ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อมาวสี...ปัจฉิมภาครสาตล(ลิขิตมา)

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 50


    5…

     

    เจ้านำตัวนางมนุษย์ผู้นี้มาเพื่อการใด มาตยัน?!” น้ำเสียงแข็งกระด้างของผู้ซึ่งอยู่ข้างกายจ้าวแห่งไฟ ทำให้ทุกชีวิตหันไปมองยังสตรีนางนั้นด้วยความพร้อมเพรียง... กิริยาท่าทางของอัศกะที่มีต่อหญิงมนุษย์ตรงหน้า เป็นเหตให้พระนางภยาผู้เป็นชายาพออ่านความคิดของพระสาวมีออกได้ไม่ยากเย็นนัก

                    แม้มาตยันจะไม่ใส่ใจในวาจาของพระนางนัก ด้วยถือว่าตนมีนายเพียงผู้เดียวคือจ้าวอัคคี หาใช่อิสตรีผู้เป็นชายาของคนเป็นนายไม่ ทว่าเขาก็กล่าวตอบนางมาอย่างนอบน้อมอยู่ในทีว่า

                    นางผู้นี้ มีความสำคัญต่ออัสยุชยิ่งนัก ข้าเห็นว่าหากจับกุมตัวนางมาเพื่อล่อให้มันมาติดกับ การขึ้นครองรสาตลของท่านอัศกะคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

                    ยังมิทันที่พระนางคนงามจะได้เอ่ยสิ่งใดออกไป ทูตอัคคีก็ชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนในอาการสมใจว่า

                    ดี ๆ แผนของเจ้าแยบคายดีแท้ สมแล้วที่ข้าไว้ใจ หึ หึ

                    ธิดาท้าวโมฆราชมองสองอสุระแล้วให้ชิงชังนัก ซ้ำแววตากักขฬะของอัศกะก็ทำให้ขนของนางลุกเกรียวอย่างไร้สาเหตุ ในใจให้นึกสงกายิ่งนักว่าเหตุใดพวกเขาจึงคิดแผนการร้ายกาจต่ออัสยุชเช่นนี้ นับแต่ย่างกรายมาถึงดินแดนประหลาดล้ำแห่งนี้ ดูราวเหล่าแทตย์ทานพทุกตนที่นางพบเจอ จะมีก็แต่เพียงความรู้สึกเดียวให้กับชายหนุ่มผู้นั้น... มันคือความชิงชังรังเกียจอย่างแน่นอน ทว่าหญิงสาวไม่เข้าว่าว่าเพราะอะไร...

                    ข้าเป็นเพียงสหายของเขาเท่านั้น มิได้มีความสำคัญต่ออัสยุชแต่อย่างใด ไยเขาจะมากังวลในความปลอดภัยของข้าด้วย แม้คิดใช้ข้าลวงเขามาก็คงเสียเวลาเปล่าดรุณีน้อยผู้เป็นเชลยเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก นับแต่ก้าวเข้ามา ณ ตำหนักแห่งนี้ แต่น้ำเสียงดุจไม่เชื่อถือของมาตยันตวาดคืนกลับมาดุดัน

                    มุสา!...” คนสนิทในอัศกะมองกราดไปทั่วร่างน้อยตรงหน้า พลางเล่าเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างตนและอัสยุชให้ผู้เป็นนายฟังจนสิ้นอย่างไม่คิดปิดบัง พร้อมให้เหตุผลสำทับมาอีก

                    มันมิเคยห่วงใยผู้ใด ไฉนเลยจึงต้องร้อนใจเพราะเจ้า หากไม่ใช่ด้วยเจ้าคือสตรีที่มันรัก... เจ้าเองก็ดูห่วงใยมันมิแพ้กัน ก็ดูทีรึ... เจ้ามักคอยปฏิเสธอยู่ร่ำไปว่ามิใช่นางในดวงใจของเจ้าอัสยุช เจ้าจะทำเช่นนั้นเพื่อเหตุใดหากไม่เป็นเพราะเจ้าเกรงว่าจะเป็นต้นเหตุให้มันต้องได้รับอันตรายน่ะ

                    ศิษย์แห่งโคตมะเม้มปากแน่นเกือบเป็นเส้นตรง สายตาวาววับอับจนหนทางมองคนพูดอย่างเหลือทน ด้วยความรู้สึกสับสนในหัวใจ... นางปฏิเสธด้วยเหตุที่มาตยันเข้าใจผิดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตนและอัสยุช หรือด้วยกลัวภัยอันตรายจะเกิดกับเขากันแน่... คำถามนี้หาได้รับคำตอบจากเจ้าตัวไม่ สุดท้ายหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า

                    ดูท่าท่านจะเชี่ยวชาญเรื่องของหัวใจซะจริงนะ...”

                    และก่อนที่มาตยันจะตอบกลับมา ทูตอัคคีก็เอ่ยแทรกขึ้นมาว่า

                    เอาล่ะ ถึงเจ้าจะไม่มีประโยชน์ในการครั้งนี้ แต่ข้าคิดว่าเจ้ายังมีประโยชน์ในการอื่นอย่างแน่นอนหึ หึกล่าวจบก็หันไปยิ้มกับคนสนิทของตนด้วยความนัยที่รู้กัน แต่ไม่เพียงมาตยันเท่านั้นที่จะเข้าใจสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาของผู้เป็นนาย ทว่าพระนางภยาเองก็ดูจะมองออกเช่นกันว่าผู้เป็นสวามีนั้นกำลังคิดเช่นไรต่อเชลยสาวของตน พระนางรู้ถึงวิสัยเจ้าชู้ยักษ์ของเขามานานก่อนตัดสินใจวิวาหะกับอัศกะแล้ว และด้วยหลงคิดว่าจะสามารถมัดใจท้าวเธอได้ ทำให้พระนางยอมปลงใจกับชายซึ่งปักใจรักผู้นี้ ซึ่งเป็นเรื่องผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวในชั่วชีวิตนี้ของนาง

                    เอาตัวนางไปคุมขังไว้ก่อน อ้อ... คงไม่จำเป็นต้องกักขังไว้ในที่จองจำกระมัง เพราะนางคงไม่มีปัญญาออกไปจากป้อมอสูรแห่งข้าได้แน่

                    ขอรับ...” แทตย์สองตนรับคำมั่นเหมาะ ก่อนที่อมาวสีจะถูกนำตัวออกไปในที่สุด...

                    จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษหันมาทางผู้เป็นชายา ด้วยสังเกตเห็นอาการขยับกายคล้ายจะลาจากของนางแล้วรั้งตัวหญิงสาวเอาไว้ทันที

                    รอก่อนภยา ข้ามีบางสิ่งจะกล่าวกับเจ้า...

