คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2
2
แม้แสงสว่างจากคบไฟที่ถูกจุดขึ้นมาในค่ายแห่งนี้จะเป็นเพียงแสงสลัวท่ามกลางสีดำสนิทของรัตติกาลแต่ภาพของผู้เป็นอาจารย์ซึ่งถูกจับมัดตรึงติดกับเสาด้วยร่างกายอันบอบช้ำเพราะถูกทรมานเฆี่ยนตีกลับชัดเจนยิ่งในความรู้สึกของอมาวสี
นางเฝ้าสำรวจตรวจดูอาการของอีกฝ่ายอย่างห่วงใยขณะรอฟังโคตมะเอ่ยตอบในสิ่งที่นางบอกเล่าซึ่งตนก็เพิ่งได้รับฟังจากปากของศนิวารมาเมื่อครู่นี้นี่เอง...
“จะ... เจ้าเชื่อในสิ่งที่มันบอกแก่เจ้าเช่นนั้นรึ?!”
จอมเวทย์ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยออกมาอย่างอ่อนล้าด้วยพิษบาดแผล แม้เสียงที่เล็ดลอดออกมาจากปากของเขาจะแผ่วเบาราวกระซิบแต่ดรุณีน้อยผู้เป็นศิษย์ก็รู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจอย่างมากมาย
“เช่นนี้ข้าจึง... ใคร่ขอให้ท่านอาจารย์กล่าวแต่ความจริงต่อข้า...”
อมาวสีเอ่ยถามตะกุกตะกักอย่างอึดอัดใจเป็นที่สุด แต่ด้วยต้องการความจริงนางจึงจำต้องถามราวกับมิเชื่อใจในตัวผู้เป็นอาจารย์
โคตมะนิ่งมองดรุณีน้อยตรงหน้าอย่างใช้ความคิด ความเจ็บปวดที่มีบัดนี้ถูกแทนทีด้วยความวิตกกังวลใจในตัวนางแทน พราหมณ์ผู้มากด้วยคุณวุฒิถอนหายใจอย่างหนักหน่วง นี่คงถึงเวลาที่นางจักต้องเผชิญกับความจริงแล้วกระมัง... ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งหนักใจด้วยวิสัยแห่งนางหากรู้ความจริงแล้วไซร้ยากที่จะนิ่งเฉยอยู่ได้ แต่หากเก็บงำไว้ความคลางแคลงใจก็จะเกิดกับตัวนางได้ซึ่งหากนั่นจะเป็นเพียงความเข้าใจผิดของนางที่มีต่อตัวเขา ๆ คงจะไม่รู้สึกร้อนใจเท่ากับการที่นางจะถูกคนชั่วอย่างนันทะหลอกใช้....
“ทะ... ทุกสิ่งเป็นจริงตามที่ศนิวารมันกล่าวมา.. อ่า... จะผิดก็แต่ที่ว่าข้าลักพาตัวเจ้ามาเท่านั้น...”
“แล้วเหตุใดข้าจึงมาอยู่ ณ ที่นี้พร้อมด้วยท่านอาจารย์ได้เล่า?!...”
“ระ... เรื่องราวต่อจากนี้ให้เจ้าไขเอาเอง...”
ผู้เป็นอาจารย์หยุดพูดพลางหลับตาลงเพื่อสะกดความเจ็บปวดในกายที่กำลังแล่นลิ่วขึ้นมาอีกระลอกหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไป
“กุญแจดอกสำคัญอยู่ที่เจ้าผู้ครองแคว้นปัญจาบ... แต่ขอให้เจ้าจงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจว่าคนผู้นี้เป็นภัยต่อตัวเจ้ายิ่งนัก!” โคตมะเอ่ยด้วยวาจาหอบเหนื่อยหากก็พยายามกัดฟันพูดต่อไปว่า
“ระ... รีบไปซะ!”
