ๆ ส่งให้ใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำผสมกับคราบเหงื่อไคลมอมแมมของโคตมะหันไปมองยังต้นตอของเสียงนั้นอย่างยากลำบากยิ่งแต่สิ่งที่ทำให้พราหมณ์เฒ่าตระหนกยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บของตนก็คือ... ใบหน้าอันคุ้นตาเพียงแต่เหี่ยวย่นไปตามกาลเวลาซึ่งลอยเด่นอยู่ต่อหน้าตนขณะนี้นั่นเอง
โคตมะจดจำได้ในทันทีแม้ความเจ็บปวดในกายจะรุมล้อมทั่วเรือนร่างว่ามันคือ ใบหน้าของวยาสผู้ซึ่งเป็นทั้งสหาย และผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาแห่งตนนั่นเองแม้อีกฝ่ายจะเปลี่ยนแปลงไปมากก็ตามที...นี่ข้าตายไปแล้วหรืออย่างใดกันจึงได้มาพบกับวยาสเยี่ยงนี้... คิดขณะพยายามกะพริบตาเพื่อขับไล่ภาพมายานั้นแต่การณ์กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่...
“วยาส... จะ... เจ้ามารับข้ารึอย่างใด?” เอ่ยออกมาน้ำเสียงสั่นพร่าเพราะพิษบาดแผล
“หาเป็นเช่นนั้นไม่... ข้ายังมีชีวิตอยู่ตัวท่านเองก็เช่นกัน”
ถ้อยคำที่ตอบกลับมาส่งให้ความปวดร้าวเมื่อครู่ของโคตมะถูกแทนที่ด้วยความยินดีอย่างสุดซึ้ง...
ในขณะที่วยาสนั้นยังกุมมือหยาบกร้านของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นพลางทรุดนั่งลงบนเตียงเก่า ๆ ข้างคนเจ็บด้วยความรู้สึกไม่ต่างกันเลย
“ใช่เจ้าจริง ๆ รึวยาส?!...”
“ใช่!... เป็นข้าจริง ๆ ท่านหัวหน้า” วยาสเอ่ยอย่างยินดีแฝงไว้ด้วยความเคารพในตัวผู้เป็นหัวหน้าส่งให้โคตมะยิ้ม และหัวเราะออกมาเบา ๆ แม้จะเป็นรอยยิ้มที่สร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดให้แก่พราหมณ์เฒ่าก็ตาม
“หึ... เจ้ายังเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง ยังคงเรียกขานข้าเป็นหัวหน้าอยู่ร่ำไปทั้ง ๆ ที่เราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันแท้ ๆ จริงสิ!... เจ้าคงเป็นผู้ช่วยข้ามาใช่รึไม่?”
ผู้ถูกถามพยักหน้ารับเบา ๆ พร้อมกับยิ้มตอบอยู่ในที
“จะ... จากกันครานั้น
เจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?” โคตมะยังเป็นฝ่ายตั้งคำถามเพราะความอยากรู้กำลังรุมเร้าเขาอยู่แม้เหนื่อยล้าแต่ก็ทุเลาลงด้วยการรักษาจากอีกฝ่าย
“ข้าพลัดหลงกับท่านจากนั้นก็หลบหนีกองทหารม้าไปแล้วพลัดตกลงไปในหุบเหวลึก...” วยาสนึกทบทวนความหลังอีกครั้งอย่างช้า ๆ ราวกับมันถูกตอกปักเอาไว้ในจิตใจเขาอย่างมิอาจไถ่ถอน
เขาบาดเจ็บสาหัสเพราะพลัดตกลงไปในเหวลึกเคราะห์ดีที่ยังไม่ตายไปซะก่อน และได้อาศัยอยู่ในก้นเหวนรกนั้นอย่างหวาดผวาจนกระทั่งบาดแผลทุเลาขึ้นจึงคิดหาทางขึ้นมาจากหุบเหวปิศาจก่อนจะเดินทางย้อนกลับสู่ปัญจาบเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนาม และแปลงโฉมปะปนอยู่กับชาวปัญจาบนับแต่นั้นมา เบื้องหน้าคือพราหมณ์เฒ่าผู้เคร่งครัดไม่ยุ่งเกี่ยวกิจผู้ใด แต่เบื้องหลังแอบรวบรวมไพร่พลที่จงรักภักดีต่อองค์โมฆราชเอาไว้หมายช่วงชิงบัลลังก์คืนจากนันทะ... ทำทั้งที่ยังมิรู้เลยว่าจักมีวันได้พบกับโคตมะ และพระราชธิดาอมาวสีหรือไม่