                    ท่านมีสิ่งใดจะให้ข้ารับใช้เช่นนั้นรึ?” ชายาคนงามเอ่ยอ่อนหวาน สายตาแสนรักจับจ้องพระสวามี หากชั่วอึดใจนั้นที่ประกายตาของนางลุกเรืองด้วยความริษยา เฉกเช่นสตรีที่กำลังรู้ตัวว่าชายที่ตนรักกำลังคิดไม่ซื่อ

                    ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดทำการใด...” สายตาคมกล้าบนใบหน้าหล่อเหลาเยี่ยงเผ่าพันธุ์ของอัศกะ จับจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างจับพิรุธ ดวงตาของทูตอัคคีหรี่น้อย ๆ ในอาการดุจเสือร้ายจ้องมองเหยื่อ... ทั้งสองร่วมเรียงเคียงหมอนกันมาเนิ่นนานและต่างรู้นิสัยของกันและกันเป็นอย่างดี

                    หากนางมนุษย์ผู้นั้นมีอันเป็นไป จนข้าต้องเสียการย์แล้วล่ะก้อ ข้าจะไม่ไว้หน้าเจ้าเลยจำเอาไว้...”

                    ใบหน้าหวานซึ้งเป็นนิจ บัดนี้เปลี่ยนสีเป็นซีดเผือดในชั่วอึดใจ ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนมาเป็นแดงก่ำด้วยฤทธิ์กรุ่นโกรธหึงสา ลืมสิ้นโทษทัณฑ์ที่อาจได้รับหากทำสิ่งใดขัดใจผู้เป็นสวามี

                    ข้าก็ขอให้นางมีประโยชน์ต่อแผนการของท่านเพียงอย่างเดียวเท่านั้นก็แล้วกัน อย่าได้มีประโยชน์ในด้านอื่น เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าเองก็ไม่ยอมละเว้นท่านเช่นกันพระนางกล่าวเสียงสะบัดแล้วก็ผละจากไปทันที พร้อมด้วยเหล่านางแทตย์ผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง

                    อัศกะมองตามหลังชายาแห่งตนไปอย่างระอา ผสมผสานกับความรำคาญในอาการหึงหวงไร้สาระของนาง ซึ่งนับวันจะเพิ่มพูนขึ้นทุกทีและทุกครั้งที่เขาพอใจหญิงอื่น ทั้งที่เรื่องนี้ไม่มีความหมายอื่นใดเลย นอกจากความพอใจชั่วครั้งชั่วคราวของท้าวเธอเท่านั้น ในขณะที่นางเองก็ยังคงนั่งแท่นเป็นชายาดุจเดิม... จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษหันมามองคนสนิทช้า ๆ ซึ่งอีกฝ่ายดูท่าจะกลืนหายไปกับอากาศธาตุแล้วตอนนี้ ด้วยพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปขวางสงครามวาทะระหว่างผู้เป็นเจ้าชีวิตและชายานั่นเอง

                    เราจะทำประการใดต่อไปขอรับ ควรส่งข่าวให้อัสยุชทราบเรื่องนางในเดี๋ยวนี้ดีรึไม่?”

                    ยังก่อน... เจ้าคงไม่ลืมหรอกนะมาตยัน ว่านอกจากท้าวติสสะจะไม่ยินยอมพร้อมใจกับการที่ข้าจะขึ้นครองรสาตลแทนเขาแล้ว เรายังต้องรับมือกับทูตวารีอีกด้วย และแม้พระศุกร์จะไม่ปรารถนาให้อัสยุชสืบทอดต่อจากท้าวติสสะ แต่ข้ายังสงสัยอยู่ว่าเขาจะยินดีกับการที่ข้าจะเป็นผู้ขึ้นครองรสาตลแทนรึไม่...”

                    สายตาของมาตยันได้แต่มองตามผู้เป็นนายไปเงียบ ๆ ด้วยเขาเพียงทำตามคำสั่งของอัศกะเท่านั้น ส่วนเรื่องแผนการร้อยเล่ห์ต่าง ๆ มีเพียงจ้าวอัคคีเท่านั้นที่คิดและวางหมากเอาไว้ในใจเพียงลำพัง...

     

                    เจ้าจะไปที่ใดรึ อัสยุช?” ชายชราศีรษะขาวโพลนเอ่ยถามน้ำเสียงอ่อนล้า เมื่อเห็นชายหนุ่มเจ้าของนามขยับกายลุกขึ้นจากที่นั่ง ทำท่าจะก้าวจากไป ไม่สนใจนางแทตย์ทานพและเหล่าผู้รับใช้ทั้งหลายที่อยู่รอบกายแม้แต่น้อย สายตาฝ้าฟางของท่านผู้เฒ่าจับนิ่งอยู่ที่ผู้เป็นหลานชาย ร่างสูงซึ่งดูอ่อนล้าตามวัยที่ล่วงเลยของท้าวติสสะขยับตัวเชื่องช้า  ความเย็นชาของอัสยุชไม่ลดน้อยลงเลย แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านมาหลายกัปกัลป์แล้วก็ตาม

                    นับสองราตรีแล้วที่อัสยุชพำนักอยู่กับท้าวติสสะ... ชายชราใบหน้าเหี่ยวย่น หากแววตามีความแสนกลซ่อนอยู่อย่างน่าประหลาดนักในสายตาของผู้เป็นหลานชาย... บุตรแห่งอัศรีมองผู้ซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนแท่นประทับอลังการ สมฐานะผู้เป็นใหญ่ในบาดาลชั้นนี้อย่างไร้ความรู้สึก แววตาที่ทอดมองไปยังท่านผู้เฒ่าเฉยเมยดุจเดิม หากไม่เป็นด้วยเผลอตกปากรับคำรามานนเอาไว้ เห็นทีเขาคงไม่ย่างกรายกลับมาที่นี่อีกเป็นแน่

                    ว่าอย่างใดเล่า?... เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าถามรึ?” น้ำเสียงของจ้าวผู้ครองรสาตลไม่ใช่คำถาม หากเป็นคำสั่งแฝงมาในน้ำเสียงแหบพร่าเพราะอาการป่วยไข้ ซึ่งกระแสเสียงของอัสยุชก็ไม่ดีไปกว่าผู้เป็นตาเลยเช่นกัน

