คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4
4
“หยุดเดียวนี้นะโฆษิตา!!... นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันฮึ?!”
เจ้าชายทุษยันต์ทรงดีดพระองค์ลงมาจากหลังม้าทรงขณะรับสั่งถามพระขนิษฐาในพระองค์สุรเสียงดังกังวานก้อง... พระเนตรทรงทอดมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้นซึ่งบัดนี้วินาศสันตะโรราวกับเกิดศึกกลางเมืองอย่างไรอย่างนั้นก่อนจะทรงเบนสายพระเนตรมาจับอยู่ที่มาณพน้อยคู่กรณีของพระน้องนางด้วยสีพระพักตร์เครียดขรึมจนอมาวสีอ่านไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดเช่นไรกันแน่กับเหตุการณ์ตรงหน้า
อมาวสีจับตามองชายหนุ่มผู้มาใหม่อยู่ก่อนแล้วนับแต่เขามาถึง ณ ที่แห่งนี้... เครื่องประดับตกแต่งกายของผู้ซึ่งเพิ่งมาถึงบอกให้มาณพน้อยรู้ว่าทั้งสองคงเป็นพี่น้องกันหรือไม่ก็ต้องร่วมเดินทางมาพร้อมกันเป็นแน่...
“เจ้าพี่?!... ไอ้จัณฑาลผู้นี้มันลบหลู่น้องเพคะ!” เจ้าหญิงลดพระหัตถ์ลงแล้วถอยห่างออกมาจากคนตรงหน้าก่อนจะรับสั่งกับพระเชษฐารัวเร็ว
“เจ้าทำเช่นนั้นจริงรึ?...”
“ไยพระองค์ต้องไปเสวนากับมันด้วย?!...”
พระนางโฆษิตารับสั่งอย่างไม่พอพระทัยในองค์เชษฐาทว่าเจ้าชายเพียงแค่เหลือบพระเนตรเคืองขุ่นมาที่ผู้เป็นขนิษฐาสีพระพักตร์บึ้งตึงอย่างทรงตำหนิอยู่ในทีส่งให้พระนางมิกล้ารับสั่งสิ่งใดออกไปอีกแล้วยุวราชแห่งปัญจาบจึงทรงหันพระพักตร์กลับมาที่มาณพน้อยอีกครั้ง
“ว่าอย่างใดล่ะ?...”
“ก่อนอื่นข้าพระองค์ขอทูลถามในบางสิ่งก่อนจะได้หรือไม่?”
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามมาด้วยดีอมาวสีจึงยอมอ่อนข้อให้
และเจ้าชายทุษยันต์ก็ทรงพยักพระพักตร์อนุญาตตามนั้นมาณพแปลงจึงเอ่ยต่อไปว่า
“คำพูดของจัณฑาลจะทรงเชื่อได้หรือ?”
ถ้อยคำของเด็กหนุ่มทำให้เจ้าชายทรงเขม้นมองไปที่ผู้พูดราวกับจะจับพิรุธว่าอีกฝ่ายต้องการยั่วพระอารมณ์หรือไม่แต่เมื่อทรงพบแต่ความว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งที่จะบ่งบอกความนัยตามที่ทรงดำริพระองค์จึงตรัสตอบออกไปว่า
“จะวรรณะใดก็เป็นคนด้วยกันฉะนั้นเจ้าก็มิต้องกังวล แล้วเราก็จะเชื่อและฟังในสิ่งที่เป็นความจริงเท่านั้น”
“ถึงกระนั้นวาจาของจัณฑาลก็มักไม่มีผลนักเมื่อจักเทียบกับวรรณะอื่น ๆ”
“นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะแก้ไข...”
