ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อมาวสี...ปัจฉิมภาครสาตล(ลิขิตมา)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 26 ม.ค. 50


    2…

     

    เจ้าอย่ามองข้าราวกับข้าเป็นจำเลยของเจ้าสิ หากสงสัยสิ่งใดก็จงเอ่ยถามมา ถ้าตอบได้ข้าก็จะตอบประกายสีรัตติกาลของเขามีรอยขบขำแฝงเร้นจนน่าหมั่นไส้

    เจ้ารู้หรือไม่ว่าไยวิญญูจึงมักทำหน้ายักษ์ใส่ข้า ซ้ำยังชอบพูดจามีความนัยเช่นนี้ด้วย?... แล้วนี่มันก็มิใช่ครั้งแรกที่เขาเอ่ยกับข้าด้วยนะ

    สองแขนของอัสยุชยกขึ้นกอดอกเสียเฉย ๆ ศีรษะได้รูปซึ่งปกคลุมด้วยเส้นผมสีดำขลับยาวเคลียบ่าเอียงไปทางหนึ่งเล็กน้อยในอาการพินิจพิเคราะห์เปิดเผย มันเป็นสายตาที่อมาวสีไม่ชอบใจนัก เพราะแฝงความรู้ทันในสิ่งที่นางยังไม่อาจหาคำตอบได้จากคำพูดส่อเสียดของหลานชายอดีตท่านอำมาตย์ และมันทำให้นางหงุดหงิดในหัวใจนักกับความรู้นี้ ใบหน้าอ่อนหวานในรูปลักษณ์ของมาณพน้อยเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมานิด ๆ เช่นกันกับการจับจ้องนิ่งแน่วของชายตรงหน้า จนนางชักขัดเขินขึ้นมานิด ๆ แล้วความขวยอายก็กลายมาเป็นความรำคาญในท้ายที่สุด

    ว่าอย่างใดล่ะ?!นางรีบถามย้ำเสียงแข็งปกปิดความประหม่าของตน

    รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากได้รูปของชายหนุ่ม ก่อนที่เจ้าตัวจะตอบเรื่อยเฉื่อยซึ่งมันไม่น่าจะใช่คำตอบที่หญิงสาวต้องการเลยสักนิดว่า

    อันที่จริง ถ้าเจ้าเป็นชายก็เรียกได้ว่าเป็นชายหนุ่มที่คมคายไม่น้อยเลยที่เดียว ไม่สิ... ควรต้องใช้คำว่า... เป็นชายหนุ่มที่งดงามมากถึงจะถูก

    ใบหน้างามล้ำของธิดาท้าวโมฆราชบูดบึ้งยิ่งขึ้น คิ้วเรียวได้รูปขมวดมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์

    หมายความว่าอย่างใด?!... ข้าไม่เห็นเข้าใจ นี่มันไม่เกี่ยวกับที่วิญญูทำท่าโกรธแค้นข้ามาเป็นชาติเลยนะดรุณีน้อยกล่าวอย่างหงุดหงิดเพราะเหลือทน เมื่อคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ให้ความกระจ่างใด ๆ แก่นางเลยแม้แต่น้อย

    ใจเย็น ๆ ข้าว่าเจ้าไม่รู้จะสบายใจมากกว่านะ มันไม่สำคัญนักหรอกแววตาเขายังพราวระยับ ขณะพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย

    จริงสิ... เมื่อคืนเจ้าหลับสบายดีหรือ?” คำถามของอีกฝ่ายส่งให้รอยแดงระเรื่อปรากฏบนใบหน้านางอย่างห้ามไม่ได้ เพราะทำมันทำให้อมาวสีนึกถึงการสนทนาระหว่างนางและมารตีขึ้นมาได้ ส่งกระแสอึดอัดเหลือล้นทั้งที่พยายามบอกตัวเองให้ลืมมันได้ตลอดทั้งวันแล้วก็ตาม... ความคิดของหญิงสาวลอยเลื่อนไปจดจ่ออยู่ที่เมื่อแรกฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง...

    ท่านเป็นผู้ดูแลเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับข้ารึ?” นางถามอย่างกังวลนิด ๆ เมื่อพบว่าเสื้อผ้าของนางถูกพลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว และนางยังอยู่ในคราบของมาณพน้อยเช่นเดิม แล้วใครกันเล่าที่จัดการเรื่องชุดใหม่ที่นางสวมใส่อยู่ตอนนี้ ด้วยหากเป็นมารตีแล้วไซร้เรื่องไม่น่าจะเงียบหายไปง่าย ๆ เหมือนสายลมพัดยามหน้าร้อนเช่นนี้ เพราะหาใช่เรื่องดีนักที่อิสตรีจะคิดพิเรนทร์แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดของบุรุษเพศเช่นนี้

    คราแรกหญิงกลางคนผู้นั้นไม่เข้าใจในวาจาของอีกฝ่าย ต่อเมื่อมองตามสายตาอึดอัดของอาคันตุกะแห่งนายหญิงตน มารตีก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกล่าวถึงสิ่งใดจึงตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีว่า

    ท่านคงหมายถึงเรื่องเสื้อผ้าสินะเจ้าคะ...” มือนางก็จัดการเก็บกวาดภายในห้องไปพร้อมกันหลังจากจัดการล้างแผลให้อมาวสีเสร็จแล้ว ปากก็กล่าวไปเรื่อยโดยไม่หันมามองใบหน้าแดงซ่านของมาณพผู้นอนแบ็บอยู่บนเตียงสักนิด

    ข้ามิได้เป็นผู้จัดการเรื่องนั้นหรอกเจ้าค่ะ พี่ชายท่านต่างหากที่เป็นคนจัดการ

    นางจำได้ว่าคำตอบจากปากมารตีทำให้ตนเองเกือบสำลักยาที่กำลังดื่มเข้าไป... พี่ชายที่มารตีเอ่ยถึงย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก...

    เจ้าเป็นอะไรรึเปล่าอมาวสี จู่ ๆ ก็เงียบไป?” เสียงคุ้นหูของอัสยุชดังขึ้นเบา ๆ หากแฝงไว้ด้วยความห่วงใย ฟังดูอ่อนโยนเสียเหลือเกินนั้นทำลายความคิดของศิษย์แห่งโคตมะลงเพียงเท่านั้น...