                    ข้าจะไปเดินเล่น

                    ดวงตาของชายชราเป็นประกายพึงพอใจบางอย่าง ก่อนเหลือบมองไปยังดรุณีน้อยที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปจากตนนักนั้นนิดหนึ่ง... นางเป็นหลานสาวของนิมมารกะและเป็นสตรีที่ท้าวเธอหมายมั่นให้เป็นคู่ตุนาหงันของอัสยุช เกตุวดีจะเป็นผู้ช่วยลบล้างสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ของชายหนุ่ม ด้วยนางมีเชื้อสายของอดีตผู้ครองรสาตลมาก่อนนั่นเอง และด้วยเหตุนี้เหล่าอสูรทั้งหลายย่อมไม่คัดค้านสวามีนาง หากเขาผู้นั้นจะขึ้นครองแดนบาดาลสืบต่อจากท่าน

                    งั้นก็ดีน่ะสิ... เกตุวดี...” ท้าวเธอหันไปกล่าวกับนางแทตย์น้อย

    เจ้าก็ไปคลายอารมณ์พร้อมกันกับหลานข้าเสียเลย เฝ้าดูแลข้ามาตลอดทั้งวันน่าจะได้พักผ่อนบ้างนะ

                    ใบหน้าคมสันหันไปมองสตรีผู้ซึ่งถูกเอ่ยถึงนิดหนึ่ง คิ้วเข้มของอัสยุชยกขึ้นในอาการผิดสังเกต ด้วยไม่ใช่เรื่องปกตินักที่ท้าวติสสะจะยุ่งวุ่นวายกับกิจส่วนตัวของผู้อื่นอย่างนี้ยิ่งตัวเขาด้วยแล้ว ใบหน้าอ่อนเยาว์หากไร้เขี้ยวยาวของนางแทตย์น้อยแดงระเรื่อขึ้นมานิด ๆ เมื่อสบตาคมกล้าของชายหนุ่ม บุตรแห่งอัศรีเพียงหยุดเท้ารอท่าอยู่โดยไม่คิดเชื้อเชิญหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ทว่าภายในใจเขากลับมีภาพใบหน้าของหญิงสาวอีกนางปรากฏขึ้นมาในความคิดทีละนิด ๆ จนเด่นชัดกลางใจที่แข็งกร้าว กระทั่งยามนี้มันแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นท่วมท้นหัวใจ

                    ข้ารับปากท่านลุงในการดูแลปรนนิบัติท่านจ้าวอยู่แล้ว และข้าก็เต็มใจอย่างยิ่งเจ้าค่ะน้ำเสียงนางฟังคล้ายหญิงสาวผู้กำลังเอียงอาย ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแดงก่ำห้ามไม่อยู่ สายตาไม่มั่นใจของนางลอบมองบุรุษ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหลานชายเพียงตนเดียวของท้าวติสสะอย่างประหม่า นางรู้ถึงจุดประสงค์ของชายชราเป็นอย่างดีและลึกลงไปในใจแล้ว เกตุวดีก็ไม่คิดรังเกียจแม้จะรู้ชาติกำเนิดของอีกฝ่ายอยู่แล้วเต็มอก...

    นับแต่นางเข้ามารับใช้ท้าวติสสะตามคำขอร้องของนิมมารกะ นางแทตย์น้อยก็ได้รู้จักกับอัสยุชผ่านทางลมปากของท้าวติสสะมาตลอด... จากคำกล่าวขานมากมายในทางเลวร้ายของเหล่าแทตย์ทานพที่กลัวเกรงบุตรแห่งพระนางอัศรี และถ้อยคำเยินยอถึงความสง่าผ่าเผยของท่านท้าวผู้เฒ่า ทำให้หัวใจที่ไร้เจ้าผู้ครอบครองของนาง ซึ่งมิเคยได้รู้รสแห่งรักจะตกเป็นของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่เคยพบเห็นชายหนุ่มเพียงแวบเดียว เมื่อครั้งที่อัสยุชมาพบผู้เป็นตาก่อนออกจากรสาตลไปในครั้งนั้น แม้จะไม่คิดฝันว่าจะมีวันได้พบเจอกับเขาอีกครั้งก็ตาม

                    พูดอะไรเช่นนั้น... คนหนุ่มคนสาวมัวหมกตัวอยู่กับคนแก่ก็คงเฉาตายกันพอดี เจ้าออกไปเดินเล่นกับอัสยุชเถิด ข้าเองก็จะได้เอนหลังสักพักชายชราเอ่ยพลางแย้มยิ้มจนผิดวิสัยของผู้ป่วยไข้ ซึ่งกิริยาอาการนี้ก็มิได้หลุดพ้นไปจากสายตาอันแหลมคมของผู้เป็นหลานชายเลย ในขณะที่นางแทตย์น้อยยังคงเจรจาต่ออย่างเคอะเขิน ไม่กล้าเหลือบมองไปยังอัสยุชนานนัก ด้วยเกรงเขาจะไม่พอใจ

                    ตะ... แต่...” ความลังเลของนาง ทำให้ใบหน้าเคร่งขรึมของอัสยุชน่ากลัวมากขึ้น แต่เกตุวดียังไม่ทันตัดสินใจอย่างใดและทั้งสองยังไม่ทันก้าวออกมาจากห้องนั้น รามานนก็ก้าวเข้ามาภายในเสียก่อนด้วยความร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด... หัวใจของอัสยุชกระตุกวาบด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง การมาถึงของอีกฝ่ายเร็วกว่ากำหนดที่ควรจะเป็น หากการเดินทางกลับปัญจาบของรามานนและอมาวสีจะเป็นไปอย่างราบรื่น... หรือจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง!... แต่พอจะเอ่ยปากถาม รามานนก็ชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อนพร้อมอาการเหนื่อยหอบอย่างน่าเห็นใจ

                    อะ... อัสยุช!... ข้ามีเรื่องยุ่ง ๆ จะแจ้งให้เจ้ารู้...” สีหน้าคนพูดซีดเผือดและว้าวุ่น

                    ทว่าสีหน้าคนฟังเครียดขึงน่ากลัวกว่าหลายเท่า แต่ยังไม่ทันที่อัสยุชจะเอ่ยสิ่งใดออกไป ผู้เป็นใหญ่ใน    รสาตลก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน ด้วยกระแสเสียงที่ไม่พอใจนัก เพราะเหมือนชายหนุ่มทั้งสองจะลืมไปแล้วว่าพวกตนไม่ได้อยู่ตามลำพัง หากแต่มีท้าวติสสะและเกตุวดีรวมทั้งข้ารับใช้อื่นอีกมากมายรายล้อมอยู่ด้วย