“ข้าเฝ้ารอคอยท่าน และพระราชธิดาอมาวสีแม้จะไร้ความหวังเพื่อที่จะโค่นล้มนันทะ และนำราชบัลลังก์กลับคืนมาถวายแด่พระราชธิดาน้อยของเรา...” วยาสกล่าวขึ้นมาอย่างหนักแน่นเมื่อเล่าเรื่องราวของตนจบลง
สีหน้าของโคตมะบ่งบอกความยุ่งยากใจเล็กน้อยด้วยเวลาได้เปลี่ยนแปลงความคิดของเขาไปจนสิ้น ความแค้นเคืองในตัวราชานันทะมลายหายไปตามกาลเวลาแล้วยามนี้ และเขาก็ไม่ต้องการให้ผู้เป็นศิษย์ต้องเผชิญกับสงคราม และความขัดแย้งเหล่านี้แม้นั่นจะเป็นชะตาชีวิตของนางนับแต่ลืมตาดูโลกก็ตามทีเพราะเขารู้ถึงพิษสงของมันเป็นอย่างดีนั่นเอง
“จริงสิ!... แล้วพระราชธิดาอมาวสีเล่าเป็นอย่างใด?” อีกฝ่ายถามมาอย่างสงสัย
“พระองค์หลบหนีไปได้... ยามนี้ข้าเองก็หารู้ไม่ว่าพระราชธิดาจักทรงเป็นเช่นไร แต่เชื่อเถิดว่าขณะนี้พระองค์จักต้องกำลังเสด็จมายังปัญจาบอย่างแน่นอน”
เมื่อโคตมะเอ่ยเช่นนั้นวยาสจึงตกลงใจจะรอคอยอมาวสี และซ่องสุมกำลังคนให้พรั่งพร้อมเพื่อทำการใหญ่ต่อไป...
ณ ดินแดนห่างไกลออกไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จากปัญจาบนคร...
ยังมีแคว้นหนึ่งซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลชายแดนติดกับแคว้นปัญจาบอยู่แคว้นหนึ่ง และมีนามว่า... ราชสถาน อันมีเมืองทวารกะ เป็นเมืองหลวง และมีความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ ไม่แพ้กันกับปัญจาบแม้แต่น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกสงครามด้วยแล้วหากปัญจาบคิดจักเทียบรัศมีนั้นยังห่างชั้นมากนัก
“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท... บัดนี้ท่านแม่ทัพอัสเตยะได้มาถึง และรอเข้าเฝ้าตามพระราชกระแสรับสั่งให้หาอยูหน้าท้องพระโรงแล้วพระเจ้าข้า” มหาดเล็กเข้ามากราบบังคมทูลพระกรุณาแก่องค์กษัตริย์ราชสถานซึ่งท้าวเธอก็มีพระบัญชาให้แม่ทัพใหญ่แห่งทวารกะเข้าเฝ้าในทันที
ไม่นานนักชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งใบหน้าคมสัม ผมที่ดกดำถูกรวบ และเกล้าเป็นมวยอยู่กลางศีรษะเผยให้เห็นรูปหน้าหล่อเหลาอย่างเด่นชัดยิ่งนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาภายในห้องพระโรงอย่างองอาจผ่าเผย อัสเตยะก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ไม่ใส่ใจสายตาหวาดกลัวระคนเกลียดชังของเหล่าเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่นับสิบก่อนจะทรุดนั่งลงบนตั่งข้าง ๆ พระที่นั่งในองค์ทวารกะ
“ถวายบังคมฝ่าพระบาท...” ชายหนุ่มผู้เพิ่งมาถึงยกมือขึ้นเหนือเศียรดังราชประเพณีที่พึงปฏิบัติอันเป็นการแสดงความภักดีต่อองค์ประมุขในขณะที่ปากก็พร่ำพูดสืบไปว่า
“รับสั่งให้หามีพระราชประสงค์สิ่งใดรึพะย่ะค่ะ?”
