ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อมาวสี...ปัจฉิมภาครสาตล(ลิขิตมา)

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 50


    3…

                    ชายแดนกุจราต สุดเขตแดนแห่งพื้นธรณี...

                    เจ้ามองเห็นผืนน้ำที่ไกลลิบและกว้างใหญ่สุดสายตานั่นรึไม่?” รามานนถามขึ้นขณะชี้นิ้วไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า

                    หญิงสาวชักม้าให้เข้าไปใกล้อีกฝ่าย ขณะที่สายตาก็มองตามปลายนิ้วเรียวยาวของผู้เป็นเจ้าของไปยังทะเลกว้างตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ด้วยนับแต่จำความได้นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้จักกับทะเล

                    มันจะพาเราไปยังรสาตล...”

                    คิ้วเรียวงามของหญิงสาวขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจในถ้อยคำของรามานนที่เอ่ยมา นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ กาย คล้ายกับกำลังได้ยินเรื่องบ้าจากปากอีกฝ่ายกระนั้น... เสียงคลื่นที่ซัดสาดทำให้การเสวนาต้องเร่งระดับเสียงให้ดังขึ้นกว่าปกติ อีกทั้งลมทะเลที่พัดพากลิ่นคาวเกลือมาทำให้เนื้อตัวเหนอะหนะจนน่ารำคาญ ทว่านางยังมองไม่เห็นหนทางที่จะไปยังรสาตลตามคำบอกเล่าของรามานนแม้แต่น้อย

                    มาเถอะ แล้วเจ้าจะรู้เองรามานนเอ่ยขึ้นเสียงดังอย่างอารมณ์ดีแข่งกับเสียงคลื่น ทำท่าจะควบม้ามุ่งไปข้างหน้าสู่ชายหาดขาวสะอาดตา ทว่าเสียงห้ามเฉียบขาดก็ดังมาจากอัสยุชเสียก่อน

                    มีอะไรรึ?” คนสนิทในท้าวติสสะเอ่ยถามอย่างฉงน

                    แทนคำตอบอัสยุชกลับนิ่งมองไปยังหน้าผาสูงชันตรงหน้า ซึ่งอยู่ติดกับชายหาดด้านซ้ายห่างออกไปหลายสิบหลานั้นอย่างเตรียมพร้อม... ร่างสูงของรามานนเกร็งเครียดขึ้นมาทันทียามมองตามสายตาอัสยุชไป และพบว่าบัดนี้ ณ ที่แห่งนั้นมีเงาร่างสูงตระหง่านของบุรุษฉกรรจ์นับสิบ พร้อมอาวุธครบมือกำลังจับจ้องมองมายังพวกตนอยู่ก่อนแล้วอย่างมาดร้าย ซ้ำมิหนำพลังเวทของอีกฝ่ายที่ส่งมาทำให้ทั้งเขาและอัสยุชรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร

                    มาตยัน?...” รามานนเอ่ยขึ้นแผ่วเบาไม่เกินกระซิบ เมื่อมองเห็นผู้นำกลุ่มคนเหล่านั้นถนัดตา

                    แม้จะจดจำได้ว่าผู้นำไพร่พลบนหน้าผาแห่งนั้นคือคนสนิทในทูตอัคคีผู้มีนามว่า มาตยันหากหลานชายท้าวติสสะก็ยังคงนิ่งสงบราวไม่สะทกสะท้านกับการมาของอาคันตุกะผู้ร้ายกาจทั้งหลาย ในใจของอัสยุชได้แต่ร้องเตือนซ้ำซากว่า... นี่ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าอัศกะต้องล่วงรู้ถึงการกลับมาของเขาแล้วเป็นแน่ หากไม่นับผู้อาจารย์ของเขาอีกคนที่จะรู้เรื่องนี้จากปากมุจริน

                    ธิดาท้าวโมฆราชในร่างของมาณพน้อยมองบุรุษข้างกายทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ ด้วยนางมิอาจรู้ได้ว่าผู้ที่ดักรออยู่ ณ หน้าผาดังกล่าวนั้นเป็นใครสำคัญฉันใด และต้องการสิ่งใดกันแน่ แต่หากอมาวสีสามารถมองเห็นได้ไกลเฉกเช่นเผ่าพันธุ์ของชายข้างกายทั้งสอง นางอาจต้องตื่นตระหนกกับใบหน้าของกลุ่มคนแปลกหน้าเหล่านั้นก็เป็นได้...

    ชายที่ถูกเรียกขานว่า... มาตยัน... ยกมือขึ้นโบกในอาการราวจะสั่งให้คนของตนบุกตะลุย พริบตานั้นเหล่าพลทั้งหลาย ภายใต้การนำของชายผู้นั้นก็พุ่งทะยานเหาะตรงเข้าโจมตีคนทั้งสามทันที!...

                    มาณพจำแลงมองกำลังพลทั้งหลายซึ่งกรูกันเข้ามาหาพวกตนแล้ว ร่างน้อยถึงกับแข็งขึงราวรูปสลักต้องคำสาป... หมู่ชายฉกรรจ์นับสิบที่พุ่งเข้าจู่โจมพวกนางนั้น บัดนี้เข้ามาใกล้ในระยะประชิดจนสามารถมองเห็นเครื่องหน้าอันชวนสยดสยองของพวกเขาได้ถนัดตา... อสูร!... นั่นคือคำเดียวที่นางนึกออกในยามนั้น... ศัตรูทุกคนล้วนแล้วมีใบหน้าคมคายประดุจนักรบจากจากสวรรค์ แต่มุมปากทั้งสองของพวกมันกลับมีเขี้ยวงอกยาวออกมาราวกับยักษากระนั้น!...