                    รามานนรึ?... ไยเจ้าเพิ่งมาถึงในเมื่ออัสยุชก็กลับมาได้สองราตรีแล้วเช่นนี้ ถ้อยคำของท้าวเธอทำให้ความสนใจของทานพหนุ่มพุ่งมาที่เจ้าชีวิตแห่งตน ด้วยกังวลที่มีต่อความปลอดภัยของอมาวสี ทำให้รามานนไม่ทันเห็นท้าวติสสะ กระทั่งลืมแสดงความน้อมนบต่ออีกฝ่ายเสียสนิท เขาจำต้องหันไปทำความเคารพผู้เปรียบเสมือนบิดาและอาจารย์ในที่สุด

                    ท่านจ้าว... ข้าต้องทำกิจบางอย่างซึ่งอัสยุชมอบหมายให้ เป็นเหตุให้กลับมาล่าช้ากว่าที่ควรขอรับ

                    คำตอบที่ได้รับไม่ทำให้ชายชราเข้าใจในกิริยาท่าทางคล้ายโลกจะแตกของอัสยุช ทว่าท้าวเธอยังมิทันได้ถามไถ่ผู้รับใช้แห่งตน รามานนก็หันกลับไปยังอัสยุชอีกครั้งซึ่งอีกฝ่ายกำลังจ้องตอบมาคล้ายอยากฆ่า และหากเป็นคนอื่นคงพยายามที่จะหลีกห่างจากชายหนุ่มแล้ว

                    ข้าเสียใจที่ข้าต้องบอกว่าอมาวสี... นางหายไป!” สีหน้าของรามานนเต็มไปด้วยความยุ่งยากใจพร้อมยอมรับผิดแต่โดยดี

                    ใบหน้าที่เคร่งขรึมอยู่แต่เดิมของอัสยุชเครียดเขม็งมากขึ้น จนเกตุวดีอดกลัวขึ้นมาไม่ได้ คำบอกเล่าเกี่ยวกับการเดินทางกลับปัญจาบของรามานนและอมาวสีพรั่งพรูออกจากปากทานพหนุ่ม และแม้ผู้รับใช้ในท้าวติสสะจะอัถาธิบายทุกอย่างให้อีกฝ่ายทราบอย่างละเอียด อัสยุชกลับยังคงยืนนิ่งขึงดุจเดิม ความเงียบจู่โจมรอบกายคนทั้งหมดในบัดดล ท้ายที่สุดบุตรแห่งอัศรีก็พูดขึ้นว่า

                    ข้าน่าจะรู้ว่านางจะไม่มีวันยอมทำตามคำสั่งของผู้ใดง่าย ๆน้ำเสียงของเขาแผ่วเบาก็จริง ทว่ามันแฝงแววคุกคามอย่างน่ากลัว ร่างสูงสง่าหมุนตัวแล้วก้าวจากมาทันทีด้วยความร้อนใจ โดยมิใส่ใจต่อผู้ใดหรือแม้แต่รามานนที่ซอยเท้าถี่ ๆ ตามมาไม่ห่างนั้น

                    ข้าได้สอบถามพระแม่ธรณีแล้ว และคำตอบที่ได้ก็คือ... อมาวสี นางไม่ได้อยู่ในเขตปกครองแห่งพระนาง!” คำพูดของรามานนลอยวนอยู่ในอากาศ ก่อนที่ร่างของชายทั้งสองจะหายลับไปจากสายตาของผู้ซึ่งถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...

    ท้าวติสสะขมวดคิ้วมุ่นไม่สบอารมณ์นักกับข่าวที่ได้รับฟังจากรามานนในครั้งนี้ หากในใจเกตุวดีนั้นหวั่นไหวปวดแปลบพิกล พร้อม ๆ กับนึกสงกายิ่งนักว่า... อมาวสีนางนี้คือใครกัน...

     

                    พบนางหรือไม่?” รามานนรีบถาม เมื่อเห็นอัสยุชก้าวเข้ามาในห้องอันเป็นที่พักผ่อนหย่อนอุราของท้าวติสสะ ซึ่งขณะนี้ท้าวเธอกำลังประทับอยู่ ณ ที่นี้เช่นกัน พร้อมด้วยนิมมารกะและเกตุวดีผู้เป็นหลานสาว...

                    บุตรแห่งอัศรีส่ายหน้าเนิบนาบแทนคำตอบ พลางทรุดกายนั่งลงบนตั่งข้าง ๆ แท่นประทับของท้าวติสสะในอาการอ่อนล้า เขาและรามานนตามรอยอมาวสีมาจนถึงชายหาดที่เคยค้างแรม ก่อนที่อัสยุชจะตัดสินใจให้นางกลับปัญจาบพร้อมรามานน แต่ทั้งสองไม่อาจค้นหานางพบได้ ทว่าร่องรอยการต่อสู้ ณ บริเวณใกล้เคียงที่พบเห็นนั้น กลับทำให้ทั้งอัสยุชและรามานนรู้สึกกังวลหนักยิ่งขึ้นในหัวอก เขาจึงแยกกันกับรามานนเพื่อออกค้นหานาง ส่วนจะพบหรือไม่ก็แล้วแต่ให้มาพบกันที่รสาตล... อัสยุชมิอาจค้นหาอมาวสีได้ แม้จะถามไถ่ทั้งพระแม่ธรณีและพระ สมุทร ชายหนุ่มจึงมีความหวังอยู่ที่รามานน แต่แล้วเมื่อมาพบกับคำถามนี้ของอีกฝ่าย เขาก็รู้โดยไม่ต้องเอ่ยถามว่ารามานนเองก็ไม่พบตัวธิดาท้าวโมฆราชเช่นกัน... ความเงียบงันจากอาการหมกมุ่นของอัสยุชชวนอึดอัดนักสำหรับคนรอบข้าง ทำให้ทุกคนในที่นั้นอึดอัดแม้แต่ท้าวติสสะเองก็ยังรู้สึกได้

                    ผู้เป็นใหญ่แห่งรสาตลเฝ้ามองสองชายอย่างใคร่รู้ แต่ที่ทำให้ชายชราพิศวงนักก็คือ... ความกระสับกระส่ายที่อัสยุชมีให้กับข่าวการหายตัวไปของสตรีผู้มีนามว่า... อมาวสีนั่นเอง... ชายชราอยากรู้นักว่านาง

