คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1
1...
"ท่านอาจารย์!... เหตุใดข้าต้องท่องบ่นขัตติยมายาด้วยเล่า?"
เสียงเล็กแหลมของร่างน้อยในชุดส่าหรีเนื้อหยาบและมอซอ แต่ไม่อาจบดบังความงามของดรุณีน้อยผู้เป็นศิษย์ได้นั้นเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ...
"กาลก่อนเจ้ามิเคยเอ่ยถาม ไยบัดนี้จึงตั้งคำถามเอากับข้าเล่า?"
อาจารย์ผู้มากด้วยคุณวุฒิแต่วัยวุฒิยังน้อยนักหากจะเปรียบกับพราหมณ์เฒ่าตนอื่นกล่าวพร้อมกับมองดรุณีตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสะท้อนใจและปิตินักที่ตนได้ฟูมฟักเลี้ยงดูจนผู้เป็นศิษย์ซึ่งเปรียบเสมือนบุตรีเติบโตมามีความเพรียบพร้อมทั้งรูปสมบัติ และคุณสมบัติเช่นนี้
"ครั้งนั้นเพราะความเยาว์วัยข้าจึงหาข้องใจไม่ แต่ยามนี้ข้ารู้ความทุกสิ่งสิ้น... อันขัตติยมายาหาใช่หน้าที่พราหมณ์ในการจดจำไม่ เมื่อตัวท่านถือเพศเป็นพราหมณ์ และข้าคือพราหมณีไยต้องบ่นจำขัติยมายาที่หาประโยชน์อันใดมิได้ในกิจของพราหมณ์นี้ด้วยเล่า? " นางเอ่ยชี้แจงตามปัญญาที่มี
โคตมะเพ่งพินิจนางผู้เป็นศิษย์พลางคิดหวนกระหวัดกลับไปถึงเรื่องราวแต่หนหลังซึ่งยังระลึกได้ดีราวกับว่ามันเพิ่งผ่านมาแค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้นแทนที่จะเป็นเวลาถึงสิบหกปีเต็ม...
ปัญจเวททั้งห้าโดยมีโคตมะเป็นผู้นำในอ้อมแขนของเขามีทารกน้อยซึ่งนิทราสนิทแนบหาได้รู้ถึงภยันอันตรายที่กำลังคุกคามเข้ามาใกล้ไม่ และวยาสผู้รับอาสาปกปักษ์มณีมนตรารวมทั้งปัญจเวททั้งสามที่เหลือ พวกตนทั้งห้าลัดเลาะออกจากพระราชวังปัญจาบโดยอาศัยความมืดมิดของรัตติกาลภายใต้แสงจันทร์ในคืนเดือนมืดท่ามกลางแสงไฟที่ลุกโชน และกลิ่นคาวเลือดที่หลั่งรินทั่วพื้นธรณี... เสียงประดาบ และรบพุ่งยังติดตรึงอยู่ในโสตประสาทไม่เสื่อมคลาย
แม้ทั้งหมดจะสามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแต่ก็ต้องปะทะกับกองกำลังทหารม้าที่ไล่ล่าอย่างไม่ลดละจนกระทั่งมาถึงยังอุตรประเทศสิ้นเขตแดนปัญจาบ กนาท กบิล และปตัญชลี ยอมสละชีพเพื่อถ่วงเวลาเอาไว้ เพราะแม้ทั้งห้าจะมีพระเวทที่ร่ำเรียนมาแต่ด้วยความเหนื่อยล้าอันเกิดจากการมิได้พักผ่อนซ้ำยังต้องรับมือกับทหารนับพัน ๆ จากห้าคงเหลือแค่สอง คือตัวเขาและวยาสนั่นเอง
โคตมะอุ้มพระราชธิดาน้อยหลบหนีเข้าไปในป่าใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งยามนี้เองที่เขารู้ว่าตนได้พลัดหลงกับวยาสเสียแล้ว... ความคิดคำนึงของโคตมะสะดุดลงเมื่อเสียงเล็ก ๆ ของผู้เป็นศิษย์ดังขึ้นอีกคำรบหนึ่งว่า
"ว่าอย่างใดล่ะท่านอาจารย์?
