ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อมาวสี...ปฐมภาคมณีมนตรา(ลิขิตมา)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 15 ธ.ค. 49


    บทนำ...

     

    โมฆราชราชันย่างพระบาทกลับไปกลับมาหน้าบรรจถรณ์ไสยาสน์ซึ่งมีเหล่าเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่รายล้อมอยู่เบื้องพระพักตร์ด้วยพระทัยที่ร้อนรุ่มกระวนกระวายยิ่ง...

    พระเจ้าข้า... ขอพระองค์โปรดอย่าได้ทรงปริวิตกกังวลไปเลย ข้าหม่อมฉันเห็นควรแล้วเมื่อแพทย์หลวงกัณตะได้เฝ้าดูพระอาการของพระนาง  ฉะนั้นแลขอพระองค์ทรงวางพระทัยเถิดพระเจ้าค่ะ...”

    มหาอำมาตย์ผู้มากด้วยคุณวุฒิ และวัยวุฒิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นความวิตกกังวลของเจ้าชีวิตแห่งตน...

    ท้าวโมฆราชย่างพระบาทกลับมา ณ หน้าบรรจถรณ์ไสยาสน์อีกครั้งพร้อมรับสั่งอย่างมิวางทรงพระทัยว่า

    เราอยากเข้าไปดูด้วยตาต้นเองว่าโรดิยาเป็นเช่นไรหากแม้นไม่มีราชประเพณีขวางกั้นเอาไว้เยี่ยงนี้ตรัสพลางพระเนตรก็เมียงมองไปยังพระทวารรอท่านางข้าหลวงที่จะออกมาถวายรายงานแก่พระองค์ พระกรรณก็คอยสดับเสียงร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดเหลือคณาของพระชายาอย่างทรงเห็นใจยิ่งนัก...

    ดำริชอบแล้วพระเจ้าข้า...” สิ้นคำอำมาตย์เฒ่านางข้าหลวงก็เปิดประตูห้องบรรทมออกมาคุกเข่าถวายรายงานต่อจอมราชาในทันใด

    ข้าแต่ราชัน... อีกไม่กี่เพลาดอกเจ้าข้า พระองค์ก็จะทรงได้พระโอรส-พระธิดามาชื่นชมนางข้าหลวงผู้นั้นกล่าว

    เช่นนั้นเจ้าจงรีบเข้าไปดู และรีบกลับออกมาบอกแก่ข้าว่าลูกข้าเป็นหญิงหรือเป็นชายรับสั่งอย่างสมพระราชหฤทัย เหล่าข้าราชบริพารต่างปิติยินดีโดยทั่วหน้า

    อุแว้!...” เสียงทารกน้อยร้องจ้าสร้างความปราโมทย์แก่องค์โมฆราชยิ่งนักในพระทัยยามนี้มีแต่ความยินดีปรีดายิ่ง แต่แล้วเหตุวิปโยคอันไม่บังควรก็อุบัติขึ้นมาโดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนหน้านี้เลย!... แม้แต่ปุโรหิตผู้จอมเวทย์เช่นปิงคิยะก็มิอาจทำนายล่วงหน้าได้ว่าจักมีเหตุการณ์ประหลาดล้ำเยี่ยงนี้

    ท้องฟ้าเบื้องบนที่เคยสาดแสงแรงกล้าด้วยสุริยาทิตย์บัดดลผันเปลี่ยนมืดมนอลธการดุจรัตติกาลในทันใด!... เสียงดังระเบ็งเซ็งแซ่ของผู้คนที่ร้องป่าวตีเกราะเคาะไม้ดังกึกก้องทั่วพาราส่งให้ท้าวโมฆราชย่างพระบาทไปยังพระบัญชรเบื้องพระพักตร์เพื่อทอดพระเนตรเหตการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายนอกเขตราชวังแห่งท้าวเธอพร้อมด้วยเหล่าข้าราชบริพารน้อยใหญ่อย่างสนพระทัย

    แล้วพระองค์ก็ให้ทรงตกพระทัยยิ่งนักเมื่อพระสุริยะที่เคยฉายส่องกลับถูกบดบังให้มัวหมองด้วยราหูจนสิ้น ภาพที่ทรงทอดพระเนตรเห็นนั้นสร้างความหนักพระทัยให้แก่ราชันผู้ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ ในขณะที่ท้าวเธอเฝ้าครุ่นคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องพระพักตร์อยู่นั้นมหาดเล็กซึ่งเฝ้ายามหน้าพระตำหนักก็เข้ามากราบทูลต่อพระองค์ว่า