    เกี่ยวพันเช่นไรต่อผู้เป็นหลานชาย เหตุใดอัสยุชผู้จองหองเย็นชาต้องร้อนรนถึงเพียงนี้ แม้ในใจของท้าวเธอจะนึกรู้แล้วว่าดรุณีผู้นั้นมีความหมายต่อผู้เป็นหลานชายไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งมันทำให้ท้าวติสสะวิตกนิด ๆ เพราะแผนการของท่านที่เตรียมไว้ให้อัสยุช อาจไม่สัมฤทธิ์ผลก็เป็นได้หากมีนางผู้นั้นมาคอยทำให้ไขว้เขวเช่นนี้

                    อมาวสี?... นางเป็นผู้ใดกัน... เหตุใดพวกเจ้าต้องร้อนรนวุ่นวายใจ เพียงแค่การหายตัวไปของนางด้วย?” เมื่ออดรนทนไม่ไหว ท้าวเธอก็เอ่ยถามตามสงสัยทันทีในอาการรำคาญ ไม่แยแสคำเตือนแผ่วเบาของนิมมารกะ พร้อมอาการกระสับกระส่ายของเกตุวดี ยามเมื่อนางสังเกตเห็นร่างสูงสง่าของอัสยุชเกร็งเครียดขึ้นมากะทันหัน

                    รามานนมองไปที่อัสยุชอย่างลำบากใจ ทว่าคนถูกมองกลับขยับลุกจากที่นั่งอย่างไม่ให้ความสนใจต่อสายตาของใครที่มองมาสักคน

                    เจ้าจะไปตามหาหญิงผู้นั้นอีกรึ?!”

                    ท่านเจ้าขอรับ...” นิมมารกะเอ่ยลังเล ก่อนจะลอบสบสายตาบ่งบอกความอึดอัดกับผู้เป็นหลานสาว ซึ่งนางเพียงขยับตัวด้วยความระส่ำระส่ายเท่านั้น

                    น้ำเสียงแสดงถึงความไม่พอใจมากล้นของท้าวติสสะ ทำให้เท้าทั้งสองของอัสยุชหยุดชะงักลง พร้อมกับหันมาสบตากับท่านผู้เฒ่านิ่งแน่วและรอคอยเงียบ ๆ

                    ท้าวเธอเองก็ไม่ยี่หระต่อสายตาที่ทำให้แทบผงะของชายหนุ่มผู้เป็นหลานชาย ทุกสิ่งที่ทำล้วนเพื่อบุตรแห่งธิดาตนเดียวของตนเท่านั้น และการที่อัสยุชจะมีใจให้หญิงซึ่งมิใช่พงศ์เผ่าอสุระเช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการขึ้นครองรสาตลเป็นแน่... สุดท้ายจ้าวแห่งรสาตลก็เอ่ยออกมาว่า

                    เท่าที่ฟังมานางเป็นมนุษย์มิใช่หรือ?... มนุษย์กับ...” ยังมิทันที่ท้าวเธอจะเอ่ยปากจนจบประโยค เสียงกระด้างห้วนสั้นของอัสยุชก็ดังแทรกมา พร้อมประกายไฟในดวงตาที่ลุกโชนน่ากลัวเสียก่อน

                    ข้าเป็นอะไร?!” ท่าทีเย็นชาเป็นนิจ บวกกับแววตาที่ลุกโรจน์คล้ายสัตว์ร้ายที่ถูกรบกวน ทำให้ทุกคนแทบผงะ ดูราวกับมีกระแสร้อนแรงประหลาดแผ่ออกมาจากร่างของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของคำพูดกระนั้น พร้อมกันนั้นความเจ็บช้ำอ้างว้างแบบเดิม ๆ ก็ผุดขึ้นมาในดวงตาสีนิลของเขาชั่ววูบ เหมือนสายลมพัดผ่านรวดเร็วจนไม่มีใครสังเกตเห็น หากว่าน้ำเสียงของอัสยุชยังคงคุกคามน่าครั้นคร้ามเฉกเช่นเดิม

                    ท่านช่วยบอกข้าหน่อยเถิดว่าควรจะเรียกข้าว่าอะไรดี?!... ควรจะจัดวางข้าไว้ที่ใดในไตรโลกนี้!” สายตาที่มองสบมาของชายหนุ่ม มีทั้งความเจ็บปวดโกรธกรุ่นและน้อยใจปนเปยากแยกแยะ น้ำเสียงถัดมายังคงราบเรียบ ทว่ากลับสั่นคลอนทุกอารมณ์ความรู้สึกผู้ฟังอย่างดีเยี่ยม ขณะความเงียบราวต้องสาปกำลังเกาะกุมพวกเขาเหล่านั้นอยู่ยามนี้

                    ท่านจะจัดข้าไว้ที่ใดตามแต่ใจท่าน... แต่ข้าขอบอกว่าที่ข้ากลับมารสาตลครั้งนี้ ไม่ได้เพียงเพื่อมาฟังคำสั่งสอนของผู้ซึ่งละทิ้งข้าไปในยามที่ข้าต้องการ ข้าไม่ได้กลับมาเพื่อให้ใครมันบงการชีวิตของข้า หากว่าจะมีผู้ใดคิดเข้าข้างตัวเองแล้วล่ะก้อ นับเป็นครั้งแรกที่อัสยุชเอ่ยประโยคยาว ๆ กับชายผู้เป็นญาติเพียงคนเดียวของเขา ทว่ามันไม่ใช่คำพูดในแบบฉบับที่ท้าวติสสะปรารถนาได้ยินจากปากเขาเลยแม้แต่น้อย สายใยบาง ๆ ระหว่างท่านผู้เฒ่าและหลานชายดูเลือนราง มันกำลังจะขาดสะบั้นในเดี๋ยวนี้กระนั้น...

    ร่างสูงหมุนตัวผละจากไปในอาการที่เรียกได้ว่าปึงปัง เหมือนเด็กซึ่งถูกขัดใจปล่อยให้ใครต่อใครมองตามไปด้วยความสะเทือนใจเท่านั้น

    จองหอง!... เจ้ามันก็เหมือนกับเชื้อแถวของเจ้านั่นแหละ!...” น้ำเสียงเดือดดาลของท้าวติสสะสะท้อนสะเทือนแทบทำให้บัลลังก์แก้วถล่มทลาย ไม่มีวี่แววของชายชราผู้กำลังลาโลกเลยสักนิด

    ขะ... ข้าจะตามไปอธิบายให้อัสยุชเข้าใจในตัวท่านจ้าวนะเจ้าคะ...” เพียงเท่านั้นเกตุวดีก็รีบผลุนผลันลาจากไปด้วยความร้อนใจและห่วงใยในตัวชายที่นางมีใจให้ทันที เหลือเพียงรามานน และนิมมารกะเท่านั้นอยู่ข้างกายจ้าวแห่งรสาตล

                    ข้าพอจะรู้ว่าท่านคิดการใดอยู่...” คำพูดของรามานนทำให้ชายชราละสายตาจากบานประตู ซึ่งอัสยุชและเกตุวดีเพิ่งจากไปนั้นมายังคนพูดช้า ๆ ก่อนจะแลเลยไปยังนิมมารกะบ้าง

                    อัสยุชไม่โง่ และไม่หัวอ่อนอย่างที่ท่านต้องการนะขอรับท่านจ้าวนิมมารกะเอ่ยบ้าง แววตาของชายกลางคนผู้เคยเป็นคู่หมายของพระนางอัศรีมีเงาหม่นมาทาบทับ พร้อมคำถามเรื่อยเปื่อยในหัวใจ... หรืออดีตจะหวนกลับมาซ้ำรอยเดิมกันเล่า...