                    นะ... นี่มันตัวอะไรกันแน่?!” แทนที่จะได้รับคำตอบจากอัสยุช ชายหนุ่มกลับร้องบอกรามานนมาพร้อมร่ายเวทจนปรากฏดาบคู่กายขึ้นบนมือของเขาทันทีว่า

                    รามานน ฝากอคามีด้วย!...” ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับคู่อริทั้งหลายในฉับพลัน พร้อมตวัดดาบคมกริบในมืออย่างคล่องแคล่วว่องไว

                    อ๊ากก!!...”   

                    เหวออ!... ดาบอัสนี!” อมนุษย์ตนหนึ่งร้องขึ้นอย่างขวัญกระเจิง เมื่อแลเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเป้าหมายแห่งตน เป็นเหตุให้เพื่อนพ้องของมันชะงักงันไปตาม ๆ กัน ด้วยต่างรู้ฤทธิ์ดาบเทวะเล่มนี้เป็นอย่างดีแม้จะไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของที่แท้จริงก็ตาม

                    จักกลัวไปไยเจ้าพวกขี้ขลาดตาขาว!... แค่ดาบสวะเล่มเดียวจะไปมีน้ำยาอะไร น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟวันยันค่ำมาตยันเอ่ยขึ้นเสียงกราวกระด้างอย่างไม่สบอารมณ์ กับความขลาดเขลาของอสูรร้ายในอาณัติ

                    หากพวกเจ้าเกรงกลัวดาบเล่มนั้นนัก ข้าให้พวกเจ้าจัดการกับรามานนและเจ้าหนุ่มน้อยนั่นแทนก็แล้วกันเมื่อผู้เป็นนายออกปากดังนั้น เหล่าอมนุษย์ต่างเปลี่ยนเป้าหมายจากอัสยุชไปยังรามานนและอมาวสีแทน พร้อมกระโจนเข้าหาเหยื่อของตนดุจผีห่าจากนรกโลกันตร์ชั้นลึกสุดก็ไม่ปาน!...

    ด้วยเกรงว่าหญิงสาวจะได้รับอันตรายจากการปะทะกันระหว่างรามานนและเหล่าอสูร อัสยุชจึงผละจากอสูรตนหนึ่งซึ่งเขากำลังรับมืออยู่หมายเข้าช่วย ทว่าการณ์กลับมิเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ มาตยันพุ่งปราดเข้ามาขวางทางหลานชาวท้าวติสสะไว้ได้เสียก่อน บุตรแห่งอัศรีตวัดสายตามามองอีกฝ่ายอย่างรำคาญ ปากร้องสั่งการแข่งกับเสียงประยุทธ์ดังสนั่นไปยังผู้เปรียบเสมือนพี่ชาย โดยไม่ยอมละสายตามาดร้ายไปจากใบหน้าของคนสนิทแห่งอัศกะสักแวบหนึ่ง

                    รามานน!...”

                    คนสนิทในท้าวติสสะใช้เพียงมือเดียวปัดพลังไฟลูกเล็ก ๆ ที่พุ่งมาปะทะพวกตนไปอย่างง่ายดาย มือหนึ่งของชายหนุ่มกุมข้อมืออมาวสีไว้มั่น ก่อนหันไปร้องบอกเจ้าของคำสั่งนั้นน้ำเสียงครื้นเครง

                    อย่าห่วงเลย ข้าจะดูแลเด็กนี่ให้ดีเหมือนกับดูแลหัวของตัวเองเลยล่ะเสียงร้องตอบมาอย่างตลกคะนองผิดเวร่ำเวลาของรามานน ทำให้อัสยุชคลายใจลงเล็กน้อยก่อนจะพุ่งเข้าปะทะกับมาตยันในฉับพลัน!...

    การต่อสู้ตะลุมบอนเป็นไปอย่างดุเดือด สะท้อนสะเทือนทั่วชายหาด หลานชายท้าวติสสะรับมืออสูรคู่ใจจ้าวอัคคีได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ผิดกับรามานนซึ่งแม้ฝีมือและพระเวทจะเหนือชั้นกว่าเหล่าอสูรปลายแถวพวกนี้หลายขุมนัก แต่การที่ต้องสู้ไปพลางถอยไปพลางด้วยต้องคอยดูแลอมาวสี ทำให้เขามิสามารถรุกและจัดการกำจัดพวกมันได้อย่างเต็มที ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ไม่นานผู้ที่จะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็คือรามานนนั่นเอง ธิดาท้าวโมฆราชรู้ความจริงข้อนี้ดี จึงตัดสินใจถอยห่างออกมาจากชายอาวุโสทันที ด้วยคิดว่านางเอาตัวรอดจากเหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ได้ลำพังตัวคนเดียว

                    เอ๊ะ... อย่าทำอะไรโง่ ๆ นะ!...” คนสนิทในท้าวติสสะร้องถามร้อนรน แต่ช้าไปแล้วเมื่อเขาถูกต้อนให้ห่างออกมาจากหญิงสาวด้วยคมอาวุธจากเหล่าอสูรชั้นสวะ ขณะที่อมาวสีถูกไล่ล่าไปอีกทางหนึ่ง

                    ฝูงอมนุษย์แยกออกมาเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งยังกลุ้มรุมประชิดรามานนอย่างบ้าคลั่ง อีกส่วนตามติดมาณพจำแลงด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือยิ่งนัก ธิดาท้าวโมฆราชลนลานถอยหลังอย่างตกใจ มือใช้ดาบของตนจัดการกับเหล่าอมนุษย์แล้วไม่เป็นผล ความกลัวเริ่มเกาะกุมจิตใจหญิงสาวมากขึ้น เมื่อต้องหลบหลีกคมอาวุธพร้อมพลังเวทของฝ่ายตรงข้ามอย่างไร้ซึ่งหนทางต่อกร...