“แต่จะให้ข้าทิ้งท่านอาจารย์แล้วหลบหนีไปเพียงลำพังได้อย่างใด?!” หญิงสาวกล่าวด้วยความไม่พอใจ และอึดอัดใจเป็นกำลังพลางมองใบหน้าฟกช้ำดำเขียวของอีกฝ่ายอย่างไม่สบายใจ...
“แล้วเจ้าคิดว่าจะทำประการใดได้?...” เอ่ยเหมือนไม่ใส่ใจเท่าใดนักแต่ในใจนั้นซาบซึ้งในน้ำใจศิษย์รักยิ่งจนอดที่จะตื้นตันใจมิได้สมแล้วที่เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมา
“ข้ามีแก่นนิทราและมนตราที่ท่านสอนสั่ง...”
นางผู้เป็นศิษย์หยุดพูดพร้อมกับมองไปรอบ ๆ กายอย่างระแวดระวังแม้จะรู้ดีว่าพวกตนอยู่เพียงลำพังก็ตาม แล้วจึงหันกลับมากระซิบกระซาบกับพราหมณ์เฒ่าอีกว่า...
“ไม่กี่ชั่วยามพวกมันก็หลับสนิทเป็นตาย!... แต่ก่อนอื่นข้าต้องร่ายเวทรักษาบาดแผลท่านเสียก่อน...”
นางกล่าวจบก็คิดจะทำตามดังที่ตั้งใจไว้ แต่ทว่า...
“รักษาข้าจะทำให้กำลังของเจ้าอ่อนลง... ซ้ำยังมีข้าที่ยังไม่หายดีตามไปด้วยรังแต่จะเป็นตัวถ่วงเปรียบได้กับเตี้ยอุ้มค่อมก็ไม่ปาน... การหลบหนีก็จะยิ่งลำบากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ”
“แต่ข้าจะไม่ยอมทิ้งท่านอาจารย์ไปเป็นอันขาด!!” นางเอ่ยอย่างดื้อรั้น
“ได้โปรด... รีบเสด็จเถิดพระเจ้าข้าขืนชักช้าจะเสียการ แม้นไม่ตายเสียพระองค์กับหม่อมฉันคงจะได้พบกันอีกเป็นแน่ ” โคตมะกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าหัวใจระทดท้อตามแรงอารมณ์
แต่ธิดาท้าวโมฆราชกลับยังยืนนิ่งน้ำตาไหลพรากส่ายหน้าปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่!... ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!”
“หากพระองค์ไม่ยอมเสด็จหม่อมฉันจะถือว่าเนรคุณที่ไม่ทรงเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์!...”
ผู้เป็นอาจารย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดหากมิยอมมองหน้าผู้เป็นศิษย์ด้วยเกรงว่าจะใจอ่อนยอมตามใจอีกฝ่ายอันจะเป็นผลร้ายต่อตัวนางนั่นเอง...
อมาวสีได้แต่กลัดกลุ้มในหัวใจมิรู้ควรจะทำฉันใดดี ห่วงผู้เป็นอาจารย์ก็ห่วงแต่หากจะดึงดันตามความคิดตนก็เห็นจริงดังคำของพราหมณ์เฒ่า อีกทั้งปริศนาชาติกำเนิดที่ดำมืด และบุพการีที่รอคอยตนอยู่เบื้องหน้านี้อีกเล่า... นางจึงได้แต่ยืนกระสับกระส่ายอย่างไร้ซึ่งคำตอบให้กับตัวเอง... และเมื่อผู้เป็นอาจารย์หลับตานิ่งมิยอมกล่าวสิ่งใดอีกราวกับต้องการยุติการสนทนาลงเพียงแค่นี้ผู้เป็นศิษย์จึงจำต้องหันหลังก้าวจากมาอย่างตัดใจ
