คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4
4
“นี่คือบุตรแห่งอัศรีรึ?” น้ำเสียงอาทรของชายชรา หากยังคงความแข็งแรงเอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ดังขึ้น ทำลายความเงียบที่กดดันระหว่างเด็กน้อยและนิมมารกะ
อัสยุชหันมามองสำรวจผู้เป็นเจ้าของคำถามประโยคนั้น ในอาการอยากรู้อยากเห็นขณะนิมมารกะยังกล่าวสืบไปว่า
“ใช่ขอรับ... ท่านอาจารย์คงรู้แล้วว่าเด็กคนนี้มาที่นี่ด้วยเหตุใด”
“พวกเขาเรียกท่านว่าทูตวารีรึ?...” คำถามของเด็กชายเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากชายทั้งสอง
“ถูกต้องทีเดียวอัสยุช แต่ทุกคนล้วนรู้จักข้าในนามแห่งพระศุกร์ นับจากนี้ไปข้าจะเป็นผู้ซึ่งดูแลเจ้าเอง...” และนับจากนั้นบุตรแห่งอัศรีก็คือหนึ่งในศิษย์เอกแห่งองค์พระศุกร์นั่นเอง...
ความคิดของทูตวารีเหมือนจะชะงักงันยามนึกมาถึงจุดนี้ กระนั้นภาพความหลังก็ไม่ยอมเลือนรางจากใจไปง่าย ๆ กลับแปรเปลี่ยนเป็นภาพครั้งเก่าก่อนเมื่อไม่นานมานี้แทน... หลังจากถูกนำพามาฝากไว้ ณ ทักษิณปราคโชยติษ จากเด็กชายผู้เงียบขรึมผ่านวันผ่านคืนเนิ่นนานหลายกัปกัลป์ กระทั่งเติบใหญ่เป็นบุรุษหนุ่มฉกรรจ์ กระนั้นความเย็นชาไร้ไมตรีต่อผู้ใดในตัวอัสยุชก็ไม่ได้หดหายหรือลดน้อยลงเลย แม้แต่ช่วงเวลาที่เขาจำต้องละทิ้งดินแดนใต้บาดาลแห่งนี้ไปด้วยคำสั่งอันร้ายกาจก็ตาม...
“เหตุใดข้าต้องไปจากรสาตลด้วยเล่า?” เสียงของชายหนุ่มราบเรียบก็จริง ทว่าแววตาสีนิลกาฬแวววับพร้อมกระแสเจ็บช้ำซึ่งถูกลบหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสำนึกรู้ว่าตนถูกหันหลังให้อีกครั้งจากผู้ซึ่งเรียกขานว่า...อาจารย์มานานหลายกัปกัลป์... ผู้ซึ่งเขาไม่คิดว่าจะมีวันหักหลังความไว้วางใจของตนเยี่ยงผู้เป็นตา... ญาติเพียงตนเดียวของเขา...
พระศุกร์มองตอบผู้เป็นศิษย์ด้วยใบหน้าเย็นชาเฉยเมยราวรูปสลัก อะไรบางอย่างในดวงตาผ่านกาลเวลาของชายกลางคนบอกให้เข้าใจว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาล้วนเป็นการกระทำตามคำสั่ง หาใช่ด้วยความปรานีมีไมตรีจิตต่อเด็กผู้นี้ไม่ อีกครั้งที่ดวงตาสีรัตติกาลเหมือนมีเงาหม่นทาบทับ ขณะจับใจความจากชายกลางคนนิ่งแน่ว
“ข้าทำเพื่อรสาตลและแดนบาดาล รวมทั้งเหล่าอสูรตนอื่น ๆ ถึงเวลาที่เจ้าต้องไปจากที่นี่ซะที จงอย่าได้อย่างกรายกลับมาหากเจ้ายังมีลมหายใจอยู่”
อัสยุชมองชายอาวุโสตรงหน้านิ่งขึง รอบกายของทั้งสองรายล้อมด้วยเหล่าศิษย์ทั้งหลาย แววตาของชายหนุ่มอ่านไม่ออกยามมองชายหญิงเหล่านั้น หากความรู้สึกมากล้นราวพายุที่กำลังหมุนวนด้วยจิตใจที่กำลังสับสนเหมือนจะแผ่กระจายออกมาจากร่างกระนั้น สุดท้ายก็ยอมผละจากมาเงียบ ๆ ทว่า...
“เดี๋ยวก่อน...” เสียงร้องห้ามของชายอาวุโสคนเดิมดังขึ้น ขณะที่มวลอสูรมากมายรอบข้างต่างมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจในการกระทำขององค์พระศุกร์ อาจารย์แห่งอสุระทั้งหลายก้าวเท้าเข้าใกล้ชายหนุ่มผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นแกะดำ พร้อมร่ายเวทบทสั้นในบัดดล!... ทันใดนั้นดาบยาวเกือบหลาก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนมือของชายกลางคน
ดวงตาสีนิลของอัสยุชหรี่ลงน้อย ๆ ในอาการของเสือถูกกระตุกหนวด หากยังสะกดใจยืนนิ่งดุจเดิมด้วยความเคารพที่มีต่อผู้เป็นอาจารย์ซึ่งกำลังลดน้อยลงทุกที เมื่อดาบซึ่งเป็นของสิ่งเดียวที่ผู้เป็นมารดามอบไว้ให้ตกไปอยู่ในมืออีกฝ่าย
“ข้าจำต้องยึดดาบเทวะเล่มนี้เพื่อเป็นสัญญาระหว่างเรา” ทูตวารีกล่าวเสียงเรียบ พร้อมกับร่ายเวทเก็บดาบเล่มนั้นในทันที... ร่างสูงสง่าที่มองมานิ่งเงียบหมุนตัวก้าวจากไปในท้ายที่สุด โดยไม่คิดเหลือบแลมายังชาวเผ่าพันธุ์เดียวกันกับตนสักแวบเดียว...
