คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6
6
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีกาล ณ ทักษิณปราคโชยติษ...
“มุจริน...” เสียงร้องเรียกที่ดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้ร่างระหงที่กำลังย่องออกมาจากป้อมอสูรต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ เมื่อนางหันกลับไปมองยังที่มาของเสียงนั้น มุจรินก็พบกับสวันซึ่งอยู่ห่างจากหญิงสาวออกมาเพียงเล็กน้อย และบัดนี้อีกแทตย์หนุ่มกำลังเก้าวเข้ามาหานางอยู่
“เจ้ากำลังจะไปที่ใดรึ?” สวันเอ่ยถามทันทีก้าวเข้ามาใกล้อีกฝ่าย
สีหน้าขอมุจรินเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติอีกครั้งพร้อมกับตอบกลับไปว่า
“ข้าก็จะไปสืบเกี่ยวกับอมาวสีอย่างไรล่ะ นี่เป็นคำสั่งของท่านอาจารย์เจ้าก็รู้”
ชายหนุ่มมองหญิงตรงหน้าอย่างแคลงใจ แต่แม้จะไม่เชื่อในวาจาของนางนัก ทว่าเขาก็ฉลาดพอที่จะมิเอ่ยปากถามนางให้อีกฝ่ายต้องขุ่นเคือง สวันนั้นมีใจให้กับนางแทตย์ตนนี้มานานเพียง แต่ไม่ต้องการแสดงออกให้หญิงสาวรู้เพราะติดอยู่ที่อัสยุชและนาคะนั่นเอง
“นาคะตายไปเช่นนี้ เจ้าคงหมดตัวรำคาญ...”
รอยยิ้มเยาะหยันผุดขึ้นบนมุมปากงามของดรุณีน้อย ขณะจ้องมองแทตย์หนุ่มก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า
“ระวังอย่าให้เนปาลีมาได้ยินคำพูดนี้ของเจ้าเข้าล่ะ จะหาว่าข้าไม่เตือน”
อีกฝ่ายกลับยิ้มเย็นอย่างไม่ยี่หระหากว่านางนาคาตนนั้นจะมาได้ยินถ้อยคำของตน
“ข้อนั้นข้าไม่เห็นสำคัญ”
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่... หรือเพียงแค่มาพูดจากถึงความตายของนาคะ และความพอใจของข้าเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าคงไม่ใช่บังเอิญหรอกกระมังที่เจ้าจะมาเดินลอยชายอยู่แถวนี้น่ะ” มุจรินถามอย่างสงกาพร้อมกับตั้งข้อสังเกต
“ข้าอยากจะเตือนด้วยความหวังดี เจ้าก็เห็นว่าอัสยุชไม่ใส่ใจในวาจาสัตย์ที่เจ้าให้ไว้กับมันแม้แต่น้อย แล้วประโยชน์อันใดที่เจ้าจะดื้อดึงยึดมั่นอยู่เพียงฝ่ายเดียวเช่นนี้”
ถ้อยคำของอีกฝ่ายสร้างความไม่พอใจให้กับนางยิ่งนัก คิ้วเรียวขมวดมุ่นเปิดเผยดวงตาคู่งามวาวโรจน์มาดร้าย หัวใจนางแทตย์คนสวยราวกับถูกเปิดปากแผลที่กลัดหนองกระนั้น...
“มันมิใช่กงการอันใดของเจ้านะ สวัน!...” เสียงตวาดของนางดังลั่นด้วยแรงอารมณ์
“ข้าแค่หวังดี...” ชายหนุ่มรีบเอ่ย ใบหน้าคมคายของเขาซีดเผือดนิด ๆ กับความเดือดดาลของหญิงที่ตนมีใจให้
“ข้าขอโทษ หากมันทำให้เจ้าขุ่นเคือง ถือเสียว่าข้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
ความจริงใจในน้ำเสียงของอีกฝ่าย ทำให้ความโกรธกรุ่นไร้เหตุผลของนางลดลงไปกว่าครึ่ง เสียงถอนหายใจของมุจรินดังมา ก่อนที่นางแทตย์จะเอ่ยอย่างยอมจำนนว่า
“อย่าห่วงเลย... ข้าเพียงต้องการให้อัสยุชเอ่ยปากออกมาด้วยตัวของเขาก็เท่านั้น” สายตาของมุจรินเหม่อมองไปไกลในทิศที่ตั้งปรางค์แก้ว แม้ไม่มีผู้ใดบอกสวันก็รู้ใจนางดีว่า... นางคงกำลังคิดถึงอัสยุชอยู่เป็นแน่... และการที่เขาพบนางแทตย์อยู่ ณ ทวารทางออกจากทักษิณปราคโชยติษ ก็คงด้วยมุจรินกำลังคิดไปพบผู้ที่ครอบครองหัวใจแห่งนางนั่นเอง
“ข้าเห็นทีต้องไปเสียที...” ในที่สุดมุจรินก็เอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น
“ขอให้เจ้าโชคดี”
คำพูดราวกับรู้ว่านางจักไปที่ใดและเพื่อทำสิ่งใดของอีกฝ่ายทำให้นางแทตย์สะดุ้งนิด ๆ ด้วยความประหลาดใจ ทว่ามุจรินไม่คิดจะไต่ถามให้มากความนางจึงเพียงผงกศีรษะรับเบา ๆ ก่อนก้าวผละจากมาเงียบ ๆ พร้อมทะยานสู่ ณ ใจกลางแห่งรสาตล อันเป็นที่ตั้งของปรางค์แก้วทันที ทิ้งให้สวันมองตาด้วยสายตาละห้อยเพียงลำพัง...
