คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 3
3
ธิดาท้าวโมฆราชมองบุรุษหนุ่มตรงหน้าผู้ไม่ยอมเอ่ยวาจาใดหากไม่มีความจำเป็นนั้นอย่างใช้ความคิดเมื่อเห็นว่าเขาลุกขึ้นทำท่าจะออกเดินทางทั้ง ๆ ที่ตนเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บ
หญิงสาวตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่แต่ก็ยังช้ากว่าอีกฝ่ายอยู่ดีเพราะเมื่อนางมองไปยังโคนต้นไม้ใหญ่ที่เขาใช้หลับนอนเมื่อค่ำคืนนี้ก็พบแต่ความว่างเปล่ามิรู้ว่าเขาหายไปที่ใด คราแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายคงจากไปแล้วแต่เมื่อหญิงสาวกลับจากทำกิจส่วนตัวที่น้ำตกนางก็พบว่าชายหนุ่มกลับมาแล้วพร้อมกับเสื้อสีดำที่เขาสวมใส่ซึ่งอมาวสีคิดว่าอีกฝ่ายคงขโมยมาจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ละแวกนี้กระมัง และข้อนี้เองก็ทำให้นางรู้ว่าเขาคงต้องรู้เส้นทางที่จะออกจากป่าแห่งนี้เป็นแน่
“เจ้าคิดอ่านเช่นไรต่อไป?!...”
มาณพน้อยเอ่ยพลางรีบเก็บผ้าเนื้อหยาบที่ตนใช้ปูนอนอย่างเร่งด่วนด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะจากไปโดยไม่รอท่าตนนั่นเองซึ่งก็เป็นดังที่นางคาดไว้เมื่อหันกลับมาอีกครั้งชายหนุ่มก็เดินจากไปไกลเห็นเพียงแผ่นหลังอยู่ไว ๆ แล้วขณะนี้
อมาวสีรีบซอยเท้าถี่ ๆ ตามไปทันที นางนอนคิดมาตลอดคืนว่าจะชวนอีกฝ่ายให้ร่วมเดินทางเป็นเพื่อนไปยังปัญจาบแต่ติดที่อีกฝ่ายเท่านั้นว่าจะตอบมาเช่นไร แล้วนี่เขากลับชิงจากไปทั้งที่นางยังมิทันได้เจรจาด้วยเยี่ยงนี้ทำให้ดรุณีน้อยร้อนใจยิ่งนัก นึกมาถึงตรงนี้จึงได้แต่คิดเสียใจที่มิเดินทางไปพร้อมกับศนิวารเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่การเดินทางไปพร้อมแม่ทัพแห่งกองพลอัศวนึกนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากการตกเป็นเชลยดังผู้เป็นอาจารย์ได้ประสบอยู่ขณะนี้นี่เอง ด้วยเหตุนี้อมาวสีจึงคิดเดินทางไปยังปัญจาบเพียงลำพังแต่นางก็ต้องพบกับอุปสรรคจนได้เมื่อนางไม่เคยที่จะเดินทางไกลไปที่แห่งใดเลยนับแต่เล็กจนโตแล้วนี่กลับต้องเดินทางไกลไปถึงปัญจาบจึงจำเป็นอยู่เองที่นางจะต้องหาผู้นำทางหรือเพื่อนร่วมทางในการเดินทางครั้งนี้ ความคิดของนางสะดุดลงเมื่อวิ่งมาทันอีกฝ่าย และดักหน้าเขาเอาไว้ทำให้อัสยุชหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับมองมาที่อีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจ และสงสัยไปพร้อมกัน...