“คงจริงดังคำของพระองค์” อมาวสีเอ่ยอย่างเห็นด้วยเป็นครั้งแรกกับคนตรงหน้า
“เอาเถิด... หากการเอ่ยอ้างว่าเกล้าหม่อมฉันนั้นอยู่ในวรรณกษัตริย์เฉกเช่นพระองค์จะทำ
ให้มีวาจาสิทธิ์มากขึ้น และจะเป็นที่เชื่อถือได้ยิ่งกว่าที่เป็นหม่อมฉันก็จะขอกราบทูลว่าหม่อมฉันเป็นกษัตริย์มิใช่จัณฑาลอย่างที่ถูกเรียกขาน...” ธิดาท้าวโมฆราชกล่าวหนักแน่นมิยอมหลบสายพระเนตรแห่งองค์ทุษยันต์แม้แต่นิด...
“มันต้องโป้ปดเป็นแน่เพคะเจ้าพี่!...”
พระนางโฆษิตาซึ่งทรงนิ่งเงียบมานานรับสั่งขึ้นอย่างไม่ทรงเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมีศักดิ์ และสิทธิ์ทัดเทียมกับพระองค์ตามที่กล่าวมา
“มาตรแม้นเป็นขัตติยราชจริงจงท่องบ่นขัตติยมายามาแก่ข้าในกาลนี้”
พระนางรีบฉวยโอกาสนี้เอาไว้ทันทีที่จะแก้เผ็ดอีกฝ่ายด้วยขัตติยมายานั้นหามีผู้ใดได้ร่ำเรียนไม่นอกจากเชื้อชาติกษัตริย์ราชนิกูลเท่านั้น
และแม้เจ้าชายทุษยันต์จะทรงรู้พระทัยในพระน้องนางดีว่าทรงคิดเช่นไร แต่ด้วยความที่พระองค์พระทรงอยากจะรู้ว่ามาณพน้อยผู้นี้จะเป็นคนพูดจาเพ้อเจ้อไร้ความน่าเชื่อถือหรือไม่นั่นเองจึงทรงเห็นดีตามที่พระขนิษฐาตรัสมา
“อันที่จริงไม่จำเป็นเลยที่เจ้าจะต้องกล่าวอ้างถึงเรื่องนี้... แต่เมื่อเจ้าเอ่ยมาแล้วเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าจะต้องพิสูน์ตนเองว่าอย่างน้อยเจ้าก็มิได้มดเท็จเรื่องนี้”
กว่าจะรู้ตัวว่าพูดมากเกินไปแล้วอมาวสีก็ไม่อาจถอนตัวได้ในเดี๋ยวนั้นนางจึงพนมมือระลึกถึงผู้เป็นอาจารย์ก่อนจะท่องบ่นขัตติยมายาออกมาเสียงเบา ๆ แก่สองกษัตริย์ตั้งแต่ต้นจนจบทุกกระบวนความเลยทีเดียว
พระนางโฆษิตาประจักษ์เช่นนั้นแล้วสีพระพักตร์ที่ทรงกระหยิ่มยิ้มหย่องเมื่อครู่นี้ก็เผือดสีไปในทันใดด้วยการณ์มิเป็นเช่นดังที่ทรงหวังไว้
“เราต้องขออภัยที่มิรู้ว่าพระองค์จักเป็นถึงราชนิกูล... วาจาที่กล่าวกับพระองค์จึงดูไม่งามนัก”
ถ้อยดำรัสจากองค์ทุษยันต์แม้จะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแต่สำหรับอมาวสีแล้วมันช่างฟังดูราวกับมิใช่ตัวนางกระนั้นใบหน้างามจึงปรากฏรอยยิ้มกระดากกระเดื่องขึ้นมาอย่างห้ามมิได้... รอยยิ้มของอีกฝ่ายทำให้สีพระพักตร์ขององค์ทุษยันต์เปลี่ยนไปทันใด แต่มันก็มีอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้นก่อนที่มันจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม...