“เรา และเหล่าเสนาอำมาตย์ปรึกษาหารือกันว่าถึงเพลาแล้วที่จะรวมแผ่นดินเข้าด้วยกันโดยจะมีราชสถานของเรานี้เป็นแกนกลางในการปกครอง...” ราชันเฒ่ารับสั่งสุรเสียงพอพระทัย พระพักตร์ยิ้มย่องอย่างสมพระราชหฤทัยในบางอย่าง
“เป็นพระราชดำริแห่งพระองค์เองเช่นนั้นรึ?” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามใบหน้าเฉยเมย
“ใช่... เรามีความคิดเช่นนี้นับแต่ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ แล้ว”
“เช่นนั้นหม่อมฉันก็มิขอออกความเห็นแต่ประการใดแม้มันจะดูเป็นความคิดที่โง่เขลายิ่งหากคิดว่ายามนี้เหมาะแก่การรวมแผ่นดิน”
ถ้อยคำขวานผ่าซากโดยมิได้เกรงกลัวต่ออาญาของอีกฝ่ายทำให้ทั้งองค์ทวารกะ และเหล่าข้าราชบริพารน้อยใหญ่ในที่นั้นต่างมองไปยังเขาด้วยความไม่พอใจยิ่ง แต่ด้วยรู้ถึงฝีมืออันร้ายกาจที่สามารถทำลายล้างเมือง ๆ หนึ่งได้ภายในวันเดียวของอีกฝ่ายทำให้องค์ทวารกะมิทรงกล้ารับสั่งสิ่งใดออกไปแม้พระทัยยามนี้จักทรงเดือดดาลจนพระพักตร์ที่เหี่ยวย่นนั้นแดงเถือกขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดก็ตาม ก็มิใช่เพราะชายผู้นี้หรอกรึที่ทำให้ราชสถานเกรียงไกรนักในเชิงรบ แล้วไม่ใช่เพราะเขาผู้นี้ดอกรึที่ทำให้มิมีแว่นแคว้นเมืองใดหาญต่อกรกับทวารกะ ทุกที่ที่เขายาตราทัพผ่าน ทุกเมืองที่ถูกยกทัพไปรบพุ่งต่างล้วนเกรงกลัวยอมสยบให้โดยศิโรราบ และก็มิใช่เพราะคนที่อยู่เบื้องพระพักตร์นี้อีกน่ะรึที่ทำให้พระองค์ทรงมีแต่ความตะขิดตะขวางใจทุกครายามที่ทอดพระเนตรมองอีกฝ่ายอย่างเช่นเวลานี้
“หากนี่คือพระราชประสงค์เชื่อว่าพระองค์จักต้องทรงมีแผนการไว้แล้วอย่างแน่นอนมิเช่นนั้นคงมิรับสั่งให้หาหม่อมฉันเช่นนี้เป็นแน่” อัสเตยะยังกล่าวสืบไปมิสนใจต่อปฏิกริยาของคนรอบข้างแต่อย่างใดแม้จะรับรู้ถึงอารมณ์ของคนที่รายล้อมอยู่รอบกายได้เป็นอย่างดี
“เรื่องแผนการให้ท่านปุโรหิตเป็นผู้ชี้แจงให้เจ้าฟังก็แล้วกัน...” ตรัสพลางพยักพระพักตร์ไปที่ปุโรหิตเฒ่าจอมแผนการเป็นผู้สาธยายกุศโลบายแห่งท้าวเธอให้ชายหนุ่มได้รับฟัง
อัสเตยะรับฟังแผนการต่าง ๆ ที่ออกจากปากอีกฝ่ายอย่างเข้าใจพลางซักถามข้อสงสัยในบางครั้งซึ่งก็ได้รับคำตอบที่ชัดเจนดีจนชายหนุ่มเข้าใจในแผนการทั้งหมดอย่างถ่องแท้ในที่สุด
“หม่อมฉันมีบางสิ่งที่จะทูลถามพะย่ะค่ะ...” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นเมื่อปุโรหิตเฒ่ากล่าวจบ
“มีสิ่งใดก็ว่ามา...”