ร่างเพรียวบางในอาภรณ์สีม่วงอ่อนของบุรุษเพศผมยาวถูกเกล้าเป็นมวยเอาไว้กลางกระหม่อมของมาณพน้อยผู้หนึ่งซึ่งกำลังเดินลัดเลาะมาตามป่ารกทึบตรงหน้าไปด้วยความระมัดระวัง ดวงตาคู่สวยเกินชายสอดส่ายไปมาอย่างรอบครอบ คิ้วโก่งเรียวดั่งคันศรขมวดมุ่นอย่างกลัดกลุ้ม อมาวสีใช้เวลาเดินวกไปเวียนมาอยู่ในป่าแห่งนี้หลายชั่วยามแล้วแต่ก็ไม่อาจค้นหาทางออกได้อยู่ดี นางทรุดนั่งลงใต้ต้นมะเดื่อนั้นอย่างอ่อนล้า และสิ้นหวัง... มือน้อยก็คอยปาดเช็ดคราบเหงื่อไคลบนใบหน้าอย่างเหนื่อยล้า และแล้วความคิดของนางก็หวนกลับไปยังช่วงเวลาที่หลบหนีออกมาจากค่ายโจรกำมะลอนั่นอีกครั้ง
เมื่อถูกรบเร้าให้หลบหนีอมาวสีจึงจำตัดใจทำตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ทั้งที่ไม่เต็มใจ และเมื่อศนิวารให้คนนำทางนางไปยังที่พักเพื่อรอท่าที่จะเดินทางไปเอามณีมนตราตามคำบอกเล่าของนาง...
ดึกสงัดคืนนั้นเองหญิงสาวจึงร่ายมนตราควบคู่กับแก่นนิทราที่ตนซ่อนไว้ก่อนจะโยนแก่นไม้ดังกล่าวเข้าไปในกองไฟโดยที่นางเองหลบไปอยู่เหนือลม เพียงไม่นานเวรยามทั้งหลายต่างก็ล้มลงหลับใหลไปทีละคนสองคนซึ่งนั่นหมายความว่าแม่ทัพแห่งกองทหารม้าปัญจาบย่อมต้องต้องมนตรานี้เฉกเช่นกันกับผู้อื่น และเมื่อเห็นว่าอำนาจจากมนตรา และแก่นนิทราจะไม่มีผลต่อตนแล้วธิดาท้าวโมฆราชจึงก้าวเข้าไปในที่คุมขังผู้เป็นอาจารย์เพื่อหมายจะได้ร่ำลาอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากมา....
“นี่ข้าจะต้องมาตายในป่าวงกตนี้หรืออย่างไรหนอ?...” อมวสีพึมพำกับตนเองเบา ๆ อย่างไร้ความหวังหลังจากยุติความคิดของตนลง
เสียงท้องเจ้ากรรมร้องครวญครางอย่างน่าสงสารเพราะนางไม่ได้กินอะไรเลยนับแต่หนีออกมาได้ แล้วความคิดของนางก็มุ่งไปที่สิ่งซึ่งจะรองท้องประทังความหิวดังนั้นร่างน้อยจึงขยับลุกขึ้นเดินลากขาอันหนักอึ้งของตนไปในทิศทางอันแว่วเสียงน้ำตกแตกกระเซ็นยามเมื่อมันตกกระทบพื้นน้ำดังมาแต่ไกล
หญิงสาวเดินลัดเลาะไปได้ไม่กี่สิบย่างก้าวก็พบกับน้ำตกสูงชันพร้อมด้วยลำธารที่ไหลยาวสุดสายตาท่ามกลางแมกไม้ที่ร่มรื่นนางคิดว่ามันคงจะทอดยาวไปถึงยังหมู่บ้านสักแห่งเป็นแน่ และหากเดินตามธารน้ำสายนี้ไปนางก็อาจจะออกไปจากป่าอาถรรพณ์นี้ได้ก็เป็นได้ คิดได้ดังนั้นนางจึงหันไปสนใจแอ่งน้ำตรงหน้าอีกครั้ง...
อมาวสีก้มลงกอบน้ำใสเย็นนั้นขึ้นมาดื่มแก้กระหายซึ่งมันก็ช่วยให้ความหิวของนางผ่อนคลายลงได้บ้างเล็กน้อยความสดชื่นกลับคืนมาสู่หญิงสาวอีกคราท่ามกลางความเงียบสงบของพงพี... เสียงหวีดร้องขับขานท่วง ทำนองแห่งพนาไพรของนกสาริกาช่างไพเราะเสนาะหูหวานพลิ้วแผ่วกังวานเสียนี่กระไร....