“เจ้าประสงค์สิ่งใดรึ?...” ถามขึ้นอย่างรำคาญ
“อะ.. เอ่อเจ้าจะไปที่ใด?!” แทนที่จะตอบคำถามกลับถามคืนไปพลางหอบหายใจจนตัวโยนด้วยความเหนื่อยที่ต้องวิ่งตามคนตัวโตนี้มา
“ว่าอย่างใดเจ้าไม่ได้ยินหรือไรที่ข้าถามน่ะ?!” เมื่ออีกฝ่ายยังเงียบศิษย์แห่งโคตมะก็ชักจะหงุดหงิด
“ข้าไม่มีจุดหมายที่แน่นอน...” คนตอบทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอยแต่กลับไม่มีความหวาดหวั่นในแววตาสีนิลคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย
“งั้นเจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?!... ข้าคิดจะไปยังปัญจาบ”
หญิงสาวมองอีกฝ่ายส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความรู้สึกผิดหวังนิด ๆ แล้วร่างหนานั้นก็ก้าวเดินจากไปอีกครั้ง แต่มีหรือที่นางจะละความพยายามอมาวสีจึงรีบวิ่งตามไปอีกคำรบหนึ่ง...
“เมื่อเจ้าเองก็ไม่มีจุดหมาย ไยมิลองไปเยือนปัญจาบดูเล่า?!...”
ธิดาท้าวโมฆราชกล่าวพร้อมกับซอยเท้าถี่ ๆ ตามไปเพื่อจะให้ทันอีกฝ่ายซึ่งดูจะมิยอมผ่อนฝีเท้าลงเลยนั้นแต่แล้วชายหนุ่มกลับหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหันพร้อมหันกลับมาหาเด็กหนุ่มที่วิ่งตามตนมาอย่างรวดเร็วส่งให้อมาวสีชนเข้ากับแผ่นอกหนาของเขาเต็มแรงดีที่อีกฝ่ายคว้าต้นแขนนางเอาไว้ได้ทันไม่เช่นนั้นหญิงสาวคงต้องลงไปนั่งคลุกฝุ่นอยู่ที่พื้นเป็นแน่ นางรีบลนลานถอยห่างออกมาจากคนตรงหน้าทันทีโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายแม้เพียงแวบเดียว
อมาวสีไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ความจริงเกี่ยวตัวนางหรือไม่ เพราะเขายังกล่าวมาอีกว่า
“เพื่อประโยชน์อันใด?... ข้ายังไม่เห็นควรที่จะไปเยือนแคว้นนี้เลย”
“เจ้าเคยไปหรือไรจึงกล่าวคล้ายกับเบื่อหน่ายแคว้นนั้นเยี่ยงนี้?...” นางเอ่ยทั้งที่ยังรู้สึกขัดเขินอยู่แต่อัสยุชคงมิทันสังเกตเขาจึงส่ายหน้าปฏิเสธในสิ่งที่มาณพน้อยไต่ถาม
“เช่นนั้นเจ้าควรลองไปดูเพราะปัญจาบนั้นมีสิ่งน่าพิศหลายอย่าง!” หญิงสาวตัดสินใจโกหกด้วยเกรงจะไม่มีเพื่อร่วมทาง
“ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น อีกอย่างข้าไม่ชอบมีเพื่อนร่วมทาง...”
เขาตอบอย่างไม่มีเยื่อใย อัสยุชเหลือบมองดรุณีน้อยในร่างเด็กหนุ่มตรงหน้าซึ่งกำลังมีทีท่าร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดแล้วจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า
“ดูราวกับเจ้าอยากให้ข้าไปปัญจาบเสียจริง ไม่ก็ต้องการให้ข้าร่วมเดินทางไปด้วย....”
เขากอดอกจ้องมองมาที่นางจนอดที่จะรู้สึกอึดอัดไม่ได้
“ขะ... ข้าไม่รู้เส้นทางจึงอยากมีเพื่อนร่วมทางให้ได้อุ่นใจ” อ้อมแอ้มบอกออกมาในที่สุด และได้แต่รอฟังคำปฏิเสธจากอีกฝ่ายด้วยใจไม่สู้ดีนัก
“แล้วเจ้าไว้ใจคนแปลกหน้าเช่นข้าหรือไร?”
คำพูดของเขาทำให้อมาวสีเริ่มได้คิด สีหน้าหมกมุ่นของนางทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายได้รูปนั้นอย่างห้ามไม่ได้ก่อนที่มันจะหุบฉับลงเช่นเดิมเมื่อคนที่กำลังคิดหนักเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยว่า
“ก็ข้าไม่มีสิ่งใดที่มีค่าพอจะให้เจ้าคิดไม่ซื่อนี่นา...”
