คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
1
เสียงดังอึงอลของผู้คนคับคั่งที่สัญจรไปมาแลดูสับสนวุ่นวายนัก พ่อค้าคาราวานต่างส่งเสียงร้องบอกสรรพคุณสินค้าของตนเองดังลั่นฟังไม่ได้ศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหมแพรพรรณ อุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือนและในการเกษตรต่าง ๆ รวมทั้งม้าพันธุ์ดีอีกจำนวนมาก สมกับเป็นเมืองใหญ่อีกแห่งของราชสถานโดยแท้...
“โอ้... พวกท่านต้องการม้าไหมล่ะนาย?” พ่อค้าผิวหมึกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น พลางขยับเข้ามาใกล้คนเดินทางแปลกหน้าทั้งสาม ซึ่งต่างจูงอาชาของตนมาตามถนนสายนั้นเงียบ ๆ โดยหาใส่ใจต่อการค้าขายต่าง ๆ ที่พบเห็นไม่ และแม้การเสนอขายสินค้าของตนจะไม่ประสบความสำเร็จนัก ด้วยชายทั้งสามมิได้ใส่ใจในตัวเขาเลยแต่ชายพ่อค้าม้าก็ไม่ได้สนใจในการค้าขายของตนเช่นกัน ด้วยบัดนี้ความสนใจของเขาอยู่ที่เจ้าม้าหนุ่มตัวหนึ่งในสามของชายแปลกหน้าเหล่านี้ต่างหาก มันช่างเป็นม้าพันธุ์ดีที่หายากยิ่งถูกต้องตามลักษณะอาชาชั้นเลิศ หากเขาได้มันแล้วนำไปขาดให้พวกอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่คงได้ไม่ต่ำกว่าสิบเหรียญทองเป็นแน่
“เดี๋ยวก่อนสินายท่าน...” พ่อค้าคนเดิมรีบตรงเข้ามาขวางหน้ามาณพน้อยร่างเล็ก แลดูบอบบางผู้เดินรั้งท้ายซึ่งเป็นเจ้าของม้าดังกล่าวทันที
“ม้าท่านเป็นม้าดีที่หายากยิ่ง หากท่านยอมขายให้ข้าจะสักกี่เหรียญทองกัน?”
มาณพน้อยเจ้าของใบหน้าหมดจดราวอิสตรีหยุดฝีเท้าลงเมื่อถูกอีกฝ่ายขวางทางเอาไว้ ทำให้บุรุษอีกสองนายซึ่งเดินนำอยู่เบื้องหน้าต้องหยุดฝีเท้าลงเช่นกันเพื่อรอคอย
“ขอบคุณ... หากข้าคิดจะขายต้องนึกถึงท่านเป็นคนแรกแน่” เขาตอบกลับมาอย่างนุ่มนวล ด้วยน้ำเสียงราวเด็กหนุ่มเพิ่งจะแตกพาน ก่อนจะหันไปตามเสียงร้องเรียกของชายทั้งสองที่ร่วมเดินทางมาด้วย ซึ่งดูแกร่งกล้าผิดกับตนทันที
“มัวทำอะไรอยู่ อคามี?... หากขืนชักช้าเราจะทิ้งเจ้าเอาไว้ที่นี่นะ!” บุรุษหนึ่งในสองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเกินชายใด ทว่าแววตาน่าครั่นคร้ามร้องเรียกมาอย่างไม่พอใจนิด ๆ
หนุ่มน้อยอคามีจึงกล่าวลาชายพ่อค้า แล้วรีบวิ่งไปสมทบกับคนทั้งสองอย่างร้อนใจทันใด ทิ้งให้พ่อค้าม้าผิวเข้มผู้นั้นได้แต่มองตามไปด้วยสายตาละห้อยอย่างแสนเสียดาย
“หากเจ้ามัวแต่เพลินอยู่เช่นนี้ล่ะก้อเราจะมิรอเจ้าอีกจำเอาไว้” อัสยุชเอ่ยโดยมิยอมมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะสาวเท้าไปข้างหน้า ทำให้อมาวสีต้องแต่เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะตามชายทั้งสองได้ทัน ขณะที่ในใจกลับคิดถึงเส้นทางการเดินทางของพวกตนอย่างขบคิด...
หลังจากออกมาจากปัญจาบมา ทั้งหมดก็มุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ กระทั่งเข้าสู่เขตแดนของแคว้นราชสถาน และบัดนี้พวกเขากำลังอยู่ในเมือง ๆ หนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “โคปา” นั่นเอง มันเป็นเมืองที่รุ่งเรืองพอกันกับทวารกะอันเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ ความที่ไม่เคยต่างบ้านต่างเมืองมาไกลถึงเพียงนี้ ทำให้หญิงสาวมองนั่นมองนี่เพลิน จนหลายครั้งถูกอัสยุชตำหนิเสมอ ผิดกันกับรามานนที่ยังคงความเป็นคนอารมณ์ดีอยู่เช่นเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง... ความคิดของอมาวสีหยุดชะงักลง เมื่อรู้สึกได้ถึงฝีเท้าที่ชะลอลงของชายทั้งสอง
“หากเราหาที่พักได้แล้ว ข้าจะเล่าเกี่ยวกับรสาตลให้เจ้าฟังอีกนะ” รามานนหันมาเอ่ยกับอมาวสีอย่างขี้เล่น ซึ่งนางก็ยิ้มรับอย่างพอใจในสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมา...