                    ปะ... เปล่านางตอบตะกุกตะกักพร้อมถอยห่างออกมาจากชายหนุ่มเล็กน้อย ในอาการอย่างเงอะงะขณะที่หัวใจดวงน้อยก็เต้นระรัวราวกลองศึก ด้วยอีกฝ่ายเข้ามาใกล้นางแต่เมื่อใดก็ไม่อาจทราบได้

                    หลานชายท้าวติสสะมองดรุณีน้อยตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็เอ่ยออกมาว่า

                    ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว

                    อะ... เอ่อ...” ธิดาท้าวโมฆราชเอ่ยแล้วหุบปากลงอย่างลังเล เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนจะเอ่ยถามออกไปแต่หากนางไม่พูดกับอีกฝ่ายให้เรียบร้อย ฉวยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีกคงไม่แคล้วออกมาในรูปเดิมแน่ ดังนั้นอมาวสีจึงเอ่ยออกมาอุบอิบและพยายามที่จะไม่หน้าแดง แต่มันมิใช่เรื่องง่ายเลย

                    จะ... เจ้าเป็นคนจัดการกับเสื้อผ้าของข้ารึ?”

                    คิ้วเข้มได้รูปน่ามองของชายหนุ่มยกขึ้นเล็กน้อยอย่างนึกรู้แล้วว่านางกำลังจะเอ่ยถึงสิ่งใด ในใจอัสยุชกำลังคิดหาถ้อยคำมากล่าวกับนาง แต่ข้างฝ่ายอมาวสีก็ให้อึดอัดและอับอายระคนไม่พอใจปนเปกันไปหมด ขณะรอฟังคำตอบจากเขานั้น นางรู้สึกราวกับกำลังยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายกระนั้น

    ข้าเพียงต้องการให้เจ้าหลับอย่างสบายก็เท่านั้น อีกประการแม้ข้าไม่ทำเช่นนั้นมารตีก็จะเป็นผู้จัดการกับเสื้อแสงของเจ้าอยู่ดี และข้าเชื่อว่าเจ้าคงไม่ต้องการให้พวกเขารู้ว่าตัวเองมิใช่บุรุษเพศด้วย จริงไหมมันไม่ใช่คำถาม ขณะที่ใบหน้างามร้อนผ่าวขึ้นมาเป็นครั้งที่เท่าใดก็ไม่อาจทราบได้เมื่อนึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำ แม้เหตุผลและการกระทำของเขาสอดคล้องเข้าที แต่ความอับอายขวยเขินก็ทำให้ธิดาท้าวโมฆราชอดที่จะต่อว่าชายหนุ่มไม่ได้ว่า

    ก็แล้วเหตุใดเมื่อมารตีจากไป เจ้ามิปล่อยข้าไว้เช่นที่เป็นอยู่เล่า?!”

    สายตาของอัสยุชเปลี่ยนเป็นรำคาญ เขามองใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์โทสะหรืออะไรก็ที่นางกำลังรู้สึกอยู่นั้น ในอาการระอาก่อนจะเอ่ยอย่างหงุดหงิดพอกันว่า

    โดยปล่อยให้เจ้าหลับไปพร้อมกับความสกปรกมอมแมมของตัวเองอย่างนั้นรึ?”

    ใช่...” อมาวสีตอบกลับไปรวดเร็วแทบไม่ต้องคิด เพราะต้องการเอาชนะ ทว่านางไม่รู้เท่านั้นเองว่าต้องการเอาชนะคนตรงหน้า หรือความประหม่าของตัวเองกันแน่ ที่เขาเห็นร่างกายของนางไปจนถึงไหน ๆ แล้วตอนนี้

    ความเงียบครอบคลุมคนทั้งสองชั่วอึดใจ หากอมาวสีรู้สึกราวมันนานแรมปีกับความรู้สึกอึดอัดเหมือนถูกกดทับด้วยอากาศรอบกาย ชายหนุ่มนิ่งมองมาที่ดรุณีน้อยอยู่นานจนหญิงสาวเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ซึ่งท้ายที่สุดอัสยุชก็กล่าวขึ้นมาเสียงห้วนสั้นดุดันว่า

    ได้!... คราวหน้าข้าจะไม่สนใจเลย แม้เจ้าจะนอนจมอยู่กับมูลสัตว์ก็ตามกล่าวจบเขาก็ทำท่าจะจากไป ทว่าชายเสื้อของอัสยุชกลับถูกฉุดดึงเอาไว้ด้วยน้ำมือของอมาวสีเสียก่อนที่เขาจะทันได้จากไปอย่างที่ใจคิด

    เจ้ามีสิ่งใดที่จะต่อว่าข้าอีกรึไง?” ชายหนุ่มหันมาเอ่ยสีหน้าบึ้งตึง แต่คำพูดแง่งอนของเขากลับทำให้มาณพจำแลงหัวเราะคิกออกมาอย่างกลั้นไม่ไหวจริง ๆ ใบหน้าปึ่งชาของอมาวสีเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อกระจ่างตาด้วยความขบขันไร้สาเหตุ

    อะไรอีกล่ะ?... เดี๋ยวทำหน้ายังกับจะบีบคอข้าเดี๋ยวก็หัวเราะร่วนอย่างนี้

    ก็การแง่งอนราวคนใจน้อย มันไม่เหมาะกับผู้ชายตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นเช่นเจ้าเลยนี่นา ข้าจึงอดขำไม่ได้

    ใบหน้าถมึงทึงคล้ายยักษ์ ตามคำเปรียบเปรยจากนางเมื่อครู่นี้ของชายหนุ่มผ่อนคลายลงนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาน้ำเสียงนุ่มในอาการผ่อนปรนว่า

    หัวเราะได้อย่างนี้ หายโกรธข้าแล้วรึยังล่ะ?”