    บัดนี้ปุโรหิตปิงคิยะพร้อมด้วยศิษย์เอกทั้งห้า โคตมะ กณาท กบิล ปตัญชลี และวยาส ได้มาถึงและรอเข้าเฝ้าอยู่หน้าพระตำหนักแล้วพระเจ้าค่ะ

    องค์โมฆราชสดับเช่นนั้นจึงรับสั่งให้หาปุโรหิตเฒ่าและศิษย์ทั้งห้าทันที มหาดเล็กคนเดิมจึงกลับออกไปเพื่อเชิญคนทั้งหกให้มาเข้าเฝ้าตามกระแสรับสั่งอีกครั้ง... ในระหว่างที่ทรงรอคอยการมาของคนทั้งหกอยู่นั้นนางข้าหลวงซึ่งเพิ่งหายเข้าไปภายในห้องพระบรรทมก็กลับออกมาอีกครั้งพร้อมกับถวายรายงานว่า

    ฝ่าพระบาทเพคะ!... พระอัครมเหสีมีพระประสูติการถวายพระราชธิดาแก่พระองค์ ทรงมีพระสิริโฉมและพระวรกายครบถ้วนบริบูรณ์ดีทุกประการเพคะ...”

    โมฆราชเจ้าทรงรับฟังได้แค่เพียงนั้นปุโรหิตเฒ่า และเหล่าศิษย์เอกก็เข้ามาถึงพร้อมกับก้มลงถวายพระพรต่อเจ้าชีวิตแห่งตนอย่างพร้อมเพรียง

    ท่านปุโรหิตเห็นจะมาด้วยเรื่องคราสที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้กระมัง?”

    องค์ราชันรับสั่งถามอย่างทรงรู้ใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดีเมื่ออาจารย์ และศิษย์ทั้งหกถวายบังคมเสร็จสิ้น

    พระเจ้าข้า...” ปุโรหิตเฒ่าผู้มีผมสีดอกเลาขาวโพลนไปทั้งศีรษะร่างกายแก่ชราจนแทบจะยืนอยู่ไม่ไหวต้องอาศัยแรงพยุงของผู้เป็นศิษย์เอ่ยออกมาน้ำเสียงแหบพร่าสั่นเครือตามอายุขัย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล และกระอักกระอ่วนใจอยู่ใช่น้อยเลยที่เดียว

    ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด... ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้วอันพระราหูกลืนกินสุริยาทิตย์เช่นนี้ถือเป็นลางบอกเหตุที่ไม่สู้ดีนัก หากแม้คราสเกิดทางทิศเหนือเหตุร้ายจะอุบัติแก่พราหมณ์ ทิศทักษิณนั้นได้แก่นักรบผู้ใช้อาวุธ และครานี้ราหูอุบัติขึ้นทางทิศตะวันออกผู้รับเคราะห์คือกษัตริย์ซึ่งหม่อมฉันเกรงว่าเหตุการณ์ครานี้จะเป็นลางร้ายต่อพระองค์พระเจ้าข้า... ” พราหมณ์เฒ่าหยุดนิ่งด้วยเกรงอาญาจากท้าวเธอก่อนกล่าวสืบไปว่า

    แม้หากพระราชธิดาประสูติในวาระอื่นนั้นนับเป็นศุภนิมิตอันดี แต่คราสที่อุบัติขึ้นบังสุรีย์ศรีให้มืดมิดทั้งดวงเช่นนี้ตามตำรามีคำทำนายไว้ว่า... ผู้ครองแคว้นที่ยิ่งใหญ่จะถูกปราบบ้านเมืองที่มั่นคงจะตกถึงคราววิบัติ ชั่วแต่สุริยะถูกบังจนมิดทั้งดวงทำให้กาลต่อไปบ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขเช่นเดิม

    ถ้อยคำของคนตรงเบื้องพระพักตร์สร้างความร้อนพระทัยให้แก่จอมกษัตริย์ยิ่งนัก

    เช่นนั้นแล้วเราควรทำประการใดดี?”