นอกเมืองดังกล่าวในราตรีนั้น...
บ้านร้างหลังใหญ่ ห่างไกลจากตัวเมืองเล็กน้อยถูกจับจองเป็นที่พักของมาณพสามนาย และจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ทำให้ทั้งสามทราบว่าบ้านหลังนี้เคยเป็นที่พำนักของเศรษฐีติดอันดับของเมืองโคปา แต่ถูกกองโจรเข้าปล้นฆ่าในคืนเดียว ทิ้งไว้แต่ร่องรอยการต่อสู้และซากปรักหักพังของตัวเรือนเท่านั้น
“เจ้าจะไปที่ใดรึ?” รามานนเอ่ยถาม เมื่อเห็นอมาวสีกำลังจะก้าวออกไปจากบริเวณนั้น ในขณะที่เขากำลังวุ่นอยู่กับการก่อกองไฟ
“เจ้ามิควรไปไหนไกล ฉวยเป็นอะไรขึ้นมาอัสยุชจะต่อว่าข้าเอาได้นะ” ชายอาวุโสกว่าเอ่ยพร้อมกลับนึกถึงคนที่ตนกล่าวถึงขึ้นมาทันที ด้วยบัดนี้อัสยุชซึ่งขันอาสาไปล่าสัตว์เพื่อมาเป็นอาหารในค่ำนี้ยิงไม่กลับมาเลย
“อย่างท่านน่ะรึกลัวเกรงอัสยุช?...” ดรุณีน้อยเอ่ยอย่างไม่เชื่อในวาจาดุจหวั่นเกรงชายที่ถูกเอ่ยถึงของคนตรงหน้า
คนสนิทในท้าวติสสะเงยหน้าขึ้นมาจากกองไฟเบื้องหน้าตน ก่อนจะมองไปที่หญิงสาวในร่างมาณพนั้นพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ในความช่างรู้ของอีกฝ่าย
“เอาเถอะน่า... แล้วนี่เจ้าจะไปไหนรึ?”
ธิดาท้าวโมฆราชอึกอักเล็กน้อยกับกิจที่ตนคิดจะไปทำ ปากก็เอ่ยออกมาอ้อมแอ้มว่า
“ขะ... ข้าอยากไปทำกิจส่วนตัวที่บ่อน้ำ”
อีกฝ่ายมองไปยังบ่อน้ำดังกล่าว ซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปมากนักเหลียวเห็นอยู่ลิบ ๆ นั้น ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ธิดาท้าวโมฆราชพึมพำอะไรเบา ๆ แล้วจากไปเงียบ ๆ
อมาวสีสาวเท้าจากมาแล้วมุ่งตรงสู่บ่อน้ำที่ว่าทันที และเพียงไม่กี่อึดใจหญิงสาวก็ออกมาจากตัวบ้านที่พังไม่มีชิ้นดีนั้น จนถึงลานกว้างที่มีบ่อน้ำเก่า ๆ พร้อมใช้ตะบวยตักน้ำขึ้นมา หมายจะใช้มันเช็ดเนื้อเช็ดตัวที่เหนียวเหนอะหนะของตนให้สบายขึ้น เพราะนับแต่ออกจากปัญจาบมานางไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวนักกับการชำระร่างกาย แม้อัสยุชจะคอยให้ความสะดวกในเรื่องเหล่านี้ แต่มันก็ทำให้นางอดกระดากไม่ได้กับการที่ต้องมาทำกิจส่วนตัวโดยมีเขาเป็นยามเฝ้าระวังภัยให้นั่นเอง
แต่ยังมิทันที่ธิดาท้าวโมฆราชจะได้ทำกิจนั้นสำเร็จ นางก็ได้ยินเสียงหวีดร้องอย่างหวาดผวาของสตรีแว่วมาแต่ไกลเสียก่อน ดรุณีน้อยขนลุกเกรียวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อคำบอกเล่าของชาวบ้านเกี่ยวกับประวัติของบ้านร้างหลังนี้ นางรีบจัดการกับกิจของตนอย่างลวก ๆ และคิดจะกลับไปหารามานนอยู่แล้วเชียว หากไม่เป็นเพราะเสียงกรีดร้องนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง ซ้ำมิหนำเมื่อหญิงสาวมองหาทิศที่มาของเสียงที่ว่านี้ ณ จุดหนึ่งซึ่งห่างออกไปพอสมควร นางก็มองเห็นแสงไฟริบหรี่ทำให้อมาวสีคิดว่าอาจมีบางสิ่ง ซึ่งไม่ใช่ภูติผีอย่างที่นางนึกกลัวเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นธิดาท้าวโมฆราชจึงหันเหทิศทางไปยังที่มาของแสงสว่างวิบวับนั้นในทันใด