ธิดาท้าวโมฆราชชะเง้อคอมองดูฝูงปลาที่แหวกว่ายในกระแสธาราอยู่ไม่ไกลออกไปนักนั้นอย่างสบายอารมณ์
แต่แล้ว... พลันสายตาของนางก็ปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าซึ่งอาจเป็นเพราะผิวเนื้อที่เปล่าเปลื่อยเปื้อนโลหิตสีแดงที่โพล่พ้นออกมาจากรอยขาดวิ่นของตัวเสื้อสีดำสนิทนั้นก็เป็นได้ที่ทำให้อมาวสีเพ่งมองไปยังร่างสูงของคนซึ่งนอนสลบไสลอยู่บนโขดหินใหญ่อันเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเบื้องหน้าอย่างตกใจก่อนที่นางจะสาวเท้าไปยังจุดนั้นแทบจะทันใด!...
ศิษย์แห่งโคตมะนั่งลงข้าง ๆ ร่างเพรียวแกร่งกล้านั้นช้า ๆ อย่างไม่แน่ใจ อาภรณ์ที่อีกฝ่ายสวมใส่ทำให้นางนึกรู้ว่าเขาต้องเป็นชายอย่างแน่นอนด้วยอีกฝ่ายมีผมดำขลับยาวสยายเหยียดตรงเกือบถึงกลางหลังอย่างที่สตรีเพศต้องอิจฉานั่นเอง
อมาวสีพลิกร่างที่นอนคว่ำหน้าอยู่นั้นขึ้นมาช้า ๆ อย่างเบามือที่สุดด้วยเกรงว่าเขาจะมีบาดแผลสาหัส ใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้นางชะงักงันไปเล็กน้อยด้วยมันเป็นใบหน้าที่คมคายดุจเทพบุตรก็ไม่ปาน คิ้วหนาได้รูปของเขายังคงขมวดเข้าหากันราวจะบอกถึงนิสัยขึ้หงุดหงิดของผู้เป็นเจ้าของ เสียงครางผะแผ่วอย่างเจ็บปวดของอีกฝ่ายทำให้อมาวสีพบรอยแผลเหวอะหวะบนแผ่นอกกว้างของเขาซึ่งมีรอยเลือดเกรอะกรัง และรอยขาดวิ่นของตัวเสื้อสีดำที่เจ้าตัวสวมใส่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด
เลือดของชายหนุ่มนิรนามผู้นี้หยุดไหลแล้วแต่ทว่ารอยแผลที่ไม่มีวันหายนี่สิที่น่ากลัวสำหรับอมาวสี โดยไม่รอช้านางรีบฉีกเสื้อตัวนั้นออกจากตัวของอีกฝ่ายตามที่เคยเรียนรู้มาจากผู้เป็นอาจารย์แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวางใจอยู่บ้างกับภาพเปลื่อยท่อนบนของอีกฝ่ายก่อนจะหยิบใบไม้สีเขียวที่อยู่ในห่อผ้าของตนออกมาเคี้ยวแล้วนำไปพอกไว้บนแผลของคนตรงหน้าจากนั้นจึงพนมมือร่ายเวทรักษาบาดแผลให้กับเขาทันที
มือน้อยที่ประนมไว้ค่อย ๆ ปรากฏแสงสีฟ้าสดใสขึ้นมาทีละนิด ๆ นางบรรจงวางมือทั้งสองของตนไว้เหนือบาดแผลดังกล่าวพลัน!... แผลกว้างเหวอะหวะน่ากลัวที่เคยมีก็ค่อย ๆ เริ่มสมานตัวเข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ จนมันปิดสนิทและไร้ซึ่งริ้วรอยแผลเป็นใด ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
อัสยุชกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนขยับตัวอย่างเชื่องช้า ความทรงจำอันเลือนรางแต่ก็มากพอที่จะช่วยให้เขาจดจำเหตุการณ์ก่อนที่จะสิ้นสติได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ภาพของนาคาในร่างมนุษย์ผุดขึ้นมาในโสตสำนึกทันที....