    พระพรหมเป็นผู้สร้าง การณ์ต้องเป็นไปตามนั้นมิอาจฝืนลิขิตได้... ขออย่าได้ทรงปริวิตกไปเลยพะย่ะค่ะ ปิงคิยะกราบทูลท้าวเธอเพื่อให้พระองค์ทรงคลายพระทัยแม้พราหมณ์เฒ่าเองจักมิแน่ใจในคำพูดของตนนักก็ตามที...

     

    ไตรมาสผ่านพ้นไป

    ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า!... บัดนี้คนของพระอนุชาบุกเข้ามาถึงเขตพระราชฐานชั้นในแล้วพระเจ้าข้า!...” มหาดเล็กเข้ามาถวายรายงานต่อองค์โมฆราชหน้าตาตื่น

    บัดนี้พระองค์ประทับอยู่ ณ ห้องบรรทมอย่างมิรู้ควรทำเช่นไร ท้าวเธอทรงนึกไม่ถึงเลยว่าคำทำนายของปิงคิยะจักร้ายแรงและเกิดขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ทั้งที่เจ้าตัวได้ตายจากไปด้วยวัยชราแล้วก็ตามที และผู้ที่ทำให้มันเกิดขึ้นก็คือ เจ้าชายนันทะพระอนุชาในพระองค์นั่นเอง เจ้าชายนันทะแอบซ่องสุมผู้คนไว้หมายคิดการกบฏแม้พระองค์เองก็มิได้ทรงระแคะระคายแต่อย่างใด... องค์ราชันดำริแล้วก็ได้แต่อับจนหนทางเพราะทรงรู้ดีว่าถูกล้อมกรอบเอาไว้แล้วทุกด้านยากที่จะตอบโต้กลับได้ในยามนี้

    เสียงต่อสู้ประดาบ เสียงอาวุธกระทบกันด้านนอกพระตำหนักยิ่งบาดลึกเข้าไปในหทัยของท้าวเธอ ทรงทอดพระเนตรพระราชธิดาน้อยที่นิทราสนิทแนบในอ้อมกรของพระมารดาก็ให้เวทนานักยังไม่ครบชันษาด้วยซ้ำกลับต้องมาสิ้นชีวาเสียแต่ยังเล็ก ทอดพระเนตรเวียงวังที่เคยประทับความอดสูละอายพระทัยต่อบรรพกษัตริย์ก็อุบัติขึ้นมาอย่างมิอาจทรงห้ามได้ โมฆราชราชันย่างพระบาทไปยังแท่นบรรทมพลางทรงเอื้อมพระหัตถ์อันสั่นเทาไปหยิบมณีมนตราหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์แล้วดำเนินตรงมายังปัญจเวททั้งห้าผู้เป็นศิษย์เอกแห่งปุโรหิตปิงคิยะอย่างทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาด

    โคตมะ กนาท กบิล ปตัญชลี และวยาส... เราขอมอบอมาวสีพร้อมด้วยมณีมนตราให้พวกเจ้ารักษาดูแลเอาไว้จวบจนถึงกาลอันควรจงมอบมันแก่ลูกของเรา

    ตรัสพลางยื่นมณีมนตรา และพยักพระพักตร์ให้พระมเหสีคนงามมอบพระราชธิดาน้อยให้โคตมะอุ้มเอาไว้ แล้วจึงรับสั่งให้ทั้งห้ารีบหลบหนีไป

    เกล้าหม่อมฉันขออยู่ถวายอารักขาจวบจนชีวิตจักหาไม่พระเจ้าข้า!...” โคตมะกล่าวขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว และตั้งใจมั่น แล้วปัญจเวททั้งสี่ที่เหลือต่างก็ร้องรับเป็นเสียงเดียวกัน

    เหลวไหล!!... พวกเจ้าลืมหน้าที่อันแท้จริงไปแล้วรึ?!” ทรงตวาดกลับแม้จักทรงรู้ซึ้งในน้ำใจของผู้รับใช้แห่งตนเป็นอย่างดีก็ตามที

    คำทำนายของปิงคิยะแม่นยำเสมอ... และเราเชื่อว่าเมื่อถึงยามนั้นลูกของเราก็จะได้กลับคืนเศวตฉัตรตามเดิม ด้วยขัตติยราชควรแล้วรึที่เราจะหนีเอาตัวรอดทิ้งราชบัลลังก์ไว้เบื้องหลังให้พวกกบฏได้ยึดครองอย่างสมใจ!” ท้าวเธอตรัสด้วยสุรเสียงหนักแน่นสมเป็นราชนิกุล

