คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 7
7
อมาวสีผุดลุกผุดนั่งอยู่ภายในห้องขังของตนอย่างร้อนใจ... แท้จริงแล้วห้องซึ่งใช้กักตัวนางหาใช่คุกมืดเหม็นอับแต่อย่างใด ด้วยมันคือห้องพักที่งดงามวิจิตรยิ่งนักเท่าที่หญิงสาวเคยพบเห็นมา มันไม่ต่างจากตำหนักหลวงในราชวังปัญจาบเลยสักนิด แต่ติดอยู่ที่อิสรภาพของนางได้ถูกจำกัดให้อยู่แต่เฉพาะภายในห้องนี้ต่างหาก ที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนจะคลั่งด้วยความขุ่นเคือง และที่ทำให้อมาวสีรู้สึกว้าวุ่นกระสับกระส่ายยิ่งกว่าเภทภัยที่กำลังประสบอยู่ตรงหน้าตนก็คือ... การพบว่านางอาจเป็นต้นเหตุให้อัสยุชได้พบกับภัยพิบัติ เพราะการกระทำหุนหันพลันแล่นของตนที่หลบหนีรามานนมาจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องร้ายเช่นนี้นั่นเอง
“เจ้าคงอึดอัดที่ต้องอยู่แต่เฉพาะในห้องนี้...” เสียงทุ้มที่ดังขึ้น ณ ประตูทางเข้าทำให้ร่างน้อยสะดุ้งสุดตัว ธิดาท้าวโมฆราชหมุนตัวไปมองยังเจ้าของเสียงนั้นอย่างไม่เป็นมิตร สองเท้านางเผลอก้าวถอยหลังอย่างลืมตัว ยามนี้อมาวสีรู้สึกไม่ต่างจากหนูที่กำลังเผชิญหน้ากับพญาราชสีห์แม้แต่น้อย หัวใจนางเต้นระส่ำด้วยสำเหนียกได้ถึงอันตรายเมื่อสบตาวาววามมากราคะของชายตรงหน้า ภาพการมาของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษทำให้หัวใจนางหวั่นหวาดขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แต่นางรู้ดีว่ามันเป็นเพราะสายตาโลมเลียน่ารังเกียจของชายตรงหน้านี้ต่างหากหาใช่ความกลัวแต่ดั้งเดิมของนางไม่
“ท่านต้องการสิ่งใด?!” ใบหน้าสวยซึ้งแดงก่ำด้วยความโกรธกรุ่นขณะกระชากเสียงถามห้วนจัด
ท่าทีระแวดระวังของอีกฝ่าย ไม่ทำให้อัศกะสะทกสะท้านหรือรู้สึกรู้สมประการใด กลับสาวเท้าเข้าไปใกล้หญิงสาวตรงหน้าอย่างหยามใจ
“ข้าคิดว่าเจ้าอาจอยากออกไปเดินเล่น เพราะต้องอยู่แต่ในห้องนี้มาหลายเพลาแล้ว” เสียงของอีกฝ่ายราบเรียบฟังเหมือนเอาอกเอาใจก็จริง ทว่าแววตากลับเปล่งประกายประหลาดพลางมองกวาดไปทั่วร่างงามนั้นอย่างเปิดเผย ไร้ความเกรงใจ
“ข้าไม่ต้องการไปไหนกับท่านทั้งนั้น ออกไปซะ!” เสียงตวาดของอมาวสีดังลั่นหากไม่เป็นผล ชายตรงหน้าไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือนสักนิด หญิงสาวเผลอก้าวถอยหลังอีกก้าวในอาการลนลาน ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มเยือน ก้าวยาว ๆ เพียงก้าวเดียวก็ประชิดตัวนางเสียแล้ว ข้อมือน้อยถูกกระชากก่อนที่ร่างบางจะเซปะทะแผ่นอกของร่างสูงตระหง่านนั้นกะทันหัน คำว่า... กลัว... ยังน้อยนักสำหรับอมาวสีในยามนี้ นางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแต่ไร้ผล ขณะที่อัศกะกลับหัวเราะอย่างสนุกสนานคล้ายจะหยอกเย้า หากแววตาเข้มจัดทำให้ความหนาวเหน็บแล่นขึ้นมาตามสันหลังของธิดาท้าวโมราช ยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับความตายเสียอีก เมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นหมายตบหน้าเขา จ้าวแห่งอัคคีก็เพียงตวัดมืออีกข้างขึ้นรับมันไว้อย่างง่ายดาย
“ปล่อยข้านะเจ้าคนชั่ว!...” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดพร้อมคำข่มขู่ของนางเปรียบได้กับสายลมพัดผ่านเท่านั้น
ริมฝีปากแทตย์หนุ่มโฉบลงหมายสัมผัสที่นวลแก้มละมุนนั้น ดวงตาอมาวสีเบิกกว้างในอาการตื่นตะลึงก่อนที่หญิงสาวจะรีบเบือนหน้าหนีไป ทำให้ริมฝีปากร้อนผ่าวของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษสัมผัสเพียงอากาศธาตุ พลันมือข้างหนึ่งของธิดาท้าวโมฆราชซึ่งหลุดจากการเกาะกุมของจ้าวอัคคีก็ตวัดขึ้น... กระแสลมพัดมาวูบหนึ่ง ก่อนเสียงดังฉาดจะตามมา... ฝ่ามือน้อย ๆ นั้นกระทบใบหน้าหยาบกร้านดังลั่น!... ชั่วอึดใจนั้นที่ความเงียบชวนขนหัวลุกเข้าจู่โจมอมาวสี... นางเห็นสันกรามของอัศกะขบกันแน่น ชายหนุ่มรวบสองมือของหญิงสาวไพล่หลัง ก่อนจะรุนร่างน้อยของนาเซซังตรงไปที่เตียงนอนกลางห้องอย่างง่ายดาย แล้วเหวี่ยงร่างบอบบางลงไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย
เสียงร้องอุทานอย่างจุกเจ็บปนเปกับความตระหนกเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากดรุณีน้อย ขณะ
ตะเกียกตะกายลุกขึ้นอย่างยากเย็นด้วยความมึนงงจากการถูกจับเหวี่ยงนั้น
“หากเจ้าไม่ขัดขืนมากมายขนาดนี้ก็คงไม่เจ็บตัวเช่นนี้หรอก” แววตาของทูตอัคคีอ่อนแสงลงเล็กน้อย น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาก็ผ่อนปรนลงคล้ายเพิ่งนึกได้
ธิดาท้าวโมฆราชถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อแม้หัวใจจะเต้นระทึก นางสูดลมหายใจเข้าลึกดุจจะใช้มันปลอบประโลมความกลัว ซึ่งคงปรากฏอยู่เต็มวงหน้าที่ซีดเผือดของตนแล้วขณะนี้
“ชั่วช้า... อย่าคิดมาแตะต้องตัวข้านะ!”