" นางยังซักถามต่อในข้อข้องใจแห่งตน
โคตมะได้แต่อึกอักด้วยความลำบากใจก่อนตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้ว่า
"เจ้าหาใช่พราหมณ์เช่นข้าไม่" ผู้เป็นอาจารย์กล่าวแล้วก็หยุดมองหน้าศิษย์คนเดียวนิดหนึ่งซึ่งบัดนี้นั่งมองมาที่ตนอย่างตั้งใจ และใคร่รู้
"รู้เพียงนี้ก็พอแล้ว... ราตรีนี้ยังยาวนานนักไยเจ้าไม่หลับซะรุ่งเช้ายังมีกิจรออยู่มิใช่รึ?" แล้วคนพูดก็ลุกขึ้น และก้าวจากไปทันทีปล่อยให้นางมองตามไปด้วยความสงสัยอยู่ครามครัน
อมาวสีไม่เข้าใจผู้เป็นอาจารย์เท่าใดนักหากแต่นางก็รัก และเคารพเขาดุจบิดาก็ว่าได้ด้วยนับแต่จำความได้ก็มีเพียงอาจารย์ผู้นี้เท่านั้นที่เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนตนมา ไม่เคยเลยที่จะได้พบพานกับผู้ให้กำเนิดทั้งสอง เคยเอ่ยถามถึงชาติกำเนิดแต่ก็ไม่มีคำตอบที่น่าพอใจจากพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์เลยแม้แต่น้อยเพราะหากโคตมะไม่ตอบว่า
"เจ้าเป็นมนุษย์พระพรหมสร้างมาบนโลกนี้ก็น่าจะพอใจแล้ว" เขาก็จะตอบว่า
"จำเป็นด้วยหรือที่เจ้าต้องรู้ที่มาที่ไปของตนเองไยเจ้าไม่อยู่กับปัจจุบันจักมองกลับหลังไปไย?"
เป็นเช่นนี้ร่ำไปซึ่งนางเองก็จนด้วยเหตุผลที่อีกฝ่ายยกมาเอ่ยอ้างจนทำให้ถึงบัดนี้อมาวสีก็ยังมิทราบถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนเองเสียที... ดรุณีน้อยเฝ้าคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจนนิทรารมณ์เข้าครอบงำและหลับสนิทไปในที่สุด
ภายนอกบ้านหลังเล็กที่ปลูกสร้างจากดินเหนียวมุงหญ้าคากลางเก่ากลางใหม่มีเพียงแสงโสม และดวงดาราที่สาดส่องท่ามกลางรัตติกาลอันมืดมน ร่างสูงในชุดสีขาวแซมความดำสนิทแห่งยามวิกาลของโคตมะแหงนมองไปบนฟากฟ้าที่มืดทะมึนนิ่งนานอย่างกังวลใจอยู่ลึก ๆ ภายใน
"ดาวประจำเมืองกำลังอับแสง... คงถึงคราที่พระองค์จักกลับคืนเศวตฉัตรดังเดิมแล้วกระมัง"
โคตมะพึมพำอยู่เพียงลำพังขณะยังแหงนมองดวงดาราบนฟากฟ้านิ่งนาน...
"ว่าอย่างใดสินธุคาม... สิบหกปีเต็มที่เราให้เจ้าติดตามหาเหล่าปัญจเวทเพื่อนำมณีมนตรามาให้เราแต่ทุกครั้งที่เจ้าบอกว่าพบเบาะแสแต่แล้วก็คว้าน้ำเหลวกลับมาทุกคราไป!"