นางกล่าวอย่างสบายใจ แต่คำพูดต่อมาของคนตรงหน้าอีกแล้วที่ทำให้นางวิตก
“มันก็ไม่แน่หรอกนะเจ้าอาจจะมีของมีค่าซ่อนอยู่ก็ได้ใครจะรู้...” เอ่ยขณะหันกลับไปในทิศทางเดิมที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่นี้
“เอาเถอะ... ถึงข้าจะเป็นแค่คนจรแต่ก็รู้กตัญญูตา เมื่อเจ้าช่วยรักษาบาดแผลให้ ข้าก็จะถือเป็นบุญคุณฉะนั้นข้าจึงตกลงที่จะพาเจ้าไปยังปัญจาบด้วยความปลอดภัยเอง”
หญิงสาวได้แต่มองตามชายหนุ่มไปอย่างค้นคว้า และสับสนกับคำพูดที่เหมือนมีความนัยแอบแฝงไว้เกี่ยวกับของมีค่าในตัวนางหรือเขาจะรู้ว่านางเป็นหญิงมิใช่ชายอย่างที่เห็น... อมาวสีสลัดความคิดฟุ้งซ่านของตนทิ้งไปเมื่ออีกฝ่ายร้องเรียกมาพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปใกล้เจ้าของเสียงเรียกนั้น....
“เจ้าชื่อว่ากระไร?” ธิดาท้าวโมฆราชชวนคุยหมายจะผูกมิตรเมื่อเข้ามาเดินเคียงข้างชายหนุ่ม
“อัสยุช...”
“ข้าชื่ออะ... อุบ!” อมาวสีหุบปากลงฉับพลันพร้อมกับใช้สมองคิดทันทีเมื่อตนเกือบจะเอ่ยชื่อจริงของตนซึ่งเป็นชื่ออิสตรีออกมาทั้งที่ตนอยู่ในร่างของมาณพ และเมื่อเหลือบแลไปที่คนข้าง ๆ ก็พบเข้ากับสายตาแหลมคมของชายหนุ่มที่จ้องมองมาอย่างจับพิรุธจึงได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน...
“แหม... ชื่อข้าไม่ใคร่จะมีความหมายเท่าใดนัก”
อัสยุชยังจ้องนิ่งมาที่นางอย่างรอคอย...
“เอ่อ... ชื่อเอ่อ... ชื่ออะ... อะ... อคามี!.. ใช่อคามี ข้าชื่ออคามี ”
เมื่ออีกฝ่ายหันกลับไปสนใจกับทัศนียภาพรอบกายนางก็ได้แต่ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก
ทั้งสองเดินลัดเลาะไปตามสายน้ำโดยที่อัสยุชเป็นผู้นำทางมาได้สักพักใหญ่ ๆ ก็ออกพ้นจากป่าดังกล่าวได้สำเร็จ หมู่บ้านเล็ก ๆ มีเพียงไม่กี่หลังคาเรือนที่มองเห็นอยู่ลิบ ๆ ถัดจากเนินเขาที่พวกเขายืนอยู่ ๆ ซึ่งตั้งอยู่เบื้องหน้าทำให้อัสยุชหันไปผงกศีรษะเป็นเชิงชักชวนให้อีกฝ่ายก้าวตามไป....
อมาวสีวางถ้วยดินเผาในมือลงอย่างเบามือหลังจากที่ดื่มชาที่เจ้าของบ้านชงให้พร้อมกับกล่าวขอบคุณเบา ๆ นางมองดูอัสยุชพูดคุยกับชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยความใคร่รู้ และเหมือนทั้งสองจะรู้ถึงการจ้องมองของนางทำให้ชายหนุ่มหันมาสบตากับหญิงสาวก่อนจะหันกลับไปเจรจากับคู่สนทนาของตนอีกครั้ง...