“ตามพระกุศโลบายแห่งพระองค์เราจะใช้ทูตไปผูกสัมพันธไมตรีกับปัญจาบแล้วผู้ใดเล่าที่เหมาะสมรับหน้าที่นี้?”
“เจ้าอย่าได้กังวล เพราะผู้ที่จะรับหน้าที่ในครั้งนี้เราได้เลือกเอาไว้แล้วด้วยความเห็นชอบของเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายซึ่งคนผู้นั้นก็คือเจ้านั่นเอง...” ราชาเฒ่าทรงหยุดพลางเหลือบพระเนตรไปที่อีกฝ่ายอย่างรอคอยคำทัดทานแต่เมื่อชายหนุ่มไม่กล่าวมาว่าอย่างใดองค์ทวารกะจึงรับสั่งสืบไปว่า
“เรามีเหตุผลเพียงพอที่ให้เจ้าทำภารกิจนี้ คือ หนึ่งเจ้ามีฝีมือยอดเยี่ยมยากจักหาผู้ใดมาเทียมได้หากแม้นตกอยู่ในวงล้อมของศตรูเจ้าย่อมสามารถเอาตัวรอดได้โดยไม่ยากนัก สองเจ้านอกจากมีศักดิ์เป็นแม่ทัพแห่ง ทวารกะแล้วยังเป็นถึงโอรสบุญธรรมแห่งข้าจึงมีศักดิ์และสิทธิ์ควรคู่เจ้าหญิงโฆษิตามากกว่าใครทั้งหมดเหมาะสมยิ่งที่จักทำการย์นี้ และสามข้าหามีโอรสหรือธิดาอื่นอีกไม่”
พระองค์รับสั่งยืดยาวด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะตอบปฏิเสธ แต่การรับสั่งถึงโอรสธิดาขององค์ทวารกะกลับยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับอัสเตยะยิ่งด้วยเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมิได้รักใคร่ชื่นชมในตัวเขานักหรอก แต่แม้จะขุ่นใจในวาจาของอีกฝ่ายชายหนุ่มก็หาได้ใส่ใจไม่ด้วยกลศึกที่รออยู่เบื้องหน้าต่างหากเล่าที่น่ารื่นรมย์สำหรับเขายิ่งกว่าสิ่งใด
แม่ทัพหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า
“จะทรงให้เกล้าหม่อมฉันเดินทางเมื่อใด?”
“เร็วที่สุดเจ้าควรเดินทางในวันรุ่งข้าอนุญาตให้เจ้าพาทหารติดตามไปด้วยได้ตามแต่ต้องการ”
“ขอบพระทัยในน้ำพระทัยแต่ข้าพระองค์ขอเดินทางกับมายินเพียงลำพังสองคนเท่านั้นก็พอ...”
กล่าวจบก็ถวายบังคมลาจากไปทิ้งให้องค์ทวารกะได้แต่ทรงทอดพระเนตรตามไปด้วยพระอาการที่ยากจะบรรยาย ในพระทัยได้แต่ทรงดำริเพียงลำพังพระองค์เองว่าทรงคิดผิดหรือถูกกันแน่ที่ทรงรับเอาเด็กผู้นี้มาอุปถัมภ์ค้ำชูจนทารกน้อยไร้พิษสงเติบโตขึ้นมาเป็นหอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงพระองค์อยู่เช่นวันนี้...