                    อย่างนั้นรึ?...” ชายชราที่เคยนอนเอนกายอยู่บนเตียงอย่างผู้ที่ไร้เรี่ยวแรง ขยับกายลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง แม้น้ำเสียงและแววตาจะผิดกับกิริยาท่าทางที่มองเห็นก็ตาม

                    แล้วเจ้าทั้งสองเห็นเป็นเช่นไรบ้างล่ะ?”

                    ความเงียบคือคำตอบของนิมมารกะ ทว่าสำหรับรามานนแล้วเขากลับหันไปชำเลืองมองประตูบานที่เกตุวดีเพิ่งจากไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเบาด้วยความเกรงใจ และเคารพรักในตัวนิมมารกะซึ่งมีไม่แพ้กันกับที่มอบให้ท่านผู้เฒ่า

                    ท่านก็รู้เท่ากับข้าว่าอัสยุชย่อมต้องปฏิเสธแน่ และผู้ที่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ...” ทานพหนุ่มหยุดนิ่งนิดหนึ่งพลางลอบมองไปยังชายกลางคนข้างกาย ซึ่งยังคงนิ่งเงียบราวกำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งตนก่อนพูดสืบไปว่า

    เห็นจะไม่พ้นนางนั่นเอง

                    แม้ท้าวเธอจะเห็นจริงตามคำของทานพหนุ่ม แต่ท่านผู้เฒ่าก็ยังปักใจเชื่อว่าความเป็นกุลสตรีดีพร้อมของเกตุวดีและความคู่ควรกับอัสยุชตามเผ่าพันธุ์ จะทำให้ชายหนุ่มหันมามองเห็นถึงข้อนี้ แล้วเปลี่ยนใจมารักใคร่ชอบพอกับนางแทตย์น้อยผู้นี้ก็เป็นได้ แต่สิ่งที่ท่านต้องทำยามนี้ก็คือ... ทำให้อัสยุชมองเห็นประโยชน์ในอันที่จะรับเกตุวดีมาเป็นคู่ครองต่างหากเล่า...       

    ขณะที่ท้าวติสสะเฝ้าครุ่นคิดอยู่นั้นรามานนและนิมมารกะก็ได้แต่มองสบตากันอย่างเข้าใจ ความกังวลลึก ๆ ปรากฏอยู่ในใจของทั้งสอง ด้วยต่างรู้แจ้งถึงแผนการทุกสิ่งแห่งท้าวเธอ ทั้งเรื่องที่หมายมั่นจะให้อัสยุชขึ้นครองรสาตล โดยอาศัยการวิวาหะกับเกตุวดีรวมทั้งเรื่องอาการป่วยที่ไม่มีมูลความจริง เพื่อเป็นเหตุให้อัสยุชกลับคืนสู่รสาตล ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นความต้องการของท้าวติสสะทั้งสิ้น แม้จะรู้ทั้งรู้ ทว่าทานพหนุ่มก็มิอาจห้ามหรือแม้แต่บอกเล่าความจริงนี้ให้อัสยุชรับรู้ได้ เขาจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ด้วยความวิตกกังวล... ดูท่าความวุ่นวายกำลังจะก่อตัวขึ้นแล้วในดินแดนบาดาลชั้นนี้...

     

                    ท่านไม่เข้าใจรึว่าการให้อัสยุชขึ้นครองรสาตลก็เท่ากับทำลายรสาตล!” พระศุกร์กล่าวขึ้นน้ำเสียงกระด้างอย่างไม่พอใจ เมื่อพระองค์มาพบกับท้าวติสสะเพื่อปรึกษาหารือเรื่องผู้สืบทอดรสาตลต่อจากท้าวเธอ ทว่าอีกฝ่ายกลับดื้อรั้น รังแต่จะมอบตำแหน่งจ้าวผู้ครองบาดาลแดนนี้ให้หลานชายคนเดียวร่ำไป ทูตวารีเสนอชื่อแทตย์ทานพมากมาย ซึ่งล้วนมีคุณสมบัติเพียบพร้อมตามพงศ์พันธุ์แห่งอสุระทั้งหลายให้ท้าวติสสะ แต่จ้าวผู้ครองรสาตลกลับมิยอมเห็นพ้องด้วยแม้แต่นิดเดียว

                    ท้าวติสสะเอนกายพิงพนักแท่นที่ประทับพลางหลับตาลงอย่างอ่อนล้า แต่แท้จริงแล้วท้าวเธอต้องการหลบจากผู้ที่อยู่ต่อหน้ามากกว่า ปากยังพร่ำพูดออกมาเสียงเรียบ

                    ข้ามีหลานเพียงผู้เดียว ท่านก็รู้นี่นา...”

                    ท่านมีเชื้อสายอื่นอีกนับไม่ถ้วน แม้มิได้สืบสายเลือดโดยตรง แต่ก็เหมาะสมกว่าอัสยุชที่เป็น...” คำพูดของทูตวารีหยุดชะงักลงเพียงนั้น เหมือนคำที่กำลังจะเอ่ยออกมาเป็นคำต้องห้ามกระนั้น

                    อย่างไรก็ตาม ข้าขอยืนกรานคำเดิม...” ท้าวติสสะตัดบทเพียงเท่านั้น ก่อนยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงไล่อาคันตุกะของตนให้ออกไป พร้อมกับยุติการเจรจาลงเพียงแค่นั้น โดยปล่อยให้พระศุกร์ได้แต่งุ่นง่านอยู่เพียงลำพัง

                    เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์ที่จะทำการใด ทูตวารีก็ได้แต่ก้าวจากมาอย่างมิพอใจในการเจรจาครั้งนี้นัก ในใจก็เฝ้าแต่ก่นด่าผู้เป็นใหญ่ในรสาตลด้วยความเดือดดาลเท่านั้น เจ้าแห่งทักษิณปราคโชยติษก้าวออกมาจากปรางค์แก้ว ตรงไปสมทบกับปาณทพซึ่งยืนคอยท่าอยู่หน้าลานกว้าง บริเวณทวารทางเข้าบัลลัง์แก้ว ก่อนจะสาวเท้าผ่านแทตย์หนุ่มไปอย่างเงียบ ๆ ด้วยใบหน้าบึ้งตึงอย่างน่ากลัว

                    ผู้เป็นศิษย์สาวเท้าตามอาจารย์ไป แต่มิวายเอ่ยถามน้ำเสียงใคร่รู้ ทั้งที่พอเดาออกว่าผลการเจรจาเป็นเช่นไร

                    ผลการเจรจาได้ความว่าอย่างใดขอรับ ท่านอาจารย์?”