ความมืดมิดในดินแดนรสาตลยิ่งกวาทิวากาลก่อน ไม่ทำให้มุจรินหนักใจเท่ากับการที่จะไปพบอัสยุชเลยแม้แต่น้อย นางออกจากป้อมอสูรแห่งพระศุกร์ได้อย่างง่ายดาย แล้วใช้พระเวทย่นพสุธาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็มาถึงยังปรางค์แก้วอย่างที่ตั้งใจไว้... หญิงสาวเหลียวมองไปที่ขอบฟ้าอันไกลโพ้น ซึ่งเคยมีสีทองอร่ามในยามกลางวัน แต่บัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีครามอมเทาเย็นตา อันบ่งบอกกาลเวลาที่ผันผ่าน ราตรีกาลย่ำมาเยือนทั่วทั้งสามภพแล้ว ไม้เว้นแม้แต่รสาตลแห่งนี้ หัวใจนางเต้นระส่ำด้วยความว้าวุ่น ขณะหันกลับมามองทวารประตูสูงเสียดฟ้ารสาตลอีกครั้ง
ศิษย์แห่งทูตวารีเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะร่ายมนตราแล้วทะยานขึ้นสู่เบื้องบนพร้อมกับเหาะข้ามหายเข้าไปในประตูทางเข้า สู่ภายในบัลลังก์แก้วอย่างง่ายดายในพริบตาเดียว ทันทีที่เท้าทั้งสองของนางแทตย์สาวแตะพื้นพสุธา เสียงทุ้มคุ้นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทางเบื้องหลัง ในอาการราวรอท่าการมาของนางอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้ามาที่นี่ด้วยคำสั่งแห่งองค์พระศุกร์กระนั้นรึ มุจริน?”
นางหมุนตัวไปหาเจ้าของเสียงดังกล่าวในอาการตกใจนิด ๆ ก่อนตอบคำถามนั้นเสียงแผ่วทว่าหนักแน่น
“ข้ามาตามที่หัวใจเรียกร้อง...”
รอยยิ้มยียวนอย่างขี้เล่นผุดขึ้นบนมุมปากรามานน... เหตุใดเขาจะมิรู้ว่านางกับอัสยุชมีข้อผูกมัดอันใดต่อกันอยู่ แต่ที่ทำให้ทานพหนุ่มไม่ไว้วางใจนั่นคือ... การที่มุจรินเป็นศิษย์ของพระศุกร์นั่นเอง
“งั้นมีสิ่งใดที่พี่ชายผู้นี้จะช่วยเจ้าได้บ้างรึไม่?”
สีหน้านางแทตย์ดูผ่อนคลายลงมาก เมื่ออีกฝ่ายไม่คิดขัดขวางหรือแจ้งเรื่องที่นางลักลอบเข้ามาภายในปรางค์แก้วในยามวิกาลเช่นนี้ แต่ที่สำคัญและทำให้นางได้แต่ลอบถอนใจอย่างโล่งอกคือ... นางไม่ต้องประมือกับเขาอย่างที่นึกกลัวแต่แรกพบต่างหากเล่า
“ข้าต้องการพบอัสยุช”
คำตอบนั้นสั้นแต่ได้ใจความยิ่งนัก ชายผู้มากอาวุโสกว่าเพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนหมุนตัวผละจากไปในทิศที่นางหมายจะก้าวไปแต่แรกเริ่มเงียบ ๆ ทิ้งให้มุจรินให้มองตามไปด้วยความหวังเพียงลำพัง... นางแทตย์รอคอยรามานนอยู่ ณ ที่แห่งนั้นด้วยความกระวนกระวายใจ กาลเวลาผ่านไปทุกโมงยาม ราวชั่วกัปกัลป์พร้อมกันนั้นนางยังไม่รู้เลยว่าจักเริ่มต้นเจรจากับอัสยุชอย่างไร... นางแทตย์ได้แต่ปัดให้เป็นเรื่องเฉพาะหน้า ยามเมื่อต้องเผชิญกับอัสยุชขณะที่ก้าวเข้าไปหลบซ่อนอยู่หลังซอกหลืบของหินผา ที่ถูกปกคลุมด้วยตะไคร้น้ำด้วยความเงียบเชียบ...