เจ้าชายนันทะซึ่งบัดนี้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงค์โมริยะรับสั่งแก่อดีตแม่ทัพใหญ่ซึ่งยามนี้เลื่อนชั้นยศเป็นถึงองคมนตรีมีสิทธิ์ขาดรองจากท้าวเธอด้วยความร้อนพระทัย
"เจ็บใจก็แต่โมฆราชช่างปากแข็งยิ่งนัก!... หนึ่งปีที่อยู่ในคุกใต้ดินมิอาจจะง้างปากมันได้เลย แล้วนี่มันยังมาด่วนตายไปก่อนที่เราจะได้ทราบแหล่งที่ซ่อนมณีมนตราซะอีก"
รับสั่งอย่างทรงหงุดหงิดในพระทัยเมื่อนึกถึงพระเชษฐาที่ล่วงลับไปแล้วนับสิบปีด้วยทรง ตรอมพระทัยนั้นอย่างขุ่นเคือง
"ขออย่าได้ทรงโทโสไปเลยพะย่ะค่ะ... ครานั้นเมื่อสิบหกปีก่อนคนของข้าพระองค์ตามประชิดพวกมันจนถึงเขตแดนอุตรประเทศแล้วมันก็หายสาบสูญไปค้นหาเท่าใดก็มิอาจพบ ข้าพระองค์จึงคิดว่าพวกมันต้องหลบซ่อนอยู่ ณ อุตรประเทศไม่ที่ใดก็ที่หนึ่งอย่างแน่นอนพระเจ้าข้า"
องคมนตรีสินธุคามเอ่ยพร้อมกับมองพระพักตร์องค์ราชันแห่งตนซึ่งบัดนี้กาลเวลาได้ทำลายความหนุ่มฉกรรจ์ของท้าวเธอไปจนสิ้นหลงเหลือก็แต่ริ้วรอยแห่งความชราภาพเท่านั้น แต่เวลาหาได้ทำลายจิตใจอันโสมมของพระองค์ไปไม่ เวรกรรมหากมีจริงองคมนตรีเฒ่าก็ประจักษ์แก่สายตาเวลานี้เอง อาจเป็นเพราะแผ่นดินที่ได้มาด้วยความไม่ชอบธรรมนี้ก็เป็นได้จึงยังผลให้บ้านเมืองตกอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพงหากแม้นมีมณีมนตราแผ่นดินก็คงร่มเย็นเป็นสุขเช่นเดิมอีกครั้งอย่างแน่นอน... สินธุคามได้แต่คิดคำนึงในใจ
"แล้วเจ้าส่งคนออกค้นหาแล้วหรือไร?"
"พะย่ะค่ะ... หม่อมฉันคิดว่าไม่ช้านานนี้คงมีข่าวดีมาถวายอย่างแน่แท้"
"อย่างไรก็ตามอย่าทำให้ทัพแห่งอุตรประเทศล่วงรู้ก็แล้วกันว่าคนเหล่านั้นคือไพร่พลของปัญจาบเพราะนอกจากจะดูไม่งามแล้วอาจเป็นการจุดชนวนสงครามขึ้นมาก็ได้"
"เรื่องนั้นหม่อมฉันสั่งการไว้แล้วพระเจ้าข้า กองพลอัศวนึกจะไปในรูปลักษณ์ของกองโจรไร้สังกัด..."
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวจบองค์ราชันเฒ่ายังไม่ทันจะรับสั่งตอบมาว่าอย่างไรมหาดเล็กก็เข้ามาถวายรายงานว่าบัดนี้ยุวราชพร้อมด้วยพระราชธิดาได้มาถึง และขอเข้าเฝ้าอยู่หน้าท้องพระโรงแล้วตอนนี้ ท้าวเธอจึงทรงอนุญาตตามนั้นมหาดเล็กคนเดิมจึงคลานออกไปจากท้องพระโรงดังกล่าวตามติดด้วยองคมนตรีสินธุคามที่ถวายบังคมลา และจากไปอย่างรู้การอันควรเช่นกัน...
ไม่นานนักบุรุษหนุ่มฉกรรจ์ใบหน้าคมคาย และดรุณีน้อยผู้โสภาในชุดทรงอันวิจิตรเลิศล้ำบ่งบอกฝีมือเย็บที่ประณีตบรรจงสมพระยศก็ก้าวเข้ามายังท้องพระโรงแห่งนั้นอย่างคุ้นเคย ฝ่ายชายพระพักตร์ละม้ายคล้ายผู้เป็นพระบิดาผู้ใดดูก็ย่อมรู้ว่าเป็นพระราชโอรสแห่งองค์นันทะหากสายพระเนตรที่ดูเอาจริงเอาจังผิดกับพระราชบิดานี้เองที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ชื่นชมของเหล่าข้าราชบริพารทั่วทุกคน ส่วนองค์ธิดาผู้ลาวัณย์รูปลักษณ์เฉิดฉันท์ชวนมองนัก พักตร์ผ่องดังเดือนเพ็ญใครเห็นก็ชื่นอุราแม้ยามย่างพระบาทก็ระเหิดระหงงามล้ำมิเป็นรองใคร...