    รอยยิ้มงามละไมหายไปทันทีเมื่อคำพูดนั้นออกจากปากอีกฝ่าย อมาวสีก้มหน้านิ่งอย่างขัดเขินปนละอายใจนิด ๆ ในสิ่งที่นางปฏิบัติต่อเขาทั้งที่อุตส่าห์หวังดีแม้จะเป็นความหวังดีที่นางไม่ต้องการก็ตามที

    ขะ... ข้าขอโทษ... ข้าเอ่อข้า...” ธิดาท้าวโมฆราชเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไม่มั่นใจนัก ก่อนอ้อมแอ้มออกมาว่า

    ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไรดี...”

    หลานชายท้าวติสสะยิ้มเยือนก่อนเอ่ยออกมาอย่างล้อเลียนว่า

    ไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร แม้แต่คำว่าขอบคุณน่ะรึ?”

    ริมฝีปากน่ารักนั้นอ้าแล้วหุบ ก่อนที่แววตาวาววับสดใสนั้นจะมองไปที่ชายหนุ่ม อย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อแล้วกล่าวออกไปเสียงดังฟังชัดว่า

    ขอบคุณ!” ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังลั่นหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะคำขอบคุณที่ดูไม่จริงใจของนางนั่นเอง

    เอาเถอะ ข้าสัญญาว่าคราวหน้าข้าจะทำให้ดีกว่านี้ก็แล้วกันตกลงไหม?” ประโยคต่อมาของอัสยุชทำให้ศิษย์แห่งโคตมะหันขวับไปมองคนพูดทันทีและอดหนาวไม่ได้... นี่ยังจะมีครั้งต่อไปอีกเช่นนั้นรึ...

    มาเถอะ... เจ้าต้องเก็บของเสียที เพราะเราจะออกเดินทางกันในอีกไม่กี่ชั่วยามนี้แล้วเขาว่าพร้อมรั้งร่างบางของดรุณีน้อยข้างกายให้ก้าวไปพร้อมกับตน หญิงสาวได้แต่ก้าวตามเขาไปแม้ในใจจะนึกหวั่นอยู่ ยามนึกถึงบ้านเกิดของอัสยุช... รสาตล... ที่ ๆ อันตรายตามคำกล่าวของเขา...

     

    ท่านจะไปแล้วรึ?” ชายกลางคนท่าทางใจดี สมกับที่เคยดำรงตำแหน่งอำมาตย์ใหญ่แห่งทวารกะเอ่ยถาม เมื่ออาคันตุกะจากแดนไกลทั้งสามามาพบตนเพื่อกล่าวคำอำลา

    ใช่แล้วล่ะท่านอำมาตย์...” อมาวสีกล่าวตอบ ด้วยเห็นว่าทั้งอัสยุชและรามานนคงไม่ยอมเอ่ยสิ่งใดกับอีกฝ่ายเป็นแน่

    แต่ท่านยังไม่หายเป็นปกติดีนักนะวดีรดาเอ่ยขึ้นอย่างร้อนใจ แววตามองมาที่มาณพน้อยอย่างมีความหมายลึกซึ้ง จนอมาวสีรู้สึกแปลก ๆ และอึดอัดใจอย่างไร้สาเหตุ

    สายตาอ่อนเชื่อมพร้อมไมตรีจิต ที่นางทอดมาให้ทำให้มาณพจำแลงได้แต่ร้องในใจอย่างแสยง... พระศิวะเจ้า!... นางคงไม่ได้รู้สึกกับเจ้าอย่างที่เห็นกระมัง... อมาวสีคิดพลางกลืนน้ำลายเอือก หากมันเหมือนกับกลืนเข็มนับพันเล่มเข้าไปกระนั้น

    วดีรดา!...” อำมาตย์อินทรชิตติงเสียงเบา หากแฝงความเข้มงวดเอาไว้อยู่ในที ทำให้ผู้เป็นบุตรีเงียบเสียงลงอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้

    ขอบคุณแม่หญิงที่เป็นห่วง แต่แผลของข้าปิดสนิทแล้ว แม้ยังไม่ตกสะเก็ดแต่คาดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงธิดาท้าวโมฆราชอธิบายยืดยาวอย่างลำบากใจด้วยสิ่งที่เพิ่งรับรู้ พร้อมกับลอบสังเกตบุรุษข้างกายทั้งสองไปด้วย สายตาพราวระยับอย่างขี้เล่นของรามานนมองสบมาดุจคนที่รู้เท่าทัน ขณะที่ชายอีกฝ่ายยังเอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมเอ่ยวาจาใด แม้เขาจะรับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจของอมาวสีก็ตาม

    ธิดาท่านอำมาตย์กล่าวขึ้นอีก โดยจำเพาะเจาะจงมายังอคามีว่า

    ท่านจะมาเยือนบ้านข้าอีกใช่หรือไม่?”

    ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ด้วยทวารกะคือทางผ่านของเราอยู่แล้วอมาวสีตอบกลับสั้น ๆ หากก็ทำให้ใบหน้าอ่อนเยาว์ของวดีรดาคลี่ยิ้มงดงามส่งมาให้ มันเต็มไปด้วยความยินดีล้นพ้นแฝงความหมายลึกซึ้ง

    เสียงหัวเราะแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากลำคอรามานน หากมันก็ถูกผู้เป็นเจ้าของสะกดกลั้นเอาไว้ได้ทันท่วงทีจนไม่มีผู้ใดสังเกต แต่ไม่ใช่ธิดาท้าวโมฆราชที่นั่งกระสับกระส่ายอยากจากไปในเร็วไว นับแต่รับรู้ความเข้าใจผิดของวดีรดาอันมีนางเป็นผู้ก่อนี้

    เห็นควรแก่เวลาที่จะเดินทางแล้วกระมังท่านอคามี...” วิญญูซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดเอ่ยขึ้นน้ำเสียงกระด้าง มันทำให้ความลำบากใจของธิดาท้าวโมฆราชที่มีต่อวดีรดาเกี่ยวกับสิ่งที่นางคิด พร้อมภาพจำแลงของนางลดลงไปกว่าครึ่ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจ เพราะคำว่า ออกเดินทาง นั่นเอง

    เจ้าของนามอคามีมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้นนิดหนึ่ง อย่างเพิ่งเข้าใจในเดี๋ยวนี้เองว่าเหตุใดวิญญูจึงทำราวไม่ชอบหน้านางนับแต่แรกพบ ซ้ำคอยพูดจาเหน็บแนมให้ขุ่นเคืองอยู่เรื่อย อมาวสีได้แต่พยักหน้ารับในวาจาของหลานชายอดีตอำมาตย์ผู้นั้น ก่อนจะหันมากล่าวลาอินทรชิตอีกครั้ง แล้วทั้งสามจึงจากมาในที่สุด...