“รับสั่งกับหม่อมฉันเช่นเดิมเถิดเพราะแม้หม่อมฉันจะเป็นราชนิกูลแต่หาได้มีเศวตฉัตร ราชบัลลังก์เวียงวังเฉกเช่นพระองค์ไม่” อมาวสีกล่าวออกมาจากใจจริง
องค์ทุษยันต์แม้จะทรงสงกาในถ้อยคำของผู้อยู่เบื้องพระพักตร์สักเพียงใดแต่ด้วยเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมายังค้างคาอยู่พระองค์จึงทรงรับสั่งถามถึงการณ์นั้นเป็นเรื่องแรกอีกครา
หญิงสาวในร่างของเด็กหนุ่มจึงกราบทูลให้พระองค์ทรงสดับความตามจริงทุกสิ่งไป
“เจ้าจะว่าอย่างใดหากเราจะขอฟังความจากชาวบ้านบ้างด้วยจะให้เราฟังความข้างเจ้า แล้วรวมเอาสภาพที่เกิดขึ้นรอบกายมาตัดสินความดูจะไม่ยุติธรรมเท่าใดนัก?”
“แล้วแต่พระองค์จะทรงโปรดพะย่ะค่ะ...”
แล้วยุวราชแห่งปัญจาบแคว้นก็ทรงเบิกตัวชาวบ้านผู้อยู่ในเหตุการณ์ซึ่งอาสาจะให้ปากคำต่อพระองค์หนึ่งคนจนเสร็จสิ้นการซักถาม...
“หากเป็นเช่นนั้นจริงผู้ผิดก็คือเจ้านะน้องหญิง...” ทรงหันมารับสั่งต่อขนิษฐาแววพระเนตรขุ่นมัว
“งั้นเจ้าพี่ก็ทรงลงพระอาญาน้องเสียเลยสิเพคะ!...”
รับสั่งกระเง้ากระงอดพระพักตร์บึ้งตึงจนหมดงามแต่องค์ทุษยันต์มิทรงตอบถ้อยรับสั่งนั้นแห่งพระนางกลับทรงหันพระพักตร์มามองมาณพน้อยอีกครา
“เด็กน้อยก็ปลอดภัย... ส่วนพระองค์ก็ไม่พบอันตรายแต่อย่างใดเช่นนี้แล้วยังคิดจะเอาผิดกับขนิษฐาแห่งเราหรือไม่?”
“ข้าพระองค์มิคิดจะเอาผิดกับผู้ใด และมิได้ทำร้ายใครไยจึงถูกทหารกลุ้มรุมจับตัวเล่า?...”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้โอรสแห่งองค์นันทะชักสีพระพักตร์ไปที่ขนิษฐาอย่างมิพอพระทัยในความรู้ใหม่นี้ยิ่งขึ้น...
“เช่นนั้นเราขอให้ยุติกันเพียงเท่านี้ก็แล้วกัน...”
พระองค์รับสั่งสิ้นก็เสด็จดำเนินจากไปทันทีพร้อมกับทรงคว้าข้อพระหัตถ์ขององค์ขนิษฐากลับไปพร้อมด้วย
อมาวสีมองสองขัตติยราช และเหล่าองครักษ์หายลับไปจากสายตาจึงหันมาสนใจหญิงกลางคนพร้อมด้วยเด็กหญิงผู้เป็นลูกนั้นกล่าวขอบอกขอบใจตนอยู่ขณะนี้....
“เจ้าพี่ทำเช่นนี้คิดจะให้น้องได้อับอายใช่ไหมเพคะ?!...” เจ้าหญิงโฆษิตาตรัสกับพระเชษฐาอย่างทรงฉุนเฉียวเมื่อทั้งสองพระองค์เสด็จกลับมาถึงที่ประทับซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านแล้ว...