    รีบไปซะ!... แค่พวกเจ้าปกป้องคุ้มครองอมาวสีเท่าชีวิตเราก็จักไม่ลืมน้ำใจไปชั่วชีวิตนี้เลย

    ถ้อยรับสั่งนั้นสร้างความหนักใจให้แก่ทั้งห้ายิ่ง ปัญจเวททั้งห้าละล้าละลังมิกล้าตัดสินใจประการใดให้อัดอั้นตันใจยิ่ง ห่วงพระธิดาองค์น้อยก็แสนห่วง ห่วงเจ้าชีวิตแห่งตนนั้นยิ่งกว่าชีวิตแต่หากแม้นหมายรบพุ่งกับ  ศตรูในยามที่ไร้ซึ่งกำลังเช่นนี้ก็จะมีแต่ผลเสียคิดได้ดังนั้นทั้งหมดจึงจำใจต้องปฏิบัติตามรับสั้งนั้นอย่างจำใจ

    โคตมะนำปัญจเวททั้งหมดถวายบังคมลาท้าวโมฆราชด้วยน้ำตานองหน้าก่อนจะหลบเร้นออกจากห้องบรรทมด้วยเส้นทางลับแล้วเล็ดลอดออกไปตามทางใต้ดินซึ่งคุมขังนักโทษแผ่นดินจนกระทั่งล่วงไปถึงสุสานท้ายพระราชวัง

    องค์โมฆราชทอดพระเนตรพระพักตร์อัครมเหสีแห่งตนก็ทรงรันทดพระทัยนักได้แต่ทรงปลอบประโลมพระนางแต่เพียงอย่างเดียว ยิ่งทอดพระเนตรเห็นพระนางร่ำไห้ปานว่าจะขาดใจที่ต้องตัดพระทัยละทิ้งพระราชธิดาน้อยให้ห่างอกผู้เป็นแม่แต่ยังเยาว์เช่นนี้พระองค์ก็ยิ่งโศกาอาดูรยิ่ง

    พระบดีเจ้าหม่อมฉันเป็นห่วงอมาวสีเหลือเกินเพคะ...”

    พระนางโรดิยาตรัสสุรเสียงสั่นเครือสะท้อนหทัยพระสวามีนักด้วยพระองค์ก็ทรงรู้สึกมิต่างจากพระนางเลยแม้แต่น้อย แต่ก่อนที่ท้าวเธอจะทันได้รับสั่งสิ่งใดออกมาเหล่าทหารกล้านับสิบนำโดยพระอนุชาผู้โอหังก็บุกเข้ามาถึงห้องพระบรรทมของทั้งสองพระองค์เสียแล้ว

    ถวายบังคมพระเจ้าค่ะเจ้าพี่...” เจ้าชายนันทะกล่าวขึ้นอย่างสมใจพร้อมกับใช้สายพระเนตรสังเกตการณ์ไปรอบ ๆ ห้องบรรทมเมื่อทหารในอาณัติของพระองค์จับกุมข้าราชบริพาร และเสนาอำมาตย์ชั้นผู้ใหญ่ไว้ได้แล้วขณะนี้...

    แล้วนี่หลานไปไหนเสียล่ะพระเจ้าข้า?...” รับสั่งถามทั้งที่ไม่ต้องการคำตอบก่อนจะทอดพระเนตรไปยังแม่ทัพสินธุคามซึ่งกำลังก้าวเข้ามาพร้อมด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในมือเพื่อนำมามอบถวายแด่ท้าวเธอ องค์โมฆราชทอดพระเนตรเห็นดังนั้นก็ให้เดือดดาลในพระทัยนัก

    สินธุคาม!... เราไม่นึกเลยว่าเจ้าจะร่วมมือกับนันทะทำร้ายเราผู้ซึ่งชุบเลี้ยงเจ้ามาเยี่ยงนี้!”

    นกยังรู้จักเลือกไม้ทำรังไฉนเลยหม่อมฉันจะไม่รู้จักเลือกนายเล่าพระเจ้าข้าแม่ทัพสินธุคามเอ่ยออกมาอย่างเฉยเมยไม่สนใจผู้ซึ่งยืนตัวสั่นเทิ้มด้วยเพลิงโทสะที่กลั้นเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์ตรงหน้า

    พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร วาลวิชนี และฉลองพระบาททุกอย่างอยู่ครบ...