    เหตุใด ไม่มีผู้ใดบอกแจ้งให้ข้ารู้เกี่ยวกับความรู้สึกของวดีรดาเลย?!” น้ำเสียงขุ่นเคืองและอาการโวยวายของอมาวสีดังขึ้น ทันทีที่พ้นมาจากอาณาเขตบ้านพักหลังโตของอำมาตย์อินทรชิต พร้อมกันนั้นนางนึกถึงใบหน้าของดรุณีน้อยนางนั้นขึ้นมาอย่างละอายใจนิด ๆ ที่หลอกหลวงนาง จนเป็นสาเหตุวดีรดาเข้าใจผิดคิดกับนางมากเกินกว่าอาคันตุกะผู้มาเยือนเรือนชานเยี่ยงนี้ สายตาอ่อนเชื่อมของนางที่มองมาก่อนที่พวกตนจะพ้นตัวบ้านท่านอำมาตย์ ทำให้ธิดาท้าวโมฆราชสะบัดร้อนสะบัดหนาวพิกล...

    ว่าอย่างใดเล่ารามานน?!... แต่ก่อนข้าเห็นท่านพูดมากเป็นวักเป็นเวร มาคราวนี้เห็นเงียบเป็นลิงหลับไปเลยนางหันมาต่อว่าชายมากอาวุโสกว่าอย่างเอาเรื่อง ขณะบังคับเจ้าอาชาหนุ่มของตนเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ด้วยนึกรู้ว่าอัสยุชคงไม่คิดเสวนากับนางเรื่องนี้เป็นแน่

    หากอีกฝ่ายเพียงเอ่ยกลั้วหัวเราะกลับมาอย่างหยอกเย้าว่า

    ใจเย็นไว้อมาวสี ข้าจะว่าอย่างใดได้... นอกเสียจากจะบอกว่าเจ้าช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามมีน้ำใจกล้าหาญต่อหญิงผู้ตกยากจริง ๆ น่ะสิ จริงไหมอัสยุช?”

    ธิดาท้าวโมฆราชหันไปมองผู้ถูกเรียกนั้น ซึ่งเขายังคงนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิมหญิงสาวจึงจะได้แต่ฮึดฮัดกับวาจาล้อเลียนของรามานนเท่านั้น เมื่อมิอาจทำสิ่งใดได้ ด้วยอีกฝ่ายหนาทนทานยากเกินกว่าวาจาเผ็ดร้อนของนางจะทะลวงผ่านเข้าไปได้ นางจึงเลือกที่จะหันไปสนใจเส้นทางเบื้องหน้าแทนอย่างเสียไม่ได้

    ทั้งสามควบม้าไปตามทางเกวียน รอนแรมผ่านหมู่บ้านใหญ่น้อยหลายราตรีก็เข้าสู่เขตแดนกุจราต...

    ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง พวกเขาทั้งสามพบกับแม่น้ำสายเล็ก ๆ และขณะนี้พระสุริยาก็กำลังลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทั้งหมดจึงตกลงที่จะพักค้างแรม ณ ที่แห่งนี้ รามานนรับอาสาเป็นผู้หาอาหารด้วยอัสยุชเกรงว่าอมาวสีจะก่อเหตุอีก และเชื่อว่าสหายของเขาคงมิสามารถห้ามปรามนางได้เช่นทุกครั้ง ที่รามานนไม่เคยทำได้เลยทั้งสองจึงสับเปลี่ยนหน้าที่กันด้วยประการฉะนี้

    รสาตลไม่มีแสงสุรีย์รึ?...” อมาวสีเอ่ยถามน้ำเสียงตื่นเต้นเมื่อรามานนกลับมาพร้อมไก่ป่า และตอนนี้กำลังเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับดินแดนดังกล่าวให้หญิงสาวรับฟัง ระหว่างรออัสยุชจัดการเตรียมอาหารค่ำของพวกตน

    ใช่...” คนสนิทในท้าวติสสะตอบเสียงเรียบ ก่อนเหลือบมองไปยังชายหนุ่มอีกคนอย่างเกรงใจ แล้วกล่าวสืบไปว่า

    แต่ใช่ว่าที่นั่นจะไม่มีความสว่างเอาซะเลยนะ...” อีกฝ่ายรีบกล่าวดักอย่างรู้ทัน เมื่อดรุณีน้อยตรงหน้ากำลังจะอ้าปากถามเกี่ยวกับข้อสงสัยนี้พอดี

    หากเจ้าสังเกตท้องฟ้าในคืนเดือนหงายว่ามันมีแสงเรื่อเรืองอยู่ที่เส้นขอบฟ้าอย่างไร รสาตลก็มิผิดจากคืนเดือนหงายเลยแม้แต่น้อย

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ... หากรสาตลเป็นดินแดนประหลาดถึงเพียงนั้น มันก็มิใช่แดนมนุษย์น่ะสิ... นางจับจ้องไปที่อีกฝ่ายอย่างค้นคว้า

    เท่าที่ฟังมา ดูราวรสาตลจะไม่ใช่แดนมนุษย์นะ...” นางเอ่ยถามตามสงกาทันที แม้จะไม่อยากเชื่อสักนิดว่าจะมีดินแดนนี้อยู่จริง ทั้งที่เมื่อครั้งพบกับนาคะหญิงสาวก็รู้ว่าเขาคือเผ่าพันธุ์นาคาก็ตาม

    รามานนได้แต่กระแอมกระไอออกมา ขณะแอบมองสบตาไปยังอัสยุชซึ่งนั่งย่างไก่ป่าที่จับมาได้นั้นไม่ไกลออกไปนัก ด้วยต้องการความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย

    หลานชายท้าวติสสะมองมาที่ผู้เปรียบเสมือนพี่ชายอย่างรู้ความนัยนั้น ก่อนจะเอ่ยตัดบทขึ้นว่า

    มุจรินล่วงหน้าไปก่อนแล้วเช่นนั้นรึ?”