“ข้าต่างหากที่ควรกล่าวเช่นนั้น!” องค์ทุษยันต์รับสั่งตอบด้วยพระทัยเดือดปานกันก่อนจะทรงย่างพระบาทออกจากพลับพลาที่ประทับไปทิ้งให้เจ้าหญิงโฆษิตาอยู่กับความร้อนรุ่ม และน้อยพระทัยเพียงลำพัง
เจ้าชายเสด็จไปได้ไม่ไกลจากที่ประทับนักทหารรับใช้ในพระองค์ก็มาถวายรายงานว่า บัดนี้กองพลอัศวนึกในความควบคุมของศนิวารที่ถูกส่งออกมาปฏิบัติภารกิจลับแห่งองค์พระราชบิดาขอเข้าเฝ้าพระองค์ก็ทรงอนุญาตตามนั้นก่อนจะทรงเสด็จกลับยังกระโจมที่ประทับแห่งพระองค์
“เป็นอย่างใดบ้างล่ะท่านศนิวาร?” รับสั่งถามอย่างทรงห่วงใยเมื่อแม่ทัพแห่งกองพลอัศวเมธก้าวเข้ามาในที่ประทับแล้วขณะนี้พลางถวายบังคมต่อท้าวเธออย่างน้อบน้อม
“พระเจ้าข้า... ด้วยข้าพระองค์ได้รับมอบหมายให้มาปฏิบัติภารกิจในพระราชบิดาแห่งพระองค์จนกาลได้ล่วงเลยมาถึงบัดนี้กิจนั้นลุล่วงไปได้เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้นพระเจ้าข้า”
ผู้มากด้วยวัยวุฒิถวายรายงานโดยมิได้กล่าวถึงตื้นลึกหนาบางแห่งภารกิจนั้นแต่อย่างใดซึ่งองค์ทุษยันต์เองก็ทรงมิคิดจะไต่ถามให้อีกฝ่ายต้องอึดอัดใจเพราะหากองค์นันทะผู้เป็นพระราชบิดาต้องการจะบอกเล่าให้พระองค์ทรงทราบแล้วไซร้ท้าวเธอก็คงจะทรงแย้มพรายพระกุศโลบายนี้ให้พระราชโอรสสดับด้วยพระองค์เอง แต่นี่เป็นเพียงพระดำริส่วนพระองค์ของเจ้าชายเท่านั้นองค์นันทะหาได้คิดเห็นเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ไม่ด้วยหากทรงรับรู้เรื่องราวทุกอย่างแล้วจะทรงยอมรับได้กระนั้นหรือ...
“แล้วเหตุใดท่านจึงมิอาจปฏิบัติตามพระราชประสงค์ในองค์บิดาแห่งเราได้?... หรือมีเหตุขัดข้องประการใดก็จงแจ้งแก่เรามาเถิด...”
“สมแล้วที่ปัญจาบมีพระยุพราชเช่นพระองค์” ศนิวารเอ่ยด้วยใจจริงเพราะรู้ถึงพระอัธยาศัยแห่งพระองค์ซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับพระราชบิดา
“การย์ที่ได้รับมอบหมายมานั้นมีข้อผิดพลาดบางประการคือสิ่งที่องค์นันทะราชมีพระประสงค์ถูกคนผู้หนึ่งนำติดตัวหลบหนีไปพะย่ะค่ะ...”
กล่าวเสริมพร้อมกับนึกถึงผู้ที่ตนเอ่ยถึงอย่างไร้สาเหตุ... หากด้วยใจที่เป็นธรรมแล้วนางเองก็เปรียบดังขนิษฐาแห่งองค์ทุษยันต์ และราชบัลลังก์แห่งปัญจาบก็ควรเป็นของนางตามกฎมณเฑียรบาลหาใช่ของนันทะไม่ ขณะที่ศนิวารมัวแต่คิดคำนึงถึงผู้ครอบครองอันชอบธรรมแห่งบัลลังก์ปัญจาบอยู่นั้นเสียงกระพรวนกังวานใสราวระฆังเงินที่ดังขึ้นอยู่ภายนอกกระโจมดังกล่าวก็บอกให้เขาทราบถึงการมาของเจ้าหญิงโฆษิตาได้เป็นอย่างดี แล้วอึดใจต่อมาร่างงามโสภาอรชรอ้อนแอ้นของสตรีนางหนึ่งก็ก้าวเข้ามาภายในกระโจมที่ประทับแห่งองค์ทุษยันต์อย่างถือวิสาสะ...