    แล้วมณีมนตราของคู่บ้านคู่เมืองหายไปไหน?!...”

    ประโยคหลังนี้พระอนุชาโฉดหันพระพักตร์มารับสั่งถามแม่ทัพคนสนิทซึ่งอีกฝ่ายก็มิอาจให้คำตอบที่ถูกพระทัยต่อเจ้าชายนันทะได้ด้วยมณีมนตราอันเป็นของล้ำค่าคู่บ้านคู่เมืองทำให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองมานับพันปีมิได้อยู่รวมกันกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์อื่น ๆ เจ้าชายนันทะสาวพระบาทเข้าไปใกล้พระเชษฐาและพระพี่นางอย่างมิพอพระทัยสีพระพักตร์ แววพระเนตรนั้นวาววามอย่างมาดร้าย

    เจ้าพี่ทรงทราบใช่ไหมพะย่ะคะว่ามณีมนตราอยู่ที่ใด?”

    ตรัสพลางทอดพระเนตรไปรอบ ๆ อย่างทรงค้นหาอะไรบางอย่างก่อนที่สายพระเนตรอย่างคนฉ้อฉลจะกลับมาหยุดอยู่ที่พระพักตร์ของสองกษัตริย์ซึ่งถูกจองจำตรึงติดไว้บนพระแท่น

    จริงสิ!... หม่อมฉันยังไม่เห็นหลานเลยนับแต่เข้ามาที่นี่... หลานไปไหน!”

    ประโยคสุดท้ายทรงตรัสอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับจักย้ำให้ทั้งสองพระองค์ทรงตระหนักถึงผลที่จะตามมาหากไม่ทรงยอมตอบข้อซักถามแต่โดยดี... แต่มีหรือที่ขัตติยราชตระกูลเยี่ยงองค์โมฆราชจะหวั่นเกรงพระองค์กลับประทับนิ่งมิยอมรับสั่งสิ่งใดออกมาแม้เพียงคำเดียว แล้วผลที่ตามมาก็คือ... เจ้าชายนันทะทรงเอื้อมพระหัตถ์มาพร้อมกับกระชากข้อพระกรของพระนางโรดิยามาจากท้าวเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าพระองค์จักทรงทำการณ์ใดได้

    พระบดีเจ้า!...”

    โรดิยา!...” องค์โมฆราชตรัสเรียกพระชายาคู่ทุกข์อย่างทรงตกพระทัยแทบจะพร้อม ๆ กับเสียงร้องอันเจ็บปวดที่ออกจากโอษฐ์พระนาง

    โอ๊ย!...” เมื่อทรงถูกแรงบีบจากนิ้วพระกรของเจ้าชายนันทะบีบรัดแน่น

    หม่อมฉันทราบดีว่าเจ้าพี่มิกลัวเกรงที่จักถูกทำร้ายพระวรกาย... แต่พระองค์จะทรงทนได้หรือที่พระพี่นางจักต้องมาเจ็บตัวเพราะการณ์นี้?...” อนุชาจอมโกงแย้มโอษฐ์อย่างเป็นต่อพร้อมกับชักดาบของพระองค์ออกจากฟักมาจ่อที่พระศอของพระอัครมเหสีในองค์โมฆราชในขณะที่ท้าวเธอได้แต่ทรงตะลึงมองภาพเบื้องพระพักตร์พระนางโรดิยาก็ทรงรับสั่งขึ้นว่า

    พระภูมี!... หม่อมฉันเป็นข้ารองบาทสมควรแล้วที่จักตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณ...” รับสั่งทั้งพระอัสสุชลถ้อยรับสั่งต่อมาจึงกระท่อนกระแท่นแฝงสุรเสียงร้าวรานเป็นที่สุด...

    หะ... ห่วงก็แต่ลูกหญิงอมาวสีเท่านั้น... ขาดแม่ซ้ำยังมาขาดพ่ออีกคน เกิดชาติหน้าฉันใดขอให้หม่อมฉันได้ถวายรับใช้ด้วยเถิด...”

    แล้วพระมเหสีคนงามก็กุมหัตถ์ที่ถือดาบอันคมกล้าของเจ้าชายนันทะออกแรงบั่นพระศอของพระนางเองในทันใด!... แม้เจ้าชายนันทะจะทรงทันเห็นเหตุการณ์นี้แต่มันก็สายไปเสียแล้ว.. ไม่มีผู้ใดจะทัดทานเหตุอันน่าสลดครั้งนี้ไปได้ ท่ามกลางสายตาที่ตะลึงงันของทุกคนในที่นั้นพระโลหิตแดงฉานไหลรินอาบทั่วภูษาสีทองส่งให้พระนางทรงสิ้นพระทัยสู่สวรรคาลัยในบัดดล!...