“เจ้าต้องการสิ่งใดรึนาคะ?” อัสยุชเอ่ยถามผู้ที่แอบติดตามตนมาได้ชั่วเวลาหนึ่งนั้นอย่างไม่สบอารมณ์นักซึ่งอีกฝ่ายก็ค่อย ๆ ปรากฏตัวออกมาจากต้นไม้ใหญ่ริมทางด้านซ้ายมือของอัสยุชพร้อมกับแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด
“สิ่งที่ข้าต้องการก็คือ... ความตายของเจ้า!”
กล่าวจบนาคะก็พุ่งตรงเข้าหาอัสยุชทันทีโดยมิยอมให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัว แต่ทว่า...
อัสยุชระวังตัวอยู่ก่อนแล้วจึงเพียงเบี่ยงกายหลบไปเท่านั้น นาคะบริกรรมคาถาว่าด้วยอัคเนยาสตร์เสร็จสิ้นก็บังเกิดลูกไฟสีแดงลอยอยู่เหนืออุ้งมือจอมนาคาในทันใด!... ก่อนที่มันจะถูกขว้างเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว!...
ลูกเพลิงพระกาฬไล่ประชิดอัสยุชไปไม่ลดละแม้ว่าชายหนุ่มจะหลบหลีกไปแห่งหนใดมันก็ตามติดทุกที่ไปตามแต่ปรารถนาแห่งผู้เป็นเจ้าของ... และเมื่ออัสยุชสามารถหลบพ้นลูกไฟมฤตยูนั้นมาได้เขาจึงรีบร่ายมนตราบ้างทันใดนั้นเอง!... สายน้ำอันฉ่ำเย็นก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มเข้าลบล้างอำนาจมนต์แห่งนาคาจนเสื่อมสลายคลายลง
พลังความร้อน และความเย็นเข้าปะทะกันส่งผลให้ขุมพลังทั้งสองระเบิดเสียงดังสนั่นไม่ต่างจากเกิดกลียุคเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะสลายกลายเป็นไอน้ำฟุ้งกระจายไปทั่ว!...
รอยยิ้มกดลึกที่มุมปากอัสยุชอย่างสะสาแก่ใจ และถือโอกาสช่วงที่อีกฝ่ายมัวแต่ตะลึงงันอยู่นั้นพุ่งเข้าประชิดอีกฝ่ายพร้อมกับบริกรรมคาถาว่าด้วยธุรเวทจนเสร็จสิ้น
บัดนี้บนมือซ้ายของชายหนุ่มค่อย ๆ ปรากฏธนูสีทองส่องประกายเพลิงซึ่งมันกำลังถูกง้างออกด้วยน้ำมือผู้เป็นเจ้าของพร้อมกันนั้นลูกศรเพลิงก็ปรากฏขึ้นมา และค่อย ๆ ยืดยาวออกตามแรงเหนี่ยวของผู้เป็นเจ้าของจนในที่สุดก็ถูกปล่อยออกไปอย่างรวดเร็วด้วยทุกท่วงท่าว่องไวราวกับสายฟ้าแลบ!
“ยะ!...” ยังไม่ทันที่นาคะจะเอ่ยอะไรออกมาศรมหากาฬก็ตรงเข้าปักที่ไหล่ซ้ายของเขาเสียงดังฉึก!... เป็นเหตุให้เลือดแดงฉานไหลอาบเป็นทางตามแขนซ้ายของเขาแต่มันคงไม่เท่ากับความหวาดกลัว และเจ็บปวดที่เขากำลังได้ลิ้มรสอยู่ขณะนี้เป็นแน่!...
“อ๊ากก!...”