และเมื่อมาถึงยังสวนกว้างรกรื้นที่เคยสวยงามของบ้านร้างแห่งนี้ ร่างบางถึงกับชะงักฝีเท้าลงฉับพลันพร้อมหลบเข้าพุ่มไม้ใกล้ ๆ กันนั้นตามสัญชาตญาณทันที ด้วยภาพที่นางพบเห็นอยู่ขณะนี้คือเหล่าชายฉกรรจ์นับสิบ กำลังรายล้อมรอบสตรีต่างวัยสองนางเอาไว้อย่างมาดร้าย ดูแล้วมิใช่สถานการณ์ที่น่าพิสมัยเอาเสียเลยในความคิดของธิดาท้าวโมฆราช หญิงสาวมองไปที่ดรุณีนางหนึ่งซึ่งอ่อนเยาว์และงดงาม ก่อนจะมองเลยไปที่อีกนางผู้มากกว่าด้วยวัยวุฒินั้นอย่างใช้ความคิด
“มารตี!...” ดรุณีน้อยนางนั้นร้องเรียกหญิงผู้มากอาวุโสกว่าอย่างขวัญเสีย เมื่อถูกชายผู้เป็นหัวหน้าคนกลุ่มนั้นฉุดกระชากลากถูออกไปอย่างไร้ปรานี มีเสียหัวเราะอย่างครื้นเครงและพอใจของพวกมันดังตามมา
แม้หญิงอาวุโสผู้นั้นเฝ้าขอร้องและอ้อนวอนอีกฝ่ายสักปานใด แต่ชายผู้ร้ายกาจนั้นก็หาใส่ใจไม่กลับผลักและทุบตีนางอย่างไร้ความเมตตา ทำให้อมาวสีไม่อาจทนดูได้อีกต่อไปนางจึงผลุนผลันออกจากที่หลบซ่อนของตนทันที โดยหาได้คำนึงถึงกำลังของตนไม่ ชายฉกรรจ์เหล่านั้นต่างหันมามองที่ผู้มาใหม่ในร่างของเด็กหนุ่มรูปงามอย่างแปลกใจ
“ปล่อยพวกนางเดี๋ยวนี้นะ...” อมาวสีร้องสั่งเสียงดังก้อง แม้หัวใจจะเต้นระทึกก็ตาม
แต่พวกมันกลับมิยอมทำตาม ซ้ำยังหัวเราะออกมาอย่างขบขันในวาจาอวดดีของอีกฝ่าย
“เจ้าหนุ่มนี่ท่าจะมิรู้จักโจรป่าทิณกะนะท่านหัวหน้า...”
ชายหน้าบากทั้งที่หน้าตาก็อัปลักษณ์อยู่แล้วเอ่ยขึ้น ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างหัวเราะลั่นตาม ๆ กันกับวาจาของเขา
“เออว่ะ...” ชายซึ่งจับกุมตัวดรุณีน้อยนางนั้นเอ่ยบ้าง แววตาวาววับแฝงความเหี้ยมโหดเอาไว้
“มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยนะเจ้าหนุ่ม หาไม่แล้วจะมาตายเสียเปล่า ๆ ”
ธิดาท้าวโมฆราชกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ กลัวอีกฝ่ายก็ใช่น้อยแต่จะให้ปล่อยสตรีทั้งสองนางนี้เผชิญชะตากรรมเพียงลำพังทั้งที่ตนเองก็รู้เห็นอยู่ทนโท่ หญิงสาวก็ไม่อาจทำได้จึงกัดฟันเอ่ยออกไปว่า
“ข้าจะไปก็ต่อเมื่อพวกเจ้าปล่อยพวกนางแล้วเท่านั้น!”
ถ้อยคำของนางทำให้เหล่าโจรร้ายต่างไม่พอใจตาม ๆ กัน มีอยู่ผู้หนึ่งถลาเข้ามาหาอมาวสีหวังจะสั่งสอนให้นางรู้สำนึก แต่ยังมิทันจะได้ต้องผิวกายนางหญิงสาวก็ถอยฉาดออกมา พร้อมกับจับมือที่ถือดาบของมันหักและไพล่หลังไว้อย่างว่องไว ความปราดเปรียวนี้มาจากการสอนสั่งของอัสยุช ซึ่งเขาบอกว่านางควรรู้ไว้เพื่อป้องกันตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่พวกโจรป่าทั้งหลายจะหวั่นเกรงในตัวนางก็หาไม่ ยิ่งกรูกันเข้าล้อมรอบอมาวสีเอาไว้ในทันใด
“ฝีมือใช้ได้นี่” ชายผู้เป็นหัวหน้ากองโจรเอ่ยอย่างชมเชย
“หากเจ้าจะยอมกลับใจมาเป็นพวกพ้องของข้า ๆ ก็จะไว้ชีวิตเจ้า ดีไหมล่ะเจ้าหนุ่ม?”