    นางอาจรู้เพลงดาบหากพระเวทในการยุทธ์ไม่ปรากฏในความจำสักกระผีก ซึ่งต้องโทษอาจารย์ของนางเองที่ไม่ยอมสอนมนตราในการต่อสู้ให้ จนต้องมาประสบชะตากรรมเยี่ยงนี้... เพราะมัวแต่คิดว้าวุ่นใจในหนทางรอดแห่งตน ทำให้อมาวสีสะดุดขาตัวเองล้มคะมำลงไม่เป็นท่า เจ้าอสูรร้ายตนหนึ่งถลาเข้ามายืนจังก้าอยู่ตรงหน้านาง มือหนาสีทองแดงเงื้อดาบเหล็กกล้าวาววับต้องแสงแดดระยับขึ้นสูง หมายบั่นคอหญิงสาวในดาบเดียว!...

    แต่ทว่า...

                    อ๊ากก!!...” เสียงร้องของเจ้าอสูรตนนั้นโหยหวนชวนขนลุกชัน เมื่อพลังเวทขุมหนึ่งพุ่งปราดมาปะทะร่างที่ไม่ทันระวังตัวของมันเต็มเหนี่ยว ก่อนที่ร่างทั้งร่างนั้นจะสลายกลายเป็นเถ้าธุลีในบัดดล!...

                    หัวใจอมาวสียังเต้นกระหน่ำระส่ำระส่าย ขณะหันไปมองที่ต้นตอของพลังเวทซึ่งปลิดชีพอสูรตนนั้นอย่างน่ากลัว และพบเข้ากับใบหน้าถมึงทึงน่ากลัวยิ่งว่าเหล่าอสูรร้ายของอัสยุชเข้า ซึ่งกำลังมองมายังนางอยู่ก่อนแล้วราวจะกินเลือดกินเนื้อ ปากก็ร้องเรียกรามานนเสียงดังลั่นอย่างหัวเสีย ก่อนจะรีบหันไปรับมือกับมาตยันอีกครั้งจนเสียงอาวุธกระทบกันดังเคล้ง!... สลับกับการระเบิดพลังห้ำหั่นกันและกันอย่างเอาเป็นเอาตาย

                    ฝีมือและความเร็วไม่เคยตกลงเลยนี่นะ อัสยุช!” มาตยันคำรามขณะระดมซัดพลังเวทเข้าหาชายหนุ่มไม่ยั้ง เสียงกัมปนาทสนั่นหวั่นไหว!...

                    อยากรู้จริงว่าเจ้าหนุ่มนั่นสำคัญเช่นไร ไฟเย็นเช่นเจ้าจึงร้อนเร่าขึ้นมาได้เช่นนี้?” ด้วยนิสัยที่ติดตัวมานับแต่จำความได้ ทำให้อัสยุชไม่เคยใส่ใจผู้ใดเหตุใดเขาจึงเป็นเดือดเป็นร้อนกับความปลอดภัยของเด็กหนุ่มผู้นี้นัก... คำถามนี้ผุดขึ้นมาในใจมาตยันอย่างไร้ซึ่งคำตอบ ก่อนจะรีบเบี่ยงกายหลบคมกล้าอัสนีของอีกฝ่ายอย่างน่าหวาดเสียว...

                    เจ้ามิรู้รึไรว่ายามประมือกับศัตรู มีกฎห้ามคิดหรือทำสิ่งใดนอกเสียจากคิดหาทางกำจัดอีกฝ่ายเท่านั้น!” เสียงเหี้ยมของอัสยุชดังมา ก่อนที่เจ้าตัวจะกระโดดดีดตัวหลบการโจมตีของคนสนิทแห่งอัศกะไปด้านข้าง พร้อมร่ายเวทเก็บดาบอัสนีของตน แล้วร่ายมนต์อัคเนยาสตร์จนปรากฏธนูเพลิงขึ้นมาแทน... ทันทีที่คันธนูถูกง้างออก ศรอัคคีลูกแรกก็ค่อย ๆ ปรากฏเหยียดยาวออกมาจนตึง ก่อนถูกปล่อยให้พุ่งปราดออกมาจากแล่ง ทะยานเข้าหาเป้าหมายในพริบตาเดียว!...

    รดอกนั้นพุ่งเฉียดใบหน้ามาตยันไปในระยะเผาขน แต่ถึงกระนั้นด้วยแรงอัดของพลังเวทแห่งศรพระกาฬ ก็ส่งให้โลหิตสีแดงฉานเหนียวหนืดซึมเอ่อออกมาจากรอยแผลเป็นทางยาวเกือบคืบ จากซีกแก้มซ้ายของชายชาวรสาตลทันที

                    ศรลูกต่อไปจะไม่พลาดเป้าแน่ ข้ารับรอง...” วาจาดุจประกาศิตจากอัสยุช ทำให้ร่างหนาของมาตยันที่กำลังจะพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายมีอันต้องชะงักงันไปนิดหนึ่งอย่างชั่งใจ... เขาเคยเห็นความร้ายกาจของศรพระกาฬแห่งท่านท้าวติสสะมาแล้ว ซึ่งนั่นทำให้ชายเผ่าอสูรเหลียวมองไปรอบกายอย่างทำอะไรไม่ถูก และเขาก็พบว่าบัดนี้ไพร่พลผู้ติดตามของตนต่างถูกรามานนกำจัดจนสิ้นซากแล้ว ซึ่งเมื่อคนสนิทแห่งอัศกะแลเลยไปยังรามนนก็พบว่า เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมแล้วเช่นกันที่จะเข้าโรมรันตนอีกคน มันทำให้มาตยันตัดสินใจอย่างรวดเร็วในการที่จะหันหลังกลับ พร้อมร่ายมนต์ย่นระยะทางแล้วเหาะทะยานหนีไปในชั่วเสี้ยวเวลานั้น...