ศิษย์แห่งพระศุกร์ก้าวออกมาจากที่หลบซ่อนทันที่ที่พบว่าอัสยุชมาถึง ตามความช่วยเหลือของรามานนซึ่งอีกฝ่ายคงนำคำขอของนางไปบอกให้ชายหนุ่มตรงหน้าทราบนั่นเอง... ทั้งสองจดจ้องกันนิ่งนานหากด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางนั้นเฝ้าคิดถึงคนึงหาเขาเสมอมาไม่เสื่อมคลาย แม้แต่ยามที่เขาย่างกรายออกจากรสาตล... ความเจ็บหนึบบีบเค้นหัวใจมุจริน เมื่อนึกถึงทิวาแรกที่อัสยุชถูกขับออกจากแดนบาดาลแห่งนี้ ซึ่งนางได้แต่เพียงมองเขาจากไปเท่านั้น... ดวงตาคู่สวยทอดมองอีกฝ่ายนิ่งแน่วแฝงรอยตัดพ้อต่อว่า หากชายหนุ่มกลับมีเพียงความเย็นชาไม่รับรู้ในจิตใจของนางสักนิด
“ข้ามีสิ่งใดที่เจ้าต้องการรึ จึงได้มาพบในยามวิกาลเยี่ยงนี้?” เมื่อนางไม่คิดเอ่ยปากก่อนอัสยุชจึงเป็นฝ่ายเริ่มเจรจา
น้ำเสียงเขาห่างเหินไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด... ริมฝีปากงามได้รูปของมุจรินเม้มแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ อยากจะเอ่ยออกไปเหลือเกินว่า... ต้องการหัวใจของเขาหากก็สุดที่จะกระทำได้ หญิงสาวจึงเฉเปลี่ยนเรื่องไปอีกทาง
“ข้าได้ยินมาว่า... อมาวสี นางหายไปมิใช่รึ?” แม้มันจะเป็นเพียงประโยคสั้น ๆ ที่แผ่วเบา ไม่ได้แฝงความหมายมาดร้ายแต่อย่างใด ทว่ากลับมีผลต่ออีกฝ่ายหาน้อยไม่... ร่างสูงสง่าของอัสยุชยังนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจาใด แต่ดวงตาดำดุจรัตติกาลคู่นั้นกลับไหววูบอย่างห้ามมิได้ และแม้มันจะเป็นเพียงชั่ววูบทว่ากลับไม่อาจเล็ดลอดสายตามุจรินไปได้ ด้วยนางเฝ้าจดจ้องทุกท่วงท่าของชายตรงหน้าราวจะสลักมันไว้ในใจกระนั้น ความริษยาอย่างที่ไม่เคยมีในตัวนางผุดพรายขึ้นในดวงจิต จนนางแทตย์นึกประหลาดใจในตนเองนักที่ความรักทำให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ชายหนุ่มตรงหน้านางยังคงยืนนิ่งดุจรูปสลักคล้ายมิอยากเสวนาด้วยตัวนางกระนั้น นางแทตย์สาวจึงวกกลับมาสู่เรื่องที่นำพาให้ตนมาถึง ณ ที่นี้อีกครั้ง
“พบเจ้าวันนี้ทำให้ข้านึกถึงครั้งแรกที่เราพบกัน...” วาจานางเงียบหายไปราวคนกำลังนึกถึงอดีตอันเนิ่นนาน ก่อนที่ความเงียบแห่งราตรีกาลจะครอบงำคนทั้งสอง ถ้อยคำของมุจรินก็พรั่งพรูออกมาดุจสายน้ำที่ไหลหลากเพราะแรงอารมณ์
“มันเป็นคืนที่เงียบสงัดไร้ผู้ใด อาจเหมือนคืนนี้... วันนั้นข้าตกลงไปในแม่น้ำดำลึกสุดหยั่ง และเย็นเยียบจับจิตยิ่งกว่าน้ำแข็งในแดนหิมาลัย” ทันใดนั้นดวงตาคู่สวยของนางก็หลับพริ้ม เหมือนกำลังนึกทบทวนความจำของตนกระนั้น ริมฝีปากงามแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างพึงพอใจและเอ่ยต่อไปอีกว่า
“ข้าคิดว่าคงต้องตายแน่แล้วในยามนั้น... คงไม่มีแทตย์หรือทานพตนใดจะรู้ว่ามีเด็กสาว ผู้หนึ่งออกมาเที่ยวเล่นในยามราตรีกาล ซ้ำมิหนำยังพลัดตกลงไปในแม่น้ำดำอันน่าสะพรึงกลัว ที่ไม่เคยมีแทตย์ทานพตนใดสามารถกลับขึ้นมาได้อีกด้วย” ศิษย์แห่งพระศุกร์ลืมตาขึ้น พร้อมหันมายิ้มงดงามให้กับอีกฝ่ายด้วยความหมายลึกซึ้ง
“แต่แล้วเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมา... ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า เจ้าน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าปีศาจตนไหน ๆ แต่ก็เป็นเจ้าอีกเช่นกันที่ช่วยฉุดข้าขึ้นมาจากความตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยพบพานหรือคุ้นเคยกันมาก่อน” อีกฝ่ายพร่ำพูดไปในอาการที่แทบจะเรียกได้ว่าสุขใจ
หากอัสยุชยังคงนิ่งเงียบอยู่เหมือนนางกำลังพูดเรื่อยเปื่อยถึงเรื่องไร้สาระ ทว่าในใจเขากลับหวนนึกถึงอดีตในวัยเยาว์แห่งตนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้...
ในรัตติกาลหนึ่ง มืดมิดเฉกเช่นราตรีนี้ นิมมารกะนำตนมายังทักษิณปราคโชยติษเพื่อฝากให้กับพระศุกร์และจากไป... ด้วยความอ่อนเยาว์ของเขาจึงอดที่จะคิดถึงถิ่นที่ตนจากมามิได้ เด็กชายอาศัยโอกาสที่ทุกคนหลับสนิทคิดจะหลบหนีออกไปจากป้อมอสูรแห่งนั้น เพื่อกลับไปยังถิ่นพำนักแห่งตนและผู้เป็นมารดา แต่เมื่อมาถึงแม่น้ำดำซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของทักษิณปราคโชยติษ เขาก็พบเข้ากับเด็กสาวชาวแทตย์ตนหนึ่งกำลังตะเกียกตะกายอยู่ในแม่น้ำที่เชี่ยวกรากและดำทะมึน ลึกยิ่งกว่าลึก!... ริมฝีปากอัสยุชบิดโค้งเยาะหยันเมื่อเขานึกมาถึงตรงนี้...