แม่ทัพแห่งกองพลทหารม้าหันไปยังผู้มาใหม่พร้อมกับถวายบังคมต่ออีกฝ่ายในใจก็ให้นึกเปรียบเทียบเจ้าหญิงทั้งสองพระองค์อยู่เงียบ ๆ มิได้...
คนหนึ่งงามล้ำจริยวัตรแช่มช้อยสมเป็นขัตติยนารี พระพักตร์ยามแย้มยิ้มผุดผ่องยิ่งเดือนเพ็ญใครพบเห็นเพียงชั่วแวบก็อดที่จะชื่นชมเหลียวมองตามพระองค์มิได้ แต่ทว่ายามใดที่พระทัยถูกรบกวนความงามที่มีก็แทบหมดสิ้น
ส่วนอีกคนนั้นไซร้ไร้ซึ่งเศวตฉัตรที่พึงมี พระจริยวัตรผิดขัตติยนารีโดยทั่วไปไม่อรชรอ้อนแอ้นดังดรุณีน้อยหากองอาจสง่างามสมเป็นขัตติยราชตระกูล แลพระพักตร์ก็งดงามเลอลักษณ์ยิ่งเทียมกันดวงเนตรก็แวววาวราวมณีล้ำค่ายากจะหาผู้ใดเทียบได้ ส่วนน้ำพระทัยนั้นเขามิอาจตัดสินได้ด้วยพบกันเพียงครั้งเดียวแต่ก็เป็นครั้งเดียวที่พอจะบอกให้รู้ได้ว่าพระนางนั้นทรงมีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้เป็นอาจารย์อีกทั้งยังทรงกล้าหาญยิ่งหาไม่แล้วคงไม่ยอมเสี่ยงเข้าค่ายโจรเพียงลำพังพระองค์เดียวเป็นแน่
“ของสิ่งนั้นสำคัญนักหรือ?... แล้วคนผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน?” เจ้าชายทุษยันต์รับสั่งถามอย่างทรงใคร่รู้ ความคิดของแม่ทัพกลางคนหยุดชะงักลงเพียงนั้นเมื่อถ้อยรับสั่งจากผู้เป็นเจ้าชีวิตดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ของสิ่งนั้นสำคัญหาน้อยไม่พระเจ้าข้า... และเป็นภารกิจแห่งข้าพระองค์ที่จะต้องนำมันกลับคืนมา แล้วคนผู้นั้นก็...” ศนิวารนิ่งคิดนิดหนึ่งอย่างชั่งใจว่าควรพูดเกี่ยวกับสตรีนางนั้นหรือไม่แต่แล้วเขาก็กล่าวออกมาในที่สุด
“นางนำของสิ่งนั้นหลบหนีไปเกล้าหม่อมฉันแกะรอยตามมาจนถึงหมู่บ้านแห่งนี้แหล่ะพระเจ้าข้า...”
“นาง?!... คนผู้นั้นเป็นหญิงหรอกรึท่านศนิวาร?...” ประโยคนี้พระนางโฆษิตาทรงเป็นผู้รับสั่งขึ้นมา
แม้แม่ทัพแห่งกองทหารม้าจะรับรู้ได้ถึงกระแสเสียงดุจหมิ่นแคลนจากพระนางแต่ก็ยังนิ่งเฉย และเอ่ยตอบกลับมาด้วยดี
“พระเจ้าข้า... นางเป็นศิษย์ของเจ้าพราหมณ์เฒ่าโคตมะที่ทรยศต่อพระราชบิดาแห่งพระองค์นั่นเอง”
“นี่ท่านจับกุมแม้แต่สตรีนางหนึ่งก็หาได้ไม่เช่นนั้นรึ?!...”