เมื่ออัสยุช และอมาวสีออกมาจากป่าแห่งนั้นได้พวกเขาก็มุ่งหน้าเข้าหมู่บ้านในทันที ชายหนุ่มพาหญิงสาวเดินมาเคาะประตูบ้านหลังแรกที่พวกตนพบเพื่อจะไต่ถามทางซึ่งชายเจ้าของบ้านก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี สภาพบ้าน และของตกแต่งบ่งบอกให้ทราบถึงความเป็นอยู่ของผู้เป็นเจ้าของว่ามีอาชีพเกษตรกรรม ตัวผนังทำด้วยดินโคลนสีขาวส่วนหลังคานั้นมุ่งด้วยหญ้าคาธรรมดา ๆ เช่นเดียวกันกับบ้านของนางซึ่งจุดนี้ทำให้อมาวสีนึกถึงความสงบสุขในวัยเยาว์ขึ้นมาอย่างอาลัยนิด ๆ พร้อมด้วยภาพของผู้เป็นอาจารย์ที่ถูกจับกุมตัวในค่ายโจรนั้นด้วย ป่านนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอย่างไรบ้าง... นางได้แต่คิดอย่างกังวลแทนคนที่คำนึงถึง ธิดาท้าวโมฆราชคงจะคิดคำนึงถึงเรื่องราวแห่งตนอีกนานหากจะไม่มีเสียงทุ้มต่ำน่าฟังของใครบางคนดังขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ข้ามีกิจจักต้องทำ...” อัสยุชเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาใกล้อีกฝ่าย
“ข้าอยากไปเดินเล่นที่ตลาด”
แม้หมู่บ้านนี้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็มีความคิดก้าวหน้าจัดให้มีการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ และบางครั้งก็จะมีกองคารวานของพ่อค้าจากแคว้นอื่นเมืองไกลผ่านมาแวะทำการค้าขายกันซึ่งอมาวสีรับฟังมาจากซาฮีบุตรชายเจ้าของบ้านหลังนี้อีกต่อหนึ่ง
“ตามแต่ใจเจ้าเถิด...”
กล่าวจบชายหนุ่มก็ก้าวจากไปทันที... คล้อยหลังเขาเพียงไม่นานนักอมาวสี และเด็กน้อยซาฮีก็เกี่ยวก้อยกันไปยังตลาดบ้างเช่นกัน...
ถนนสำหรับคน ม้า และเกวียนที่ทั้งสองเดินเท้าผ่านมาคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นละอองสีแดงเพราะดินรูกรังยาวสุดสายตากว่าจะถึงที่หมายสองสหายต่างวัยก็ต้องรมฝุ่นอยู่เป็นนานสองนานจนศีรษะ และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่นั้นเขรอะไปด้วยผงสีแดง ๆ แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยังสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจอยู่นั่นเอง...
อมาวสีพาซาฮีมาถึงร้านที่มีป้ายเขียนบอกไว้ว่า... ปายาซัม นางจึงดึงแขนเล็ก ๆ ของเด็กชายให้เข้าไปนั่งในร้านด้วยกัน แล้วก็สั่งปายาซัมทันทีซึ่งมันก็คือ ขนมทำจากนมสดผสมข้าวชนิดต่าง ๆ และน้ำตาลนั่นเอง ไม่นานเกินรอเจ้าของร้านก็เดินถือถาดตะกั่วใส่ปายาซัมหอมกรุ่นควันฉุยมาวางตรงหน้าทั้งสองแล้วเจ้าปายาซัมก็ถูกสองสหายนี้จัดการจนอิ่มหนำสำราญในเวลาต่อมา... อมาวสีเพลิดเพลินยิ่งในการออกมาชมหมู่บ้านครั้งนี้เพราะนางไม่เคยเห็นตลาดมาก่อนด้วยหมู่บ้านของนางนั้นห่างไกล และอยู่ในเขตรอยต่อระหว่างแคว้นจึงทำให้พ่อค้าต่าง ๆ ไม่คิดเข้าไปค้าขายอย่างเช่นหมู่บ้านนี้จนนางลืมใครบางคนไปเสียสนิทใจเลยทีเดียว....
รถศึกที่ถูกดัดแปลงให้เป็นรถนั่งเทียมม้าคันหนึ่งถูกควบขับมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความหวาดเสียงของผู้พบเห็น!...