สีหน้าของแทตย์หนุ่มผู้เป็นใหญ่ในป้อมอสูรแห่งนี้ฉายแววประหลาดใจ ด้วยไม่มีสตรีใดอาจหาญต่อปากต่อคำกับตนเช่นนี้ แล้วจากใบหน้าที่มีเพียงความฉงนฉงายก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นแทน
“หึ หึ ดุ ๆ อย่างนี้ข้าชอบ เดี๋ยวข้าจะทำมากกว่าแตะต้องตัวเจ้าอีกคอยดูสิ...”
ใบหน้าที่ขาวซีดราวซากศพอยู่แล้วของอมาวสียิ่งไร้สีเลือดมากขึ้น นางรีบตะเกียกตะกายให้หลุดพ้นมาจากชายตรงหน้าทันที แต่ก็มิอาจจากมาได้เร็วอย่างใจคิดเมื่ออัศกะคว้าข้อเท้าของนางไว้ได้ พร้อมดึงร่างอรชรเข้ามาสู่อ้อมแขนแทบจะทันที... เสียงตัวเสื้อฉีกขาดทำให้แรงขัดขืนที่เริ่มอ่อนล้าลงทุกทีนั้นแทบหมดสิ้นในเดียวนั้น น้ำตาแห่งความคับแค้นใจเอ่อท้นออกมาด้วยความสิ้นหวังในใจ ใบหน้าของชายอีกคนกระจ่างชัดในห้วงความคิดซึ่งกำลังอับจนหนทางอยู่ขณะนี้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะท่านอัศกะ!” น้ำเสียงดุจประกาศิตที่ดังขึ้นทางเบื้องหลัง ทำให้จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษชะงักงันไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติดังเดิม พร้อมกับลุกขึ้นยืนมองมาที่พระนางผู้เป็นชายาอย่างเฉยเมย อาจหงุดหงิดผสมรำคาญเสียมากกว่า
“ท่านทำเช่นนี้ได้อย่างใด?!...” น้ำเสียงของพระนางภยาห้วนสั้นบาดหู พร้อมกรีดร้องก้องไม่เป็นภาษา ทั้งยังถลันเข้าไปรัวกำปั้นทุบตีสวามีของตนราวกับคนวิกลจริตคลุ้มคลั่ง... ทำให้อมาวสีต้องรีบถอยห่างออกมาเงอะงะด้วยความหวาดหวั่น สองมือน้อยกุมกระชับสาหรี่ที่วาดวิ่นอย่างไม่รู้จักทำสิ่งใดในยามนั้น ดวงตาตื่นกลัวมองเหตุวิกฤติตรงหน้าอย่างสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
อาจด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าหาญกระทำการเยี่ยงนั้นต่อท้าวเธอ ทำให้ทูตอัคคียืนนิ่งเป็นเป้าล่อให้อีกฝ่ายทุบตีอยู่พักหนึ่ง ร่างสูงสง่ายังตะลึงงันมองตาค้างอยู่ชั่วขณะ เป็นเหตุให้กำปั้นน้อย ๆ ของชายาทุบอัก ๆ เข้าที่แผ่นอกแกร่งกล้าภายใต้ตัวเสื้องดงามจนจุกเจ็บและแสบร้อนทั่วบริเวณนั้น แต่เมื่อสติหวนกลับคืนมาอีกครั้งซึ่งเป็นในอึดใจต่อมา มือหนาแข็งยิ่งกว่าปลอกเหล็กของอัศกะก็คว้าหมับเข้าที่สองมือน้อยของผู้เป็นชายา แล้วบีบแน่นจนมันแทบแหลกคามือไปเลยทีเดียว!... ใบหน้าคมสันบึ้งตึง บ่งบอกความไม่พอใจชัดแจ้งคล้ายเด็กซึ่งถูกผู้ใหญ่ห้ามปรามในการเล่นซุกซน
“หยุดนะ!... ข้าจะไม่ทนให้เจ้ามาทุบตีเยี่ยงไพร่เช่นนี้เด็ดขาด!” แววปีศาจแฝงมากับน้ำเสียงนั้นด้วย จนอมาวสีเองยังสะดุ้งเฮือกแทนหญิงสาวนางนั้น ทว่าพระนางภยาถูกความหึงสาบดบังสติปัญยาจนสิ้น จึงไม่สำเหนียกถึงกระแสร้ายกาจที่เจือมากับถ้อยคำข่มขู่ของผู้เป็นสวามีแม้แต่น้อย ซ้ำยังเงื้อง่ากรงเล็บของตนเข้าหาชายหนุ่มอย่างไร้สติ ปากก็ปล่อยให้คำพูดตัดพ้อต่อว่าพรั่งพรูออกมาราวสายน้ำที่ไหลหลากเชี่ยวกรากน่ากลัว
“นี่นะหรือที่เก็บตัวไว้ใช้ต่อรองกับหลานชายท้าวติสสะ?!” น้ำเสียงผู้เป็นชายาปรากฏร่องรอยแห่งความเคียดแค้นชิงชังมากล้น สายตาราวอยากฆ่ามองเลยไปยังดรุณีอีกนาง คล้ายต้องการให้อีกฝ่ายมอดไหม้เป็นจุณในเดี๋ยวนั้น