มันเอ่ยต่อเสียงดังอย่างอย่างคนที่มีกำลังเหนือกว่า
“ขอบคุณ... แต่ข้ายังไม่อับจนหนทางขนาดนั้นหรอก”
คิ้วหนาเป็นปื้นบนใบหน้าหยาบกระด้างของทิณกะกระตุกยิก ๆ ก่อนหันไปสั่งการกับสมุนของตนเสียงกราวว่า
“ฆ่ามันซะ!!...” สิ้นคำของผู้เป็นหัวหน้าเหล่าโจรร้ายทั้งหลาย ต่างพุ่งเข้าโรมรันหมายชีวิตมาณพน้อยตรงหน้าทันทีอย่างเอาเป็นเอาตาย
อมาวสีทั้งหลบทั้งโต้กลับอย่างทุลักทุเล แม้ฝีมือของนางจะพอใช้หากน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ซ้ำเพลงดาบที่อัสยุชสั่งสอนก็ใช้ไม่ได้กับคนหมู่มากที่คิดใช้วิธีหมาหมู่อย่างนี้ ดังนั้นขณะที่ชายหน้าบากกระหน่ำฟันมาที่คมดาบกล้าของนางอย่างไม่ยั้งมือและเกือบพลาดท่าเสียทีอยู่แล้วนั้น จู่ ๆ กองทหารแห่งทวารกะซึ่งโผล่มาอย่างไร้ต้นตอนั้นก็บุกเจ้าต่อกรกับโจรป่าอย่างบ้าคลั่ง พร้อมเสียงสั่งการอย่างเหี้ยมหาญของนายกองหนุ่ม
“ฆ่าพวกมันให้หมด!...”
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายจากการต่อสู้และเสียงดังเคล้งของอาวุธที่กระทบกันลั่นทิศ สลับกับเสียงร้องที่เจ็บปวดก่อนขาดใจตายของพวกโจรไพรรวมทั้งทหารหาญที่เพลี้ยงพล้ำเสียที เพียงไม่นานนักเหล่าโจรชั่วก็ถูกปราบจนสิ้นซากมีเพียงซากศพกลาดเกลื่อน และผู้ซึ่งรอดตายทว่าบาดเจ็บนั้นตอนนี้ถูกคุมตัวไว้แล้วด้วยกองทหารดังกล่าว
“ท่านนายกองขอรับ จะให้ทำเช่นไรกับศพของพวกมัน?” นายทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งเอ่ยถาม เมื่อเข้ามารายงานผู้บังคับบัญชาของตนถึงผลการต่อสู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ทิ้งเอาไว้เช่นนี้แหละ”
ว่าแล้วเขาก็ก้าวเข้าไปหาดรุณีน้อยและหญิงกลางคนผู้นั้น ซึ่งนางกำลังอยู่กับมาณพจำแลงพร้อมกับช่วยดูอาการบาดเจ็บของอมาวสีอยู่นั่นเอง
“ท่านเป็นอย่างใดบ้าง?...” ดรุณีน้อยคนเดิมเอ่ยถามอย่างร้อนใจ ขณะตรวจดูบาดแผลเป็นทางยาวบนต้นแขนซ้ายของธิดาท้าวโมฆราชอย่างกังวล
อมาวสีในร่างมาณพได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่รู้สึกปวดร้าวไปทั่วต้นแขนที่ถูกฟันนั้นยิ่งนัก เหงื่อกาฬแตกพลั่กอย่างน่าใจหาย ใบหน้าหวานคมเกินชายของนางซีดเผือดไร้เลือดฝาดอย่างน่ากลัวแทน
วิญญูมองภาพตรงหน้าอย่างไม่พอใจนัก แต่ก็เอ่ยอย่างใจเย็นว่า
“พี่ต้องขอโทษด้วยที่มารับเจ้าล่าช้าจนเกิดเหตุเช่นนี้”
ดรุณีน้อยผู้โสภาละสายตามาจากบาดแผลของชายแปลกหน้าที่กล้าเสี่ยงชีวิตมาช่วยนางไว้นั้น ก่อนจะมองไปยังญาติผู้พี่ของตนและเอ่ยตอบไปเบา ๆ
“อย่าได้เอ่ยถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วเลย รีบพาชายผู้นี้ไปรักษาตัวก่อนจะดีกว่า...”
นายกองหนุ่มมองไปที่มาณพน้อยผู้มีดวงหน้างดงามราวอิสตรีซึ่งถูกกล่าวถึงนั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะหันไปสั่งการให้ผู้อยู่ในอาณัติของตนเข้ามาช่วยพยุงอีกฝ่าย
แต่ทว่า...