"ทุษยันต์... เจ้าพาน้องมาหาพ่อด้วยเหตุอันใดรึ?" ท้าวนันทะรับสั่งถามทันที
"พระบิดาเจ้า... หม่อมฉันและเจ้าพี่ทุษยันต์มาถวายบังคมตามหน้าที่บุตร และธิดาพึงมีต่อบุพการีเพคะ"
พระธิดาคนงามเป็นฝ่ายตอบแทนเจ้าชายผู้พี่ด้วยวาจาฉอเลาะออดอ้อนเต็มที่พลางพยักพระพักตร์เป็นเชิงวิงวอนไปยังพระเชษฐาอยู่ในที
"มีสิ่งใดรึทุษยันต์?" ท้าวเธอเจาะจงรับสั่งถามพระราชโอรสเมื่อทรงเห็นว่าพระราชธิดาคงไม่ทรงให้คำตอบที่กระจ่างแก่พระองค์เป็นแน่
"ลูกได้รับสาส์นจากเจ้าชายมนิกกะซึ่งเสด็จกลับสู่นครโกสัมพีเป็นที่เรียบร้อยแล้วภายหลังจากร่ำเรียนวิชาความรู้จบสิ้น และเธอกับลูกก็เป็นมิตรสหายกันเมื่อพระองค์เชิญไปร่วมพิธีสมาวรรตนะลูกจึงเห็นควรที่จะไปร่วมพิธีนี้ด้วยพระเจ้าข้า" เจ้าชายอธิบายยืดยาว
"ที่ลูกเอ่ยมาพ่อก็เห็นชอบด้วยแต่เรื่องนี้ลูกหญิงโฆษิตาเกี่ยวข้องด้วยกระนั้นรึ?"
ราชาเฒ่าตรัสสืบไปทั้งที่ทรงรู้พระทัยของพระราชธิดาเป็นอย่างดีว่าพระนางนั้นมีหทัยปฏิพัทธ์ต่อเจ้า ชายมนิกกะเสมอมามิเสื่อมคลาย
"เพราะเหตุนี้แหละพระเจ้าข้าลูกจึงต้องมาทูลขอพระบรมราชานุญาตจากพระองค์ก่อนที่จะคิดทำการใด" เจ้าชายทุษยันต์รับสั่ง
"ทูลกระหม่อมให้ลูกตามเสด็จเจ้าพี่ทุษยันต์นะเพคะ..." เสียงของพระนางโฆษิตาฟังออดอ้อนยามเมื่อทรงทูลขอต่อพระราชบิดาเพื่อให้ได้ดังพระทัยหวัง
"ลูกเป็นหญิงควรหรือที่จะเดินทางรอนแรมนอนกลางดินกินกลางทรายเช่นนั้น?" พระองค์รับสั่งด้วยเหตุผลเพื่อให้ผู้เป็นลูกเปลี่ยนใจแต่มีหรือที่ผู้ซึ่งถูกตามพระทัยมาแต่เยาว์เช่นเจ้าหญิงจะทรงยอมพระทัยอ่อนเล็งเห็นความหวังดีที่พระราชบิดายกมาเอ่ยอ้าง สุดท้ายท้าวนันทะก็ต้องพ่ายแพ้แก่พระธิดาคนงามเช่นทุกคราไป
"แล้วนี่จะเดินทางเมื่อใดล่ะ?" ถ้อยรับสั่งของพระราชบิดาทำให้พระนางโฆษิตาทรงพระสรวลออกมาสุรเสียงใสอย่างทรงยินดี
"รุ่งเช้าของวันที่สามพระเจ้าข้า... ลูกคิดว่าเดินทางสามราตรีก็ถึง"
ควันสีขาวขุ่นกลุ่มใหญ่ที่ลอยเด่นขึ้นมาท่ามกลางแมกไม้ใบหนาบนท้องฟ้าสีครามในทิศที่ตั้งของหมู่บ้านทำให้ร่างงามสมส่วนที่กำลังง่วนอยู่กับการริใบชาต้องชะงักงันในทันที!...