                    ริมฝีปากของชายกลางคนเม้มแน่นเกือบเป็นเส้นตรง แทนคำตอบทูตแห่งสายน้ำกลับเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิดว่า

                    ตาแก่หัวดื้อ!... เขาไม่รู้หรอกว่าการทำเช่นนั้นจะนำความวิบัติมาสู่รสาตล ซ้ำมิหนำอาจนำภัยมาสู่แดนบาดาลที่เหลืออีกด้วย!” จ้าวแห่งทักษิณปราคโชยติษก้าวออกมาจากสถานที่ส่วนในตามทางเท้า สู่สวนไม้กอกว้างโดยมีปาณทพก้าวตามมาติด ๆ แล้วชายทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักลง ณ ที่นั้น เมื่อพวกเขาต้องมาเผชิญหน้ากับใครคนหนึ่งซึ่งเดินสวนมาพอดี

                    ร่างสูงของอัสยุชะงักฝีเท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าในอาการประหลาดใจนิด ๆ เมื่อพบกับผู้เป็นอาจารย์ และศิษย์ร่วมอาจารย์ ต่างฝ่ายต่างนิ่งอึ้งขณะมองสบตากันด้วยความรู้สึกหลากหลายยากจะบรรยาย ความรู้สึกยามนี้ของอัสยุชราวเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด... เขายังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับพระศุกร์ในเพลานี้ ด้วยรู้ดีว่าตนผิดคำสัตย์สาบานที่ให้ไว้ และก่อนที่ชายหนุ่มจะทำความเคารพผู้เป็นอาจารย์ พระศุกร์ก็เอ่ยขึ้นมาเสียก่อนอย่างไม่เป็นมิตรว่า

                    เจ้ากลับมาเพื่อประโยชน์อันใด ในเมื่อให้สัจจะวาจาแก่ข้าไว้แล้ว?”

                    ข้าจำเป็นต้องกลับมาดูแลผู้เป็นตา

                    สีหน้าของท่านผู้อาวุโสมีแต่ความกระอักกระอ่วนใจ ขณะตอบมาน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งบนเขาหิมาลัย เหมือนไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์มาก่อนกระนั้น

                    เจ้าไม่ควรกลับมาเลย อัสยุช...” แล้วทำท่าจะก้าวจากไป แต่ทว่า...

                    ท่านให้นาคะตามฆ่าข้าด้วยเหตุใด?” อาจด้วยความคับข้องใจทำให้คำถามโง่ ๆ นั้นหลุดออกมาจากปากชายหนุ่ม กว่าจะรู้ตัวเขาก็ไม่สามารถเก็บมันกลับคืนมาได้

                    ร่างหนาของจ้าวแห่งทักษิณปราคโชยติษหมุนตัวกลับมามองคนถามเชื่องช้า ๆ

                    ก็เพราะข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ยอมรักษาสัจจะน่ะสิ และมันก็เป็นจริงดังที่ข้าคิดไว้ไม่มีผิด” ทูตแห่งวารีเอ่ยแล้วก็ก้าวต่อไปจนลับสายตา ทิ้งเพียงความอึดอัดสับสนไว้ให้ชายหนุ่มเท่านั้น...

     

                    ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเขียวมรกตก้าวออกมาจากบัลลังก์แก้ว โดยมีปาณทพก้าวตามมาไม่ห่าง ความคิดหมกมุ่นของท้าวเธอทำให้ชายกลางคนไม่ได้ใส่ใจว่า พวกตนทั้งสองออกมาจากปรางค์แก้วแล้วตอนนี้... ความหนักหน่วงในจิตใจกำลังจู่โจมพระศุกร์ จนแทบมองไม่เห็นเหล่าศิษย์อีกสี่ตนที่รอคอยอยู่ภายนอกกำแพง

                    ท่านอาจารย์ ข้าเห็นว่าเราควรกำจัดอัสยุชเสีย ไม่น่ามามัวเสียเวลาหวั่นเกรงตาแก่นั่นเสียงแหลมเล็กของเนปาลีแว่วมาด้วยความกระหยิ่ม ครานี้แลนางจะเอาหัวอัสยุชมาเซ่นสังเวยวิญญาณของนาคะให้จงได้...

    แต่มันกลับทำให้ผู้เป็นอาจารย์จ้องเขม็งมาที่นางอย่างตำหนิ ด้วยทูตวารีรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการแก้แค้นส่วนตัว จ้าวแห่งทักษิณปราคโชยติษมองดูศิษย์แห่งตนแต่ละคนแล้ว ให้นึกถึงผู้ที่เพิ่งจากมานัก ในบรรดาศิษย์มีเพียงอัสยุชเท่านั้นที่รับถ่ายทอดทุกสิ่งจากท่านได้อย่าครบถ้วน ทั้งฝีมือด้านพระเวทและความสุขุมรอบคอบ เสียดายแต่ชายหนุ่มไม่ใช่ผู้มีสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้น เพราะหากเป็นเช่นนั้นพระศุกร์จะเป็นคนแรก ที่จะสนับสนุนให้อัสยุชขึ้นครองรสาตลสืบต่อจากท้าวติสสะ ทูตน้ำปัดความคิดส่วนตัวของตนทิ้งไป ก่อนจะหันมากล่าวกับศิษย์ทั้งหลายอย่างใจเย็นว่า

                    เราต้องใจเย็น หากคิดทำการใดที่เป็นผลร้ายต่ออัสยุชในยามนี้ ท้าวติสสะย่อมไม่อยู่เฉยแน่และข้าก็ยังไม่อยากให้เกิดศึกภายใน จนเป็นเหตุให้แดนบาดาลวุ่นวายอันจะเป็นผลดีต่อเหล่าเทพทั้งหลายได้