     

                    หลังจากที่มาตยันหนีไปแล้ว อมาวสี อัสยุช และรามานนต่างปักหลักพักผ่อนอยู่ ณ บริเวณชายหาดแห่งนั้น โดยยังมิยอมมุ่งหน้าสู่รสาตลแต่อย่างใด ซึ่งเป็นด้วยเหตุผลที่กำลังเป็นหัวข้อให้ถกเถียงไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ในขณะนี้...

                    ข้าไม่กลับ!...” ธิดาท้าวโมฆราชร้องขึ้นเสียงดังอย่างขุ่นเคืองและขัดใจ เมื่ออัสยุชกล่าวแก่นางว่า... จะมิยอมให้หญิงสาวร่วมเดินทางไปยังรสาตลด้วยอีกต่อไป ซ้ำยังจักให้รามานนพานางกลับคืนสู่ปัญจาบอีกด้วย

                    ชายหนุ่มผู้เป็นต้นความคิดชักสีหน้าหงุดหงิดเด่นชัด แม้เตรียมรับอาการเช่นนี้จากนางเอาไว้แล้วก็ตาม... แท้จริงแล้วเขาปรารถนาเหลือเกินว่าจะมีนางคอยป้วนเปี้ยนอยู่ข้างกายตลอดไป ทว่าเหตุการณ์เมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ทำให้อัสยุชต้องคิดทบทวนถึงการกลับคืนสู่รสาตลของเขาอีกคำรบหนึ่ง ซึ่งมันไม่ควรจะมีอมาวสีอยู่ในแผนการของเขาด้วย

                    เจ้าก็รู้แล้วว่ารสาตลจะไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า

                    ธิดาท้าวโมฆราชมองไปยังรามานนด้วยแววตาอ้อนวอน โดยไม่ใส่ใจเหตุผลที่อัสยุชกำลังยกมาอ้างสักนิด ทว่าชายอาวุโสกว่าเพียงยิ้มห่อเหี่ยวด้วยความยุ่งยากใจเท่านั้น

                    อย่างไรเสีย เจ้าก็ต้องกลับปัญจาบ ไม่ว่ามันจะเป็นความต้องการของเจ้าหรือไม่ก็ตามหลานชายท้าวติสสะกล่าวหนักแน่น ราวจะประกาศให้ทุกคนทราบว่า... จะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเขาในครั้งนี้ได้กระนั้น

                    หญิงสาวหันขวับมามองคนพูดอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน สีหน้าของนางบ่งบอกให้ทราบอย่างไม่ยากเย็นถึงความไม่พอใจยิ่งในการตัดสินใจครั้งนี้ของชายหนุ่ม

                    ก็แล้วเหตุใดข้าต้องกลับปัญจาบในตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่เจ้ายินยอมให้ข้าตามมาไกลถึงเพียงนี้แล้วด้วยเล่า?!”

                    ร่างสูงสง่าของอัสยุชเดินกลับไปกลับเหมือนเสือติดจั่น มองดูน่าขันนักสำหรับรามานน หากเป็นช่วงเวลาอื่นเขาคงหัวเราะออกมาแล้ว แต่ไม่ใช่ในยามนี้ที่ดูเหมือนชายหญิงทั้งสองพร้อมจะใช้วาจาเฉือดเฉือนกันและกันให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการเยี่ยงนี้

                    นั่นเพราะข้าคิดว่าเจ้าจะยังปลอดภัยดีอยู่ ตราบใดที่อยู่ใกล้ ๆ ข้า แต่มันกลับมิเป็นเช่นนั้น!”

                    ดรุณีน้อยในร่างมาณพเม้มริมฝีปากแน่นอย่างขัดเคือง ก่อนเอ่ยโดยไม่ยอมละความพยายาม

                    ข้าก็ยังเป็นปกติดีอยู่อย่างที่เจ้าเห็น

                    สายตาคมกล้าเหมือนอยากฆ่าของอัสยุชมองกราดไปที่เนื้อตัวซึ่งถลอกปอกเปิกของนาง จากการสะดุดเท้าตนเองล้มคะมำหน้าคว่ำ สุดท้ายเกือบถูกเจ้าอสูรตนนั้นบั่นคอ ชายหนุ่มจึงเอ่ยเสียงเรียบทว่าแววปีศาจผุดขึ้นในดวงตาสีดำดุจรัตติกาลนั้นวูบหนึ่งอย่างน่ากลัว

                    รุ่งเช้าเจ้าจะกลับปัญจาบพร้อมกับรามานน...”

                    ใบหน้างดงามนั้นแดงก่ำด้วยความโกรธกรุ่นไร้เหตุผล... เขากล้าดีอย่างไรตัดสินใจแทนนางเช่นนี้!... แต่อมาวสีรู้ดีไม่ใช่เพราะความโกรธหรอกที่ทำให้นางดันทุรังอยากตามไป หากเป็นเพราะความกลัวต่างหากเล่า... กลัวว่าอาจไม่ได้พบอัสยุชอีก หากปล่อยให้เขากลับรสาตลเพียงลำพัง ยิ่งมีการปะทะกับตัวประหลาดพวกนั้นเช่นนี้ด้วย

                    เจ้าจะให้ข้ากลับปัญจาบ แล้วปล่อยให้เจ้ามุ่งสู่รสาตลเพียงลำพัง ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าที่นั่นอันตรายอย่างนั้นน่ะรึ?” แม้ถ้อยคำห่วงใยที่นางมีให้จักทำให้หัวใจของชายหนุ่มอบอุ่นอ่อนยวบลงไปมาก ทว่าเมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยของอมาวสีแล้ว อัสยุชจึงตอบกลับไปอย่างเย็นชาไม่ยอมมองหน้าว่า

                    ใช่...”