อมาวสีเพ่งสายตามองฝ่าเปลวแดดที่ร้อนแรงยามสุริยาคล้อยเคลื่อนเลื่อนมาตรงศีรษะพอดีไปยังต้นตอของกลุ่มควันเหล่านั้นอย่างสนใจ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้นที่หยุดงานในมือลงหญิงสาวคนอื่น ๆ ซึ่งอยู่ในไร่ชาต่างมองไปยังทิศทางเดียวกันนั้นอย่างสนใจใคร่รู้พร้อม ๆ ด้วยความตกตะลึง!... พลันเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายก็ดังลั่นด้วยความตระหนกตกใจก่อนจะวิ่งกลับไปตามเส้นทางที่มุ่งสู่หมู่บ้านด้วยความห่วงกังวลในบ้านเรือนของตนทันใดไม่เว้นแม้แต่อมาวสี
นางรีบวิ่งนำหน้าสตรีเหล่านั้นไปในทิศทางดังกล่าวทันที ในใจก็เฝ้าแต่คิดถึงผู้เป็นอาจารย์อย่างห่วงใยแต่ดูเหมือนระยะทางที่เคยผ่านไปมาเป็นประจำทุกวันนั้นเวลานี้มันช่างดูยาวไกลเสียเหลือเกินยิ่งวิ่งกลับยิ่งเหมือนว่าไกลห่างออกไปทุกที หญิงสาววิ่งไปตาทางเท้าที่ใช้ไปมาระหว่างหมู่บ้าน และไร่ชานั้นด้วยหัวใจร้อนรุ่มเหงื่อกาฬเกาะพราวบนใบหน้าอ่อนเยาว์...
ในที่สุดนางก็มาถึงหมู่บ้านของตนจนได้...
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้ดรุณีน้อยแทบทรุดฮวบลงไปกองอยู่ที่พื้นเสียเดี๋ยวนั้น ความปั่นป่วนในช่องท้องเริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้วขณะนี้อย่างมิอาจห้ามได้ ผู้คนทั้งชายหญิงไม่ว่าจะเป็นลูกเด็กเล็กแดงหรือแม้แต่คนแก่เฒ่าต่างนอนตายกลาดเกลื่อนท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด และกองโลหิตแดงฉานที่ไหลรินเปรอะเปื้อนนองอยู่บนพื้นดินอย่างน่าอนาถ... หอก ลูกศร และดาบปักติดตรึงอยู่ตามร่างกายของซากศพเหล่านั้นอย่างน่าเวทนายิ่งนัก บางคนที่บาดเจ็บก็ร้องคร่ำครวญโอดโอยด้วยความเจ็บปวดสุดแสน
นี่มันเกิดกาลียุคอะไรขึ้นกันเล่า!... หญิงสาวได้แต่เฝ้าถามตนเองอย่างไร้ซึ่งคำตอบส่วนเท้าก็รีบสาวไปข้างหน้าเพื่อจะให้ถึงที่พักของตนโดยเร็ว
ท่ามกลางความร้อนระอุของกระไอแดด และเปลวเพลิงที่ลุกโหมบ้านเรือนบางหลังนั้นสายตาของดรุณีน้อยพยายามมองหาคนเป็นอาจารย์ตลอดระยะทางที่ก้าวย่างซึ่งนางคิดว่าโคตมะอาจปะปนมากับฝูงชนที่กำลังหนีตายกันอย่างอลหม่านอยู่นี้ก็เป็นได้
อมาวสีคอยหลบหลีกผู้คนเหล่านั้นอย่างยากลำบากเสียงร้องดังอึงอลของผู้คนที่ร้องเรียกหาญาติมิตรฟังไม่ได้ศัพท์ ศิษย์แห่งโคตมะผ่านหมู่บ้านที่เหลือแต่ซากนั้นมาได้ก็ถึงจุดหมายที่นางตั้งใจไว้ซึ่งก็คือบ้านหลังเล็กปลูกสร้างด้วยดินเหนียวหลังคามุงด้วยหญ้าคาที่เคยอยู่อาศัยแต่บัดนี้มันถูกเปลวไฟได้ลุกโชติช่วงเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านแทบไม่เหลือซากไว้แต่เดิม หากนั้นไม่สำคัญเท่ากับใครคนหนึ่งที่นางกำลังมองหาอยู่ขณะนี้แต่ก็ไม่มีแม้เงาของอีกฝ่ายให้ได้เห็น
"อาจารย์!... แล้วท่านอาจารย์ล่ะ!"