“ท่านอาจารย์เห็นควรจัดการกับมันอย่างใด?”
ภาพความทรงจำเหล่านั้นมลายหายไปในทันที เมื่อเสียงเรียกข้างกายนำความจริงของปัจจุบันกาลกลับมาสู่จิตใจของพระศุกร์อีกครั้ง ก่อนที่จะหันความสนใจมายังสวันผู้เป็นเจ้าของคำถามนั้นคล้ายคนละเมอ
“เจ้า... เจ้าว่าอย่างใดรึ?...”
“เราถามว่า ท่านอาจารย์เห็นควรให้จัดการกับอัสยุชอย่างไรดีขอรับ...” สุริยันต์ผู้เป็นศิษย์เอกรองจากอัสยุชเอ่ยถาม เขารู้ดีว่าระหว่างอาจารย์แห่งตนและบุตรแห่งอัศรีนั้น มีความผูกพันกันเพียงใดหากทูตวารีก็ยังคงเป็นปุโรหิตแห่งอสูรทั้งหลายอยู่ดี ทุกสิ่งที่กระทำล้วนเพื่อเหล่าอสูรทั้งหลาย โดยไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือความรู้สึกเหล่านี้ได้
“ตัวข้าเห็นว่าควรชิงลงมือก่อนเป็นดีที่สุด” เนปาลีแนะน้ำเสียงเหี้ยมอำมหิต ด้วยต้องการชำระแค้นที่มีต่อชายหนุ่ม ผู้นั้นซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่าดรุณีผู้นี้มีหนี้แค้นใดต่ออัสยุช... แววตาของนางเป็นประกายลุกเรืองน่ากลัวยามนึกถึงนาคะ... พี่ชายเพียงผู้เดียวของนางซึ่งตายจากไปด้วยน้ำมืออัสยุชตามคำบอกเล่าของมุจริน และเมื่อนางนาคสาวนึกถึงสตรีผู้นำความมาแจ้ง ความชิงชังที่มีต่อมุจรินก็ผุดขึ้นมาราวกับภูเขาไฟกำลังรอวันปะทุ มันมากล้นไม่แพ้กันกับที่นางมีต่ออัสยุชเลย
“เจ้าคิดแก้แค้นส่วนตัว...” น้ำเสียงกังวลของมุจรินดังขึ้นอย่างลำบากใจ
รอยยิ้มหยันของเนปาลีกดลึกตรงมุมปาก หาได้ใส่ใจในสีหน้าขู่ขวัญของอีกฝ่ายไม่
“ข้ามีสิทธิ์ที่จะปรารถนามอบความตายให้แก่อัสยุช เพื่อแก้แค้นแทนพี่ชาย มิใช่รึ?”
“หยุดต่อล้อต่อเถียงกันเสียที...” คำตำหนิจากผู้เป็นอาจารย์สร้างความเงียบงันได้ชะงักนัก ทว่าคนพูดดุจกำลังมีความในใจกระนั้น หากก็เอ่ยออกมาในท้ายที่สุดว่า
“ข้าจะรอดูท่าทีของอัสยุชก่อน ว่าการกลับคืนรสาตลครั้งนี้เป็นด้วยเหตุใด และหากเป็นเช่นที่ข้านึกกลัวมาตลอด ยามนั้นแลข้าเองที่จะเป็นคนกำจัดเขาด้วยตัวเอง!” คำพูดนั้นทำให้ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ แม้หัวใจของเนปาลีจะมีแต่ความร้อนรุ่มด้วยไฟแค้นสุมทรวงก็ตาม... ศิษย์ทุกคนต่างรู้ดีว่าแม้พระศุกร์จะพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อความคงอยู่ของบาดาลทั้งเจ็ด ทว่าสายใยระหว่างท่านและอัสยุชก็ยังคงอยู่ แม้มันจะเลือนรางแทบมองไม่เห็นก็ตาม... บางทีการกลับคืนมาครั้งนี้ของอัสยุชอาจทำลายสายใยสุดท้ายนั้นให้ขาดสะบั้นลงก็เป็นได้...
ร่างอรชรของสตรีในอาภรณ์ของบุรุษเพศเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ทั้งที่เหนื่อยแทบขาดใจเมื่อนางถูกอมนุษย์ตนหนึ่งผลักให้ก้าวเดินไปข้างหน้าจนเกือบล้มหัวคะมำ ซ้ำมันยังกำชับเสียงกระด้างให้นางเดินให้เร็วขึ้นอีก... ในใจนางนั้นหวาดกลัวสารพัดกับที่แห่งนี้ อีกทั้งผู้คุมร่างบึกหน้าตาดุจยักษ์ทั้งหลาย!... อมาวสีในร่างของดรุณีน้อยเหลียวมองไปรอบกาย ซึ่งทั่วทุกทิศต่างถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดแห่งรัตติกาล จะมีแสงสว่างก็แต่เพียงสุดลูกตา ณ ที่ปลายขอบฟ้าไกลโพ้น สุดเขตแผ่นดินเท่านั้น หมอกจาง ๆ ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศทำให้สถานที่แห่งนี้อับชื้น ผิดกับพื้นพิภพเบื้องบนโดยสิ้นเชิง... ธิดาท้าวโมฆราชถอนหายใจยาวอย่างอ่อนล้า นึกหวนไปถึงการเดินทางกลับปัญจาบพร้อมด้วยรามานนขึ้นมาอีกครั้งอย่างนึกสมน้ำหน้าตัวเอง ทว่านางไม่รู้ควรทำประการใดดีกับการที่ถูกจับกุมตัวมาเช่นนี้ นอกจากได้แต่เสียใจในการกระทำหุนหันพลันแล่นของตนเท่านั้น...