เสียงล้อรถบดพื้นถนนรูกรังสีแดงดังลั่นกึก ๆ อย่างน่ากลัว รถม้าคันดังกล่าวถูกควบขับผ่านบ้านเรือนหลายหลังคาเรือนอย่างบ้าคลั่งโดยมิเกรงกลัวต่อสิ่งใด... และหากจะมีผู้ใดสังเกตสักนิดก็คงจะพบว่าผู้ที่กุมบังเหียนอยู่นั้นคือ ดรุณีน้อยผู้โสภาในอาภรณ์เนื้อดีปักดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายวิจิตรบรรจงอันบ่งบอกวรรณะที่สูงส่งผิดจากสาวชาวบ้านสามัญทั่วไป
เสียงแส้ในอุ้งหัตถ์แห่งเจ้าหญิงโฆษิตาสะบัดซ้ำลงบนหลังของเจ้าอาชาทั้งสองอีกครั้งด้วยพระทัยลำพองและคึกคะนอง... ขณะที่ในพระทัยนั้นทรงคิดคำนึงถึงถ้อยรับสั่งคัดค้านของพระเชษฐาในพระองค์เมื่อพระนางรับสั่งจะทรงรถม้าด้วยองค์เอง...
“น้องเป็นหญิงควรรึพึงกระทำเช่นนั้น?!”
เจ้าชายทุษยันต์ทรงตวาดก้องอย่างไม่ทรงพอพระทัยเมื่อสดับความประสงค์ของพระน้องนาง และทั้ง ๆ ที่พระนางทรงรับคำเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ดื้อรันหากเจ้าชายทรงยอมให้พระนางตามเสด็จแต่แล้วพอออกจากปัญจาบมาได้ไม่นานนักพระองค์ก็ทรงแผลงฤทธิ์ซะแล้ว แต่เมื่อองค์ทุษยันต์ทรงย้ำรับสั่งเดิมนี้พระนางโฆษิตาจึงทรงยอมเลิกราจากมาแต่โดยดีโดยที่พระเชษฐามิทรงระแคะระคายในการอ่อนข้อครานี้เลยแม้แต่น้อยว่ามันมีสิ่งอื่นแอบแฝงอยู่นั่นเอง...
ด้วยความที่ทรงถูกตามพระทัยมาแต่เก่าก่อนพระนางจึงไม่ทรงเห็นความห่วงใยที่พระเชษฐามีให้แม้แต่น้อยดังนั้นเมื่อเจ้าชายทุษยันต์ทรงวุ่นอยู่กับการก่อกระโจมค้างแรมกับเหล่าทหารหาญพระนางจึงทรงลักลอบขโมยรถทรงที่ใช้เป็นพาหนะเพื่อเดินทางไปยังอุตรประเทศอันเป็นถิ่นที่ตั้งเมืองโกสัมพีนั้นแล้วแอบมาทรงเล่นเพียงลำพังพระองค์เดียว...
พระดำริของเจ้าหญิงคนงามชะงักลงเมื่อทรงรับรู้ว่าบัดนี้รถม้าทรงของพระองค์กำลังวิ่งตะบึงออกนอกเส้นทางแล้วนั่นเอง เพราะความที่ทรงมัวคิดคำนึงถึงกาลก่อนเป็นเหตุให้ทรงรถม้าด้วยพระทัยลอยมิทันระวังองค์ และผู้สัญจรไปมาบนท้องถนนเบื้องพระพักตร์ทำให้ม้าทรงยิ่งเตลิดห้อตะบึงไปใหญ่!... แต่เหนืออื่นใดในเพลานี้นั่นก็คือ... บนท้องถนนสีแดงฝุ่นเขรอะจนแทบมองไม่เห็นนี้มีเด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งเดินอยู่ข้างถนน และกำลังก้มลงเก็บขนมที่ตนทำหล่นอยู่บนพื้นเบื้องพระพักตร์อยู่ขณะนี้!...
“หลบไปให้พ้น!...” แม้จะทรงทอดพระเนตรเห็น และทรงร้องเตือนเด็กน้อยแต่ทว่ามิทันการณ์เสียแล้ว
สิ่งที่พระนางทำได้ยามนี้ก็คือ ทรงจำต้องหลับพระเนตรนิ่งสองหัตถ์อ่อนปวกเปียกปล่อยให้ม้าหนุ่มทั้งสองตัววิ่งหน้าตั้งเหยียบตะลุยเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายไปตามยถากรรม!...