ถ้อยดำรัสครั้งนี้แม้แต่พระเชษฐาเองก็ยังทรงอดที่จะนึกตำหนิมิได้แล้วผู้ซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์สองกษัตริย์นี้เล่าจะทนได้หรือ
แต่ทว่าศนิวารก็ต้องอดกลั้นเอาไว้แม้ในใจจะฮึดฮัดที่ถูกเด็กเมื่อวานซืนเอ่ยวาจาดูหมิ่นครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความที่ตนเป็นข้ารองบาทนั่นเอง
“โฆษิตา!... เจ้ามิบังควรกล่าววาจาเช่นนี้กับท่านศนิวารถึงอย่างไรเสียท่านศนิวารก็มีวัยวุฒิมากกว่าพี่ และเจ้า”
เจ้าหญิงคนงามพระพักตร์งอง้ำเป็นครั้งที่เท่าใดก็ไม่ทราบแล้วในวันนี้ไม่ว่าพระองค์จักทรงทำสิ่งใดเป็นต้องทรงขัดพระทัยพระเชษฐาร่ำไป
ฝ่ายพระเชษฐานั้นกลับมิทรงใส่พระทัยหันไปรับสั่งกับแม่ทัพคนเดิมอีกครั้งแทน
“เราต้องขออภัยท่านแทนน้องหญิงด้วยนางยังเด็กนักจึงมิรู้การอันควร” เมื่อองค์ทุษยันมีดำรัสอย่างขอลุแก่โทษต่อตนเช่นนี้นายทหารม้าวัยกลางคนจึงมิคิดจะติดใจเอาความใด ๆ
“ข้าพระองค์มิบังอาจดอกพระเจ้าข้า...”
“เรื่องภารกิจของท่านนั้นจะให้เราช่วยค้นหาตัวนางผู้นั้นหรือไม่?”
“หามิได้พระเจ้าข้า... หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าก็เพื่อถวายพระพรตามหน้าที่บ่าวที่พึงมีต่อผู้เป็นนายเมื่อทราบว่าพระองค์เสด็จมาก็เท่านั้นมิกล้ารบกวนเบื้องยุคลบาทดอกพระเจ้าข้า...”
เจ้าชายทุษยันต์ทรงมีพระปฏิสันถานกับศนิวารสักพักอีกฝ่ายจึงถวายบังคมลาเพื่อออกเดินทางต่อไป...
“นี่อะไร?...”
อมาวสีมองดูม้าหนุ่มสีน้ำตาลไหม้มีขนสีขาวปุกปุยแซมอยู่ตรงกลางแสกหน้าของมันนั้นอย่างสงกาก่อนจะร้องถามออกไปยังคนตัวสูงที่ยืนจับสายบังเหียนอยู่ขณะนี้ อัสยุช และอมาวสีต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อร่ำลาครอบครัวของซาฮีโดยไม่ลืมที่จะขอบคุณพวกเขาซึ่งให้ที่พักแก่พวกตนด้วยอีกฝ่ายจักต้องแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตนเช่นที่เคยทำอยู่ทุกวันตั้งแต่สุริยะมิทันได้ชักรถ....
แต่ดูเหมือนอัสยุชจะไม่เข้าใจในคำถามของคนตรงหน้าคิ้วเข้มหนาดกดำจึงขยับขึ้นราวจะถามว่าอะไรที่ว่านั่นหมายถึงอะไรกันแน่ มาณพน้อยจึงก้าวฉับ ๆ เข้าไปใกล้ชายหนุ่มพร้อมกับใช้นิ้วจิ้มไปที่เจ้าม้าตัวนั้นก่อนจะถามออกไปอย่างฉุนเฉียวว่า
“ก็เจ้าซื้อม้ามาเพื่อการใดเล่า?!”