    อืมม์...” ชายผู้เปรียบประดุจพี่ชายตอบรับในลำคอ แต่แล้วจู่ ๆ ศิษย์แห่งท้าวติสสะก็ร้องออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ว่า

    จริงสิ... นางล่วงหน้าไปก่อนเช่นนี้เชื่อว่าคงถึงรสาตลแล้วเป็นแน่

    และก็คงรายงานให้ท่านอาจารย์ทราบแล้วเช่นกันว่าข้ากำลังตระบัดสัตย์

    อมาวสีมองชายทั้งสองอย่างไม่เข้าใจ... แต่ที่ยิ่งไม่เข้าใจเหนืออื่นใดก็คือ... เหตุใดอาจารย์ของอัสยุชต้องให้นาคะตามล่าเขาด้วย ซ้ำยังห้ามไม่ให้เขากลับคืนสู่รสาตลเช่นนี้อีกเล่า...

    ขณะที่ชายทั้งสองได้แต่นิ่งเงียบอย่างจนด้วยคำพูด เสียงเล็ก ๆ ของหญิงสาวหนึ่งเดียวในนั้นก็ดังขึ้นมาว่า

    มุจรินคือผู้ใดรึ?” คำถามนั้นของธิดาท้าวโมฆราชทำให้ชายทั้งสองหันมามองสบตากันเล็กน้อย แต่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

    เอ่อ...” รามานนอึกอักพลางหันไปหาอัสยุช แต่อีกฝ่ายจะใส่ใจก็หาไม่กลับเงียบไปเสียอย่างนั้น มิยอมอธิบายสิ่งใดหรือแม้แต่จะให้รามานนแนะนำมุจรินกับอมาวสีด้วยซ้ำ จึงเป็นเหตุให้ชายอาวุโสกว่าบอกกล่าวเกี่ยวกับศิษย์ร่วมอาจารย์ของอัสยุชกับธิดาท้าวโมฆราชว่า

    นางเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ของอัสยุชน่ะ...”

                    ดรุณีน้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ แม้จะรู้สึกว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่แต่หญิงสาวก็เลือกที่จะเงียบไว้เพื่อรอคอยเวลาที่จะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง และเมื่อทุกคนจัดการกับอาหารค่ำเสร็จ ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปทำกิจส่วนตัว โดยที่อมาวสีเพิ่งจากไปยังแม่น้ำและตอนนี้นางยังไม่ได้กลับมา

                    เหตุใดเจ้าถึงบอกเกี่ยวกับการเดินทางออกจากปัญจาบของข้าให้นางรู้?” อัสยุชเอ่ยถามเมื่อได้อยู่ตามลำพังกับอีกฝ่าย

                    เจ้าจะได้ไม่หลบหนีข้าไปกลางทาง ก่อนที่จะถึงรสาตลอย่างไรล่ะอีกฝ่ายตอบยิ้ม ๆ แต่นั่นมิใช่เหตุผลที่แท้จริงของเขา ด้วยคนสนิทแห่งท้าวติสสะแค่ต้องการให้อัสยุชกลับสู่รสาตลทั้งกายและใจต่างหาก

                    อัสยุชถอนหายใจออกมายืดยาว เมื่อนึกย้อนกลับไปยังเรื่องราวแต่หนหลังครั้งยังเยาว์วัย ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอีกว่า

                    ตาเฒ่านั่นเป็นเช่นไรบ้างตอนนี้?...” ถ้อยคำของชายหนุ่ม ทำให้รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคมของรามานนอย่างพอใจยิ่งนัก

                    ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถามก็แล้วกันอัสยุชเอ่ยอย่างเคืองนิด ๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขายังห่วงใยในตัวผู้เป็นตาอยู่นั่นเอง

                    เดี๋ยวสิ... เอาล่ะ ๆ ข้าจะไม่ล้อเจ้าแล้ว ส่วนเรื่องอาการของท่านจ้าวน่ะ...” เสียงชายอาวุโสเงียบไปนิดหนึ่งดุจคนซึ่งกำลังปิดบังบางสิ่งกระนั้น ทว่าอัสยุชไม่ทันสังเกตด้วยกำลังซ่อนเร้นความกังวลที่มีต่อท้าวติสสะจากอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง

                    อาการป่วยของท่านก็หนักเอาการอยู่แววตาคมกล้าคู่นั้นของรามานนหลุบลงต่ำไม่สบตาชายตรงหน้า ซึ่งมันทำให้อัสยุชเข้าใจผิดคิดเตลิดไปว่า บางทีอาการป่วยของท้าวติสสะอาจหนักหนาสาหัสกระทั่งทำให้อีกฝ่ายมีอาการเช่นที่เป็นกระมัง ทว่าสำหรับทานพหนุ่มแล้ว จะมีก็แต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าอากัปกิริยาของเขานั้นมันคืออะไรกันแน่ และเมื่อการสนทนามาถึงที่สุด โดยอัสยุชรับอาสาเป็นยามผลัดแรก รามานนจึงเอ่ยขอตัวไปพักผ่อน ปล่อยให้หลานชายท้าวติสสะนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมความคิดของเขาที่ล่องลอยไปไกลสู่อดีตอันยาวนาน...

                    มาเถอะ อัสยุช...” ชายอาวุโสผู้เป็นเจ้าของใบหน้าคมสันสูงสง่าองอาจกล่าวขึ้น ทำให้เด็กน้อยซึ่งยืนมองร่างที่นอนนิ่งไร้วิญญาณของสตรี ผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารดาในอาการเฉยเมยนั้น หันกลับมามองที่คนพูดอย่างเสียไม่ได้ หากในดวงตาสีดำสนิทของเด็กชายนั้นมีแววแห่งคำถาม และราวจะค้นคว้ากระนั้นก็ไม่ยอมกล่าวสิ่งใดออกมา ชายคนเดิมนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า

                    แม่เจ้าตายแล้ว ข้ามาเพื่อรับเจ้าตามคำสั่งของท่านจ้าว...”