“ข้าอยากหยุดพักสักประเดี๋ยว ได้ไหมรามานน?...” อมาวสีเอ่ยขึ้น เมื่อตนและรามานนแยกทางกับอัสยุชได้หลายชั่วยาม กระทั่งมาถึงชายป่าแห่งหนึ่ง
“แล้วกันสิ เจ้าเพิ่งขอพักเหนื่อยเมื่อไม่ถึงชั่วยามมานี้เองนะ” ชายอาวุโสค้านขึ้นมา แต่ก็ยอมให้นางหยุดพักจนได้
หญิงสาวก้าวห่างจากรามานนออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น เสียงร้องถามอย่างไม่ไว้ใจ ราวกับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของนางก็ดังมาว่า
“แล้วนั่น เจ้าคิดจะไปที่ใดกัน?”
สีหน้านางกระดากกระเดื่องเล็กน้อยกับสิ่งที่กำลังคิดจะทำหากก็ตอบกลับมาว่า
“เอ่อ... ข้าจะไปทำกิจส่วนตัวของสตรี รึเจ้าจะตามไปคุ้มกันข้าด้วยเล่า?”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นชายมากอาวุโสกว่าจึงได้แต่ยิ้มเก้อ ธิดาท้าวโมฆราชจึงแอบถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะรีบก้าวจากมาทันทีและเมื่อพ้นจากสายตารามานนได้เพียงไม่นาน นางก็รีบร่ายเวทย่นระยะทางที่อัสยุชสอนให้ใช้ในยามคับขัน มุ่งหน้ากลับไปยังท้องทะเลอันกว้างใหญ่นั้นอีกครา...
หลายชั่วยามผ่านพ้นหญิงสาวจึงได้มายืนอยู่ ณ หาดสีขาวสะอาด ที่เคยค้างอ้างแรมพร้อมด้วยอัสยุชและรามานนเมื่อราตรีที่ผ่านมา อมาวสีเหม่อมองท้องทะเลเบื้องหน้าอย่างกลัดกลุ้ม นางจะไปยังรสาตลตามคำบอกเล่าของรามานนได้อย่างใด... ความที่มัวแต่ครุ่นคิดหาหนทางมุ่งสู่ดินแดนดังกล่าว เป็นเหตุให้ดรุณีน้อยไม่รู้เลยว่าบัดนี้ รอบกายนางมีอาคันตุกะผู้ไม่ได้รับเชิญมาเยือนอยู่ต่อหน้านางแล้ว กว่าจะสำเหนียกได้ถึงอันตรายก็สายไปเสียแล้ว...
“ข้าจะช่วยพาเจ้าไปยังรสาตลเองก็แล้วกันเจ้าหนุ่ม... หึ หึ ” น้ำเสียงอิ่มเอมในชัยชนะของใครคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้นำเหล่าพลอสูรร้ายดังขึ้น ทำให้ศิษย์แห่งโคตมะหันขวับไปมองยังต้นตอของเสียงนั้นอย่างประหลาดใจเป็นล้นพ้น ดวงตานางเบิกกว้างด้วยไม่ได้เตรียมใจมาพบกับชายผู้นี้ หรือแม้แต่ไพร่พลของเขาแต่อย่างใด!...
มาตยันหัวเราะเสียงดังดุจอาการคำรามของสัตว์ร้าย สายตาเจ้าเล่ห์มองมาณพน้อยตรงหน้าอย่างสมใจ... ดวงตาอมาวสีเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ด้วยไม่คาดการณ์มาก่อนว่าตนอาจพบเจอกับกลุ่มอสูรเหล่านี้ก็เป็นได้ แต่มานึกได้ตอนนี้ก็สายเสียแล้ว... นางละสายตาจากชายฉกรรจ์ใบหน้าดุดันตามพงศ์พันธุ์นั้น เพื่อมองหาทางรอดแห่งตน ทว่ามันกลับถูกปิดตายเอาไว้ด้วยเหล่าชายในร่างสีทองแดงซึ่งกำลังรายล้อมนางอยู่ขณะนี้ กระนั้นธิดาท้าวโมฆราชก็ดึงดันที่จะฝ่าวงล้อมออกไป และตัดสินใจถลาวิ่งจากมาแทบทันที!... มันเป็นความคิดที่ผิดมหันต์... ด้วยฝีเท้ามนุษย์เช่นนางมีหรือจะว่องไวกว่าอมนุษย์ทั้งหลายไปได้ เพียงแค่นางก้าวจากมาไม่ถึงสองก้าวก็ถูกพลังเวทจากมาตยันซัดเข้าใส่อย่างรวดเร็วไร้ปรานี!... เสียงระเบิดแห่งพลังเวทดังกัมปนาท!...