คิดได้เท่านั้นนางก็หันหลังกลับบ่ายหน้าวิ่งตรงไปยังหมู่บ้านที่ตนเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่นี้อีกครั้ง
อมาวสีวิ่งเข้าตรอกนั้นซอยนี้จนกระทั่งมาหยุดยืนหอบหายใจอยู่หน้าบานประตูบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งที่เคยโอ่อ่างดงามแต่บัดนี้มันถูกทำลายเฉกเช่นเดียวกับบ้านหลังอื่นจนไม่หลงเหลือเค้าเดิมอยู่เช่นกัน นางใช้กำปั้นน้อย ๆ ทุบลงไปบนประตูไม้สักบานใหญ่นั้นอยู่หลายทีกว่ามันจะเปิดออกมาพร้อมกับใบหน้าตื่นตระหนกอวบอูมของผู้เป็นเจ้าของ
"ผู้ใหญ่บ้านเกิดอะไรขึ้น?!... แล้วท่านอาจารย์ของข้าเล่าไปอยู่ที่ใด?" นางรัวคำถามถี่ยิบจนคนฟังเกือบจะจำคำถามไม่ได้
"กะ... กองโจรชุดดำ!..." เขาเอ่ยสีหน้ายังตื่นกลัวอยู่ไม่หาย
"มันมาที่นี่ถามหาท่านโคตมะ และจับตัวท่านพราหมณ์ไปแล้วก็ทำลายหมู่บ้านอย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ!" ชายชราผิวหน้าเหี่ยวย่นผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยตอบมาเสียงสั่นพร่าอย่างขลาดกลัว
"ที่ใด?!... มันจะไปที่ใด... แล้วพวกมันไปตั้งแต่เมื่อใดกัน?"
"ข้า... ข้าไม่รู้ว่ามันจะไปที่ใดรู้เท่าที่มันบอกฝากข้าไว้เท่านั้น!"
"มันว่าอย่างใด?!... เร็วสิข้าจะรีบไปช่วยท่านอาจารย์..." อมาวสีเร่งทั้งที่หัวใจนางเองก็เต้นระทึกด้วยความขลาดกลัวไม่แพ้กัน
"เจ้าจะเอาอะไรไปสู้กับมัน พวกมันแต่ละคนฝีมือยังกับทหารที่เชี่ยวชาญการรบแต่ตัวเจ้าสิ.. เพลงดาบสักเพลงก็ไม่เป็นซ้ำมิหนำยังเป็นหญิงไปก็รังแต่จะรนหาที่!" ท่านผู้เฒ่าเตือนด้วยหวังดีแม้จะไม่ชอบหน้าศิษย์ และอาจารย์ทั้งสองอยู่ก็ตาม
"ถึงกระนั้นข้าก็จะไปจักไม่ยอมให้ท่านอาจารย์ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวดอก!"
"ข้าไม่รับรู้ด้วยนะ... ข้านึกแล้วเชียวตั้งแต่มีคนไปพบเจ้าทั้งสองเข้า... พวกเจ้ามันตัวโชคร้ายแต่ไม่มีใครเชื่ออยากทำอะไรก็เชิญแต่อย่าให้ข้าและพวกชาวบ้านในหมู่บ้านนี้ต้องเดือดร้อนไปด้วยก็แล้วกัน"
"มันว่าอย่างใด?!" เอ่ยขึ้นอย่างรำคาญ
"มันบอกให้เจ้านำมณีมนตาไปแลกกับท่านโคตมะที่ชายป่าทางทิศเหนือคืนนี้!"
"แล้วมณีมนตรามันคืออะไรเล่า?" อมาวสีเอ่ยถามด้วยไม่รู้ข้อเท็จจริง
"เจ้าไม่รู้แล้วข้าจะรู้หรือไร!... รีบ ๆ ไปซะข้ายังมีงานต้องทำอีกมาก"
แล้วชายอาวุโสก็ก้าวเข้าไปในตัวบ้านปิดประตูลั่นดาล และเงียบเสียงไปในที่สุดปล่อยให้นางเฝ้าครุ่นคิดเกี่ยวกับมณีมนตราเพียงลำพังขณะก้าวจากมาอย่างกลัดกลุ้มแต่จนแล้วจนรอดอมาวสีก็ไม่สามารถขบคิดเกี่ยวกับมณีมนตราได้ จวบจนล่วงเลยเวลาพระสุริยาลาลับขอบฟ้าผันเปลี่ยนกาลเวลารัตติกาลย่ำมาเยือนอีกครั้ง ธิดาท้าวโมฆราชหลบซ่อนซุ่มดูกำลังของฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่ห่าง กองกำลังชุดดำร่วมสิบตั้งค่ายค้างแรมอยู่ที่บริเวณทุ่งหญ้าชายป่าดังกล่าวอย่างรอคอย...