“ไม่เป็นไร... ขะ... ข้ามีสหายรออยู่” อมาวสีรีบร้องห้ามเสียงหลง ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ความจริงว่านางเป็นหญิงไม่ใช่ชายอย่างที่เห็น และยังมิทันที่จะมีผู้ใดกล่าวสิ่งใดอีกชายฉกรรจ์แปลกหน้าอีกสองนายก็ก้าวเข้ามาหาพวกเขาทั้งหมดเสียก่อน ทำให้เหล่าทหารหาญต่างตั้งท่าเตรียมพร้อมและรอคอยคำสั่งนายกองของตนในทันทีเช่นกัน
“นั่นอย่างไรล่ะ นางอยู่ที่นั่น...” รามานนเอ่ยเบา ๆ พอให้อัสยุชได้ยิน ขณะก้าวนำอีกฝ่ายไปอย่างยินดี
อมาวสีถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง เมื่อสบสายตาไม่พอใจอย่างเปิดเผยของอัสยุช ด้วยรู้ดีว่าเขาจะต้องอบรมนางอีกยาวเหยียดกับเหตุการวุ่นวายของนางในครั้งนี้
“เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หลานชายท้าวติสสะเอ่ยถามเสียงเรียบ แล้วสายตาคมกริบของเขาก็เหลือบไปพบเข้ากับรอยแผลลึกเป็นทางบนต้นแขนซ้ายของนาง แววตาสีนิลที่เคยมีแต่ความสับสนระคนห่วงใยเมื่อครู่นี้แปรเปลี่ยนโกรธกรุ่นขึ้นมาทันที ชายหนุ่มมองสำรวจดูรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียงก็พบร่องรอยการต่อสู้และซากศพเกลื่อนกลาด เขาจึงกล่าวออกมาเสียงเข้มอย่างหงุดหงิดว่า
“เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นอีกแล้วรึ?”
มาณพจำแลงได้แต่ก้มหน้านิ่งอย่างสำนึกผิด แต่อัสยุชรู้ดีว่านางสำนึกได้ไม่นานนักหรอก
“ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกค่ะ หากแต่เป็นด้วยเขาต้องการช่วยข้าและมารตีเท่านั่นเอง”
ดรุณีน้อยหนึ่งเดียวในที่นั้นผู้เป็นสาเหตุของความวุ่นวายและบาดแผลของอมาวสีเอ่ยขึ้น เพราะต้องการออกตัวแทนผู้มีคุณของตน
“พูดอะไรอย่างนั้นวดีรดา...” วิญญูเอ่ยบ้างอย่างไม่เห็นด้วยและไม่ชอบที่นางจะมาออกรับแทนชายอื่นในเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดของนางคนเดียว หากแต่มันเป็นความผิดของไอ้โจรชั่วนั้นต่างหาก
“ข้าไม่ปลื้มเลยกับวีรกรรมครั้งนี้ของเจ้า...” อัสยุชกล่าวเสียงดังโดยไม่ใส่ใจต่อการถกเถียงของผู้ใดทั้งสิ้น ก่อนจะช่วยพยุงอมาวสีก้าวจากมาโดยมีรามานนตามมาติด ๆ แต่ยังมิทันจะได้พ้นไปดรุณีคนเดิมก็ร้องเรียกเอาไว้เสียก่อน
“หากพวกท่านไม่รังเกียจ ไปพักที่บ้านข้าก่อนเป็นไร?” วดีรดากล่าวโดยไม่เจาะจงว่าเอ่ยกับผู้ใด
“เพื่อตอบแทนที่ท่านช่วยข้าเอาไว้อย่างไรล่ะ” ประโยคนี้นางจำเพาะกล่าวกับอมาวสี เพราะอีกฝ่ายมองมาที่มาณพจำแลงอย่างเจาะจง
ธิดาท้าวโมฆราชได้แต่อึกอัก ก่อนจะเงยหน้ามองคนข้าง ๆ อย่างขอความเห็น ซึ่งรามานนที่ก้าวตามมาไม่ห่างชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า
“ก็ดีเหมือนกัน...” เขากันไปมองอัสยุช ซึ่งมองนิ่งมาที่ตนอยู่ก่อนแล้วเช่นกันอย่างเคืองใจในคำพูดนั้น แต่รามานนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก่อนให้เหตุผลว่า
“เจ้าก็ไม่มีอาหารกลับมาซ้ำ อมา... เอ่อ...” ศิษย์แห่งท้าวติสสะรีบกระแอมกระไอกลบเกลื่อน เมื่อเขาเกือบเอ่ยชื่ออมาวสีออกมา