                    ข้าจะนำความวิบัติมาสู่จ้าวของท่าน...” คำพูดที่ราบเรียบไร้ความรู้สึกใด ๆ ของเด็กน้อยตรงหน้า กลับทำให้อีกฝ่ายสะอึกเล็กน้อย สายตาเด็กน้อยนิ่งสงบอ่านไม่ออกราวกับเจ้าตัวฝึกที่จะเก็บงำความคิดมาแต่เยาว์

                    อัศรีกล่าวแก่เจ้าเช่นนั้นรึ?” เขาถามพร้อมกับทรุดนั่งลงข้างกายเด็กชายผู้นั้น ในอาการเอ็นดูด้วยใจจริง อัสยุชพยักหน้ารับแทนคำตอบ ชายอาวุโสกว่าจึงเอ่ยสืบไปอีกว่า

                    กาลก่อนเราเกรงกลัวเจ้า...” ผู้พูดจงใจเลี่ยงคำว่ารังเกียจ แต่ถึงกระนั้นอัสยุชก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีถึงความชิงชังที่ผู้อื่นมีต่อตัวเขา เพราะมันฝังรากลึกแน่นอยู่ในหัวใจของเขานับแต่ลืมตาดูโลกนี้แล้ว

                    แต่กาลเวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากพวกเราเลยแม้แต่น้อย และอัศรีเองก็ถูกลงทัณฑ์มานานหลายกัปกัลป์แล้ว จึงไม่ควรให้เจ้าผู้มิรู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยต้องมารับโทษทัณฑ์อีกตน แล้วชายผู้นั้นก็ขยับลุกขึ้นอีกครั้งปากก็เอ่ยชักชวนเสียงเย็น

                    มาเถอะ ท่านตาของเจ้ารอเราอยู่...” ชายคนเดิมยื่นมือใหญ่แลดูอบอุ่นมาให้เด็กน้อยด้วยไมตรี

                    อัสยุชมองอีกฝ่ายด้วยความลังเล หันกลับไปมองถิ่นพำนักที่ตนและผู้เป็นมารดาอาศัยอยู่ด้วยกันมานานนั้นอีกครั้งอย่างตัดใจ ก่อนจะส่งมือน้อยของตนไปสัมผัสกับมือของบุรุษแปลกหน้า

                    ท่านชื่อว่ากระไร?...” เด็กชายกล่าวถามอย่างเป็นมิตร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกนับแต่ทั้งสองได้พบหน้ากันที่เขายอมพูดกับอีกฝ่ายก่อนเช่นนี้

                    รู้จักแม่ข้าด้วยรึ?”

                    ชายผู้นั้นยิ้มในดวงตาก่อนตอบ

                    ชื่อของข้าคือ นิมมารกะ... เป็นคนสนิทของท่านตาเจ้า ส่วนรู้จักแม่ของเจ้านั้นเรื่องมันนานยิ่งกว่ากัปกัลป์แล้วสักวันเจ้าจะรู้ได้ด้วยตัวเองมันคือครั้งแรกที่อัสยุชพบกับนิมมารกะ และเป็นการออกจากถิ่นที่อยู่ครั้งแรกเช่นกันนับแต่ถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมด้วยการตัดสินใจที่จะจากถิ่นที่อยู่เดิมของตนสู่ปรางค์แก้ว อันเป็นที่สถิตของท้าวติสสะผู้เป็นใหญ่ใน รสาตลนี้นั่นเอง...

                    อัสยุช?...” เสียงเรียกที่ดังขึ้นข้างกายทำให้ร่างหนาต้องยุติความคิดของตนลงทันที ก่อนจะหันไปมองผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งบัดนี้กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ข้างกายเขาโดยมีผ้าแพรบางคลุมอยู่รอบกาย...

    เจ้ามีสิ่งใดกับข้ากระนั้นรึ?” ชายหนุ่มถามออกไปอย่างสงกา สายตาแรงกล้าทว่าอบอุ่นมองจับอยู่กับร่างอรชรของอมาวสีที่เพิ่งกลับจากลำธารนิ่งแน่ว

                    ข้าต่างหากควรเป็นฝ่ายถามเจ้า เป็นยามประสาอะไรนั่งเหมอเช่นนี้

                    ดีกว่าเจ้าหน่อยตรงไม่เคยหลับยามแม้ถ้อยคำนั้นของอัสยุชจะไม่จริงจังนัก หากมันก็ส่งให้ใบหน้าของนางร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ด้วยความร้อนตัว

                    ก็เจ้าไม่ยอมปลุกข้าเองนี่ มันช่วยไม่ได้ซึ่งมันมักเช่นนี้นี้เสมอเมื่อนางรับอาสานั่งยาม และผล็อยหลับไปพอรุ่งเช้ามาเยือนอีกคราอมาวสีจะพบว่าอัสยุชเป็นผู้อยู่ยามแทนนางทุกทีไป

                    ชายหนุ่มไม่ตอบกลับมาว่ากระไร หากมองไปที่สตรีตรงหน้าพลางยิ้มเยือนอย่างเอ็นดู เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจัดการกับผ้าโพกศีรษะผืนบาง เพื่อเก็บซ่อนเรือนผมยาวสลวยของตนอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เหมือนเจ้าเส้นผมดำขลับกลุ่มนั้นมันไม่ปรารถนาที่จะหลบซ่อนอยู่ภายใต้ผืนผ้าโดยดี และทำให้ธิดาท้าวโมฆราชเริ่มหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ ซ้ำร้ายสายตาคมกล้าของผู้ซึ่งนั่งชันเข่าอยู่ตรงหน้าที่จับนิ่งอยู่ที่ใบหน้านางนี้อีกเล่า...