“กรี๊ดด!...” เสียงร้องของสตรีนางหนึ่งดังลั่นอย่างขวัญผวาสอดประสานกับเสียงร้องอย่างตื่นตระหนกของฝูงชนในที่นั้น
เมื่อทรงคลายพระหัตถ์ม้าหนุ่มที่บ้าคลั่งก็ยิ่งเตลิดวิ่งชนข้าวของชาวบ้านร้านค้าพังระเนระนาดพร้อมด้วยเสียงร้องด่าทอดังอึงอล
“บ้าแท้ ๆ เลย!..”
“ตายแล้ว ของค้าของขายข้าหมดกัน!...”
แต่พระนางไม่ทรงรับรู้สิ่งใดแล้วในยามนี้เพราะทรงตกพระทัยต่อเหตุการณ์ตรงหน้ายิ่งนัก เมื่อสติยังทรงครองเอาไว้ไม่ได้ไฉนเลยจะทรงรับรู้ถึงเรื่องอื่นได้ เจ้าพาชีทั้งสองยังคงห้อตะบึงตะลุยไปเบื้องหน้าราวกับมันจะไม่ยอมหยุดฝีเท้าลงเลยกระนั้น
แต่แล้ว... จู่ ๆ เจ้าอาชาทั้งสองกลับหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับส่งเสียงร้องอย่างแสนเชื่องทำให้เจ้าหญิงโฆษิตาอดที่จะทรงลืมพระเนตรขึ้นมามองดูอย่างสงกามิได้ และแล้วพระนางก็พบกับมาณพน้อยผู้มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าอิสตรีใดแม้พระนางเองยังทรงอดที่จะอิจฉามิได้อยู่เบื้องพระพักตร์ อีกฝ่ายกำลังยืนลูบคลำอัศวเมธของพระองค์คล้ายกับกำลังปลอบขวัญมันอยู่กระนั้นส่วนเจ้าสัตว์หน้าขนทั้งสองนั้นก็แสนเชื่องมันใช้ลิ้นแลบเลียไปทั่วฝ่ามือของชายหนุ่มอย่างแสนรู้ราวกับคุ้นเคยกับอีกฝ่ายมานานแสนนาน....
“เธอเป็นผู้ช่วยชีวิตเราเอาไว้เช่นนั้นรึ?...” เมื่อพระนางทรงหายตกพระทัยจึงรับสั่งถามขึ้นพร้อมกับย่างพระบาทลงจากรถทรงของพระองค์
“เปล่า... ข้าจะช่วยชีวิตที่ไร้ค่าของเจ้าเพื่อประโยชน์อันใด ข้าเพียงช่วยเด็กและเจ้าพวกนี้ต่างหากเล่า”มาณพน้อยผู้นั้นตอบกลับไปอย่างเย็นชาทั้งที่ในใจนั้นเดือดปุด ๆ ที่มีคนบ้าบิ่นเช่นนางขี่รถม้าเข้ามาในย่านชุมชนเช่นนี้
ฝ่ายเจ้าหญิงคนงามได้สดับดังนั้นก็พระพักตร์แดงก่ำด้วยทรงพิโรธเพราะวาจาของคนตรงหน้าราวกับจะบอกอยู่ในตัวแล้วว่ามิต้องการช่วยพระองค์ที่เปรียบค่าหาควรเทียบกับเด็กชาวบ้าน และสัตว์หน้าขนนี้ไม่ได้ซึ่งหากจะมีเพียงพระนางผู้เดียวที่ได้รับฟังถ้อยคำนี้ความโกรธาก็คงมีไม่ถึงกึ่งหนึ่งของที่ทรงมีอยู่ขณะนี้หรอก แต่พอทรงเหลียวมองไปรอบพระวรกายก็มีแต่ผู้คนลอบอมยิ้มอย่างสะสาแก่ใจ และแม้บางคนจะแกล้งตีหน้าเซ่อแต่แววตานั้นกลับเต้นระริกด้วยความพอใจ ในระหว่างที่พระองค์มิรู้ควรทำประการใดนั้นทหารองครักษ์ในพระองค์ซึ่งติดตามมาแต่เมื่อใดนั้นก็ควบม้ามาถึงยังที่ ๆ พระองค์ประทับอยู่อย่างร้อนรน...