ใครเลยจะรู้ว่าเขาต้องใช้พลังและร่างที่เคยรังเกียจ จนคิดจะแลกทุกอย่างเพื่อให้เป็นเฉกเช่นเดียวกับคนอื่นในเผ่าพันธุ์ เพื่อช่วยชีวิตเด็กสาวผู้นั้นและตนขึ้นมาจากแม่น้ำอันบ้าคลั่งนั่น... มันไม่ใช้วีรกรรมอันเกิดจากหัวใจปรารถนาดีต่อผู้ใดของเขาแม้แต่น้อย หากเป็นด้วยความบ้าระห่ำในอันที่จะหลุดพ้นจากชีวิตอันว่างเปล่าแห่งตนเท่านั้น ความตายดูเหมือนจะง่ายกว่าการเผชิญหน้ากับผู้คนที่เดียดฉันท์ในชาติกำเนิดของเขา... แต่แล้วเด็กชายกลับพบว่าได้ช่วยนางแทตย์น้อยผู้นั้นโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ และอยู่ในวังวนของความชิงชังจากอสูรตนอื่นเช่นเดิม... ภาพอดีตถูกเจ้าตัวลบไปทันใดเมื่อสตรีตรงหน้ายังกล่าวสืบไปว่า
“ข้ายังไม่ลืมวาจาสัตย์ที่เคยให้ไว้ต่อเจ้าหรอกนะ” นางเอ่ยถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับอัสยุชที่จะรักและภักดีต่อชายหนุ่มชั่วชีวิต... ลมหายใจที่ได้กลับคืนมา ทำให้หัวใจของนางแทตย์น้อยถูกครอบครองโดยเด็กหนุ่มแปลกหน้าอย่างหมดสิ้น
“ข้าไม่เคยร้องขอสิ่งนี้จากเจ้า...” คำพูดของเขาราบเรียบไม่บ่งบอกความรู้สึก ใบหน้าหล่อเหลายิ่งกว่าบุรุษใดเฉยเมยน่าใจหายนักสำหรับมุจริน
“ข้ารู้...” นางเอ่ยน้ำเสียงเบาหวิว
“ทำไมข้าจะไม่รู้ถึงหัวใจเจ้า คนที่ข้ารัก... เจ้ามิเคยเลยที่จะยอมเปิดรับผู้ใดด้วยหัวใจที่แท้จริง ไม่แม้แต่จะรับเอาหัวใจของข้าที่วางไว้แทบเท้าเจ้า ทั้งที่เจ้าก็รู้ว่าข้ารู้สึกเช่นไรต่อเจ้านับแต่เราพบกันครั้งแรก... แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังหวัง... หวังว่าสักวันเจ้าจะยอมรับข้าได้!...” น้ำเสียงของมุจรินดังขึ้น ๆ และสั่นพร่าน่าเห็นใจ นางมองผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัวไปยังชายที่เป็นหนึ่งในดวงใจนิ่งแน่ว
“แต่จนแล้วจนรอด กระทั่งเจ้าจากรสาตลไปจนถึงวันนี้ ข้าก็ได้รู้ว่ามันจะไม่มีวันนั้นสำหรับข้า!...” ความเงียบราวจะกลืนกินทั้งสอง ที่แย่ยิ่งกว่าทุกสิ่งสำหรับและกำลังฉีกทึ้งหัวใจมุจรินให้แหลกสลายก็คือ... อัสยุชยังคงนิ่งเฉยคล้ายนางกำลังบ้าไปเองผู้เดียว
“เจ้าจะไม่ยอมเอ่ยอะไรบ้างเลยรึ?!”
“หากเจ้ามาเพื่อการณ์นี้ เห็นควรที่จะกลับสู่ทักษิณปราคโชยติษเสียเถิด...” แล้วร่างสูงของชายหนุ่มก็หมุนตัวหันหลังทำท่าจะผละจากไป ทว่าเสียงตะโกนก้องเกรี้ยวกราดของนางแทตย์ดังไล่หลังไปอย่างไม่ยอมแพ้ว่า
“เหตุใดเจ้ามิยอมตอบรับความรู้สึกข้า?!... ทั้ง ๆ ที่ข้ารึอุตส่าห์เปิดเผยความรู้สึกของตนที่มีต่อเจ้ามาโดยตลอด!” นางเริ่มร่ำไห้เจือสะอื้นขณะปากก็เอ่ยออกมาเสียงสั่นเครือ
“ไยข้าถึงเข้าไม่ถึงหัวใจเจ้า?... หากแทตย์อย่างข้าต่างจากเลือดผสมอย่างเจ้าแล้วล่ะก้อ ข้าอยากจะรู้นักว่านางมนุษย์ผู้นั้นจะห่างไกลจากเจ้าสักปานใด?!”