ดวงหน้าอ่อนเยาว์ร้อนผ่าวด้วยความอดสูใจ อมาวสีไม่อยากเป็นต้นเหตุแห่งความคัดแย้งระหว่างชายหญิงทั้งสองแต่นางก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้... ริมฝีปากนางเม้มแน่นด้วยความคับแค้นใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้า หากยังคงเงียบอยู่อย่างรู้ฐานะเชลยของตนดี
“พอที!... ข้าชักจะเหลือทนกับความหึงหวงไร้ขอบเขตของเจ้าแล้วนะ!” ทูตแห่งไฟตะคอกเสียงดังกัมปนาท ผลักร่างผู้เป็นชายาจนอีกฝ่ายเซถลาไม่เป็นท่า ดวงตานางแทตย์เบิกค้างดุจคนไม่เชื่อสายตาตัวเอง หลังจากทรงตัวอยู่ได้แล้วด้วยร่างกายสั่นสะท้านรุนแรง แต่แทนที่พระนางจะยอมยุติเพียงแค่นั้น วาจาไร้เยื่อใยของผู้เป็นสวามีกลับยิ่งเพิ่มแรงริษยามากล้นให้กับนางอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ลมหายใจของธิดาท้าวโมฆราชหยุดชะงักติดค้างในลำคอกับภาพความป่าเถื่อนที่เห็น... จะเป็นเช่นไรหากพระนางภยาไม่เข้ามาขวางไว้เสียก่อน และจักเป็นเช่นไรหากนางต้องติดอยู่ที่นี่อีกนาน เพียงคิดร่างบางก็สั่นสะท้านเยือกเสียแล้ว... หัวใจนางร่ำร้องหาอัสยุชอย่างสิ้นหวัง ปรารถนาเหลือเกินว่าตนไม่ได้หลบหนีรามานนมาอย่างนี้... น้ำเสียงเดือดดาลของนางแทตย์สาวทำให้อมาวสีหันกลับไปมองนางอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้
“ท่าน... ท่านกล้าทำกับข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ?!” น้ำเสียงแหบพร่าสั่นเครือของนางแทตย์สาวบ่งบอกความคับแค้นใจล้ำลึก
“ข้าจะทำยิ่งกว่านี้ ถ้าเจ้ายังขืนเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของข้าอีก” ดวงตาของอัศกะหรี่น้อย ๆ ยามจับจ้องพระนางภยา ความรำคาญฉายชัดอยู่ในนั้นโดยไม่จำเป็นต้องค้นหาให้เสียเวลาแต่อย่างใด ทูตแห่งไฟถอยห่างออกมาจากอีกฝ่าย ก่อนตะโกนบอกเหล่าแทตย์รักษาการณ์อยู่นอกห้องด้วยน้ำเสียงห้วนกระด้าง
“ท่านอัศกะ?...” แทตย์ทานพทั้งสองเอ่ยนอบน้อมและรอคอยคำสั่ง
“คุมตัวพระนางภยาไปกักขังไว้ที่ตำหนักของนาง ห้ามผู้ใดเข้าออกเด็ดขาดหากไม่มีคำสั่งจากข้า...”
“ขอรับ...”
“ไม่นะ!... ท่านอัศกะ!...” คำวิงวอนของนางแทตย์เงียบหายไปกับลม เมื่อนางถูกแทตย์และทานพทั้งสองลากตัวออกไป ไม่ต่างอะไรกับนักโทษท่ามกลางสายตาโหดเหี้ยมของอัศกะ ที่ไม่แม้แต่จะเหลือบแลไปมองนางเฉกเช่นคู่ทุกข์คู่ยากทั่วไป
ห้องทั้งห้องกลับมาอยู่ในภาวะปกติอีกครั้ง อาจเรียกได้ว่าเงียบชวนอึดอัดหวาดผวาซะด้วยซ้ำ... โดยมีอมาวสีและจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษอยู่เพียงลำพัง หัวใจของศิษย์แห่งโคตมะราวจะรันทดท้อเมื่อปราการสุดท้ายที่จะยึดไว้เพื่อช่วยชีวิตนางถูกคุมตัวจากไปแล้ว... ร่างน้อยหันขวับมาจับจ้องจ้าวอัคคีด้วยความพรั่นพรึง... ความกลัวเหมือนจะลุกลามทั่วร่างที่กำลังสะท้านยะเยือกเสียแล้วตอนนี้ ธิดาท้าวโมฆราชถอยห่างออกมาจากชายตรงหน้าอย่างระแวดระวัง แก้มนวลนั้นยังมีริ้วรอยของความตื่นกลัวอยู่อย่างเด่นชัด ทูตอัคคีมองแล้วก็ให้อดสงสารไม่ได้ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงอ่อนลงตามความรู้สึกขณะนั้น
“มานี่สิ” แต่นางไม่ยอมขยับแม้เพียงก้าวเดี๋ยว ซ้ำยังถอยห่างจากเขามากที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย เสียงถอนหายใจของอัศกะดังฮึดฮัดอย่างไม่สบอารมณ์ ขณะอมาวสีได้แต่สะท้านถึงแก่นกายราวลูกนกที่กำลังอยู่ต่อหน้าอสรพิษร้ายที่ขู่ฟ่อ
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าแล้วล่ะน่า...”