                    ดวงตาคู่งามแวววาวด้วยหยาดน้ำตาเพราะความน้อยใจ ที่อีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจความปรารถนาดีของตน ความเงียบอุบัติขึ้นมาท่ามกลางความไม่เข้าใจของชายหญิงทั้งสอง ซึ่งต่างคิดว่าการกระทำของตนเหมาะสมถูกต้องแล้วสำหรับอีกฝ่าย

                    เอ่อ... ข้าคิดว่า...” น้ำเสียงบ่งบอกความอึดอัดของรามานนดังขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก แต่กลับถูกอัสยุชชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อนว่า

                    เจ้าจะนำนางกลับสู่ปัญจาบอย่างปลอดภัย เพราะเจ้าเป็นผู้แจ้งให้นางรู้ถึงการเดินทางของข้า

                    รามานนลอบมองไปยังดรุณีน้อยหนึ่งเดียวในที่นั้นอย่างลำบากใจนัก

    แล้วหากฉวยเจ้ามิกลับรสตาลเล่า ข้ามิแย่รึไร?...” ผู้รับใช้ในท้าวติสสะแกล้งเอ่ยอ้างถึงเหตุผลเดิม ๆ ทั้งที่รู้ดีว่า... การที่อัสยุชให้อมาวสีกลับไปยังปัญจาบนั้น ย่อมหมายถึงเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับคืนรสาตลอย่างแน่นอน         

    เจ้ารู้ดีอยู่เต็มอกถึงการติดสินใจของข้า ไยต้องเอ่ยถามให้มากความ ถือว่าข้าขอร้อง... ช่วยส่งนางกลับปัญจาบด้วยเถิดน้ำเสียงของอัสยุชทำให้ชายอาวุโสที่สุดในที่นั้นได้แต่นิ่งอึ้งอย่างยอมจำนน ด้วยนี่คือคำขอร้องครั้งแรกของผู้เปรียบเสมือนน้องชายแห่งตน ลมหายใจหนักหน่วงของรามานนเล็ดลอดออกมาแผ่วเบา ก่อนเอ่ยในที่สุดว่า

                    ตกลง...” มิยอมแลสบตากับดรุณีน้อยตรงหน้าที่มองมายังเขาด้วยแววมาดร้าย รู้ดีว่าอมาวสีเปลี่ยนเป้าหมายจากอัสยุชมาที่เขาแล้วอย่างเปิดเผย เพราะความที่ยอมทำตามคำบุตรแห่งอัศรีนั่นเอง

                    หลานชายท้าวติสสะมองไปยังอมาวสีเช่นกัน หากใบหน้าหล่อเหลานั้นยังคงเรียบเฉยดุจอัสยุชคนเดิมที่นางพบเมื่อแรกเจอ ณ อุตรประเทศกระนั้น ก่อนเอ่ยออกมาว่า

                    ดี... ส่วนข้าจะรออยู่ที่รสาตล

                    สายตาของอัสยุชมองนิ่งจับอยู่ที่ผืนทะเลกว้างลึกล้ำเบื้องหน้า ก่อนจะร่ายมนตราในบัดดล... พริบตานั้นร่างสูงสง่าก็ลอยละลิ่วขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม แล้วทะยานสู่กลางทะเลในทันใด...

                    กลิ่นคาวเกลือโชยมาติดจมูก เสียงคลื่นซัดสาดดังอื้ออึงทุกสารทิศ หากมันมิอาจทำให้ชายหนุ่มหวั่นเกรงแต่อย่างใด กลับยิ่งรู้สึกคุ้นเคยและสงบลึกในหัวใจ ด้วยบัดนี้เขากำลังจะกลับสู่ถิ่นกำเนิดแห่งตนแล้วนั่นเอง หลานชายท้าวติสสะลอยตัวนิ่งอยู่เหนือผืนน้ำ ใจกลางทะเลกว้างสุดขอบฟ้า ณ สะดือทะเลแห่งนั้น มนต์เบิกวารีถูกเจ้าตัวร่ายซ้ำขึ้นมาอีกบท อึดใจต่อมาท้องทะเลที่เคยสงบ กลับปั่นป่วนหมุนวนแปรเปลี่ยนเป็นวังน้ำวนขนาดมหึมา ราวพระสมุทรกำลังบ้าคลั่งยามฤดูกาลแห่งพายุกระหน่ำ!...

                    มันเริ่มขยายอาณาเขตใหญ่ขึ้นทีละนิด ๆ กระทั่งหมุนวนจนเผยให้เห็นถึงก้นท้องทะเลลึกสุดหยั่ง ที่มีหินทรายและปะการังยักษ์ซึ่งไม่ถูกพัดไปกับแรงน้ำวนนั้น แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ... รูปสลักหินมองดูคล้ายบานประตูทั้งเจ็ดที่จัดวางให้หันหลังชนกันนั้นต่างหากเล่า... มันเป็นสิ่งก่อสร้างจากน้ำมือผู้ซึ่งเป็นยิ่งกว่ามนุษย์ ด้วยบานกระจกทั้งเจ็ดมองดูประดุจม่านน้ำที่เสมือนทางผ่านสู่ดินแดนอันลึกลับ ซึ่งอัสยุชรู้ดีว่ามันมีไว้เพื่อการใด ร่างของชายหนุ่มค่อย ๆ ลอยต่ำลง ๆ เชื่องช้า สองเท้าของเขาสัมผัสพื้นทรายใต้ก้นทะเลอย่างมั่นคง ขณะที่น้ำทะเลสูงหลายหลายังคงพัดวนล้อมโอบชายหนุ่มไว้รอบทิศ