“กรี๊ดด!...” พลังขุมนั้นเฉียดร่างบอบบางในรูปลักษณ์ของมาณพไปอย่างน่ากลัว ทว่ามันหาได้ต้องผิวกายของผู้เป็นเป้าหมายไม่ กระนั้นแรงอัดของอากาศก็ทำให้หญิงสาวเซถลาไปจนล้มคะมำไม่เป็นท่า แต่นั่นไม่ทำให้ผู้นำเหล่าอสูรนึกประหลาดใจมากเท่ากับ... เสียงหวีดร้องแหลมเล็กราวอิสตรีของมาณพน้อยตรงหน้านี้เลย
ขณะที่หญิงสาวมัวแต่ตระหนกจนไม่อาจขยับลุกจากท่าล้มเค้เก้อยู่นั้น แทตย์ตนหนึ่งก็ถลันเข้าจู่โจมและจับกุมตัวนางเอาไว้ได้... มือแข็งประดุจปลอกเหล็กของผู้จับกุมบีบแน่นจนนางเจ็บร้าว พร้อมนึกกลัวว่ากระดูกจะแหลกละเอียดเสียแล้ว แต่ก่อนที่อมาวสีจะได้คิดอ่านการใดต่อไป น้ำเสียงประหลาดใจพร้อมสายตาจับพิรุธของมาตยัน ซึ่งก้าวเข้ามาประชิดดุจเสือร้ายที่เยื้องกรายขู่เข็ญก็ดังขึ้นว่า
“ข้าพอจะรู้แล้วว่าเหตุใดอัสยุชมันถึงได้ห่วงใยในตัวเจ้านัก...” สิ้นคำมือคล้ำของชายชาวรสาตลผู้นั้น ก็ฉกวูบมาพร้อมกับกระชากผ้าโพกผืนนั้นออกจากศีรษะของผู้เป็นเชลยในทันใด สุดที่อมาวสีจะทัดทานไว้ได้ เส้นผมยาวสลวยดำขลับ บ่งบอกความเป็นสตรีเพศของนางตกสยายเต็มแผ่นหลังบอบบาง ดวงตาของเหล่าอสูรเบิกค้างอย่างตะลึงงันในสิ่งที่พบเจอ... มันคือใบหน้าของดรุณีผู้มีความงามยิ่งกว่าใครในหล้าที่พวกเขาเคยพบเห็นมา... ดวงหน้าละมุนของนางแดงก่ำด้วยความกลัวระคนกรุ่นโกรธ
“ปล่อยข้านะ!...” เสียงขู่ของนางไม่เป็นผล ด้วยมันเป็นเพียงสายลมพัดผ่านสำหรับเหล่าศตรูทั้งหลายเท่านั้น
“ข้าน่าจะรับฟังกลิ่นที่จมูกข้าสัมผัสได้ยามเมื่อเข้าใกล้เจ้า...” คนสนิทแห่งอัศกะเอ่ยน้ำเสียงรื่นเริง... เขาควรใส่ใจประสาทสัมผัสชั้นเลิศของเผ่าพันธุ์แห่งตนนับแต่แรกที่ได้เผชิญหน้ากับนาง เพราะหากเขาใส่ใจสักนิดการค้นพบครั้งนี้คงไม่ล่าช้ามาถึงเพลานี้แน่... ประกายตาของมาตยันวาววับขึ้นทันทีกับสิ่งที่ได้พบเจอ พร้อมกันนั้นความคิดร้อยเล่ห์บางอย่างก็กำลังผุดขึ้นมาในสมองของเขาด้วยเช่นกัน... บางทีทูตอัคคีอาจละเว้นโทษทัณฑ์ในความผิดพลาดของการย์ครั้งนี้ของตน หากเขานำตัวดรุณีผู้นี้กลับไปแทนหัวของอัสยุชก็เป็นได้...
“เอาล่ะ... บอกข้ามาเจ้าเป็นใคร มีความสัมพันธ์ฉันใดกับอัสยุช?”
การสวบสวนเริ่มต้นขึ้น ขณะที่เชลยสาวเอาแต่ดิ้นรนขัดขืนอย่างไร้ผล สายตาของนางดุจคมเคียวของพญายมที่พร้อมจะเกี่ยววิญญาณของอีกฝ่ายออกจากร่างหากทำได้ ไม่ยอมตอบคำถามใด ๆ จากชายตรงหน้าแม้แต่คำเดียว
“เจ้าไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียเราก็ต้องรู้อยู่ดี ข้าคิดว่าท่านอัศกะคงพอใจที่ข้านำตัวเจ้ากลับไป แม้จะไม่สามารถนำหัวอัสยุชกลับไปให้ได้ดังหวังก็ตามหึ หึ” เสียงหัวเราะของเขาดังกึกก้อง แฝงนัยน์น่ารังเกียจยิ่งในความรู้สึกของอมาวสี ราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ แทนที่จะเป็นเมื่อหลายชั่วยามก่อน ซึ่งบัดนี้นางจะถูกนำตัวมายังรสาตลแล้ว ทว่าเสียงหัวเราะนั้นยังตามติดอยู่ในโสตประสาทอยู่มิวาย กระทั่งถูกบังคับให้ก้าวข้ามบานประตูหินใต้ท้องมหาสมุทรสู่ดินแดนปริศนาที่เรียกกันว่ารสาตลมาแล้วก็ตาม... ความคิดของธิดาท้าวโมฆราชหวนกลับมาสู่ภาวะคับขันปัจจุบันของตนอีกครา เมื่อเสียงแทตย์ตนหนึ่งดังขึ้นทำลายภวังค์ของนาง...
“ท่านมาตยัน เราเข้าเขตอุดรปราคโชยติษแล้วขอรับ...” เสียงนั้นดังขึ้น ขณะที่ทุกชีวิตกำลังก้าวย่างไปตามเส้นทางรกรื้น เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้กอน้อยใหญ่และตะใคร่น้ำทั้งหลาย ความมืดมิดรอบกายที่รายล้อมอยู่ทำให้ศิษย์แห่งโคตมะนึกฉงนใจนักว่า... พวกเขาสามารถมองเห็นหนทางเดินเท้าได้อย่างไร ในสภาพภูมิประเทศเช่นนี้... หลายครั้งที่นางแทบสะดุดล้มเพราะมองเห็นได้ไม่ถนัดชัดดีนัก แต่ถูกคว้าตัวเอาไว้ได้ซะก่อนที่จะล้มลงไปคลุกฝุ่น... คืนเดือนหงายเป็นเช่นไรรสาตลก็ไม่ต่างจากมันนักหรอก... เสียงบรรยายเกี่ยวกับดินแดนพิศวงแห่งนี้ของรามานนราวจะแว่วมากับสายลมโชยอ่อน หญิงสาวปัดความคิดสับสนของตนทิ้งไปเมื่อสำเหนียกได้ถึงคำว่า... อุดรปราคโชยติษ... ขึ้นมาได้
“อุดรปราคโชยติษ?... พวกเจ้ามิได้กำลังมุ่งหน้าสู่รสาตลหรอกรึ?” ด้วยนางไม่เข้าใจว่าบัดนี้พวกตนกำลังยืนอยู่บนแผ่นดินรสาตลแล้ว และอีกฝ่ายก็เอ่ยถึงอุดรปราคโชยติษทำให้อมาวสีถามออกไปเช่นนั้น ซึ่งมันทำให้มือขวาแห่งอัศกะหันมามองเจ้าของคำถามในอาการเบื่อหน่าย ราวกับนางกำลังเอ่ยสิ่งที่โง่เขลาออกไปกระนั้น ก่อนจะตอบกลับมาเสียงเรียบว่า
“บัดนี้เท้าทั้งสองของเจ้ากำลังเหยียบย่ำอยู่บนรสาตลแล้ว...”