ถ้อยคำของอีกฝ่ายทำให้ร่างสูงชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้านั้นลงทันที ก่อนจะหมุนตัวกลับมาหรี่ตามองอีกฝ่ายช้า ๆ ดวงตาสีนิลของเขาลุกเรืองแทบทำให้มุจรินผงะ
“ต่างกันแค่ไหนนั้นข้ามิอาจรู้ได้ เพราะสิ่งนั้นมันไม่สำคัญสำหรับข้าเลยแม้แต่น้อย แต่ระหว่างข้าและนางมีสิ่งหนึ่งที่ผูกพันเราเอาไว้” เขาหยุดยิ้มนิดหนึ่งที่มุมปาก แต่เป็นยิ้มที่ไม่ได้มอบให้นางเมื่อนึกถึงดรุณีอีกนางหนึ่งขึ้นมาในใจ น้ำเสียงอ่อนโยนละมุนละไมที่เอ่ยออกมาก็ไม่ได้มอบให้มุจรินเช่นกัน
“สิ่งนั้นก็คือ... มิตรภาพอย่างไรล่ะ... มันเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดนอกจากแม่ข้าเคยมอบให้ข้าเลยนับแต่จำความได้ และนางเองก็ไม่เคยหันหลังให้ข้าเช่นเผ่าพันธุ์ของเราทำต่อข้าเลยสักครั้งเดียว”
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยมาถึงจุดนี้ นางแทตย์ได้แต่นึกย้อนกลับไปครั้งที่ชายหนุ่มถูกผู้เป็นอาจารย์ขับไล่ออกจากรสาตลด้วยความร้าวราน ศิษย์ทุกตนมิกล้าแม้แต่จะเอ่ยปากทัดทานประกาศิตนั้น แม้แต่ตัวนางเองที่ประกาศคำสัตย์จะซื่อตรงภักดีต่อเขาก็เช่นกัน... คิดมาถึงจุดนี้ดวงตามุจรินก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ด้วยความเสียใจสุดซึ้ง ถ้อยคำที่เอ่ยถัดมาแหบพร่าน่าเห็นใจนัก
“หากยามนั้นข้ากล้าพอที่จะเอ่ยขอต่อท่านอาจารย์ เจ้าคงยอมเปิดใจให้แก่ข้าสินะ...”
เสียงถอนหายใจของอัสยุชแผ่วเบาทว่าหนักหน่วง บ่งบอกความสับสนในใจได้อย่างดีเยี่ยม ทว่าชายหนุ่มกลับตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างน่าทึ่งว่า
“ผิดแล้วมุจริน... แม้นการณ์จักเป็นเช่นคำเจ้าแต่ข้าก็ยังคงเป็นข้าอยู่เช่นเดิม ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าไม่มีวันเปลี่ยนเป็นอื่นไปได้ ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังขอบคุณที่เจ้ามีความปรารถนาดีต่อข้าทั้งที่ข้าไม่อาจรับได้”
“แล้วเหตุใดเจ้ายอมเปิดใจให้นางมิใช่ข้า?!... ข้ารู้จักกับเจ้าก่อนนางด้วยซ้ำ!” หญิงสาวกระชากเสียงเดือดพล่านยิ่งกว่าน้ำร้อน ๆ
สันกรามของอัสยุชขบกันแน่น มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่มีผู้ใดเข้ามาวุ่นวายในเรื่องส่วนตัวของเขา หากไม่ใช่กับธิดาท้าวโมฆราช ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสยบทุกความขุ่นเคืองของตน ปากก็เอ่ยอย่างมีเหตุผลที่สุดว่า
“ข้าตอบไม่ได้... แต่เมื่อใดก็ตามที่เจ้าหาคำตอบได้ว่า... ไยเจ้ามิตอบรับความรักของนาคะแทนที่จะมารอคอยข้าอย่างเลื่อนลอยแล้วล่ะก้อ เมื่อนั้นมันก็คือคำตอบของข้าด้วยเช่นกัน ส่วนอมาวสีนั้นข้ารักเพราะรักมิได้รักด้วยเหตุผลอื่นใด แม้นางจะรู้ถึงชาติกำเนิดแห่งข้ากระทั่งเกลียดกลัวข้า ความรักที่มีต่อนางก็จะยังคงอยู่ดุจเดิมไม่แปรผัน”
“พอที!... ข้าไม่อยากฟัง!...” เสียงกรีดร้องของนางคล้ายอาการของคนวิกลจริต ผิดจากมุจรินผู้สุขุมโดยสิ้นเชิง นางเงยหน้าแดงก่ำด้วยความสับสนระคนเสียใจและกรุ่นโกรธไปพร้อมกัน คราบน้ำตาเปรอะเลอะนวลแก้มทั้งสองยามแลไปยังชายหนุ่ม น้ำเสียงเหี้ยมดุดันเล็ดลอดออกมาเขย่าประสาทคนฟังได้ชะงักนัก
“ท่านอาจารย์ต้องการตัวนางเพื่อการบางอย่างอันเกี่ยวแก่ตัวเจ้า จงระวังเอาไว้ให้ดี และข้าเองก็ยินดียิ่งที่จะนำตัวนางมามอบให้แก่ท่านอาจารย์!...”