                    หลานชายท้าวติสสะตรงไปยังหินทั้งเจ็ดบานที่ตั้งอยู่ใจกลางนั้น แต่ละบานมีรูปสลักที่แตกต่างกันออกไป บานหนึ่งเป็นรูปยักษ์แยกเขี้ยวน่าขยาดกลัว บางบานเป็นรูปนาคราชขดพระขนองอย่างหยิ่งผยอง บ้างก็เป็นรูปครุฑคู่อริของนาคราช ชายหนุ่มมุ่งตรงไปยังกระจกบานที่หกซึ่งมีรูปสลักของเทวา หากเป็นเทวาผู้มีใบหน้างดงามที่มีเขี้ยวงอกยาวออกมาประดุจยักษาก็ไม่ปาน มันเป็นลักษณะของอสูรกึ่งมนุษย์โดยแท้... ความคุ้นเคยกำลังถาโถมเข้าสู่เรือนกายของชายหนุ่มยามนึกถึงการกลับมาในครั้งนี้ ทว่าสัจจะว่าที่ให้ไว้กับผู้เป็นอาจารย์แล่นผ่านเข้ามาในโสตสำนึก ราวจะย้ำเตือนถึงความไม่สัตย์ซื่อของตน... อัสยุชนิ่งขึงยืนอยู่ ณ ที่นั้นราวกับว่ามันคือประตูที่จะนำเขาไปสู่สวรรค์พอ ๆ กันกับที่จะนำพาเขาไปยังนรกขุมซึ่งลึกสุดหยั่งกระนั้น...

                    ชายหนุ่มปัดความคิดว้าวุ่นออกไป ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ก่อนก้าวล่วงเข้าไปในม่านกระจกที่ราวจะเปิดรับเขาด้วยความยินดีนั้นในทันใด ก่อนที่ความมีเหตุผลจะเข้ามาขัดขวางการกลับสู่รสาตลของเขาเสียก่อน... อย่างน้อยชายหนุ่มก็สบายใจในส่วนหนึ่ง ด้วยอมาวสีกลับคืนสู่ปัญจาบพร้อมรามานนเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง

                    ครั้นพอผ่านพ้นประตูดังกล่าวเข้ามา โลกก็ราวจะถูกครอบงำด้วยความมืดมิดจนสิ้น ทั้งที่เพลานี้หาใช่ราตรีกาลไม่ ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มไม่คาดคิดไว้ก็คือ... ร่างอรชรของผู้ซึ่งรอท่าเขาอยู่อีกฝากหนึ่งของประตูบานนั้นต่างหาก... สองเท้าอัสยุชชะงักงันไปเล็กน้อย แม้จะนึกรู้อยู่บ้างว่าการกลับมาครานี้ย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของผู้ใด และไม่เป็นความลับอีกต่อไป ทว่าการพบมุจรินรอคอยอยู่เยี่ยงนี้ก็ยังคงสร้างความประหลาดใจให้กับเขาอยู่ดี

                    นางอยู่ในชุดเฉกเช่นบุรุษเพศ แต่มิได้ปกปิดความเป็นอิสตรีโดยปล่อยให้เส้นผมหยาดเหยียดจรดสะโพกผายสยายยาวถึงกลางหลัง หญิงสาวรีบถลาเข้าหาอีกฝ่ายในอาการร้อนรน สีหน้ามุจรินไม่ต่างกันกับผู้ซึ่งตกอยู่ในความวิตกกังวล น้ำเสียงที่ดรุณีตรงหน้าเอ่ยออกมาจึงฟังระรัวและตระหนกเปิดเผย

                    เจ้าควรจากไปเสียก่อนที่ท่านอาจารย์จะรู้ถึงการกลับมาของเจ้า!...” ความห่วงใยที่นางมีให้ไม่ทำให้ชายหนุ่มรับรู้ หรือหากจะเข้าใจในความปรารถนาดีของนาง เขาก็ไม่แยแส กระนั้นอัสยุชก็ยังเอ่ยขอบคุณนางเบา ๆ เท่านั้นเองแล้วเขาก็ก้าวผ่านมุจรินไปโดยไม่คิดใส่ใจหรือหันกลับไปมองว่านางจะก้าวตามไปหรือไม่แม้แต่น้อย...

     

    ภาพสะพานแก้วอันเป็นเส้นทางเชื่อมสู่ปรางค์แก้ว ซึ่งเป็นที่ประทับของจ้าวผู้ครองรสาตลแห่งนี้ ทำให้ร่างสูงสง่าของชายผู้อยู่ในชุดธรรมดา เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปชะงักฝีเท้าลงในอาการเหม่อลอย สายตาคมกล้าดำสนิทดุจคืนเดือนมืด มองกราดผ่านความมืดสลัวไปรอบ ๆ อาณาเขตแห่งนั้นอย่างเฉยเมย หากในความทรงจำของเขากลับปรากฏภาพของบุรุษสองนายขึ้นมาอย่างเลือนราง...

                    มาเถิดอัสยุช ท่านท้าวกำลังรอเจ้าอยู่...” นิมารกะเร่งมา เมื่อพบกว่าเด็กน้อยกำลังยืนมองปรางค์แก้วอันงดงามตระการ ซึ่งถูกสร้างขึ้นให้ผสมกลมกลืนกับหินผาที่รกรื้นไปด้วยตะใคร่น้ำและพืชพันธุ์ ที่มักงอกงามอยู่ในเขตอับชื้นเช่นนี้ด้วยความสนใจ ก่อนที่ชายอาวุโสผู้นั้นจะก้าวห่างออกไป ทิ้งให้เด็กน้อยวิ่งรั้งท้ายตามไปเพียงลำพัง...