“เช่นนั้นอุดรปราคโชยติษคงเป็นสถานที่ใดสักแห่งซึ่งอยู่ในรสาตลนี้กระมัง และที่ดังกล่าวคงมิใช่ที่ซึ่งอัสยุชพำนักอยู่เป็นแน่” เสียงธิดาท้าวโมฆราชพึมพำกับตน สายตามองกราดไปรอบกายซึ่งมีเพียงความมืดมนอนธการเท่านั้น
ความรู้สึกชื่นชมในความงามของสตรีตรงหน้าคราแรกของมาตยัน แปรเปลี่ยนเป็นนิยมชมชอบในเชาว์ปัญญาของอีกฝ่ายทันที เมื่อนางช่างเข้าใจอะไรได้ง่ายดายโดยไม่ต้องให้เขาอัถาธิบายให้มากความ... แทตย์หนุ่มประจักแก่ใจดีว่านางกลัว แม้ความหวาดหวั่นของหญิงสาวจะถูกผู้เป็นเจ้าของเก็บซ่อนไว้อย่างมิดชิดก็ตาม...
“ฉลาด... สมกับที่เป็นนางในดวงใจเจ้าอัสยุชแท้ ๆ ” คำชมจากอีกฝ่ายทำให้อมาวสีชักสีหน้าอย่างไม่ชอบใจนัก ด้วยความเกี่ยวพันระหว่างนางกับอัสยุช หาใช่สิ่งที่ใครจะนำมาพูดจาวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ แม้จะเป็นไปในทางใดก็ตาม หากมาตยันจะใส่ใจก็หาไม่ เขากลับหันไปสนใจเส้นทางตรงหน้าเงียบ ๆ และมิยอมเอ่ยวาใจใดอีกเลย กระทั่งความเงียบคืบคลานเข้ามาสู่คณะเดินทางอีกครั้ง... ศิษย์แห่งโคตมะแหงนมองดาราบถ ณ เบื้องบนนิ่งนาน... จักมีดวงดาวสักดวงก็หาไม่ มีก็แต่เพียงความสลัวของรัตติกาลเท่านั้น ทั้งที่ยามนี้ควรเป็นเวลาที่พระสุริยาต้องชักรถแท้ ๆ เช่นนี้แล้วพวกนางจะเดินทางท่ามกลางความมืดมนให้ถึงที่หมายได้อย่างไร... หญิงสาวคิดพลางส่ายหน้าอย่างสงกาเป็นยิ่งนัก
“ท่านจะนำตัวข้าไปยังอุดรปราคโชยติษได้อย่างไร ในเมื่อดวงดาราบนนภากาศหามีไม่?” ธิดาท้าวโมฆราชเอ่ยถามตามสงสัยในที่สุด ขณะสาวเท้าไปข้างหน้าพยายามไม่เปิดเผยความหวาดหวั่นที่มีต่ออีกฝ่ายให้ชายตรงหน้าได้รู้
“ข้อนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้...” มาตยันตอบมาเสียงแข็ง สายตามองมายังผู้เป็นเชลยอย่างไม่มั่นใจ... บางทีเขาอาจผิดที่หลงนึกว่านางกลัว...
“อัสยุช มันมิเคยบอกแก่เจ้าเกี่ยวกับรสาตลดอกรึ?” คำถามจากอีกฝ่ายทำให้ริมฝีปากอมาวสีเม้มแน่น หัวใจดวงน้อยอดน้อยใจในตัวอัสยุชขึ้นมาไม่ได้ โดยลืมนึกไปว่า... อาจเพราะความห่วงใยที่มีให้นางนั่นเองทำให้อัสยุชปิดบังเกี่ยวกับรสาตลเช่นนี้... ดรุณีน้อยส่ายหน้าไปมาช้า ๆ สายตามองไปข้างหน้าไร้จุดหมาย ไม่บ่งบอกความรู้สึกอื่นใด แทตย์หนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนถอนหายใจอย่างระอาแล้วเอ่ยออกมาว่า
“รสาตลเป็นถิ่นพำนักของเหล่าอสูรที่เรียกกันว่าแทตย์และทานพ ทั้งสองต่างจากยักษ์และอสูรทั่วไปตรงที่มีรูปกายงดงามดุจเทวา...” ยามเขาเอ่ยมาถึงจุดนี้ อมาวสีอดที่จะเหลียวมองไปรอบกายไม่ได้ และเห็นจริงตามคำอีกฝ่าย... อสูรรอบข้างนาง ล้วนมีใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตร หากเป็นเทพบุตรเถื่อนผู้มีมีเขี้ยวงอกออกมาจนน่าขยาดกลัวนัก
“เรามีผิวกายประดุจทองแดง และเขี้ยวอันบ่งบอกความเป็นอสุระเยี่ยงเผ่าพันธุ์ดั้งเดิม...”