มีรึที่นางจะเชื่อใจเขา... อมาวสียังคงถอยห่างจากอีกฝ่ายมากขึ้นราวกับเขาเป็นโรคระบาด ทำให้สีหน้าของทูตแห่งไฟเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ดั่งใจ เขาก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาวทันทีแทนการรอให้นางเป็นฝ่ายเข้ามาหาเขาตามคำสั่ง ซึ่งนั่นทำให้ดวงตาของธิดาท้าวโมฆราชเบิกโตเท่าไข่ห่าน รีบถอยหลังลนลานออกมาจากชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก แม้อัศกะจะขยับไปทางใดนางเป็นอันต้องถอยหลบไปในทิศตรงข้ามเสมอ มองดูแล้วก็น่าขำด้วยมันเหมือนการเล่นไล่จับหากเหตุการณ์จะไม่ชวนอึดอัดหวาดกลัวเช่นนี้
“เอาล่ะ... ข้าไม่อยากเล่นไล่จับกับเจ้าเหมือนตาแก่กับอนุภรรยาหรอกนะ ตอนนี้เจ้ามอบสร้อยคอของเจ้ามาให้ข้าก็พอ แล้วข้าจะจากไป” ว่าพลางยื่นมือมาข้างหน้าและรอคอยเงียบ ๆ แท้จริงเขาไม่คิดเข้ามาเพื่อข่มเหงนางอย่างที่เป็นสักนิด เพราะแรกเริ่มอัศกะเพียงต้องการของบางสิ่ง ซึ่งจะให้มาตยันนำไปมอบให้แก่อัสยุชเพื่อแจ้งถึงการที่อมาวสีถูกจับตัวไว้ที่นี่ ทว่าเมื่อมาพบหญิงสาวผู้เป็นเชลยเพียงลำพังในห้องหับมิดชิดก็ทำให้อารมณ์เขาเขวไปอีกทางแทน
คิ้วเรียวของหญิงสาวขมวดมุ่นไม่เข้าใจ แต่เมื่อก้มลงมองสร้อยคอยซึ่งห้อยอยู่บนลำคอระหงของตน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นของที่อัสยุชมอบให้นางครั้งที่ต้องจากกันเมื่ออยู่ ณ ปัญจาบนั่นเอง
เมื่อดรุณีน้อยยังยืนนิ่งอย่างงุนงงอยู่ คำสั่งเฉียบขาดอย่างร้อนใจของอัศกะก็ดังมาว่า
“เอามันมาให้ข้า!...”
อมาวสีจำต้องมอบสร้อยน้ำตาหิมะให้อีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ นักเมื่ออัศกะกระชากมันไปจากมือนาง... เมื่อชายหนุ่มได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ยอมจากไปดังวาจาที่ลั่นไว้ แต่ก็อดที่จะเหลียวกลับมามองผู้เป็นเชลยของตนด้วยความเสียดายไม่ได้
หลายอึดใจต่อมาเมื่อทูตอัคคีจากไปแล้ว เสียงหนึ่งหวานใสไร้ตัวตนของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้นโดยไม่ยอมปรากฏกายว่า
“หากข้าเดาไม่ผิดเจ้าคงคืออมาวสี... ธิดาท้าวโมฆราชกระมัง?” เสียงลึกลับที่ดังราวกระซิบนั้นทำให้ร่างบางเหลียวซ้ายแลขวามองหาที่มาของเสียงนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ... หากไม่พบร่างผู้เป็นเจ้าของเสียงที่ว่านี้แม้แต่น้อย
“อย่าพยายามค้นหาข้าเลย มันไม่มีประโยชน์หรอก...” เสียงเดิมนั้นเอ่ยขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน?... เหตุใดข้ามิอาจมองเป็นตัวเจ้าได้เล่า?” ศิษย์แห่งโคตมะถามอย่างสงกา หัวใจยังเต้นระทึกด้วยความกลัวที่มีต่อจ้าวแห่งอดุรปราคโชยติษอยู่ไม่คลาย
“ชื่อของข้าคือ... เนกุระ... เหตุที่เจ้าไม่อาจเห็นตัวตนของข้าได้นั้นก็ด้วยมนต์กำบังกาย อสูรหรือมนุษย์ทั่วไปมิอาจอยู่เหนือมนตราบทนี้ได้”
“แล้วไยเจ้าจึงรู้จักข้า ทั้งที่ข้าเองมิเคยพบพานกับเจ้ามาก่อนเลย หรือว่าเจ้าเองก็เป็นคนของเจ้าขี้ทูตนั่นด้วย?!” น้ำเสียงอมาวสีกระด้างอย่างไม่เป็นมิตรยามเอ่ยถึงทูตอัคคี พร้อมกันนั้นท่าทีของนางก็เปลี่ยนมาเป็นระแวงแคลงใจในตัวเจ้าของเสียงปริศนาแทน
เสียงหัวเราะเสนาะหูของหญิงปริศนาคือคำตอบกลับมา มันแฝงความเอ็นดูเอาไว้ด้วยก่อนที่นางผู้มีนามว่าเนกุระจะกล่าวอีกว่า