                    ปล่อยมันไว้เช่นนี้ก็ได้ เจ้าจะได้หลับสบายขึ้นอย่างไรล่ะน้ำเสียงทุ้มลึกชวนฟังเอ่ยขึ้นกะทันหัน

                    ไม่ได้หรอก ข้าเป็นชายนะเจ้าอย่าลืมสินางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยเจตนาหลบสายตาแรงกล้าดำสนิทคู่นั้นมากกว่า เพราะความร้อนผ่าวที่แล่นซู่ขึ้นบนสองแก้มนวล พร้อมเสก้มหน้าก้มตาจัดการกับผมของตนเงียบ ๆ ทั้งที่รู้ดีว่าเขายังจดจ้องแน่วแน่อยู่เช่นเดิม

                    พรุ่งนี้ข้าจะเกล้ามันให้เจ้าเองกล่าวจบมือหนาได้รูปทว่ากร้านแดดเฉกเช่นคนใช้แรงในการจับอาวุธก็ฉวยผ้าผืนน้อยมาจากมือของหญิงสาว แล้วโยนทิ้งไว้ข้างกายเขาทันทีทำให้ผมยาวที่ถูกรวบไว้แต่แรก ด้วยความยากลำบากของหญิงสาวตกสยายยาวลงถึงกลางหลัง

                    อย่างนี้แหละดีแล้ว...” เสียงของเขาคลอเคลียและอบอุ่นอย่างประหลาด มือข้างเดิมของอัสยุชจับลูกผมที่ปกรดใบหน้างามละมุนออกไปอย่างถือวิสาสะ

                    การปฏิบัติต่อนางของเขาเป็นไปอย่างนุ่มนวลยิ่งยวด และนางก็ไม่รู้สึกรังเกียจแต่อย่างใด ทว่าธิดาท้าวโมฆราชก็อดที่จะอึดอัดขัดเขินไม่ได้กับความใกล้ชิดนี้ของพวกตน ใบหน้างามจึงร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ซึ่งเท่าที่นางจำได้ นับแต่กลับจากลำธารนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่อยู่ดี ๆ สีกุหลาบก็ฉีดขึ้นบนสองแก้มของนาง

                    เอ่อ...” คำพูดที่เตรียมไว้เมื่อแรกพบอาการเหม่อลอยของอัสยุช ราวถูกกลืนหายไปกับความรู้สึกวาบหวามละมุนละไมนี้ ธิดาท้าวโมฆราชจึงได้แต่อึกอักคิดหาถ้อยคำมากล่าวกับอีกฝ่ายให้วุ่นไปหมด พลางเมินมองไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาคมกล้าของชายหนุ่ม ซึ่งยังคงมองนิ่งมาเหมือนไม่มีอะไรจะน่าสนใจมากกว่าไปกว่าใบหน้านางอีกแล้วกระนั้น... สุดท้ายอมาวสีก็นึกหาถ้อยคำมากล่าวกับเขาจนได้

                    จริงสิ... ถ้ารสาตลมิใช่ดินแดนเยี่ยงมนุษย์ เช่นนั้นมันเป็นดินแดนเช่นไรกันรึ แล้วทั้งเจ้าและรามานนเล่าเป็นผู้ใดกันแน่?”

    ทีแรกใบหน้าคมคายคล้ายประหลาดใจกับคำถามฉับพลันนี้ของนาง หากอึดใจนั้นอัสยุชก็หัวเราะออกมาเสียงดังในอาการขบขันผิดวิสัย ก่อนเอ่ยกลั้วหัวเราะขณะมองมายังดรุณีตรงหน้าเช่นเดิมว่า

                    หึ หึ... นี่ถ้าหากข้าไม่ได้รู้จักกับเจ้ามาก่อนคงจะปรับความคิดความรู้สึกตามเจ้าไม่ทันเป็นแน่

                    ศิษย์แห่งโคตมะทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ ด้วยนึกรู้ว่าเขาจะเอ่ยถึงสิ่งใดซึ่งนางพยายามแล้วที่จะเลี่ยงหลบมาจากบรรยากาศอ่อนหวานอบอุ่นเมื่อครู่นี้ แม้จะด้วยความสับสนยิ่งนักก็ตาม ขณะที่ชายหนุ่มคู่สนทนายังกล่าวสืบไปใบหน้าเปื้อนยิ้ม ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองยังนึกกังขาไม่ได้ว่า... อะไรที่ทำให้รอยยิ้มซึ่งราวจะเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับเขาปรากฏขึ้นมาบ่อยครั้ง เหมือนเป็นของคู่กันมาช้านานเช่นนี้... แล้วภาพดรุณีตรงหน้าก็ผุดขึ้นมาในห้วงคิดเหมือนแสงสว่างเล็ก ๆ ท่ามกลางความมืดมิดอันเวิ้งว้างประดุจคำตอบสำหรับเขากระนั้น...

                    ก็เจ้าเล่นเปลี่ยนเรื่องกะทันหันเช่นนี้ เป็นใครย่อมปรับความคิดและอารมณ์ไม่ทันอยู่แล้ว

                    เจ้าก็กำลังจะเปลี่ยนเรื่องเช่นกันอมาวสีกล่าวขึ้นอย่างหงุดหงิด แต่ไม่อาจหาคำตอบให้กับตนเองได้ว่า... ความหงุดหงิดนี้ เป็นเพราะอีกฝ่ายกำลังเปลี่ยนหัวข้อสนทนาหรือเป็นด้วยความประหม่าของนางกันแน่

                    หลานชายท้าวติสสะมองสบตาหวาน ที่เหมือนจะไม่ยอมประสานสายตากับเขานานนักของหญิงสาวนิ่งอย่างอึดอัดใจ อารมณ์ขันของเขาหายไปสิ้นยามนึกถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการรู้จากเขา

                    เอาล่ะ... เจ้าสงสัยสิ่งใดก็ว่ามา หากตอบได้ข้าก็จะตอบแม้น้ำเสียงของเขาราวกับกำลังกินยาขม ทว่ามันก็เป็นคำพูดที่อมาวสีรอคอยอยู่แล้วด้วยใจจดจ่อ นางจึงยิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้นตามวิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของตนว่า