คิ้วเรียวของนางขมวดมุ่น ความคิดหมกมุ่นอยู่ที่ชายสองคน... อัสยุชและรามานนต่างมีรูปลักษณ์ไม่ผิดจากมนุษย์ทั่วไป แม้ผิวกายของทั้งสองจะไม่ต่างจากมาตยันก็ตาม... ความจำนี้ทำให้นางสับสน ด้วยหากทั้งอัสยุช และรามานนเป็นชาวรสาตลแล้วไซร้ เหตุใดทั้งสองไม่มีเขี้ยวดุจอมนุษย์เหล่านี้... ดูเหมือนมือขวาแห่งทูตอัคคีจะอ่านความคิดนี้ของนางได้จึงเอ่ยออกมาอย่างรำคาญว่า
“ที่เจ้าเห็นรามานนในรูปลักษณ์เช่นนั้นก็ไม่แปลกนัก ในเมื่ออสูรมีพระเวทจำแลงกายเจ้าก็น่าจะรู้”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ขยับขึ้นลงเชื่องช้าในท่าใคร่ครวญ
“อัสยุชก็คงใช้พระเวทจำแลงกายเช่นเดียวกันกับรามานนกระมัง”
สีหน้าของมาตยันเปลี่ยนไปในฉับพลัน ร่างเขาดุจชะงักงันไปอึดใจก่อนตอบกลับมาคล้ายคนละเมอว่า
“ไม่ มันต่างกับเรา... ต่างกับเราโดยสิ้นเชิง... อัสยุชคือแกะดำแห่งเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว...”
ดรุณีน้อยสังเกตได้ถึงความกลัว แฝงความรังเกียจเดียดฉันท์ของอีกฝ่ายซึ่งมีต่อชายที่ถูกเอ่ยถึงได้เป็นอย่างดี และยังมิทันที่นางจะได้ไต่ถามให้รู้ความจริง คนสนิทแห่งทูตอัคคีก็ชิงผละจากไปเสียก่อน ทำให้อมาวสีได้แต่เก็บความข้องใจไว้กับตนเงียบ ๆ เท่านั้น...
ปราสาทสีเงินแซมด้วยสีแดงฉาน ซึ่งตั้งตระหง่านง้ำน่ากลัวตรงหน้า ท่ามกลางแมกไม้ในความมืดของดินแดนรสาตลในความรู้สึกของอมาวสีแล้ว ราวกับมันกำลังถูกเปลวเพลิงลุกโหมกระนั้น ยิ่งเดินทางเข้าใกล้มันเท่าใด นางก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความร้อนแรงที่แผ่ออกมาจากมันมากขึ้นเท่านั้น...
มันคือ... ป้อมปราการอันน่าสะพรึงกลัว!... อุดรปราคโชยติษหนึ่งในสี่ป้อมอสูร อันเป็นที่ซึ่งแผ่อำนาจออกมาปกป้องบัลลังก์แก้วเอาไว้ตามคำบอกเล่าของมาตยัน... ระหว่างเดินทาง คนสนิทในอัศกะบอกเล่าและตอบคำถามของนางเพียงน้อยนิดตามอารมณ์ของเขา โดยไม่ยอมกล่าวถึงอัสยุชอีกเลยนับแต่พวกตนเสวนากันเกี่ยวกับเรื่องจุดด่างพล้อยของเผ่าพันธุ์ อันเกิดจากการมีตัวตนอยู่ในบรรณพิภพนี้ของอัสยุช... หากเป็นดังคำของมาตยันแล้วไซร้ บัลลังก์แก้วซึ่งอยู่ที่จุดกึ่งกลางของดินแดนบาดาลชั้นนี้ ย่อมถูกคุ้มกันเอาไว้ด้วยอาคมอันเกิดจากการสร้างอาณาเขตป้องกันจากพลังของป้อมอสูรทั้งสี่ ซึ่งได้แก่... ปัจจิมปราคโชยติษซึ่งบูชาดิน อุดรปราคโชยติษบูชาไฟ บูรพาปราคโชยติษบูชาลม และทักษิณปราคโชยติษบูชาน้ำนั่นเอง
“หากเมื่อใดเขตอาคมหนึ่งใดถูกทำลายลง เมื่อนั้นเขตป้องกันที่แผ่ออกมาคุ้มกันบัลลังก์แก้วก็จะเสื่อมสลายไปเช่นเดียวกัน...” ถ้อยคำสนทนาระหว่างนางและมาตยันผุดขึ้นมาในความคิดอมาวสีทันที ยามนึกมาถึงจุดนี้... ก่อนที่ความทรงจำของนางจะหวนนึกไปถึง ช่วงเวลาที่ได้เสวนากับชายชาวรสาตลขึ้นมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้...
“เขตอาคมที่ว่านี้ จักช่วยปกป้องบัลลังก์แก้วอันเป็นแกนกลางเชื่อมระหว่างบาดาลทั้งเจ็ดชั้นเอาไว้มิให้ถูกทำลายโดยง่าย หากชั้นใดไม่ว่าจะเป็นอตล วิตล สุตล ตลาตล มหาตล รสาตลหรือแม้แต่ปางตลถูกทำลายลง เมื่อนั้นแลแดนบาดาลอันเป็นแหล่งพำนักของเหล่าอสูรทั้งหลายย่อมพินาศลงทันที” แทตย์หนุ่มกล่าวเสียงเรียบทว่าจริงจังหนักแน่นจนน่ากลัว
ธิดาท้าวโมฆราชมองอีกฝ่ายฉงนอยู่ ก่อนถามขึ้นตามสติปัญญาของตน
“ท่านบอกความลับแก่ข้าเช่นนี้ เชื่อว่าเขตอาคมทั้งสี่ย่อมต้องมีผู้คุ้มกันอยู่เป็นแน่...”
รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากยักงามของอีกฝ่าย... อีกครั้งที่เขาอดนับถือสติปัญญาของนางมิได้ ดรุณีผู้นี้สามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่งผิดวิสัยสตรีทั่วไปนัก ที่จักสนใจในเรื่องไกลตัวเช่นนี้... มาตยันพยักหน้ารับเบา ๆ กับข้อสันนิษฐานของหญิงสาวและกล่าวต่อว่า
“เขตอาคมทั้งสี่มีผู้คุ้มกันจริงดังเจ้ากล่าวมา แต่เรื่องที่ข้าบอกแก่เจ้าหาใช่ความลับไม่ เพราะแม้แต่ทวยเทพซึ่งเป็นอริกับเรามาเนิ่นนาน ล้วนรู้ถึงความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี”
ธิดาท้าวโมฆราชกำลังจะอ้าปากถามถึงเหตุ ที่ทำให้เหล่าอสูรหลุดพ้นจากการปองร้ายจากเหล่าเทพมาได้ ทั้งที่ฝ่ายตรงข้ามรู้ดีถึงจุดอ่อนข้อนี้ของพวกเขา ทว่ากลับถูกมาตยันเอ่ยดักไว้เสียก่อน การสนทนาในวันนั้นจึงยุติลงเพียงเท่านี้ ซึ่งมันไม่ช่วยให้ความกระจ่างกับนาง เรื่องความขัดแย้งในรสาตลกับการกลับคืนมาของอัสยุช และการที่ชายหนุ่มถูกตามล่าจากผู้เป็นอาจารย์เลยแม้แต่น้อย...
ความคิดของธิดาท้าวโมฆราชถูกเจ้าตัวดึงกลับคืนมาสู่ความเป็นจริง เมื่อนางถูกนำตัวผ่านกำแพงป้อมปราการเข้าไปภายในพร้อมคณะเดินทางของมาตยัน... ทั้งหมดมาหยุดยืนอยู่ ณ ลานกว้าง หน้าปราสาทหินสูงทะมึน ประตูหินทางเข้าสู่ตัวป้อมปราการเป็นรูปปั้นใบหน้ายักษ์อ้าปากกว้างขนาดใหญ่โตมหึมา ดุจมันมีชีวิตและพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้าเพื่อดับความหิวโหยกระนั้น...
“นำความไปกล่าวแก่ท่านอัศกะว่าข้ากลับมาแล้ว... พร้อมของกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ”
ประโยคสุดท้ายของมาตยันทำให้อมาวสีละสายตาจากแทตย์ตนหนึ่งในสอง ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูทวารและกำลังก้าวหายเข้าไปภายในป้อมอสูรแห่งนั้น มายังคนพูดพร้อมชักสีหน้าไม่พอใจชัดแจ้ง หญิงสาวได้แต่เม้มริมฝีปากแน่นเตือนตนไม่ให้กล่าวผรุสวาทออกไป ซึ่งมันคงไม่มีผลต่ออีกฝ่ายเหมือนเช่นทุกครั้งที่นางพยายามต่อว่าต่อขานแทตย์หนุ่มผู้นี้... เพียงไม่นาน นักแทตย์ตนเดิมก็กลับออกมาพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญมาตยันให้เข้าไปภายในอย่างนอบน้อม
เมื่อก้าวผ่านประตูทวารมาได้ อมาวสีก็พบเข้ากับสะพานหินยาวเหยียดเกือบสิบหลา... ไม่น่าเชื่อว่าภายในป้อมแห่งนี้จะมีแม่น้ำอัคคีล้อมรอบเอาไว้อย่างน่าอัศจรรย์เช่นนี้... นางมองดูรอบ ๆ กายอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ป้อมอสูรแห่งนี้ถูกล้อมเอาไว้ด้วยสายธารแห่งลาวาสีแดงฉานแลร้อนระอุ เมื่อทั้งหมดเข้ามายังอีกฝากหนึ่งของสะพานหินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จู่ ๆ เจ้าสะพานที่ว่าก็อันตรธานหายไปในพริบตาต่อมา
ดวงตาของอมาวสีเบิกค้างอย่างประหลาดใจ แต่เหนือความรู้สึกอื่นใดคือ... ความหวั่นวิตกราวหนูที่ติดกับดักนั่นเอง... ความคิดที่จะหลบหนีของนางหดหายไปเกือบครึ่ง ด้วยมองไม่เห็นหนทางที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ ดูเหมือนมาตยันจะอ่านความคิดของนางได้ ซึ่งมันคงบ่งบอกให้เห็นทางแววตาและสีหน้า ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
“หากคิดหนี เจ้าก็ต้องหาสะพานหินให้เจอเสียก่อน” กล่าวจบก็เดินนำทางนางไปอย่างไม่แยแสและมิยอมหันกลับมามองหญิงสาวอีกเลย ดุจรู้ดีว่านางไม่มีทางรอดไปจากป้อมอสูรแห่งนี้ได้ นอกเสียจากจะมีปีกบิน
ความหนักอึ้งในใจทำให้ลมหายใจของอมาวสีหนักหน่วง ราวมีน้ำหนักถ่วงในหัวอก ธิดาท้าวโมฆราชจำต้องสาวเท้าตามอีกฝ่ายไป ปากก็เอ่ยถามอย่างหงุดหงิดว่า
“ข้าขอถามหน่อยเถอะ ท่านจับตัวข้ามาเพื่อประโยชน์อันใด?” มันอาจเป็นคำถามที่โง่เง่านัก ด้วยแม้ตัวนางเองยังพอเดาเจตนาของอีกฝ่ายได้ กระนั้นหญิงสาวก็จำต้องถามย้ำให้ชัดเจน
แทตย์หนุ่มหยุดเท้าลงฉับพลัน เมื่อก้าวล่วงมาถึงลานหินซึ่งจะมุ่งสู่เขตพำนักชั้นใน ก่อนจะหันมามองผู้ที่อยู่ข้างกาย
“คำถามนี้เจ้าเก็บเอาไว้ถามท่านอัศกะเองจะดีกว่า...” คำพูดแฝงแววเยาะหยันของเขา ทำให้นางได้แต่ฮึดฮัดอย่างขัดใจ หากทำได้เพียงก้าวตามเขาไปเงียบ ๆ เท่านั้น แม้หัวใจร่ำร้องอยากจะไปให้พ้นจากอมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อไปอยู่ข้างกายอัสยุชก็ตาม
ณ ลานกว้างแห่งนั้นศิษย์แห่งโคตมะได้พบกับสิ่งอัศจรรย์อีกอย่างก็คือ... เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงไหลวน ราวกับน้ำวนจากหลุมลึกสุดหยั่งแลมืดทะมึน พุ่งทะยานหมุนเป็นเกลียวคลื่นสู่เบื้องบนจนสุดสายตา!...