หัวหน้าทหารองครักษ์กระโดดลงจากหลังม้าวิ่งมาคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์พร้อมกับคนของตนอย่างนอบน้อม
“ขอเดชะ... หม่อมฉันมาอารักขาล่าช้าโปรดทรงประทานอภัยด้วยเถิดพระเจ้าข้า!” ผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นหลังจากถวายบังคมต่อเจ้าหญิงโฆษิตาเสร็จสิ้นแล้ว
“เรื่องนั้นเราจะละเว้นให้... แต่เจ้าต้องรีบจัดการกับมันผู้นี้ที่กล้าพูดจาดูหมิ่นเราซึ่งเป็นขัตติยราช!” ตรัสด้วยพระอารมณ์ขุ่นมัวเต็มที่
ชาวบ้านร้านตลาดทั้งหลายที่พบเห็นเหตุการณ์เมื่อรู้ฐานะที่แท้จริงของสตรีตัวต้นเรื่องต่างก็นิ่งเงียบไปทันทีมิกล้าปริปากเอ่ยวาจาใดออกมาแม้แต่น้อยแม้จะเห็นอยู่ทนโท่ว่ามีความอยุติธรรมเกิดขึ้นต่อหน้า
“จับตัวมันเอาไว้!...”
ศิษย์แห่งโคตมะกลับยืนนิ่งมิไหวติงอย่างอาจหาญแม้หัวหน้าองครักษ์ผู้นั้นจะสั่งการให้คนในอาณัติเข้าจับกุมตัวนางแล้วบัดนี้!
แต่ทว่า... เมื่อทหารองครักษ์ทั้งสองกรูกันเข้าไปหมายจับกุมตัวอีกฝ่ายพวกเขาก็ต้องพบกับแรงแตะถีบจากอาชาหนุ่มทั้งสองพร้อมกับส่งเสียงร้องหลบหลีกฝีเท้ายักษ์นั้นเป็นพัลวัน!...
“โอ๊ยย!...” จนมิอาจจะทำตามประสงค์แห่งพระนางได้
เจ้าหญิงโฆษิตาทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ยิ่งทรงพิโรธหนักยิ่งขึ้นทรงกระทืบพระบาทไปมาอย่างขัดพระทัยพระโอษฐ์ก็ตรัสออกมาว่า
“เจ้าไพร่จัณฑาลทำการณ์ใดกับม้าข้า?!...” สุรเสียงหวานแผ่วที่เคยไพเราะเสนาะโสตบัดนี้เกรี้ยวกราดบาดหูผู้ฟังยิ่งนักผิดจริยวัตรอันดีงามของขัตติยนารีสิ้น
มาณพจำแลงเห็นเช่นนั้นกลับยิ่งขบขันเหลือจะกล่าวได้แต่อมยิ้มพลางตอบคำถามของพระนางเรื่อยไป
“มนต์อาชาชอบ... ก็แค่อยากให้มันหายตกใจเพราะคนใจร้ายฟาดมันด้วยแส้ก็เท่านั้น!”
พระราชธิดาคนงามแห่งองค์นันทะเม้มโอษฐ์แน่นอย่างทรงระงับพระอารมณ์อย่างที่สุด!... แต่ครานี้พระนางมิพักจะรับสั่งกับนายทหารแห่งตนกลับย่างพระบาทตรงไปยังอีกฝ่ายพร้อมกับทรงเงื้อพระหัตถ์ขึ้นสูงหมายจะฟาดลงไปที่ฝีปากคมกริบนั้นให้สมพระทัยแต่การณ์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่เพราะก่อนที่ฝ่าพระหัตถ์ของเจ้าหญิงโฆษิตาจะทรงได้สัมผัสถูกใบหน้าของอมาวสีเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของทุกคนเสียก่อน
ความคิดเห็น