“ธิดาท้าวโมฆราช... เจ้าอย่าได้ระแวงข้ามากเกินควร จงใช้เวลาตัดสินเถิดว่าข้านั่นเป็นมิตรหรือศัตรู ส่วนข้ารู้จักเจ้าได้อย่างไรนั้นข้อนี้ข้ายังตอบเจ้าไม่ได้...” แล้วเสียงปริศนานั้นก็เงียบไปคล้ายกำลังไตร่ตรองอะไรบางอย่าง อึดใจต่อมานางจึงเอ่ยอีกว่า
“ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า... ข้ามาเพื่อดูแลเจ้าตามคำสั่งของท่านผู้นั้น และมันจะเป็นเช่นนี้จนกว่าท่านจะมาถึง” คำบอกเล่าของอีกฝ่ายไม่ทำให้อมาวสีเข้าใจมากนัก ทว่าสีสันแห่งความโล่งใจก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนเยาว์ทันที กับคำว่า... ดูแล... พร้อมกันนั้นความหวังที่จะหนีไปจากที่นี่ก็ผุดขึ้นมาในหัวใจสิ้นหวังของอมาวสีเช่นกัน
“งั้นเจ้าจะช่วยพาข้าออกไปจากที่แห่งนี้ได้หรือไม่?” ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของธิดาท้าวโมฆราชไม่ทำให้อีกฝ่ายตอบกลับมาในทันที หากเสียงปริศนากลับเงียบหายไปนานอย่างน่าใจหาย กระทั่งนางตอบกลับมานั่นแลธิดาท้าวโมฆราชจึงรู้ตัวว่ากำลังกลั้นหายใจรอคอยคำตอบอย่างใจจอจ่อเลยทีเดียว
“เรื่องนี้ข้าไม่อาจทำได้... ด้วยมนตราข้านั้นไม่อาจหาญสู้ทูตอัคคีได้ ลำพังเล็ดลอดเข้ามาที่นี่ได้ก็ด้วยพระเวทจากท่านผู้นั้น หาใช่พลังมนต์ของข้าเองไม่”
ใบหน้าดรุณีน้อยสลดวูบเมื่อได้รับคำปฏิเสธนั้น ความผิดหวังฉายชัดเต็มวงหน้าก่อนถามกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนักว่า
“ท่านผู้นั้นเป็นใครกัน?...”
นางเงียบอีกเหมือนจะไม่ยอมตอบคำถามที่ไม่ปราถนาจะตอบ อมาวสีจึงเลิกคิดที่จะได้คำตอบจากอีกฝ่าย
“จากนี้ไปเจ้าอสูรชั่วตนนั้นจะไม่ได้แตะต้องแม้ผิวกายเจ้าอีก วางใจข้าเถิด...” คำสัญญาของเนกุระทำให้ธิดาท้าวโมฆราชหนาวเหน็บในหัวใจยิ่งนัก ด้วยกำลังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ขึ้นมานั่นเอง... ในใจให้สงกานักว่าหญิงปริศนาผู้นี้จะช่วยนางได้อย่างใดหากจ้าวอัคคีคิดข่มเหงนางอีก...
เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาตามทางเดิน ทำให้ร่างสูงเพรียวซึ่งนั่งเอนกายพิงเสาหินใหญ่อย่างครุ่นคิดหันไปมองยังที่มาของเสียงฝีเท้านั้นอย่างเสียมิได้... อัสยุชมองผู้เปรียบเสมือนพี่ชายอย่างเฉยเมย ในใจก็เฝ้ากังวลสารพัดเกี่ยวกับอมาวสี... หลังจากเขาค้นหานางครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้จุดหมาย กระทั่งบัดนี้ชายหนุ่มยังไม่รู้เลยว่านางเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง รามานนเองก็ดูเหมือนจะรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของอัสยุชเป็นอย่างดีจึงพยายามทำทุกวิถีทางที่จะนำตัวดรุณีน้อยนางนั้นกลับคืนมาให้อีกฝ่าย ทว่าผลก็ออกมาเช่นเดียวกัน
“อัสยุช...” รามานนร้องมาน้ำเสียงลิงโลดพลางหอบหายใจนิด ๆ มันทำให้อัสยุชนึกฉงนนักว่าระยะหลัง ๆ ชายขี้เล่นผู้นี้ดูจะมีแต่สีหน้าตื่นตะลึงเท่านั้น
“มีเบาะแสของอมาวสี!” สิ้นคำของทานพหนุ่มอัสยุชก็ขยับตัวลุกขึ้นในทันที ดวงตาของเขาหรี่น้อย ๆ ขณะมองข้ามรามานนไปที่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ ซึ่งมาพร้อมคนติดตามอีกสองนายและนิมมารกะขนาบข้างตามมาด้วยอีกตนอย่างสงสัย
“มาตยัน?...” คิ้วเข้มได้รูปของอัสยุชขมวดเข้าหากันเป็นปม ปากก็พึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะหันไปมองที่รามานนราวกับต้องการคำอธิบายจากอีกฝ่าย ซึ่งทานพหนุ่มเพียงพยักพเยิดไปที่มาตยัน บุตรแห่งอัศรีจึงหันเหความสนใจกลับไปที่ข้ารับใช้แห่งอัศกะอีกครั้ง