“อคามีก็บาดเจ็บเช่นนี้ ข้าเองเห็นควรให้เขาได้พักผ่อนสบาย ๆ สักวัน หรือเจ้าไม่เห็นด้วยอัสยุช?”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อก้มลงมองดรุณีข้างกายก็เห็นจริงตามคำรามานน ด้วยบัดนี้หญิงสาวเสียเลือดมากจนใบหน้างามนั้นซีดขาวราวกระดาษ และดูเหมือนอมาวสีนั้นแทบจะยืนไม่ติดอยู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะมีเขาช่วยพยุงเอาไว้
“รามานน... เจ้าช่วยไปนำม้าของพวกเรามาที เราจะพาอคามีไปพักที่บ้านหญิงผู้นี้ชั่วคราว” สิ้นคำอัสยุช รามานนก็จากไปทันที
ฝ่ายอมาวสีเมื่อมิอาจทนพิษบาดแผลได้อีกต่อไปจึงทรุดฮวบลงไปทั้งยังงั้น เกือบจะไปกองอยู่ที่พื้นแล้ว หากไม่เป็นเพราะอ้อมแขนแข็งแรงของอัสยุชอ้ารับเอาไว้ได้ทันท่วงที
ชายหนุ่มอุ้มร่างบอบบางอันไร้สติของหญิงสาวขึ้นมาอย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะพาไปนั่งรอท่ารามานนอยู่บนหินใหญ่ใกล้ ๆ กันนั้น ท่ามกลางสายตาสนใจใคร่รู้ของทุกคนว่าชายทั้งสองมีความสัมพันธ์กันฉันใด คนหนึ่งนั้นบอบบางและงดงามปานรูปสลักหินอ่อน แต่อีกคนกลับองอาจกล้าแกร่งสมชายชาตรี และการปฏิบัติของชายตัวโตที่มีต่อมาณพน้อยผู้บาดเจ็บก็ดูนุ่มนวลอ่อนโยนยิ่งนัก
“เขาเป็นสหายหรือน้องชายท่านรึ?” คำถามของวดีรดา ทำให้อัสยุชละสายตาจากใบหน้าซีดเผือดของอมาวสีมาที่นาง ขณะมือหนาได้รูปปัดปอยผมที่ปกรดใบหน้าของมาณพน้อยในอ้อมแขนแผ่วเบา
“น้องชาย หากเจ้าคิดเช่นนั้น...” เขาตอบโดยมิยอมมองหน้าอีกฝ่ายนานนัก ขณะจัดการพันแผลให้อมาวสีอย่างเบามือ
ไม่นานนักรามานนก็มาถึงพร้อมด้วยม้าสามตัว และคำถามของเขาที่ว่า
“อคามียังไม่ฟื้น จะรอให้ฟื้นก่อนหรือไม่?” แทนคำตอบอัสยุชอุ้มร่างอรชรของธิดาท้าวโมฆราชก้าวไปยังม้าตัวโตนั้นทันที และคนอื่น ๆ ก็ปฏิบัติตามทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวกันให้มากความ...
“ฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?” เสียงที่ดังขึ้นใกล้ ๆ แต่ไม่คุ้นหูนั้น ทำให้ร่างซึ่งกำลังขยับรีบลืมตาขึ้นมาทันทีพร้อมกับลุกพรวดพราดขึ้นมา เป็นผลให้เจ้าของร่างถึงกับต้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด แล้วความทรงจำเกี่ยวกับราตรีก่อนก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นมาในความคิดของนางทันที อมาวสีก้มลงดูบาดแผลบนต้นแขนซ้ายแล้วก็ต้องถอนหายใจยาว ได้แต่คิดอย่างขำตัวเองนิด ๆ ว่า... นางสามารถใช้มนตราสามานแผลให้ผู้อื่นได้ แต่กับตัวเองกลับมิอาจทำได้
“อย่าเพิ่งขยับสิเจ้าคะ... เดี๋ยวแผลก็ฉีก เลือดไหลอีกดอก!” เจ้าของเสียงเดิมกล่าวสีหน้าตื่น ๆ พลางช่วยมาณพจำแลงให้ลุกขึ้นนั่ง ทั้งที่ปากก็ยังพร่ำพูดไปเรื่อยว่า
“นี่พี่ชายท่านก็เพิ่งไปพักเมื่อครู่นี้เองค่ะ”
คิ้วเรียวงามของหญิงสาวในร่างมาณพขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะเอ่ยว่า
“พี่ชาย?... ทุษยันต์น่ะรึ?”