แววตาดำล้ำลึกที่เคยนิ่งสงบของอัสยุชลุกโชนด้วยความโกรธราวไฟไหม้ลาม มือหนาได้รูปของเขาฉกวูบออกไปยังเป้าหมายตรงหน้าทันควัน
“อะ...อึก!...” เสียงร้องครางอย่างทรมานและอาการดิ้นรนทุรนทุรายของมุจรินตามมา เมื่อลำคอระหงของนางถูกบีบรัดด้วยอุ้งมือของหลานชายท้าวติสสะ มือน้อยของนางพยายามเกาะมือแข็งยิ่งกว่าปลอกเหล็กนั้นอย่างไร้ผล
“จะ... เจ้า... คะ... คิดฆ่าข้ารึ?!...” ใบหน้าของนางแทตย์ซีดเผือดราวซากศพ ยามสบตาแข็งกร้าวดุจพญามารของอัสยุช
“เจ้ากลัวข้าแล้วรึ?... ไหนบอกว่ารักยังไงล่ะ...” มันเป็นคำพูดหยอกล้อ ทว่ากลับทำให้หญิงสาวขนลุกชันอย่างขยาดกลัวยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับพญายมเสียอีก
“ไม่ต้องกลัว... ข้าไม่คิดฆ่าเจ้าหรอก เพียงแค่อยากให้เจ้าเงียบและฟังในสิ่งที่ข้าต้องการบอกก็เท่านั้น...” แล้วเขาก็ออกแรงบีบมากขึ้นเมื่อหญิงสาวทำท่าจะขยับปากต่อความด้วย เป็นเหตุให้มุจรินต้องหุบปากเผยอริมฝีปากเพื่อค้นหาอากาศให้กับปอดที่กำลังจะระเบิดของตนแทน
“ข้าไม่รู้ว่าอมาวสีอยู่ที่ใดในยามนี้ และไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ต้องการสิ่งใดจากนาง แต่ที่ข้ารู้คือ... มันผู้ใดก็ตามที่แตะต้องนางแม้เพียงปลายผม อย่าหวังว่าจะหลบซ่อนจากความโกรธของข้าได้ ต่อให้มันหนีไปอยู่ในนรกขุมที่ลึกที่สุดข้าก็จะตามไปเด็ดหัวมันให้ดู”
ร่างบางของมุจรินถูกผลักให้เซถลาถอยห่างจากเขาในอาการคล้ายรังเกียจ สายตานางแทตย์มองอีกฝ่ายอย่างเคียดแค้นชิงชังกระนั้นความรักก็ยังอยู่ตรงนั้น ขณะที่ความเกลียดชังกับความหึงสาพยาบาทมากล้นที่มีต่อเขากลับถูกถ่ายโอนไปให้หญิงสาวอีกนางจนหมดสิ้น
“นะ... นับแต่นี้สัจจะวาจาที่ข้ามีต่อเจ้าเป็นอันสิ้นสุดเสียที มันจะมีแต่ความโกรธแค้นเท่านั้นที่ข้าจะมอบให้เจ้า!” สิ้นคำร่างระหงก็ก้าวห่างออกมาทันที พร้อมกับกระโดดดีดตัวข้ามกำแพงสูงเสียดฟ้าสู่ภายนอกปรางค์แก้วในที่สุด
“ความคลุ้มคลั่งของมหาสมุทรยังมิอาจเทียบได้กับความโกรธแค้นของสตรีเลยนะ อัสยุช...” กระแสเสียงที่ดังขึ้นทางเบื้องหลัง พร้อมอาการเคลื่อนไหวขยับออกมาจากหลืบหินผาของรามานน ทำให้อัสยุชจับจ้องอย่างไม่พอใจไปที่อีกฝ่าย ด้วยไม่ปรารถนาให้การสนทนาระหว่างตนและนางแทตย์ผู้นั้นถูกแอบฟังอย่างนี้
สายตากล่าวหาของอัสยุชทำให้คนสนิทในท้าวติสสะเพียงยักไหล่ คล้ายไม่สนใจปากยังกล่าวสืบไปว่า
“ข้ามีหน้าที่ดูแลรอบอาณาเขตบัลลังก์แก้วและดูแลเจ้าตามคำสั่งท่านจ้าว อย่าลืมเสียสิ...”
คิ้วเข้มของอัสยุชขมวดมุ่น ทว่ากลับเอ่ยถามในสิ่งที่รามานนพูดค้างไว้ แทนการต่อว่าความสอดรู้สอดเห็นของอีกฝ่ายว่า
“เจ้าหมายความว่าอย่างใด เกี่ยวกับความโกรธแค้นของมุจรินน่ะ?”
รอยยิ้มทะเล้นของรามานนผุดขึ้นในดวงหน้าคมคาย ก่อนเอ่ยล้อเลียนชายตรงหน้า
“ข้าพูดถึงความโกรธแค้นของสตรี แต่เจ้ากลับตีความว่าเป็นความโกรธแค้นของมุจริน หรือนางเริ่มทำให้เจ้าหวั่นไหวได้แล้ว หลังจากพยายามมาเนิ่นนานแต่ไม่เป็นผล แม้มัน... จะเป็นความหวั่นไหวในทางตรงข้ามก็ตามเถอะหึ หึ” เมื่อเห็นแล้วว่าหลานชายท้าวติสสะชักสีหน้าบอกว่าไม่ขำด้วย ทานพหนุ่มจึงวกกลับมาสู่หัวข้อสนทนาเดิมในอาการจริงจังมากขึ้น
“อมาวสีมาหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้ ทำให้ข้ากังวลนักว่านางจะไม่ปลอดภัย... เจ้าก็รู้ว่าตัวเจ้าเองมีอริมากมายเพียงใดในรสาตลนี้ โดยไม่จำเป็นต้องมีมุจรินเพิ่มขึ้นมาอีกคน อันตรายก็ดูจะเฉียดใกล้ธิดาท้าวโมฆราชมากเกินพออยู่แล้ว หรือว่าไม่ใช่?” คำพูดของรามานนแม้แต่อัสยุชเองก็ประจักษ์ชัดแก่ใจดีเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ทว่าเขาไม่อาจปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนและมุจรินคาราคาซังต่อไปได้อีกแล้ว