“ไฟสีน้ำเงิน?...” คำพูดแผ่วหวิวเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากงาม สายตาอมาวสีจับจ้องเปลวไฟร้อนแรงนั้นอย่างเหลือเชื่อ
“ใช่... ไฟสีน้ำเงิน มันเป็นเปลวไฟที่ร้อนแรงร้ายกาจที่สุดในบรรดาไฟสีต่าง ๆ” มาตยันสาธยายและมันยังเป็นสัญลักษณ์แห่งอุดรปราคโชยติษอีกด้วย... เครื่องหมายอันบ่งบอกให้รู้ถึงความเป็นป้อมอสูรซึ่งบูชาไฟและเจ้าของสถานที่ผู้เป็นจ้าวแห่งอัคคี... ร่างสูงสง่าของแทตย์หนุ่มก้าวเข้าไปภายในเขตพำนักนั้น ทิ้งให้หญิงสาวและเหล่าแทตย์ทานพที่ติดตามรั้งท้ายไปติด ๆ
“เจ้าพลาด มาตยัน?!...” น้ำเสียงฉุนเฉียวโกรธกรุ่นดุจไฟไหม้ลามของชาย ซึ่งบัดนี้ลุกจากบัลลังก์ที่ตนนั่งอยู่แต่เดิม แล้วเดินมาหาชายผู้เป็นข้ารับใช้อย่างเอาเรื่อง ทำให้อมาวสีพอจะเดาได้ว่า... ชายหนุ่มหน้าตาคมคาย รูปกายสูงสง่าน่าเกรงขามสมกับที่เป็นใหญ่ในป้อมแห่งนี้ หากแต่มีเขี้ยวงอกออกมาเช่นอสุราทั่วไปผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากอัศกะ... จ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษนั่นเอง
มาตยันทรุดกาย คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับใช้แขนขวาของตนวางแนบกับหน้าอกและรายงายว่า
“ข้อนั้นข้าขอรับผิดโดยดุษณี ด้วยฝีมือที่มีจักเทียบมันได้รึก็หาไม่...” เอ่ยแล้วหันชำเลืองมองมายังหญิงสาวผู้เป็นเชลยแห่งตน ซึ่งยังคงยืนนิ่งไม่ยอมแสดงความพินอบพิเทาต่อผู้ใดแม้แต่นิดเดียว ขณะที่มาตยันยืดกายลุกขึ้นยืนอีกครั้งพร้อมกล่าวสืบไปว่า
“แต่ข้ามีบางอย่างจะมอบแก่ท่าน ซึ่งข้าคิดว่ามันคงทดแทนความผิดครั้งนี้ของข้าได้...” น้ำเสียงเน้นนัยลึกเกินควรของข้ารับใช้แห่งตน ทำให้สายตาคมกล้าของอัศกะเหลือบแลไปยังเชลยสาวหนึ่งเดียวนั้นบ้าง... เขาสังเกตเห็นนางแต่แรกเมื่อหญิงสาวถูกคุมตัวเข้ามาแล้ว หากสู้เก็บงำเอาไว้เป็นอย่างดีในคราแรก ทว่ายามนี้เมื่อสบดวงตางดงามยิ่งกว่าหญิงใดของนาง ความเจ้าชู้อันเป็นสันดานเดิมของอัศกะก็แล่นลิ่วขึ้นมา พร้อมประกายตาวาววับบอกความพึงพอใจจนแทบไม่อาจเก็บงำความรู้สึกนี้เอาไว้ได้... บางทีนอกจากเขาจะได้ครองรสาตล หลังจากกำจัดเหลือบไรแห่งพงศ์เผ่าอย่างอัสยุชแล้ว อาจได้ชายาอีกคนก็คราวนี้เอง... ความคิดของจ้าวแห่งอุดรปราคโชยติษยุติลง เมื่อเขาหมุนตัวกลับแล้วเดินไปนั่งบนบัลลังก์ของตน ก่อนพยักพเยิดไปที่อมาวสีพร้อมแสร้งกล่าวขึ้นอย่างไม่รู้เจตนาแห่งมาตยันว่า
“เจ้าคงหมายถึงนางผู้นี้กระมัง...”
ร่างอรชรของอมาวสี ถูกผลักให้ถลันออกมายืนอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางอมนุษย์ทั้งหลายอย่างไม่ทันตั้งตัวด้วยน้ำมือของมาตยัน ราวนางเป็นสิ่งของไร้ชีวิตจิตใจกระนั้น หญิงสาวตวัดสายตาเคืองขุ่นมองกราดไปทุกใบหน้า ไม่เว้นแม้แต่จ้าวอัคคีที่กำลังเพ่งพิศดวงหน้านางอย่างไร้มารยาท ก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ใบหน้าของสตรีนางหนึ่ง ผู้มีความงดงามดุจนางพญา หากเป็นนางพญาที่กำลังถูกอารมณ์หึงหวงพยาบาทเล่นงาน... หญิงนางนั้นนั่งอยู่เคียงข้างอัศกะ ดุจคู่สร้างคู่สมซึ่งธิดาท้าวโมฆราชไม่อาจบอกได้ว่า ความเกลียดชังที่อีกฝ่ายมีให้ตนนั้นมาจากความสนใจที่ทูตอัคคีมีให้ตนอยู่ในเพลานี้ใช่หรือไม่...
ความคิดเห็น