ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
คฤหาสน์กาญจนเวช กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ตะรนา
ฟลายด์พบกันหญิงสาววัยกลางคน ผิวค่อนข้างขาว อวบเล็กน้อย และใบหน้าของเธอก็เริ่มมีร่องรอยของวันเวลาขึ้นประปราย
“สวัสดีค่ะ”ฟลายด์ทำความเคารพพลางนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ตรงข้ามกับที่หญิงคนนั้นนั่งอยู่
“สวัสดีจ้ะ”หญิงคนนั้นรับไหว้
ฟลายด์รู้สึกว่าผู้หญิงคนที่นั่งตรงหน้าเป็นคนที่ดูใจดี และน่าเชื่อถือจากน้ำเสียงและท่าทาง
“คุณแม่ของหนูคงบอกเรื่องฉันแล้วนะ ฉันเลียนจ้ะ อ่อ...ป้าเลียนก็ได้ แต่ไม่ค่อยชอบคำว่าป้าเลย”
“ค่ะ ฟลายด์ค่ะ”ฟลายด์ยิ้ม “งั้นเรียกน้าเลียนไหมคะ”
“โอ้ย เดี๋ยวขี้กลากจะพานขึ้นหัวคนแก่เอา ป้าเถอะ”
ฟลายด์หัวเราะขึ้นพร้อมๆกับเลียน
“แล้วคุณแม่บอกฟลายด์เรื่องอะไรแล้วบ้างล่ะ”
“ก็เรื่องที่คุณป้าจะมาคุยเรื่องเรียนต่ออะไรประมาณนี้แหละค่ะ”
“งั้นก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังสินะ”
“ยังเลยค่ะ”
“ป้าจะอธิบายให้ฟลายด์ฟังก็แล้วกันนะ”
“ดีค่ะ”
“เอาล่ะ ฟลายด์คงต้องเปิดใจให้เชื่อป้าหน่อยนะ เพราะเรื่องที่ป้าจะพูดมันอาจจะเหลือเชื่อนะ แต่...ป้าบอกได้แค่ว่าป้าไม่ได้กำลังโกหกฟลายด์”
“คะ?”ฟลายด์ไม่เข้าใจที่เลียนพูดเท่าไหร่
“เอาเป็นว่า อันดับแรก...ฟลายด์ต้องเชื่อก่อนนะว่าดินแดนที่มนุษย์เราสามารถอยู่ได้ไม่ได้มีแค่เพียงโลกที่เห็นเท่านั้น”
ฟลายด์พยักหน้าเบาๆเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังฟังอยู่
“เริ่มเลยแล้วกันนะ ค่อยๆฟัง” เลียนเริ่มขยับตัวเพื่อปรับท่านั่งให้สบายมากขึ้น จากนั้นเธอก็เริ่มต้นพูดเสียยืดยาว
“เมื่อนานมาแล้วมนุษย์มีสองกลุ่ม คือ ธะรมา และ ตะรนา ทั้งสองกลุ่มนี้เคยอยู่ด้วยกัน ธะรมาจะประกอบด้วยทั้งพวกสวราคา และ พวกตนาเองา ส่วนตระนามีแต่พวกตนาเองา
พวกสวราคาคือพวกมีพรจากสรวงสวรรค์ ส่วนตนาเองาคือพวกที่มีไม่มีพรจากสรวงสวรรค์
มีคนว่ากันว่า พวกสวราคานั้นสืบเชื้อสายมาจากปวงเทพบนสวรรค์ที่เริ่มเบื่อกับชีวิตที่แสนสบายเบื้องบน จึงมีการ...อาจเรียกได้ว่าการย้ายถิ่นฐานของเทพกลุ่มหนึ่งลงมาบนแดนมนุษย์หรือแดนของพวกตระนาในตอนที่มนุษย์ได้เริ่มมีอารยธรรมบ้างแล้ว และวิถีชีวิตของมนุษย์และเทพก็ดำเนินร่วมกันมาเรื่อยๆโดยเทพต้องละทิ้งความเป็นอมตะ แต่สิ่งที่เทพยังคงอยู่คือพรสวรรค์ต่างๆที่มนุษย์ธรรมดาหามีไม่
กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่หัวหน้าของทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง ธะรมาจึงทำการใช้พรสวรรค์ขั้นสูงของตนที่มีอยู่ หรือเรียกอีกอย่างว่าพลังเวทย์ทำให้โลกเกิดดินแดนที่ซ้อนทับกัน คือ ก่อนหน้านั้นโลกจะมีขนาดใหญ่กว่านี้สองเท่า และเวทย์ขั้นสูงก็ได้แบ่งโลกทั้งหมดให้เป็นดินแดนสองส่วนที่ซ้อนทับกันอยู่ โดยโลกทั้งสองก็จะมีบางจุดที่เชื่อมต่อกัน