                    รามานนและเจ้ามิใช่มนุษย์ ใช่รึไม่?” ธิดาท้าวโมฆราชสังเกตเห็นความกระอักกระอ่วนบนใบหน้าของอัสยุชชั่ววูบหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะกลับมาอยู่ในหน้ากากของความเคร่งขรึมอีกครั้ง ในอาการสงบจนเรียกได้ว่านิ่งเงียบดุจศิลาหิน... สายตาคมกริบของชายหนุ่มยังจับนิ่งอยู่ที่ดวงหน้าอ่อนเยาว์ เสียงของเขาแผ่วเบาหากหนักแน่นยามพูดขึ้นว่า

                    หากข้ามิใช่มนุษย์ ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้าจะแปรเปลี่ยนไปเช่นนั้นรึ?” คำถามนั้นของเขาทำให้ร่างบางนิ่งขึงอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธออกมาเนิบนาบทว่าเด็ดเดี่ยว รอยยิ้มกดลึกที่มุมปากหยักงามของอัสยุชด้วยความพอใจในคำตอบที่ได้รับ ชายหนุ่มขยับลุกแล้วรั้งร่างอรชรตรงหน้าให้ลุกตาม แล้วพาเดินไปพร้อมกับตน สู่ใต้ต้นสนใหญ่ซึ่งมีผ้าปูลองพื้นอย่างดีอันเป็นที่นอนของอมาวสีอยู่แต่เดิมนั้น

                    ดึกมากแล้ว น้ำค้างมันแรง...” น้ำเสียงเอื้ออาทรของเขาทำให้ธิดาท้าวโมฆราชทรุดนั่งลงบนที่นอนของตนช้า ๆ อย่างว่าง่าย หากสายตายังมองมาที่ชายหนุ่มอย่างรอคอยและกระหายในคำตอบ อัสยุชจึงกล่าวสืบไปว่า

                    เมื่อความเป็นมาของข้ามิอาจสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างเรา เอ่อ... ข้าหมายถึง...” ชายหนุ่มรีบกล่าวแก้คำพูดของตนทันที เมื่อรู้สึกได้ว่าร่างบอบบางของดรุณีข้างกายแข็งขืนขึ้นมาทันที พร้อมหันขวับมาจ้องเขม็งที่เขาอย่างเอาเรื่อง

                    ข้าหมายถึงมิตรภาพระหว่างเรา... เช่นนั้นไยเจ้าจึงต้องการรู้ความเป็นมาของข้าด้วยเล่า?”

                    จริงอยู่สำหรับอมาวสีแล้วมิตรภาพระหว่างพวกตนไม่มีวันเปลี่ยนไปเพียงเพราะภูมิหลังของอัสยุช แต่นางก็ยังอยากรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเขาอยู่นั่นเอง ประโยคต่อมาของหญิงสาวจึงห้วนเล็กน้อย

    ถึงจะอ้างสารพัดเหตุผล ข้าก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับตัวเจ้าอยู่ดี

    ความดื้อด้านของนางทำให้อัสยุชได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะกล่าวอย่างตัดบทว่า

    เอาล่ะ... เจ้าควรเอนหลังสักพักจะดีกว่า รุ่งเช้าเราต้องออกเดินทางก่อนที่สุริยาจะชักรถ

    อมาวสีล้มตัวลงนอนตามคำของอีกฝ่ายอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเขาก้าวห่างออกไปโดยไม่คิดจะตอบคำถามของนางสักนิด สายตาของธิดาท้าวโมฆราชมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่ม ซึ่งค่อย ๆ ห่างออกไปนั้นอย่างไม่ชอบใจนัก

    เขานั่งประจำยามอยู่หน้ากองไฟนิ่งนานคล้ายลืมเลือนนางไปแล้ว พักใหญ่ต่อมาเสียงของอมาวสีก็แว่วมาว่า

    อัสยุช ข้า...” แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้พูดจบประโยคดีด้วยซ้ำ ชายหนุ่มก็เอ่ยแทรกขึ้นมาราวกับรู้ว่านางจะเอ่ยอะไรว่า

    เมื่อถึงรสาตลเจ้าจะได้รู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวข้า แม้เจ้าปรารถนาที่จะรู้หรือไม่ก็ตาม เพียงเท่านั้นความเงียบเข้าครอบคลุมคนทั้งสอง และอัสยุชไม่ยอมขยายความอื่นใดมากไปกว่านั้น อมาวสีจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ นางไม่รู้ว่าเขากังวลถึงสิ่งใด หากรู้ว่าเขากำลังคิดหนักกับการคืนสู่บ้านเกิด แต่อะไรที่ทำให้อัสยุชว้าวุ่นกับการแค่นางต้องการรู้ว่าทั้งเขาและรามานนเป็นผู้ใดกันแน่... ความคิดของหญิงสาวพันกันยุ่งเหยิง ก่อนที่นางจะสามารถข่มตาให้หลับลงได้ในเวลาต่อมา...

    หลานชายท้าวติสสะหันกลับมามองผู้ซึ่งนิทราสนิทแนบไปแล้วนั้น พร้อมกับขยับลุกแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้นางอีกครั้ง ร่างสูงทรุดนั่งลงข้างกายดรุณีน้อยก่อนจะถอนใจออกมาอย่างหนักหน่วงด้วยความกังวล การกลับคืนรสาตลในครั้งนี้ต้องเผชิญกับอะไรบ้างก็มิอาจรู้ได้ และการพาอมาวสีมาด้วยเช่นนี้อาจเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ก็เป็นได้ แต่เขาไม่อาจปล่อยนางจากไปได้ แม้ใจไม่ต้องการให้หญิงสาวติดตามไปยังดินแดนแห่งนั้นก็ตาม

    ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องเข้าไปพัวพันกับความวุ่นวายในรสาตลเป็นอันขาด...” แต่เขาจะทำได้หรือเล่า... มือหนาคว้าเสื้อคลุมตัวโค่งสีดำของตนคลุมทับบนร่างน้อยนั้นอย่างแผ่วเบา คล้ายกลัวว่าการกระทำของเขาจะทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมากระนั้น...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×