อสัยุชมองดูเหยื่อศรอัคคีของตนด้วยความเฉยเมยทั้งที่นาคะร้องคร่ำครวญเกลือกกลิ้งไปมาอยู่ตรงหน้าอย่างทรมานแสนสาหัสด้วยบัดนี้ทั่วทั้งร่างของอีกฝ่ายลุกไหม้ด้วยไฟแห่งมนตราจากศรพระเพลิง!...
“ข้าไม่เคยให้ศตรูรอดไปได้เจ้าก็รู้...”
น้ำเสียงเย็นชาปนเหี้ยมอำมหิตของอัสยุชเอ่ยขึ้นโดยไม่ใส่ใจต่อกลิ่นเหม็นไหม้ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
“หากไม่อยากตายอยู่ที่นี่จงบอกต่อข้าใครใช้เจ้ามาในการย์นี้?!”
ครานี้ศรเพลิงดอกใหม่อันเกิดจากน้ำมืออัสยุชมุ่งเป้าไปที่เหนือหว่างคิ้วของนาคะ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงปฏิเสธด้วยการส่ายหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดระคนหวาดหวั่นนั้นไปมาขณะที่ดิ้นทุรนทุรายอยู่เช่นเดิมอย่างน่าอนาถยิ่ง
“มุสานัก!... น้ำหน้าอย่างเจ้ารึจะกล้าลงมือสังหารข้า อย่าแม้แต่จะคิดเลย!” ตวาดกลับอย่างรู้ใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดีแม้ว่านาคะพอจะมีเหตุจูงใจที่ใช้ได้ก็ตามที...
“ทะ.... ท่านอาจารย์... ทะ... ท่านเป็นผู้ใช้ข้ามา... อึก... ด้วยตนเอง!” จอมนาคากัดฟันตอบขณะที่พยายามร่ายเวทจัดการกับธนูเพลิงที่เมื่อต้องกายผู้ใดแล้วจะลุกไหม้เผาผลาญศตรูในบัดดล!...
สิ่งที่ได้รับฟังจากปากนาคะทำให้อัสยุชงุนงงสับสนเป็นยิ่งนัก!...
และแล้วความพยายามที่จะดับไฟมหากาฬของจอมนาคาก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อพระเพลิงมนตรานั้นค่อย ๆ หดหายไปอย่างช้า ๆ จนไม่เหลือแม้แต่เศษละอองควันจะทิ้งไว้ก็แต่เพียงรอยไหม้เกรียมตามร่างกายของนาคะเท่านั้นก่อนที่ศรอัคคีดังกล่าวจะค่อย ๆ จางหายไปในเวลาต่อมาเพราะอัสยุชมัวแต่คิดหมกมุ่นถึงสิ่งที่ได้รับฟังจึงเป็นโอกาสให้จอมนาคานั่นเอง...
นาคะซัดพลังลูกไฟสีน้ำเงินเข้าหาอัสยุชอย่างรวดเร็วและรุนแรง ส่งให้ร่างสูงล้มลงอย่างไม่เป็นท่าด้วยมิทันได้ระวังตัวขณะที่สายตาก็มองไปที่พญานาคาจอมเจ้าเล่ห์อย่างเคียดแค้น!... และบัดนี้เปลวไฟสีน้ำเงินอันเกิดจากน้ำมือของนาคะก็ได้ลุกไหม้ไปทั่วร่างของอัสยุชจนสิ้น
“อ๊ากกก!....” แม้ชายหนุ่มจะร่ายเวทเท่าใดเปลวเพลิงมฤตยูนี้ก็หาได้มอดดับลงไม่กลับยิ่งทวีความรุ่นแรงลุกโหมมากกว่าเดิมอีกหลายเท่านัก
“หึ หึ อัสยุชเอ๋ยเจ้าใช้พระเวทดับมันหาได้ไม่...” นาคะเอ่ยพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปใกล้คนตรงหน้าพลางหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างพอใจปากก็พร่ำพูดสืบไปว่า...