    ทุกคน ณ ที่แห่งนั้นต่างมองดูภาพแสนอนาถตรงหน้าอันไม่คาดคิดด้วยความรู้สึกหลากหลาย แต่ใครเล่าจะรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสา และสูญเสียมากไปกว่าองค์โมฆราชในยามนี้... เศวตฉัตรราชบัลลังก์ เวียงวัง ธิดาน้อย และเมียรักสูญสิ้นไปในวันเดียว

    เจ้าพี่ก็ทรงเห็นแล้วว่าผลลัพธ์ของการขัดขืนมันเป็นเช่นไร... ทรงยอมจำนนเสีย และบอกมาว่ามณีมนตราอยู่ที่ใดเรื่องเศร้าเช่นนี้จักได้ยุติลงเสียที!” เจ้าชายนันทะรับสั่งอย่างมิรู้สึกรู้สมแต่อย่างใดต่อเหตุการณ์ที่อุบัติขึ้นตรงหน้า

    ผิดแล้วนันทะ... เจ้าไม่เคยเลยที่จะรู้จักเรา...” สุรเสียงแห่งองค์โมฆราชสั่นเครือตามแรงพระอารมณ์

    และแม้แต่ตัวเจ้าเองเจ้าก็ยังมิรู้และหาได้เข้าใจในตัวเองไม่ เรื่องเศร้าเช่นนี้หาเกิดขึ้นไม่หากแม้นเจ้าไม่คิดก่อการขบถ!”

    โมฆราชราชันย่างพระบาทไปยังร่างไร้วิญญาณของพระมเหสีคู่ยากด้วยพระวรกายที่สั่นสะท้านพร้อมกับคุกพระชงฆ์ลงข้างพระศพผู้เป็นชายาแล้วตะกองกอดร่างที่จมอยู่บนกองเลือดนั้นอย่างทรงอาลัยรักปริ่มว่าจะขาดใจ... รับสั่งทั้งสุรเสียงแหบพร่าสั่นเครือน้ำพระเนตรเอ่อท้นแต่ด้วยขัตติยราชจึงมิอาจให้มันหลั่งรินได้...

    เจ้าคนชั่วช้า!... เอาสิ หากเจ้าคิดสังหารข้าก็เชิญลงมือได้ แม้นหมายบังคับขู่เข็ญหรือตะล่อมถามถึงแหล่งที่ซ่อนมณีมนตราจากข้านั้นอย่าหวัง!”

    เจ้าชายนันทะได้สดับก็ให้โกรธายิ่ง นึกอยากจะบั่นคอมันให้ดับดิ้นสิ้นชื่อเสียเดี๋ยวนั้น แต่เพราะยังไม่ได้มณีมนตรามาไว้ในครอบครองทำให้พระองค์ยังทรงลังเลพระทัยมิกล้าทำสิ่งใดลงไปในยามนี้

    เอามันไปขังคุกใต้ดิน!... ดึงแขนแยกขามันออกจนกว่ามันจะยอมบอกที่ซ่อนมณีมนตราแก่ข้า...” องค์นันทะรอจนทหารนำตัวองค์โมฆราชจากไปจึงหันมารับสั่งกับแม่ทัพคนสนิทว่า

    สินธุคามเจ้าจงนำกำลังบางส่วนออกค้นหารอบ ๆ เมือง!... แม้พวกมันพาหลานข้าหลบหนีไปก็คงไปได้ไม่ไกลนัก และข้าเชื่อว่ามณีมนตราจักต้องอยู่กับนังเด็กน้อยนั่นอย่างแน่นอน!... ”

    สิ้นคำบัญชาสินธุคามก็หายลับไปพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งทันที...

    ในที่สุดข้าก็ได้ทุกอย่างมาครอบครอง หึ หึ... จักเหลือก็แต่มณีมนตราเท่านั้น แต่อีกไม่นานหรอกมันก็จะเป็นของข้าแล้ว หึ หึ หึรับสั่งกับองค์เองพร้อมกับทรงพระสรวลเสียงดังก้องอย่างสมพระราชหฤทัย....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×