หญิงกลางคนหันมายิ้มกับอีกฝ่าย มีอ่างน้ำและผ้าพันแผลในมือ
“ข้าไม่รู้หรอกเจ้าค่ะว่าพี่ชายท่านชื่อว่ากระไร แต่ดูเขาเป็นห่วงเป็นใยท่านเหลือเกิน เฝ้าดูอาการอยู่มิได้ห่าง” มารตีกล่าวไปยิ้มไป มือก็สาละวนอยู่กับการจัดการบาดแผลของหนุ่มน้อยตรงหน้า ซ้ำยังกล่าวอย่างเอ็นดูอีกว่า
“ช่างเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันดีจริง ๆ แต่ไม่ใคร่จะเหมือนกันสักเท่าไหร่ ดูซิเจ้าคะผิวพรรณของพี่ชายออกจะหยาบกร้านอย่างบุรุษเพศทั่วไป ผิดกับท่านผิวพรรณผุดผ่องละเอียดนุ่มราวกับอิสตรี”
เพราะความที่อีกฝ่ายมัวแต่สนใจอยู่กับกิจของตนนาง จึงไม่ทันสังเกตใบหน้ามาณพน้อยว่ามีความกระอักกระอ่วนใจเพียงใดกับวาจาของนาง ซ้ำอาการสะดุ้งตกใจของอมาวสีก็เกิดขึ้นพร้อมกับยามที่มารตีกดผ้าพันแผลหนักมือไปหน่อย ทำให้หญิงกลางคนผู้นั้นคิดเอาเองว่าธิดาท้าวโมฆราชในร่างชายนั้นเจ็บที่แผล
“เอ่อ... ก็ข้ากับเขาต่างมารดากันนี่นา...” แม้จะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรนัก แต่หญิงสาวก็จำต้องกลบเกลื่อนความเป็นสตรีของตนเอาไว้ก่อน จึงได้แต่เออออไปตามน้ำกับอีกฝ่ายเท่านั้น
เสียงบานประตูเปิดออกทำให้คนทั้งสองซึ่งอยู่ภายในห้องต่างหันไปมองยังที่มานั้นทันที รามานนเดินเข้ามาพร้อมด้วยดรุณีอีกนาง ซึ่งอมาวสีทราบภายหลังว่านางคือวดีรดา... ธิดาอดีตท่านแม่ทัพแห่งองค์ทวารกะที่ปลดระวางตัวเองกลับมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านเกิดซึ่งก็คือหมู่บ้านแห่งนี้นั่นเอง
“ท่านเป็นอย่างใดบ้าง?” นางก้าวเข้ามาใกล้อีกฝ่ายพลางเอ่ยถามอย่างห่วงใยจริงจัง ใบหน้าอ่อนหวานนั้นมีแต่ร่องรอยของความวิตกกังวลเต็มเปี่ยม
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วง” อมาวสีเอ่ยก่อนจะหันไปหารามานน
“จริงสิ... เราอยู่ที่ใดกันรามานน?”
คิ้วเข้มของชายอาวุโสกว่าเลิกขึ้นสูงก่อนตอบมาว่า
“แล้วกัน นี่เจ้ายังมิรู้อีกหรือไรว่าบัดนี้เรากำลังพักอยู่ ณ บ้านพักของอดีตท่านใหญ่แห่งทวารกะ และผู้ที่เจ้าอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยนี้ก็คือ ธิดาท่านแม่ทัพอย่างไรเล่า” เอ่ยพร้อมชี้นิ้วไปที่ดรุณีน้อยผู้งดงามนั้น ในขณะที่นางได้แต่ยิ้มเยือนอย่างขัดเขินส่งมาให้มาณพจำแลงผู้มีพระคุณเท่านั้น
อมาวสีได้แต่อืออารับรู้อย่างไม่เห็นสำคัญนัก ก่อนจะหันไปกล่าวขอบใจนางอีกครั้งที่ให้ที่พักและช่วยรักษาแผลของตน โดยมิทันสังเกตอากัปกริยาตกประหม่าของนางเลยสักนิดเดียว แต่มันมิอาจที่จะพ้นไปจากสายตาอันแหลมคมของรามานนไปได้เลย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่หลานชายอดีตแม่ทัพที่ปักใจกับวดีรดาจะสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน...
“ดูท่า ท่านก็หายดีเกือบเป็นปกติแล้วนี่นะ” วิญญูเอ่ยพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะหินศิลากลางสวนสวยภายในบ้านนั้น
อมาวสียิ้มให้อีกฝ่ายอย่างผูกมิตร แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นี้จะไม่ต้องการจึงตีหน้าบึ้งตึงอยู่เช่นเดิม นางจึงตอบกลับไปเสียงเรียบว่า
“ก็เกือบปกติดีแล้วล่ะท่าน...”
อีกฝ่ายยิ้มหยันแล้วกล่าวอีกว่า
“ก็น่าอยู่หรอก มีผู้คอยดูแลเอาใจใส่มากมายไม่ได้ห่าง”
แม้นางจะรู้สึกขัดหูชอบกลในคำพูดของเขา แต่ความสงกาในบางสิ่งทำให้ธิดาท้าวโมฆราชในร่างมาณพน้อยเลือกที่จะถามในสิ่งที่ตนข้องใจแทน
“เหตุใดในเขตเมืองเยี่ยงนี้จึงมีโจรป่าออกมาเพ่นพ่าน ซ้ำยังกล้าก่อการณ์อุกอาจเช่นนี้ด้วย?”
วิญญูหันมามองคนข้าง ๆ อย่างจับผิดก่อนเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า
“ไยเจ้าจึงสนใจในเรื่องนี้เล่า?”
“ข้าเคยได้ยินมาว่า ไม่เคยมีโจรร้ายในเขตเมืองต่าง ๆ ของแคว้นราชสถานมาก่อนมิใช่รึ?”