“หึ หึ หึ ท่านอาจารย์คาดการณ์ได้แม่นยำนัก...”
“มะ... แม้ไฟนี้.. อึก!... ข้ามิอาจดับมันได้ แต่เจ้าก็รู้ดีพอ ๆ กับตัวข้าว่าข้าหามีวันตายไม่!!”
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้วิตกแทนข้าเลยสหายรัก ท่านอาจารย์กล่าวแก่ข้าว่าเมื่อเจ้าถูกแผดเผาด้วยไฟแห่งมนตรานี้เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจก็จะสิ้นสติสมประดี...” หยุดพูดนิดหนึ่งแล้วหันมาแสยะยิ้มเหี้ยมให้อีกฝ่าย
“ยามนั้นแลข้าจะตัดหัวเจ้าไปมอบแก่ท่านอาจารย์เอง.. หึ หึ”
นาคะกล่าวอย่างกระหยิ่มยิ้มหย่องในผลงานของตนโดยมิทันระแวดระวังอัสยุชจึงใช้จังหวะนั้นรวบรวมเรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดดีดตัวลุกขึ้นพร้อมกับร่ายเวทย่นระยะทางเพื่อหลบหนีกว่าจอมนาคาจะรู้ตัวชายหนุ่มผู้เป็นเป้าหมายของตนก็วิ่งหายลับไปไกลจากสายตาเขาแล้ว
อัสยุชเดินโซเซด้วยพิษบาดแผลมาจนถึงแม่น้ำสายหนึ่งอย่างทุลักทุเล!... เพลิงที่ลุกโหมไหม้ทั่วร่างกายของเขาจึงจางหายไปสิ้น!... รึจะเป็นจริงดังคำพูดของนาคะ!... คิดได้เพียงเท่านี้สายตาที่กำลังจะดับลงของชายหนุ่มก็ถูกความมืดเข้าครอบงำพร้อมกันนั้นสติที่มีอยู่เพียงธุลีดินของเขาก็ดับวูบลงในทันใด ความรับรู้สุดท้ายของเขาก็คือ... ร่างสูงที่เต็มไปด้วยรอยแผลพุพองของตนกำลังร่วงหล่นตกลงสู่ผืนน้ำเบื้องหน้าแล้วขณะนี้
ความคิดของอัสยุชยุติลงก่อนจะหันมาลองขยับร่างกายดูก็รู้สึกว่าร่างกายของตนหายเป็นปกติดีทุกส่วนแล้ว เขาแหงนหน้ามองพระสุริยาที่กำลังชักรถบอกเวลาซึ่งผันผ่านมาได้เพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้นแล้วเหตุใดแผลบนหน้าอกของตนจึงหายไปได้รวดเร็วนัก... แม้มันจะสามารถรักษาตัวเองได้แต่นั่นมันต้องใช้เวลาถึงหนึ่งราตรีทีเดียว ความสงสัยในร่างกายอันผิดแผกไปจากเดิมของตนทำให้เขาไม่ทันสังเกตว่าตนมิได้สวมใส่เสื้ออยู่ขณะนี้
เสียงใบไม้และกิ่งไม้แห้งที่ราวกับถูกเหยียบย่ำดังกรอบแกรบแว่วมากับความเงียบสงัดของป่าเขา ทำให้คนตัวโตซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนนั้นหันขวับมามองที่ต้นตอของเสียงนั้นทันทีอย่างเตรียมพร้อม!...
อมาวสีในร่างของมาณพน้อยก้าวเข้ามาใกล้อีกฝ่ายอย่างอารมณ์ดีในอ้อมแขนเต็มไปด้วยผลไม้สีสันหลากหลายน่ากิน นางยิ้มร่ามาให้เขาอย่างเป็นมิตร และเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มก่อนจะทรุดนั่งลงไม่ใกล้ไม่ไกลจากอัสยุชเท่าใดนัก....