                    แล้วเราจะทำเช่นไรต่อไปขอรับ?... ในเมื่อท่านอาจารย์ก็รู้ดีเท่า ๆ กับเราว่าท้าวติสสะไม่ได้เจ็บป่วยจริงอย่างที่แสร้งทำ เช่นนี้แล้วอัสยุชมันจะได้จากไปเมื่อใดเล่า หรือเราต้องยอมให้มันอยู่ข้างกายท้าวติสสะ จนเหล่าแทตย์ทานพทั้งหลายเปิดใจยอมรับมันในที่สุดกันคำถามของสวันตรงใจพระศุกร์นัก

    ถูกของสวันนะท่านอาจารย์แล้วสุริยันต์เอ่ยขึ้นบ้างอย่างแสดงความคิดเห็น ในขณะศิษย์ตนอื่นยังคงรอท่าคำสั่งผู้เป็นอาจารย์เท่านั้น

                    องค์พระศุกร์นึกถึงท้าวติสสะแล้วก็ให้ขัดใจยิ่งนัก... ชายชราผู้นั้นยังยืนกรานแต่คำเดิม ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหากให้อัสยุชครองรสาตลจะเกิดสิ่งใดขึ้น... มีเพียงความวุ่นวายเท่านั้นที่ทูตวารีมองเห็น... ทว่าคำตอบของผู้เป็นอาจารย์ยังคงเป็นเช่นเดิม จ้าวแห่งทักษิณปราคโชยติษหันไปหานางแทตย์ผู้เป็นศิษย์อีกตน ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างใคร่รู้ว่า

                    มุจรินเจ้าเคยบอกข้าว่า... อัสยุชเดินทางกลับมาพร้อมรามานน แล้วเหตุใดเจ้าทานพนั่นจึงได้กลับมาภายหลังอัสยุชเล่า?”

                    อัสยุชใช้ให้รามานนไปส่งสตรีนางหนึ่ง ที่เมืองปัญจาบในแดนมนุษย์เจ้าค่ะ

                    เจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับอัสยุชดีแท้มุจรินคำพูดถากถางและเหน็บแนมจากเนปาลี ทำให้มุจรินชักสีหน้าไปที่อีกฝ่ายทว่านางนาคาจะใส่ใจก็หาไม่... ความโกรธแค้นแทนพี่ชายยังสุ่มอยู่ในอก... ก็ไม่ใช่เพราะนางแทตย์ผู้นี้หรอกรึที่เป็นเหตุให้นาคะต้องไปตายในครั้งนั้น... เนปาลีคิดอย่างเจ็บแค้นฝั่งจิต

                    แววตาที่ดุจจะแผดเผาอีกฝ่ายให้มอดไหม้ของมุจริน ยังคงจับจ้องอยู่ที่นางนาคาตนนั้น แม้หญิงสาวจะนิ่งเงียบมิเอ่ยวาจาใดออกไป ยังมิทันที่นางอมนุษย์ทั้งสองจะได้ห้ำหั่นกัน มากไปกว่าแค่ใช้สายตาประหัตประหารกันเอง เสียงตวาดกังวานก้องของผู้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อนในอาการรำคาญ

                    พอทีเถอะเนปาลี มุจริน!... จะทำการใดควรไว้หน้าท่านอาจารย์บ้างสิ้นคำของปาณทพ นางอมนุษย์ทั้งสองต่างจึงจำต้องหุบปากลงฉับพลัน พร้อมเหลือบมองไปยังผู้เป็นอาจารย์ด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น

                    พระศุกร์ได้แต่มองศิษย์ทั้งสองอย่างตำหนิเท่านั้น ด้วยอีกฝ่ายแก่เกินกว่าที่จะดัดเสียแล้ว ทูตแห่งวารีเลือกที่จะหันไปสอบถามมุจรินเพิ่มเติม แทนการว่ากล่าวตักเตือนสตรีทั้งสอง ด้วยยังสงกาในการกลับมาล่าช้าของรามานนอยู่

                    สตรีนางนั้นสำคัญฉันใด ไยอัสยุชถึงกับต้องใช้รามานนเป็นผู้คุ้มครองนางไปด้วยตนเองเช่นนี้?”

                    ความกังวลฉายชัดบนดวงหน้างดงามของมุจริน ด้วยเกรงกลัวแทนอัสยุช

                    นางคงเป็นหญิงที่อัสยุชมีใจให้กระมัง

                    วาจาที่ราบเรียบของเนปาลีไม่มีความหมายใด นอกจากต้องการเสียดสีมุจรินเท่านั้น

                    หุบปากซะ เนปาลี ก่อนที่ข้าจะหมดความอดทนกับเจ้า!... ข้าต้องการฟังทุกสิ่งที่มุจรินจะกล่าวแก่เข้าเท่านั้น... ว่าอย่างใดมุจริน?” ประโยคหลังองค์พระศุกร์หันมากล่าวกับนางแทตย์เป็นมั่นเหมาะ

                    มุจรินมองหน้าผู้เป็นอาจารย์ ราวจะกล่าวขอบคุณที่ช่วยจัดการกับปากไม่มีหูรูดของเนปาลี ก่อนจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาเป็นไป ระหว่างอมาวสีและอัสยุชเท่าที่นางรู้ให้อีกฝ่ายรับฟังจนสิ้น

                    หากเป็นดังเจ้ากล่าวมาที่ว่า... อัสยุชถึงกับยอมตัวเป็นข้าช่วงใช้ให้ราธา เพื่อช่วยชีวิตนางมนุษย์ผู้นั้นทั้งที่มิใช่วิสัยของเขา นั่นย่อมแสดงว่านางจะต้องมีความสำคัญของอัสยุชไม่น้อยเลยทีเดียวจ้าวแห่งทักษิณปราคโชยติษเอ่ยอย่างใช้ความคิด พลางหวนนึกถึงวัยเยาว์ของชายหนุ่มหัวข้อสนทนาขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้... หัวใจที่แข็งดุจเพชรของอัสยุช ไม่เพียงแกร่งกล้าหากยังเย็นชาไร้มิตรโดยสิ้นเชิง

                    มุจริน... เจ้าจงไปสืบเกี่ยวกับนางผู้นั้นมา ว่าบัดนี้นางอยู่ ณ ที่ใด และหากเป็นไปได้ให้นำตัวนางมาที่ รสาตลนี้ ทักษิณปราคโชยติษต้องการให้นางมาเป็นแขกสักพัก...”

                    ค่ะ ท่านอาจารย์...”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×