ความเงียบปกคลุมรอบกายด้วยหัวใจที่หนักอึ้งของสองชาย ทว่าเสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ทั้งสองหันขวับไปมองยังผู้ที่เพิ่งมาถึง ด้วยความพร้อมเพรียงราวนัดแนะกันเอาไว้
“ขะ... ข้าเอง...” เกตุวดีเอ่ยตะกุกตะกักกับแทตย์หนุ่มทั้งสองตน... แท้จริงแล้วนางออกมาเดินเล่นหลังจากท้าวติสสะทรงบรรทมไปแล้ว และนางก็มาทันที่จะพบเห็นการพบปะกันระหว่างอัสยุชและนางแทตย์ตนนั้น อันเป็นเหตุให้หญิงสาวทราบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมุจรินและอัสยุช ซึ่งบัดนี้นางได้แต่ลอบถอนใจอย่าง โล่งอกที่ศิษย์แห่งพระศุกร์ไม่มีความหมายประการใดต่อชายที่นางปักใจรัก แต่เมื่อนึกถึงหญิงสาวอีกคน ผู้ซึ่งทำให้ความกังวลดุจจะคลุ้มคลั่งไม่ยอมลบเลือนไปจากใบหน้าอัสยุช ด้วยความหนักหน่วงในอุรากับการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของนางแล้ว หัวใจเกตุวดีพลันชาหนึบขึ้นมาทันทีอย่างสุดห้ามได้
“พวกท่านทั้งสองมาทำการใดในยามวิกาลเยี่ยงนี้รึ?” นางแสร้งถามใบหน้าร้อนผ่าว ไม่กล้าสบตาอัสยุชซึ่งเอ่ยออกมาโดยไม่เหลือบแลมายังนางแทตย์แต่อย่างใด
“ข้าขอตัวก่อน...” ว่าแล้วร่างสูงสง่าก็ก้าวห่างจากมาทันที ทิ้งเพียงรามานนไว้กับนางแทตย์คนสวยผู้เป็นหลานสาวเพียงคนเดียวของนิมมารกะเท่านั้น
นับแต่ท้าวติสสะเอ่ยปากเรื่องวิวาหะระหว่างนางและอัสยุช ท่าทีเฉยชาของชายหนุ่มที่มีอยู่แต่เดิมยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกเท่าทวี ซึ่งข้อนี้เกตุวดีรับรู้ได้ด้วยหัวใจกลัดหนอง หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะมองตามอีกฝ่ายไปด้วยสายตาละห้อยหา โดยลืมชายอีกคนที่กำลังทอดสายตามองมายังนางด้วยความเห็นใจเสียสนิท
“ข้าพูดอะไรผิดรึ ท่านอัสยุชจึงรีบจากไปเช่นนี้?...” นางไม่ได้หันมาเอ่ยกับรามานน หากแต่รำพึงรำพันกับตนเองเท่านั้น
“คนผิดน่ะไม่มีหรอก...”
ดรุณีน้อยหันมามองคนพูดช้า ๆ ในอาการไม่เข้าใจ หากนางก็พบเพียงรอยยิ้มอบอุ่นเยี่ยงพี่ชายจากรามานนที่ส่งมอบมาให้
“ไม่เอาล่ะ ข้าว่าเราเองก็ควรไปพักผ่อนบ้าง หลายราตรีแล้วที่ข้าไม่ได้นอนเต็มอิ่มเพราะมัวแต่วิ่งวุ่นตาม หาอมาวสี...” แล้วเขาก็ก้าวจากไปอีกตน ปล่อยนางแทตย์ให้อยู่กับความสับสนในหัวใจเพียงลำพัง...
“ข้าได้ยินมาว่าพระศุกร์เข้าพบตาเฒ่าติสสะ เป็นความจริงรึมาตยัน?” อัศกะกล่าวขึ้นเมื่อมาตยันมาพบตนตามคำสั่งเรียกหา ผู้เป็นมือขวาทำการคำนับอีกฝ่ายด้วยความนอบน้อมก่อนกล่าวว่า
“เป็นจริงดังท่านได้ทราบมาขอรับ...”
ดวงตาของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษหรี่ลงในอาการไตร่ตรอง สมองกำลังเต็มไปด้วยความมากกลร้อยเหลี่ยม
“แล้วความเคลื่อนไหวของทั้งสองเล่าเป็นอย่างใดบ้าง?”
“พระศุกร์ยังคงเงียบและเก็บตัวอยู่ที่ทักษิณปราคโชยติษ หลังจากปะทะคารมกับท้าวติสสะเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนท้าวติสสะก็ยังคงแสร้งป่วยอยู่เช่นเดิม” แทตย์หนุ่มผู้รับใช้รายงานเสร็จสรรพ
“ฮึ... ตาแก่วายร้าย เจ้าเล่ห์นักล่ะ!” ทูตอัคคีเอ่ยอย่างรู้ทัน ใบหน้าคมคายนั้นบึ้งตึงในอาการของผู้ซึ่งไม่ได้ดั่งใจก่อนเอ่ยสืบไปว่า
“เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้ การที่ข้าจะส่งสาสน์ไปยังบัลลังก์แก้วช้าหรือเร็วย่อมมีผลเช่นเดียวกัน แล้วข้าจะรอช้าอยู่ไย” ถ้อยคำของผู้เป็นนายทำให้ดวงตาของมาตยันเบิกกว้างอย่างไม่เห็นด้วย
“แต่ตามความเห็นข้า หากเราผลีผลามเคลื่อนไหวในยามนี้ย่อมต้องเป็นที่สงสัยของพระศุกร์แน่ ซึ่งข้าเกรงว่า...”