“เจ้าจะกินอะไรหน่อยไหม?” นางเอ่ยถามพลางส่งผลไม้ในมือมาให้คนตรงหน้า
อัสยุชมองผลไม้สีสันสวยงามน่ากินแต่รสชาติไม่ได้เรื่องเหมือนรูปลักษณ์ภายนอกแม้แต่น้อยนั้นอย่างไม่ใส่ใจแล้วถามไปอีกเรื่องแทน
“เจ้าเป็นคนช่วยข้าเอาไว้รึ?” เขาเอ่ยถามขณะที่คนฟังก็ไม่ใส่ใจเท่าใดนักในสิ่งที่ตนได้ทำไว้เพียงแต่พึมพำอืออาออกมาตามเรื่องแต่ประโยคต่อมาของชายแปลกหน้านี่สิที่ทำให้อมาวสีรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอย่างง่ายดาย
“ความจริงเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยข้าเลยแม้แต่น้อย”
เขากล่าวเสียงเรียบมิได้แฝงความหมายใด ๆ แต่มาณพจำแลงกลับเข้าใจผิดคิดไปอีกทาง... ไม่ขอบคุณซ้ำยังหาว่านางวุ่น!... หญิงสาวคิดอย่างขุ่นเคืองใจ...
“งั้นก็ขออภัยด้วยข้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่องแท้ ๆ เชียว!” ใบหน้างามเกินบุรุษบึ้งตึงอย่างไม่สบอารมณ์
และแม้อัสยุชจะรู้ดีถึงอาการของอีกฝ่ายแต่เขาจะกล่าวแก้ก็หาไม่กลับยังคงนิ่งเฉยมิยอมเอ่ยวาจาใดออกมาหญิงสาวจึงเลิกตอแยกับเขาต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันไปทำกิจส่วนตัวกันเงียบ ๆ ตามลำพัง...
เมื่อชายหนุ่มกลับมาจากชำระร่างกายที่แอ่งน้ำด้วยสภาพที่เปลื่อยท่อนบนเพราะเสื้อที่ขาดวิ่นของเขาถูกทิ้งไปแล้วจากคำบอกเล่าของผู้ที่ช่วยชีวิตตนชายหนุ่มก็พบว่าสหายน้อยแปลกหน้าของเขากำลังจัดการก่อกองไฟอยู่เพราะยามนี้ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้าแล้วนั่นเอง
อมาวสีขัดถูไม้ในมือน้อยของอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เพราะไม่เคยทำด้วยเคยใช้แต่ขี้ไต้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งมันคงเป็นที่ขัดหูขัดตาของอีกฝ่ายมือใหญ่กร้านแดดของอัสยุชจึงฉวยเอาไม้ในมือเด็กหนุ่มไปขัดถูเสียเองโดยมิยอมกล่าวสิ่งใดเลยท่ามกลางสายตากระดากกระเดื่องระคนไม่พอใจของธิดาท้าวโมฆราชซึ่งได้แต่ยืนมองดูการกระทำของอีกฝ่ายเงียบ ๆ เท่านั้น
ไม่นานนักควันขาวขุ่นพร้อมด้วยกลิ่นเหม็นไหม้ก็ลอยคละคลุ้งกันขึ้นมาทีละนิด ๆ จนกลายมาเป็นกองไฟเล็ก ๆ ให้ความสว่างยามค่ำคืนแก่คนทั้งสองอย่างง่ายดาย หญิงสาวมองดูชายตรงหน้าจัดการก่อไฟอย่างสนใจซึ่งอีกฝ่ายคงจะรู้สึกได้ถึงแรงจากสายตานั้นเขาจึงหันกลับมามองที่นางอย่างไม่ชอบใจที่ถูกจับตามองเป็นเหตุให้ใบหน้าหวานคมเกินชายของมาณพจำแลงเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อขึ้นทันทีอย่างห้ามไม่ได้ ธิดาท้าวโมฆราชรีบหันหลังแล้วก้าวห่างออกมาทันทีอย่างเงอะ งะก่อนจะก้าวมาทรุดนั่งลงโดยมิยอมหันไปมองอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิดเดียว....
ความคิดเห็น