“ข้ามาแจ้งข่าว...” นี่เป็นคำพูดแรกจากคนสนิทแห่งทูตอัคคี ใบหน้าแฝงรอยยิ้มหย่องของมาตยันมองสบตาคมกริบน่าครั่นคร้ามของอัสยุชในอาการลำพอง แม้ส่วนลึกยังนึกหวั่นอยู่บ้างว่าจะเกิดกลียุคขึ้นในรสาตลหรือไม่ หากชายตรงหน้ารู้ถึงแผนการแห่งอัศกะที่มีต่อนางมนุษย์ผู้กำลังจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ขณะนี้
“รู้สึกว่า... ท่านอัศกะจะมีของล้ำค่าของเจ้าไว้ในครอบครองนะ อัสยุช”
แทตย์หนุ่มสังเกตว่าสองมือของทิพยอสูรกำแน่นแล้วคลายด้วยความว้าวุ่นใจ ทว่ากระแสเสียงของอีกฝ่ายกลับราบเรียบอย่างน่าทึ่ง
“หมายความว่าอย่างใด?” แม้จะนึกรู้ความนัยจากถ้อยคำประโยคนั้นแล้วก็ตาม แต่ด้วยไม่ต้องการให้มันเป็นจริงดังที่เขาวิตก อัสยุชจึงแสร้งถามออกไปอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่า... อัศกะไม่มีวันเคลื่อนไหวหากไม่มีหมากสำคัญอยู่ในมือ ริมฝีปากของอัสยุชเม้มแน่นเกือบเป็นเส้นตรง ยามมองมาตยันล้วงมือเข้าไปในแถบผ้าคาดเอว เพื่อนำสร้อยพร้อมผลึกน้ำตาหิมะมามอบให้กับเขา... มือเรียวกร้านแดดรับสร้อยเส้นนั้นมาและกำไว้แน่นจนข้อนิ้วขาวซีด
“นางเป็นอย่างใดบ้าง?” น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาก็จริงหากทุกคนรู้ดีว่ามันแฝงความมาดร้ายเอาไว้เต็มเปี่ยม
มาตยันขืนตัวเองให้กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่สุด ยามมองสบตาราวอยากฆ่าของอัสยุช
“นาง... นางสุขสบายดี แต่จากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะ...”
รามานนเห็นร่างแกร่งของอัสยุชแข็งทื่อ เมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายจากข้ารับใช้ผู้นั้น ก่อนจะละสายตาไปมองสบกับนิมมารกะบ้าง หากยังไม่ยอมกล่าวอะไรซึ่งชายกลางคนเพียงผงกศีรษะ ประหนึ่งจะเตือนให้รอฟังต่อไปอย่างใจเย็นกระนั้น
“อัศกะ ต้องการสิ่งใดจากข้า?!”
ผู้รับใช้ในทูตอัคคีแย้มยิ้มเต็มดวงหน้า พร้อมกับโล่งใจนิด ๆ ที่กิจคราวนี้ของตนจะลุล่วงลงเสียทีกับการเผชิญหน้าบุตรแห่งอัศรีผู้นี้ เมื่อคำถามนั้นออกจากปากอีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวตอบไปว่า
“การนี้เป็นเรื่องระหว่างเจ้ากับท่านอัศกะ ข้าเป็นบ่าวเพียงนำข่าวมาส่งตามคำสั่งก็เท่านั้น...” สายตาของแทตย์หนุ่มเหลือบมองไปที่รามานนและนิมมารกะผ่าน ๆ
“นายข้ารอเจ้าอยู่ที่อุดรปราคโชยติษแล้วเพลานี้...” มาตยันกล่าวจบก็ลาจากไปโดยไม่ใส่ใจต่อภาพเบื้องหลังแต่อย่างใด ทิ้งเพียงความร้อนรุ่มดุจไฟสุมขอนไว้ในใจอัสยุชเท่านั้น
รามานนขยับเข้าไปใกล้หลานชายผู้เป็นเจ้าชีวิตแห่งตน และเอ่ยขึ้นบ้างอย่างไม่สบายใจว่า
“อาจเป็นกลลวง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะโง่พอไปตามคำเชิญนั้น...”
ร่างสูงของบุตรแห่งอัศรีเกร็งเครียด ปล่อยให้ความเงียบงันครอบคลุมตัวเขาและคนรอบข้าง สายตายังจับจ้องอยู่ที่สร้อยในมือนิ่งแน่ว หากในใจคิดอ่านการบางอย่างเพียงลำพัง
“เจ้าจะไปตามคำเชิญหรือ?” มันเป็นคำถามจากนิมมารกะและมันเป็นสิ่งที่ทำลายความเงียบชวนอึดอัดนั้นลง
ใบหน้าหล่อเหลายิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ของอัสยุชผงกขึ้น มองสบไปยังชายต่างวัยทั้งสอง สายตาคมกล้าคือคำตอบที่แน่นอนแล้วสำหรับคำถามนั้น ทว่าน้ำเสียงเย็นเยียบที่ฟังแล้วแทบอยากหนีห่างก็ดังขึ้นราวจะย้ำกับตนเองว่า
“ข้าจะไปตามคำเชิญ...”