ศิษย์แห่งโคตมะมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้นซึ่งเป็นถิ่นที่นางเคยนำจามรี และแพะมากินหญ้าที่นี่เสมอนางจึงรู้ทางหนีทีไล่เป็นอย่างดีแต่ครั้นจะฝ่าเข้าไปช่วยผู้เป็นอาจารย์โดยมิรู้กลอุบายของศตรูก็จักเสียเปรียบได้ง่าย ๆ นางมองดูภูมิประเทศโดยรอบพร้อมกับครุ่นคิดและแล้วรอยยิ้มที่มีเลศนัยก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้างามล้ำนั้นอย่างพอใจ อมาวสีล้วงเข้าไปในถุงผ้าสำหรับใช้เก็บสมุนไพรแล้วหยิบแก่นไม้ขนาดเล็กเท่าฝ่ามือขึ้นมาอันหนึ่งก่อนจะนำมันยัดใส่ในภูษาของตนจากนั้นก็ก้าวออกจากที่ซ่อน และเดินตรงไปยังค่ายพักแรมตรงหน้าทันที
"ท่านศนิวาร... มีหญิงนางหนึ่งเอ่ยอ้างว่าตนนำมณีมนตรามาแลกเปลี่ยนกับเชลยขอรับ!" ทหารม้าในคราบของกองโจรกำมะลอผู้รับหน้าที่เป็นยามรักษาการณ์ผลัดแรกเข้ามารายงานเจ้านายแห่งตน
"ให้นางเข้ามาได้..."
เมื่อผู้เป็นนายอนุญาตยามผู้นั้นจึงกลับออกไปอีกครั้งก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับดรุณีนางหนึ่ง
ศนิวารมองผ่านทหารผู้นั้นไปยังดรุณีน้อยผู้มาใหม่อย่างพิจารณา ใบหน้านั้นประพิมพ์ประ พายคล้ายพระนางโรดิยามิผิดเพี้ยนต่างกันก็แต่เพียงความเยาว์วัยเท่านั้น หากนัยน์ตา และท่วงท่าอันงามสง่าสมเป็นราชนิกูลนั้นราวกับถอดแบบมาจากองค์โมฆราชกระนั้น...
"เจ้าคืออมาวสีเช่นนั้นรึ?..." ศนิวารเอ่ยขึ้นเมื่อทหารรับใช้คนเดิมถอยห่างไปอยู่ข้าง ๆ อย่างรู้หน้าที่
"ใช่หากท่านคือผู้ที่ต้องการมณีมนตรา..."
น้ำเสียงที่เอ่ยราบเรียบจนแม่ทัพแห่งกองพลอัศวนึกจับความรู้สึกไม่ได้
ขณะที่สายตาของอมาวสีก็สังเกตไปรอบ ๆ กายอย่างพิจารณา ทั้งการแต่งกาย และกระโจมตั้งค่ายรวมทั้งม้าที่ใช้เป็นพาหนะล้วนแล้วแต่เป็นของดีมีราคาแพงทั้งสิ้นแม้มันจะไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงฐานะที่แท้จริงของกองโจรนิรนามนี้แต่อมาวสีก็ลงความเห็นว่ากลุ่มโจรเหล่านี้มิใช่กองโจรธรรมดา ๆ อย่างแน่นอน และสิ่งที่ช่วยตอกย้ำความมั่นใจของนางก็คือความมีระเบียบวินัย และการปฏิบัติภารกิจอย่างมีแบบแผนเหมือนถูกฝึกมาอย่างดีเยี่ยมของคนเหล่านี้นั่นเอง....
"เช่นนั้นแล้วมณีมนตราอยู่ที่ใดข้าใคร่ขอดู?..." อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นทำลายความคิดของหญิงสาว
"ตัวประกันเป็นเช่นไรข้ายังไม่ทันได้พบเหตุใดจึงควรให้ท่านเห็นมณีมนตราเล่า แลอีกประการการมาครั้งนี้เปรียบได้ดั่งเข้าถ้ำเสือท่านคงไม่คิดว่าข้าจะโง่พอที่จะนำมันติดตัวมาด้วยหรอกนะ" วาจาที่ฉะฉานอีกทั้งความคิดอ่านอันรอบครอบของนางทำให้อีกฝ่ายอดที่จะชื่นชมมิได้
"ข้าจะให้เจ้าได้พบกับโคตมะก่อนหากนั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้การเจรจาระหว่างเราง่ายขึ้น"
ศนิวารกล่าวจบก็ปรบมือสามครั้งทหารรับใช้อีกคนก็ก้าวเข้ามาทันทีคล้ายรอคอยอยู่ก่อนแล้วกระนั้น
"ความจริงแล้วท่านไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องพบปะเจ้าคนชั่วนั่นเลยหากท่านจะฟังข้าสักนิด..." นายทหารม้าหยุดรอการคัดค้านจากอีกฝ่ายแต่เมื่อนางยังนิ่งเฉยศนิวารจึงกล่าวสืบไปว่า
"เจ้าพราหมณ์ชั่วนั่นมันลักพาตัวท่านมาแต่ยังเยาว์...."