“ทางข้างหน้ายังอีกไกลหากเดินเท้าคงอีกหลายสิบราตรีกว่าจะถึงที่หมาย ข้าจึงคิดว่าหากใช้ม้าเดินทางเราอาจใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปักษ์”
“แล้วเหตุใดเจ้าซื้อมันมาเพียงตัวเดียวเยี่ยงนี้?” นางถามขณะจ้องไปที่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ
“ข้าเป็นแค่คนพเนจรไม่มีเหรียญทองมากพอจะซื้อม้าได้ถึงสองตัวหรอก...” ตอบพลางมือก็จัดการตระเตรียมสัมภาระบนหลังเจ้าอาชาตัวดังกล่าวไปเรื่อย
“งั้นเจ้าจักให้ข้าเดินไปรึอย่างไร?!...” คำพูดของนางทำให้ชายหนุ่มหันกลับมามองที่นางอย่างรำคาญนิด ๆ ขณะมองสบมาราวกับกำลังเห็นคนโง่ยืนอยู่ตรงหน้ากระนั้น
“ข้าว่าเจ้าเลิกเดาสุ่มได้แล้วนะ...” เขาหันไปผูกอานม้าอีกครั้งขณะปากก็ยังพร่ำพูดสืบไปว่า
“จะหาประโยชน์อันใดไห้หากข้าขี่ม้าแล้วปล่อยให้เจ้าเดินเท้าไปซึ่งการเดินทางก็ยังคงล่าช้าเช่นเดิม?”อัสยุชหันกลับมาอีกครั้งก็พบเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามจากเด็กหนุ่มจึงกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า
“ข้ากับเจ้าจะใช้ม้าตัวเดียวกันมันจะช่วยให้ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก...”
อมาวสีได้ฟังดังนั้นจึงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ แต่การที่ต้องนั่งม้าตัวเดียวกันกับอีกฝ่ายนี่สิที่ทำให้หญิงสาวกลุ้มหนักเข้าไปอีกคิดแล้วร่างบางที่ยืนขบคิดอยู่เมื่อครู่นี้ก็ทำท่าว่าจะเดินจากไป
“แล้วนั่นเจ้าจะไปที่ใดกัน?!...” เสียงร้องเรียกของอัสยุชทำให้มาณพจำแลงชะงักก่อนจะหันมาตอบคำถามอีกฝ่าย
“ข้าจะไปซื้อม้า!...” คำตอบที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มจ้องมองมาที่คนตรงหน้าอย่างเอาจริงเอาจังทีเดียว
“เจ้ามีเหรียญทองมากมายนักหรือไง?”
ศิษย์แห่งโคตมะมองผู้พูดแล้วเห็นจริงตามนั้นเพราะเดิมทีก็ใช่ว่านางจะมีฐานะร่ำรวย และเหรียญทองที่มีอยู่นี้ก็แค่พอให้จับจ่ายได้เฉพาะของกินเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น แต่ยังมิทันที่ธิดาท้าวโมฆราชจะกล่าวตอบมาว่ากระไรอัสยุชก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า
“ไปยามนี้ตลาดก็วายหมดแล้วล่ะ” เขากล่าวถึงตลาดของหมู่บ้านซึ่งจะมีการค้าขายเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้นเมื่อถึงเพลาสายตลาดที่เคยมีผู้คนพลุกพล่านก็จะกลายสภาพสู่ความเงียบสงบไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมาด้วยต่างก็มีกิจประจำวันของตนนั่นเอง
“มาเถอะเราต้องไปแล้ว...” ชายหนุ่มกล่าวชักชวนเมื่อพร้อมที่จะออกเดินทาง
อมาวสีมองไปที่เจ้าอาชาหนุ่มอย่างลังเล และลำบากใจนิด ๆ ก่อนจะก้าวไปตามคำเชิญนั้นอย่างมิมีทางเลือก อัสยุชมองใบหน้าที่แสดงถึงความอึดอัดใจเต็มกำลังของคนที่ขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยความช่วยเหลือของเขาอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนักแล้วจึงกระโดดดีดตัวขึ้นไปนั่งคร่อมเจ้าพาชีนั้นอีกคน ชายหนุ่มบังคับม้าให้ควบไปข้างอย่างชำนาญการ และไม่ยอมพูดจาอะไรกับเพื่อนร่วมทางแห่งตนอีกเลย....
ความคิดเห็น