เงาตะคุ่ม ๆ ของใครบางคน กำลังเดินลัดเลาะออกจากป้อมปราการหิน ที่เต็มไปด้วยกระแสร้อนแรงของเปลวไฟไปอย่างเร่งรีบ อาการลุกรี้ลุกรนของคนผู้นี้ อีกทั้งภาพร่างท่ามกลางความมืดสลัวของรัตติกาลเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะพบเห็นได้ง่าย ๆ ในที่แห่งนี้
ร่างในอาภรณ์คลุมยาวสีดำสนิทปิดบังเรือนร่างนั้น หยุดลง ณ หน้าถ้ำแห่งหนึ่ง พร้อมกันนั้นร่างปริศนาก็ค่อย ๆ ลดผ้าคลุมของตนลงทีละนิด กระทั่งเผยให้เห็นใบหน้างดงามโสภาของชายาแห่งทูตอัคคีอย่างเด่นชัด พระนางภยาส่งเสียงร้องเรียกใครบางคน เมื่อแน่ใจว่าไม่มีแทตย์ตนใดในเขตปกครองของสวามีนางจักปรากฏตัวอยู่แถวนั้น และนั่นย่อมแสดงว่าจักไม่มีผู้ใดมารู้เห็นการพบปะของนางกับใครคนหนึ่งในครั้งนี้แน่
กระแสลมพัดวูบมา บอกให้รู้ถึงอาการขยับเขยื้อนของเงาร่างระเหิดระหง ที่หลบอยู่หลังหลืบหินผาเบื้องหลังชายาจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษ ส่งให้พระนางภยาหันขวับไปมองทันทีอย่างตื่นตระหนกในคราแรก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มออกมาท้ายที่สุด
“มุจริน!...” ซุ่มเสียงพระนางภยานั้นดังผะแผ่วไม่เกินกระซิบ ขณะถลาเข้าไปหาญาติผู้น้องด้วยความปิติยิ่ง
“ข้าทราบมาว่าพี่สาวถูกลงทัณฑ์ด้วยการกักบริเวณมิใช่หรือ?” มุจรินถามขึ้นด้วยสงกาที่อีกฝ่ายสามารถนัดแนะและออกมาพบตนได้เช่นนี้
“ใช่แล้ว...” ยามตอบคำถามแววตานางแทตย์ผู้ชายาแห่งอัศกะลุกโรจน์ ประหนึ่งถ่านร้อนที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกสิ่งที่ทำให้ขุ่นเคือง ยิ่งพระนางนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตนต้องโทษทัณฑ์แล้วไซร้ ความริษยาแรงร้อนก็ราวจะปะทุขึ้นกลางอกเสียให้ได้
“เช่นนี้แล้วพี่ข้าสามารถส่งความถึงข้า ซ้ำยังหลบออกมาเยี่ยงนี้ได้อย่างใด?”
พระนางหันมามองคนพูดนิดหนึ่ง หลังจากสยบความพลุ่งพล่านทั้งปวงลงสิ้นแล้วอย่างยากเย็น ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า
“เมื่อท่านอัศกะหายเคืองใจในตัวข้า ก็ยินยอมปล่อยให้เข้าออกได้ตามเดิม”
มุจรินได้ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วงแว่วมาจากญาติผู้พี่ของตน หากยังคงนิ่งรออย่างใจเย็นด้วยนึกรู้อยู่แก่ใจว่าหากไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนอันใดพระนางภยาไม่มีวันนึกถึงนางอย่างเช่นที่เห็นเป็นแน่
“หากไม่เป็นเพราะนางมนุษย์ผู้นั้น มีรึที่ท่านอัศกะจะทำกับข้าเยี่ยงนี้!” กระแสเสียงพระนางแฝงความอาฆาตไม่ซ่อนเร้นเมื่อนึกถึงดรุณีที่ตนเอ่ยถึง
คำว่า... นางมนุษย์... สะดุดความคิดนางแทตย์ผู้น้องนัก ดวงตาของมุจรินหรี่ลงคล้ายกำลังทบทวนในสิ่งที่ได้ยิน คำถามหลุดออกมาอย่างไม่ทันคิดว่า
“นางมนุษย์เช่นนั้นรึ?...” แล้วภาพอมาวสีก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำของนางแทตย์สาว รวมทั้งคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ในการนำตัวธิดาท้าวโมฆราชกลับไปมอบให้ท่าน กระทั่งมาหยุดอยู่ที่สิ่งสุดท้ายที่ตนได้ทราบเกี่ยวกับเรื่องราวของหญิงสาวนางนั้น ซึ่งได้หายไประหว่างทางขณะรามานนนำตัวนางกลับคืนบ้านเมือง
“มนุษย์ที่ใดกัน?... เหตุใดนางจึงล่วงล้ำเข้ามาถึงรสาตลได้?”