ทว่าอีกฝ่ายจักสะทกสะท้านก็หาไม่ ยังคงกล่าวน้ำเสียงมาดมั่นว่า
“พวกมันรู้แล้วมีประโยชน์อันใด... ถึงยามนั้นคิดทำการใดต่อข้าได้ ในเมื่อข้ามีอมาวสีอยู่ในกำมือเช่นนี้ เจ้าลองคิดดูสิมาตยันว่าทิพยอสูรจะยอมอยู่ในอาณัติของใคร หากไม่ใช่ผู้ซึ่งจับกุมหญิงที่มันรักเอาไว้น่ะหึ หึ”
เสียงหัวเราะของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษดังกึกก้อง สะท้อนตำหนักหินผาอย่างน่ากลัว ขณะที่สายตาของคนสนิทจับจ้องผู้เป็นนายนิ่งนานด้วยความใคร่รู้ และก่อนที่แทตย์หนุ่มผู้เป็นข้ารับใช้จะทันรู้สึกตัว เขาก็เอ่ยถามออกไปเพราะความอยากรู้แล้วว่า
“หากอัสยุชมันยอมหนุนท่านขึ้นสืบตำแหน่งต่อจากท้าวติสสะแล้วไซร้ ท่านจะส่งตัวนางมนุษย์ผู้นั้นคืนให้แก่มันหรือไม่?”
ร่างสูงสง่าของอัศกะหมุนกลับมาจับจ้องเจ้าของคำพูดนั้นอย่างหยามหยัน ก่อนที่แววตาวาววามของจ้าวแห่งไฟจะแปรเปลี่ยนเป็นความขบขันแทน เขาเพ่งมองแทตย์หนุ่มตรงหน้าราวอีกฝ่ายได้กลายร่างเป็นตัวประหลาดไปแล้วสำหรับตน แล้วเสียงหัวเราะครื้นเครงของอัศกะก็ดังขรมด้วยความชอบอกชอบใจในคำถามนั้น
“มาตยัน... หึ หึ... เจ้าถามเหมือนมิรู้ใจข้ากระนั้น...” คนเป็นนายมองชายรับใช้แห่งตนอย่างพินิจพิเคราะห์ว่าอีกฝ่ายแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆ กันแน่ถึงความในใจแห่งชายมากรักอย่างเขา
“หากแม้นข้ามอบนางคืนจริงดั่งคำเจ้า ข้ามิกลายเป็นคนโฉดเขลาเบาปัญญาไปหรอกรึ มีของล้ำค่าอยู่ในมือไยจะหยิบยื่นคืนให้ผู้อื่นเช่นนั้นเล่าหึ หึ” อีกคราที่เสียงหัวเราะน่าเกลียดแฝงรอยลึกล้ำกว่าปกติของอัศกะเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากกระด้างของเขา ใจจ้าวอัคคีนึกไปถึงดรุณีผู้เป็นหัวข้อสนทนาขึ้นมาครามครัน... ใบหน้าได้รูปนั้นหมดจดงดงามล้ำเลิศนัก ริมฝีปากเล็ก ๆ น่ารักก็ช่างเจรจาต่อปากต่อคำนักเชียว... รอยยิ้มเจ้าชู้ผุดขึ้นบนมุมปากของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษทีละนิด ๆ ประหนึ่งผู้ซึ่งกำลังตกอยู่ในห้วงฝัน ทว่ามันกลับถูกรบกวนด้วยกระแสเสียงตระหนกของมาตยันเสียนี่...
“ท่านอัศกะ... หมายความว่าท่าน?!...”
“ใช่... ข้าจะเก็บนางไว้เป็นชายาอีกคน”
มาตยันได้แต่แอบลอบถอนใจอย่างหนักหน่วงในหัวอก เขาเกรงแต่ว่าพระนางภยาผู้ชายาเอกของชายตรงหน้าจะไม่ยินยอมและอยู่เฉย มองดูความคิดฝันของผู้เป็นสวามีเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมามากกว่า แต่นั่นมันยังเทียบไม่ได้กับความครั่นคร้ามที่แทตย์หนุ่มมีต่อบุรุษอีกคน ผู้ซึ่งเป็นสิ่งแปลกปลอมของดินแดนรสาตลแห่งนี้... ความโกรธของอัสยุชคือสิ่งแรกที่ทำให้มาตยันหวั่นหวาด ซึ่งไม่มีเหล่าอสูรตนใดปรารถนาจะพบพานกับมันแน่...
ขณะที่แทตย์หนุ่มทั้งสองตนกำลังตกอยู่ในความคิดของตนนั้น สองนายบ่าวหารู้ไม่ว่าพวกตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งอยู่... และความหึงหวงมาดร้ายคั่งแค้นกำลังกลุ้มรุมสุมใจใครผู้นั้น พระนางภยาสะบัดพักตร์ผ่องซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ก่อนหมุนตัวกลับตามทางเดิมที่ตนเพิ่งจากมาในอาการหงุดหงิดในหัวอก ภายในเฝ้าคิดหาหนทางกำจัดหญิงมนุษย์ผู้นั้นอย่างว้าวุ่น โดยลืมไปว่า... การทำเช่นนั้นจะนำความพิบัติมาสู่ตน จากความโกรธเดือดดาลราวไฟไหม้ลามของผู้เป็นสวามี ทว่าความริษยาพยาบาทกำลังมีอำนาจเหนือความรู้สึกทั้งปวงในยามนี้ แม้ความตายรอคอยอยู่เบื้องหน้านางแทตย์สาวก็มิเคยพรั่นพรึงหรือคิดหวาดหวั่นแต่อย่างใด
ความคิดเห็น