                    อัสยุชสลัดภาพในอดีตทิ้งไป แล้วมุ่งตรงไปยังปรางค์แก้วที่ตั้งตระหง่านง้ำอยู่เบื้องหน้าตามความตั้งใจเดิมของตนทันที... ภาพอสูรหินใหญ่โตสูงเทียมบัลลังก์ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นขึ้นไปหลายสิบหลา นั่งในท่าคุกเข่าถือตะบองขนาบข้างบัลลังก์ก่อจากแก้วทรายทั้งสองตน ดูราวกับว่ามันมีชีวิตและคอยพิทักษ์รักษาปรางค์แก้วแห่งนี้เอาไว้กระนั้น... ชายหนุ่มคิด ขณะสายตาก็สอดส่ายไปทั่วทั้งที่มิได้ใส่ใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อย รูปเทวามีเขี้ยวโค้งดั่งยักษายืนตั้งท่าแยกฟันข่มขู่อยู่ปากทวารทางเข้า ดูแล้วมันไม่ผิดแผกจากครั้งที่เขาจากไปเลยสักนิด และเมื่อชายหนุ่มมาหยุดยืนอยู่ ณ ประตูใหญ่สูงสุดสายตา ก็ถูกทหารเฝ้าทวารสองตนผู้เป็นเจ้าของรูปกายสีทองแดงและเขี้ยวยักษ์งอนยาวบนมุมปากสกัดกั้นเอาไว้ มิยอมให้ผ่านเข้าไปง่าย ๆ

                    ที่นี่ไม่ใช่ที่ ๆ แทตย์หรือทานพชั้นต่ำเยี่ยงเจ้าจะมาเดินเพ่นพ่าน จงรีบไสหัวไปซะ!...” แทตย์ตนหนึ่งตวาดก้องกัมปนาทชวนหวาดหวั่น หากชายหนุ่มผู้นั้นกลับตอบกลับไปน้ำเสียงราบเรียบเย็นชาแฝงรอยปีศาจมาพร้อมกัน

                    ข้ามาเพื่อพบกับจ้าวของพวกเจ้า...”

                    บ๊ะ!... เจ้านี่ปัญญาทึบรึฟังไม่รู้เรื่อง ไล่แล้วยังไม่ยอมไป รีบไปเดี๋ยวนี้หาไม่แล้วจะว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ...”

                    ดื้อด้านเสียนี่กระไร...” เพื่อนของมันอีกตนสำทับน้ำเสียงดูแคลน

                    หากยังมิทันที่อัสยุชจะเอ่ยกลับไปเช่นไร เสียงทักอย่างประหลาดใจแฝงความปรีดาและคุ้นเคยของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาทางเบื้องหลังเสียก่อน

                    นั่นเจ้ารึอัสยุช?!...”

                    ชายหนุ่มเจ้าของนามหันไปมองยังที่มาของเสียงนั้นทันที... ภาพชายอาวุโสร่างสูงโปร่งสมชายชาตรี ใบหน้าไม่ต่างไปจากครั้งที่พบกันคราแรกนัก จะเปลี่ยนไปบ้างก็เพียงแต่ผมขาวที่ขึ้นมาแซมอยู่ข้างขมับทั้งสองนั้น ทำให้อัสยุชพึมพำออกมาแผ่วเบาราวคนละเมอว่า

                    นิมมารกะ?...”

                    เป็นเจ้าจริง ๆ พระศิวะเจ้า...” ชายอาวุโสอุทานสีหน้าเบิกบานเหลือจะกล่าว พลางโบกมือให้สัญญาณแก่ผู้เฝ้าทวารทั้งสองเป็นเชิงให้เปิดทางแก่ตนและชายหนุ่ม ไม่สนใจสายตางุนงงของแทตย์อารักษ์ทั้งสองตนนั้นแต่อย่างใด ชายต่างวัยทั้งสองก้าวล่วงเข้าไปในอาณาเขตของปรางค์แก้วพร้อม ๆ กัน ขณะนิมมารกะเอ่ยขึ้นว่า

                    ดูท่า การกลับคืนครั้งนี้ของเจ้าข้าจะเป็นผู้แรกกระมังที่เจ้าได้พบ

                    มันไม่ใช่คำถามหรือแม้หากใช่อัสยุชก็ไม่คิดจะตอบ... น้ำเสียงของอีกฝ่ายเปิดเผยให้เห็นถึงความยินดีเป็นล้นพ้นกับการกลับมายังรสาตลของชายหนุ่ม ทว่าการพบกับนิมมารกะที่ทวารทางเข้ากลับทำให้อัสยุชหวนนึกถึงเมื่อแรกมายังปรางค์แก้วแห่งนี้ ด้วยความเจ็บปวดที่กลายเป็นด้านชากับสายตาที่มองมาของผู้ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเขา

                    มุจริน นางรู้แล้วว่าข้ากลับมา...” คำบอกเล่าของอัสยุชสร้างความไม่สบายใจแก่ชายอาวุโสยิ่งนัก เท้าทั้งสองของนิมมารกะหยุดชะงักลงแทบจะทันที หันมามองคู่สนทนาของตนอย่างค้นคว้า