ประกายตาของพระนางภยาลุกวาวอย่างพึงใจ ดุจเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามุจรินนั้นมีใจให้กับอัสยุชมาเนิ่นนานอีกฝ่ายย่อมมิพอใจในตัวอมาวสีพอกัน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนมุมปากหยักงามของชายาแห่งอัศกะ เรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับอมาวสีจึงถูกถ่ายทอดออกจากปากนางจนหมดสิ้น ไม่เว้นแม้แต่แผนการร้ายกาจที่ผู้เป็นสวามีกับมาตยันสมคบคิดกันยึดครองรสาตลด้วย
“ใช่นางจริง ๆ” รอยยิ้มสมใจกดลึกบนมุมปากรูปกระจับของมุจนริน ก่อนกล่าวราวกับพระนางภยาจะใส่ใจในเหตุผลที่อมาวสีจะถูกพาตัวไปให้ไกลจากอัศกะกระนั้น
“นอกเหนือจากนางเป็นหญิงเดียวที่ผ่านเข้าไปในหัวใจอัสยุชได้แล้ว ด้วยคำสั่งแห่งอาจารย์นางเป็นที่ต้องการตัวของข้านัก และข้าก็ยินดียิ่งที่ได้ทราบข่าวนี้จากท่าน พี่สาวข้า”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น จึงได้นัดหมายให้เจ้ามาพบในราตรีนี้อย่างไรล่ะ”
คิ้วเรียวของมุจรินขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงการที่จะนำตัวอมาวสีออกมาจากป้อมอสูรแห่งไฟ กระนั้นแววตาของนางก็ยังเปล่งประกายแห่งความเกลียดชังเหลือคณาที่มีต่อธิดาท้าวโมฆราช
“ท่านจักช่วยให้ข้าได้ตัวนางมา เพื่อนำไปมอบให้กับท่านอาจารย์ได้หรือไม่?”
“ข้าหวังเช่นนั้นนัก แต่ข้ายังคิดหาทางให้เจ้าได้ตัวนังคนนั้นไม่ได้ในยามนี้ ท่านอัศกะสั่งแทตย์ทั้งหลายคุมเข้มยิ่งกว่านางเป็นสมบัติล้ำค่า” ปลายเสียงสะบัดอย่างริษยา
“ถ้าเช่นนั้นข้ามีแผน ขอเพียงท่านจะช่วยข้านำนางออกจากกำแพงปราการอุดรปราคโชยติษเท่านั้น เพราะพระเวทระดับข้าผ่านเข้าไปยังไม่ได้ด้วยซ้ำ...”
“ได้ แล้วหลังจากนั้นเล่า?...”
คิ้วเรียวงามของมุจรินยกขึ้นก่อนเอ่ยว่า
“สำคัญด้วยรึว่าจักมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง?”
ดวงตาพระนางภยาวาววามก่อนเหยียดยิ้ม
“ไม่แม้แต่น้อย” นางแทตย์ทั้งสองต่างหัวเราะชอบใจกับแผนการของตน ทั้งสองตกลงถึงสถานที่นัดหมายและเพลาในอันที่จะทำตามแผนการที่วางเอาไว้จนเสร็จสิ้น ก่อนจะแยกย้ายกันไปในท้ายสุด
หลายทิวาหลังจากนั้นพระนางภยายังไม่มีโอกาสทำตามแผนที่วางเอาไว้ ด้วยความคลางแคลงใจที่สวามีแห่งนางมีให้กับเหตุการณ์ครั้งก่อนที่เกิดปะทะคารมด้วยความหึงหวงของพระนาง เป็นเหตุทำให้ชายาคนงามไม่อาจแม้แต่จะย่างกรายเข้าไปเฉียดใกล้ห้องคุมขังแห่งนั้นได้ กระทั่งวันหนึ่งโอกาสของพระนางก็มาถึง เมื่อจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษติดพันอยู่กับการประชุมสรรหาทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งของท้าวติสสะ ซึ่งมีทีท่าว่าจะไม่สามารถหาข้อยุติลงได้ง่าย ๆ นั่นเอง ชายแห่งทูตอัคคีจึงรีดรุดไปยังห้องขังของอมาวสีเพื่อทำตามแผนของตนทันที
“ท่านอัศกะห้ามผู้ใดเข้าพบเชลย ขอรับ...” แทตย์หนึ่งในสองตนซึ่งยืนคุมอยู่หน้าห้องพักเชลยเอ่ยขึ้นแข็งขัน เมื่อพระนางภยากำลังจะก้าวล่วงเข้าไปภายในห้องดังกล่าว
หัวใจพระนางภยากระตุกชั่วแล่น สีหน้านางแทตย์สาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนที่จะแสร้งต่อว่าอีกฝ่ายเสียงกระด้างวางอำนาจ
“ท่านอัศกะให้ข้านำตัวนางมนุษย์ผู้นี้ตามไปพบที่บัลลังก์แก้ว!”
“แต่เราไม่เห็นได้รับคำสั่งนี้เลย”
เสียงพระนางกระฟัดกระเฟียดมากขึ้น
“พวกเจ้าจะไปรู้อะไร... หลีกทางให้ข้าเร็วเข้า หากล่าช้าจนเป็นเหตุให้ท่านอัศกะเสียอารมณ์เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ?” คำมุสาของพระนางสร้างความลังเลให้กับแทตย์หนุ่มทั้งสองยิ่งนัก ชายทั้งสองต่างหันมองสบตากันด้วยความลำบากใจ ท่าทีของอีกฝ่ายไม่อาจหลุดรอดไปจากสายตาพระนางภยาได้ นางแทตย์คนงามจึงรีบรุกทันทีว่า
“หรือจะให้ข้าไปพบท่านอัศกะมือเปล่า และรอดูพวกเจ้ารับโทษทัณฑ์จากท่านจ้าวของพวกเจ้าก็ย่อมได้นะ” แล้วนางก็ทำทีคล้ายจะผละจากไป แต่ทว่าเสียงแทตย์ตนหนึ่งรั้งนางไว้ก่อนด้วยความตระหนก
“เชิญพระนางเถิด ขอรับ...” เมื่อแทตย์ผู้โง่เขลาทั้งสองยอมเปิดทางให้ พระนางจึงก้าวผ่านเข้าไปด้วยใบหน้ากระหยิ่มเพราะแผนการแห่งตนลุล่วงไปแล้วถึงกึ่งหนึ่ง
ความคิดเห็น