“กาลก่อนอาจใช่ แต่มิใช่ในยามที่ท่านแม่ทัพอัสเตยะหายสาบสูญไปเยี่ยงนี้” น้ำเสียงที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงใครอีกคนบอกให้ทราบถึงความนิยมชื่นชมของวิญญูในตัวแม่ทัพของเขาไม่น้อย และเพราะมัวแต่นึกไปไกลหลานชายอดีตแม่ทัพใหญ่จึงไม่ทันสังเกตสีหน้าลำบากใจของมาณพจำแลง ซึ่งกำลังอึกอักอย่างบอกไม่ถูกด้วยรู้สึกผิดนิด ๆ ที่มีส่วนทำให้อัสเตยะละทิ้งตำแหน่งแม่ทัพไปเช่นนี้
“ถึงอย่างไรเสียแคว้นราชสถานก็ยังอยู่ได้แม้ไม่มีเขา อย่างน้อยองค์ทวารกะก็ทรงสามารถจัดกองทหารไปปราบปรามพวกโจรร้ายได้”
อีกฝ่ายหัวเราะในลำคออย่างสมเพช
“หึ... กองโจรมีมากกว่าดอกเห็ด ปราบได้หนึ่งก็มีขึ้นมาอีกสอง” เขาหันมามองคู่สนทนานิดหนึ่ง แล้วเอ่ยสืบไปว่า
“ครั้งท่านแม่ทัพยังอยู่พวกโจรป่าต่างเกรงกลัว แต่พอข่าวการหายสาบสูญของเขาแพร่ออกไป ทั่วราชสถานต่างเต็มไปด้วยพวกโจรร้าย... จริงสิ... พวกเจ้าเดินทางโดยมิเกรงอันตรายใด ๆ เช่นนี้คิดจะไปยังที่ใดกันรึ?”
ใบหน้าของชายหนุ่มจ้องเขม็งมาอย่างจับพิรุธ ในขณะที่อมาวสีได้แต่อึกอักด้วยนางไม่รู้ควรตอบออกไปตามตรงหรือไม่ แลอีกประการคือนางไม่รู้ว่ารสาตลตั้งอยู่แห่งหนตำบอลใดในแผ่นดินนี้ด้วยนั่นเอง แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะตอบออกมาเบา ๆ ว่า
“เราจะไปยังรสาตล...”
คำตอบที่ได้รับทำให้คิ้วหนาได้รูปของวิญญูขมวดพันกันยุ่งอย่างสงกา
“รสาตลรึ?... ไยข้ามิเคยได้ยินชื่อเมืองนี้มาก่อนเลย”
ธิดาท้าวโมฆราชได้แต่อึ้งไปกับคำพูดที่แฝงมาคล้ายคำถามนั้น และขณะที่มาณพจำแลงกำลังคิดใคร่ครวญว่าจะตอบชายหนุ่มผู้นั้นว่าอย่างไรดี จู่ ๆ เสียงทุ้มลึกของใครคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า
“มันก็แค่หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เป็นบ้านเกิดของข้าก็เท่านั้น” ร่างสูงสง่าราวพยัคฆาของอัสยุชก้าวเข้ามาใกล้คนทั้งสองในอาการไม่รีบร้อนนัก ปากก็ยังเอ่ยไปเรื่อยเนิบนาบว่า
“ไม่มีอะไรพิเศษ... จึงไม่น่าแปลกที่จะมิมีผู้ใดรู้จักมัน”
“เช่นนั้นหรอกรึ?” วิญญูรับคำเสียงเรียบ แม้ในใจจะไม่เชื่อในถ้อยวาจาของชายผู้มาใหม่เลยก็ตาม หากเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากนิ่งเงียบเท่านั้น
ดวงตาสีนิลกาฬของอัสยุชจดจ้องนิ่งแน่วชายตรงหน้า ก่อนละมาอย่างไม่ใส่ใจ หลานชายท้าวติสสะหันไปกล่าวกับอมาวสีบ้างว่า
“ข้าคิดว่าถึงเวลาที่เราจะต้องออกเดินทางแล้ว”
“เดี๋ยวนี้รึ?” ดรุณีผู้อยู่ในร่างมาณพถามน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อยในความรีบร้อนนี้ ด้วยพวกตนเพิ่งเข้ามาพักที่นี่ได้ไม่กี่วันเท่านั้น ทว่าความไม่ยี่หระหรือแม้แต่จะไม่มีสัมมาคารวะต่อผู้ใดของอัสยุช ก็ทำให้อมาวสีนิ่งเงียบไปอย่างไม่ใส่ใจนักกับคำถามของตน
แต่แล้วน้ำเสียงก้ำกึ่งระหว่างประชดประชันและขุ่นเคืองของวิญญูก็ดังขึ้นมาเสียก่อนว่า
“ดูท่าน้องชายท่านจะยังมิอยากจากไปกระมัง” กล่าวจบชายผู้เป็นเจ้าของคำพูดก็ลุกจากไปทันทีท่ามกลางความฉงนใจของอมาวสี ความรู้สึกของนางยามนี้ไม่ต่างอะไรกับผู้ซึ่งมายืนอยู่หน้าเจ้าแห่งความลับถึงสองคนด้วยกัน แม้คนหนึ่งนั้นเอาแต่อมยิ้มกวนโมโหอยู่ก็ตามที หญิงสาวหันขวับมามองที่อัสยุชบ้างอย่างต้องการคำตอบ ในพฤติกรรมแปลก ๆ ที่วิญญูแสดงออกต่อนางว่ามันหมายความว่าอย่างใด...
ความคิดเห็น