                    เหตุใดนางจึงยอมปล่อยให้เจ้าล่วงผ่านมาจนถึงที่นี่ได้เล่า?” แต่ครั้นนิมมารกะเอ่ยถามมาถึงจุดนี้ก็นิ่งเงียบไปอย่างนึกขึ้นได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงทั้งสอง และแม้ชายหนุ่มจะรู้ถึงความเข้าใจของชายกลางคนหากเขาก็ยังนิ่งเงียบดุจเดิม... การกลับมายังถิ่นกำเนิดโดยปราศจากอมาวสี ทำให้ความเย็นชาดุจหิมะบนยอดเขาหิมาลัยหวนกลับมาสู่จิตใจชายหนุ่มอีกครั้ง ซึ่งมันสร้างความประหลาดให้กับอัสยุชไม่น้อยเลยทีเดียว... เขาจากนางมายังไม่ทันข้ามวันด้วยซ้ำ โลกก็เหมือนจะหวนกลับไปยังช่วงเวลาอันเลวร้ายในอดีตเสียแล้ว... เท้าเขาก้าวไปเบื้องหน้าพร้อมปัดทุกความคิดออกจากใจ ปรารถนาเพียงประการเดียวคือทำหน้าที่ของหลานชายเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น...

                    ขณะที่อัสยุชและนิมารกะกำลังก้าวขึ้นไปตามขั้นบันไดหินสีเทาหม่น สู่บัลลังก์แก้วเบื้องบนไกลลิบนั้น ทั้งสองหาได้รู้ไม่ว่าพวกตนกำลังตกเป็นเป้าสายตาของชายหญิงคู่หนึ่งอยู่เพลานั้น

                    เจ้าเห็นเช่นที่ข้าเห็นหรือไม่ปาณทพ?...” ดรุณีน้อยผู้อ่อนเยาว์งดงามดุจเทพธิดา หากเป็นเทพธิดาแห่งความอาฆาตพยาบาทเอ่ยถามบุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด สายตายังไม่ยอมละจากภาพชายต่างวัยทั้งสอง ที่ค่อย ๆ ห่างออกไปทุกที ๆ นั้นสักขณะจิต

                    ไปกันเถอะแทนคำตอบชายหนุ่มเจ้าของนามชักชวนเสียงเรียบ ก่อนจะก้าวจากมาเป็นคนแรกโดยไม่ใส่ใจว่าหญิงสาวนางนั้นจะก้าวตามตนไปหรือไม่... ภาพที่เห็นมากเกินพอแล้วสำหรับข่าวที่จะนำไปแจ้งแก่ผู้เป็นอาจารย์...

     

                    สิ่งที่เนปาลีกล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นความสัตย์ทั้งสิ้นขอรับท่านอาจารย์...” ปาณทพกล่าวตอบอย่างหนักแน่น เมื่อผู้เป็นอาจารย์ถามย้ำเกี่ยวกับการกลับคืนรสาตลของอัสยุชที่ผู้เป็นศิษย์รายงานแก่ตน หลังกลับมาจากปรางค์แก้วแล้ว

    เหตุใดมันจึงกลับมา ทั้งที่ให้สัตย์สาบานแก่ท่านอาจารย์เอาไว้แล้วเยี่ยงนี้?” สวันเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเครียดขึง ทุกคนต่างถกกันถึงเรื่องนี้ ในขณะที่ผู้เป็นอาจารย์ยังคงนิ่งเงียบ ภายในกลับหวนคิดถึงอดีตที่ผ่านมาไม่นานนักนั้นโดยปล่อยให้เสียงต่าง ๆ รอบกายผ่านไปราวสายลม มีเพียงภาพของตนและเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้นในความคิดขณะนั้น ก่อนที่เงาอดีตจะสว่างจ้าขึ้นในส่วนลึกของจิตใจ...

    นี่คือทูตแห่งวารี... แต่นี้ไปท่านผู้นี้คืออาจารย์ผู้ซึ่งจะประสิทธิ์ประสาทวิชาทุกอย่างแก่เจ้า และเจ้าจักต้องอยู่ที่ทักษิณปราคโชยติษแห่งนี้กับท่าน คำพูดของนิมมารกะไม่ทำให้เด็กชายตรงหน้า ซึ่งมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้วเข้าใจง่ายนัก ทว่าความเจ็บปวดราวถูกหักหลังในดวงตาสีรัตติกาลคู่นั้นของอัสยุช ก็ส่งกระแสประหลาดเข้าสู่กลางใจชายกลางคนอย่างมากล้น

    ด้วยความผิด ซึ่งข้าหาใช่ผู้เริ่มหรอกรึจึงเป็นเหตุให้ท่านจ้าวของท่านส่งข้ามาอยู่ยังที่แห่งนี้?...”

    อาจเพราะความทุกข์ทนนับแต่ลืมตาลูกโลก ทำให้เด็กชายไม่มีส่วนไหนเหมือนกับเด็กในวัยเดียวกัน ทุกคำพูด... ทุกคำถามบ่งบอกความรู้มากเกินตน ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความอึดอัดให้กับนิมมารกะมากขึ้น กระนั้นเขาย่อมรู้ดีว่า... โทษทัณฑ์ของผู้ซึ่งปลิดชีพบุตรชายทูตแห่งสายลมมีสถานเดียวคือความตาย... อัสยุชพำนักอยู่ในปรางค์แก้วได้เพียงไม่กี่เพลา ความวุ่นวายก็เหมือนจะย่างกรายมาพร้อมกับเด็กน้อยราวคำสาปที่ชาวอสูรเคยหวาดหวั่น... เด็กชายพลั้งมือสังหารนนทิผู้เป็นบุตรแห่งมารุตด้วยความโกรธสุดกลั้น และแม้จ้าวผู้ครองรสาตลก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นธรรมนี้ได้ การออกจากปรางค์แก้วมาของอัสยุชจึงเป็นสิ่งเดียวที่ทำได้ในยามนั้น...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×