หากอมาวสีจะสังเกตเห็นสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกขานนางนั้นเปลี่ยนไปในทางที่ยกย่องมากขึ้นหญิงสาวก็หาได้ใส่ใจไม่แต่สิ่งซึ่งศนิวารกำลังจะเอ่ยออกมานี่สิที่ดึงความสนใจทั้งมวลของนางเอาไว้จนสิ้นก็คือ... ชาติกำเนิดแห่งตน!...
"แท้จริงแล้วท่านเป็นถึงพระราชธิดาแห่งองค์โมฆราชอดีตจอมราชันแห่งปัญจาบ และเป็นพระภาติยะขององค์นันทะกษัตริย์ผู้ปกครองปัญจาบองค์ปัจจุบัน"
"ท่านจะบอกข้าหรือไรว่าตัวข้าคือเจ้าหญิงซึ่งถูกลักพาตัวมา?"
อมาวสีเอ่ยอย่างเห็นขันกับสิ่งที่คนตรงหน้ากล่าวมา แต่เมื่อศนิวารยังวางสีหน้าราบเรียบความรู้สึกของนางก็เริ่มสั่นคลอนแต่ก็ยังพอมีสติที่จะถามกลับไปว่า
"เช่นนั้นขอถามหน่อยเถอะว่าท่านอาจารย์โคตมะลักพาตัวข้ามาด้วยจุดประสงค์อันใด?" แทนที่จะตอบคำถามอีกฝ่ายกลับเอ่ยไปอีกเรื่องแทน
"มันมิได้ลักพาพระองค์มาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังได้ขโมยเอามณีมนตราหลบหนีมาอีกด้วยซึ่งจุดมุ่งหมายของมันก็คือยึดครองอำนาจจากราชวงค์เดิมไปเป็นของมันซะ!"
"หากเป็นจริงดังคำท่านเหตุใดท่านอาจารย์จึงปล่อยให้ข้ามีชีวิตยืนยาวมาถึงเพียงนี้ได้เล่า?..."
"ข้อนี้เห็นคงเป็นด้วยมันคิดจะใช้ท่านเป็นข้ออ้างในการล้มล้างราชบัลลังก์แห่งองค์นันทะนั่นเอง..."
ศนิวารเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดองคมนตรีสินธุคามจึงให้เขาแต่งเรื่องขึ้นมาเป็นอุบายหลอกล่อนางอีกทั้งที่ไม่จำเป็นเลยเพราะอย่างไรเสียมณีมนตราก็กำลังจะมาอยู่ในมือตนแล้วบัดนี้... อาการนิ่งเงียบของหญิงสาวทำให้แม่ทัพแห่งกองพลอัศวนึกไม่มั่นใจนักว่านิทานหลอกเด็กของตนจะเป็นผล...
"แล้วมณีมนตรานี้มีไว้เพื่อประโยชน์อันใดกัน?"
"มณีมนตรานี้จะหาประโยชน์ได้ไม่หากไม่สถิตอยู่ ณ วิหารมนตรา หลังจากที่มันถูกขโมยไปบ้านเมืองก็ตกอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล... ชั่วแต่เรามีแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ และทุ่งหญ้าสำ หรับเลี้ยงแพะจึงทำให้ปัญจาบอยู่ได้อย่างสบายแต่ก็ไม่เฟื่องฟูเหมือนเมื่อครั้งอดีต"
"ข้าจะพบท่านอาจารย์ได้หรือยัง?" จู่ ๆ นางก็เอ่ยถามถึงผู้เป็นอาจารย์แห่งตน
"เมื่อใดก็ได้ตามแต่ใจท่านต้องการ..."
"งั้นนำทางข้าไปได้เลย..."
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้นศนิวารจึงผายมือเป็นการเชื้อเชิญให้อมาวสีก้าวตามทหารรับใช้ซึ่งถูกเรียกตัวมารอท่าอยู่ก่อนแล้วเมื่อครู่นี้ไปในที่สุด...
ความคิดเห็น