“ตาเฒ่านั่นเรียกท่านไปพบด้วยเรื่องใดกัน?” มายินผู้เป็นทั้งอาจารย์ และพี่เลี้ยงซึ่งคอยเลี้ยงดูอัสเตยะมาแต่ยังเยาว์ด้วยถูกรับตัวมาพร้อมกับชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยแลห่วงใยในตัวผู้เปรียบเสมือนดังบุตรชายเมื่ออีกฝ่ายก้าวขึ้นมายังเรือนพักหลังใหญ่สมตำแหน่งแม่ทัพ
“หากจักมีสิ่งใดที่ตาแก่นั่นต้องเรียกใช้ข้ามันย่อมต้องหมายถึงกลศึกเท่านั้น....” เอ่ยน้ำเสียงยินดีปรีดายิ่งขณะทรุดนั่งลงบนม้านั่งริมชานเรือนข้างต้นจำปาใหญ่ก่อนจะเล่าถึงภารกิจใหม่ที่ตนเพิ่งได้รับมอบหมายจากราชันเฒ่าแห่งตนแก่ชายอาวุโสได้รับฟัง
“ท่านคิดเดินทางเมื่อใด?”
“ย่ำรุ่งพรุ่งนี้...” กล่าวพร้อมกดยิ้มลึกอย่างพอใจเมื่อนึกถึงศึกที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
“ดีเหมือนกันข้าเองก็เบื่อหน่ายเหลือทนกับชีวิตที่สงบสุขเช่นนี้ หรือเจ้าเห็นเป็นอย่างใดมายิน?”
ผู้เป็นบ่าวมองคนตรงหน้าซึ่งได้ชื่อว่าเป็นทั้งนายและศิษย์อย่างเห็นใจ และเข้าใจอยู่ในทีซึ่งในความรู้สึกที่ว่ามานี้มันก็แฝงไว้ด้วยความกังวลห่วงใยอย่างยิ่งยวดต่อตัวอัสเตยะ ไยเขาจักมิรู้ว่าผู้เป็นศิษย์นั้นกระหายใคร่สงครามสักเพียงใด แล้วไยเขาจักมิรู้ว่ามันมาจากสาเหตุใด เหตุใดชายผู้สง่างามพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สิ้นประดามีเช่นอัสเตยะนี้จึงต้องการต่อสู้แลรบพุ่งยิ่งกว่าความสุขสงบ และสันติ...
นับแต่เขาจำความได้ และรับรู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงแห่งตนนั้นจากเด็กน้อยผู้มีจิตใจงดงามอันบริสุทธิ์ได้ถูกแส้แห่งอดีตความเป็นมาฟาดกระหน่ำลงที่จิตใจจนกลับกลายมาเป็นผู้ซึ่งเย็นชาแข็งกระด้างใฝ่ใจในการศึกมากกว่าสิ่งอื่นใด และแม้มายินจักพยายามสักเพียงใดที่จะแสดงให้เขาเห็นอยู่ตลอดเวลาว่าตนทั้งรัก และเคารพต่อชายหนุ่มยิ่งกว่าชีวิตแต่อีกฝ่ายจักรับรู้รึก็หาไม่กลับปิดกั้นจิตใจตนเองเอาไว้จนสิ้นสุดที่มายินจักทำการใดได้จึงได้แต่คอยเฝ้าดูแลมิให้ชายหนุ่มต้องเพลี่ยงพล้ำในการศึกเท่านั้นเอง
“แล้วอธิกาเล่าจักทำฉันใด?” มายินเอ่ยถามถึงดรุณีน้อยซึ่งตนพบเข้าระหว่างทางที่จะเดินทางมายังทวารกะตามคำสั่งผู้เป็นมารดาแห่งอัสเตยะ และได้รับนางมาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรมในเวลานี้
“ให้นางรออยู่ที่นี่...” กล่าวอย่างไร้ความรู้สึกใด ๆ ก่อนจะขยับลุกขึ้น แล้วก้าวเข้าไปภายในเรือนพักแห่งตนทิ้งมายินให้มองตามอย่างห่วงใยไว้เบื้องหลังเพียงลำพัง...
ความคิดเห็น