จากนั้นธะรมาจึงทำการย้ายถิ่นฐานครั้งยิ่งใหญ่สู่ดินแดนที่ซ้อนทับอีกแห่งหนึ่ง ในกลุ่มที่ย้ายเข้ามาโลกธะรมานั้นก็มีกลุ่มสวรคาทั้งหมดซึ่งมีความเห็นตรงกับผู้นำของตน รวมถึงตนาเองาบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับผู้นำของตนก็ย้ายเข้ามาอยู่ในโลกที่ซ้อนทับอีกแห่ง โดยข้อแม้มีอยู่ว่า ถ้าตนาเองามาอยู่ในโลกนี้และห้ามกลับไปโลกเก่า ทำให้โลกทั้งสองขาดการติดต่อกันไปอย่างสิ้นเชิง แต่ที่ค่อนข้างจะไม่ยุติธรรมก็คือ...สวราคาบางส่วนที่มีพรสวรรค์ในการข้ามไปมาระหว่างจุดเชื่อมต่อนั้นสามารถข้ามกลับไปมาระหว่างโลกทั้งสองได้อย่างง่าย และบางส่วนก็ได้ไปก่อปัญหามากมายในโลกตะรนาทำให้กลุ่มสวราคาได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการข้ามกลับไปมาโดยขาดการอนุญาตเกิดขึ้น
ช่วงแรกๆนั้นการข้ามไปมาระหว่างสองโลกมีอัตราการลดลงสูงมาก แต่ผ่านมาไม่กี่ร้อยปีพวกราชวงศ์ชั้นสูงหรือกลุ่มกษัตริย์ที่มีอำนาจในการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆบางส่วนเริ่มต้องการที่จะข้ามกลับไปมา ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นเริ่มผลักดันให้เกิดกฎใหม่ขึ้นมาซึ่งสะดวกสำหรับพวกเขามากคือ ราชวงศ์ชั้นสูงสามารถข้ามกลับไปมาระหว่างโลกทั้งสองได้ เพียงแค่แสดงหลักฐานว่าตนเป็นราชวงศ์ชั้นสูงของอาณาจักรใดที่จุดเชื่อมต่อเท่านั้นก็สามารถข้ามได้อย่างง่ายดาย ส่วนพวกที่ไม่ใช่ราชวงศ์ชั้นสูงนั้นก็ยังคงเหมือนเดิมจนถึงปัจจุบันคือ ถ้าต้องการข้ามจุดเชื่อมจะต้องให้กษัตริย์ในทุกๆอาณาจักรรวมกันแล้วเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของจำนวนอาณาจักรทั้งหมดเซ็นอนุญาต ซึ่งยุ่งยากมากเลยทำให้เกือบร้อยละร้อยของคนที่ใช้จุดเชื่อมนั้นเป็นพวกราชวงศ์ชั้นสูง ซึ่งรวมทั้งโลกแล้วก็มีไม่กี่พันคน
การที่มนุษย์ในโลกตะรนาไม่สามารถข้ามกลับไปมาระหว่างสองโลกนั้นได้ทำให้ในที่สุดมนุษย์ในโลกตะรนาก็สูญสิ้นความทรงจำเกี่ยวกับสวราคาทั้งหมดไป แต่เธอก็คงจะสังเกตได้นะว่าเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ก็คือก่อนจะออกกฎเรื่องการข้ามกลับไปมาจะมีเรื่องผู้คนที่มีอำนาจวิเศษบ้างในโลกนี้ นั่นก็คือพวกสวราคาที่มาก่อความเดือดร้อนที่โลกนี้นั่นแหละ”
เลียนหยิบน้ำขึ้นมาจิบหลังจากพูดไปนาน เธอพักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มพูดต่อ
“ก็เป็นมีถูกเรียกว่าแม่มดบ้าง หมอผีบ้างน่ะ”
เลียนหัวเราะเบาๆ
“ทำเอาคนที่โลกนี้ป่วนกันใหญ่เลยล่ะ แต่ก็ยังไม่ป่วนเท่าตอนที่มีการกวาดล้างในยุโรปเกิดขึ้น บางคนที่พลังไม่มีพอ ไม่เก่งกล้าพอ หรืออาจจะเพราะพรวสรรค์ที่มีไม่สามารถช่วยในเรื่องการหลบหนีจึงทำให้ถูกจับ ยอดของผู้เสียชีวิตเลยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเราจึงออกกฎนี้มาเพื่อป้องกันการนองเลือด แต่ก็มีตะรนาบางคนนะที่ถูกฆ่าทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลยซึ่ง...น่าสงสารมาก”
ฟลายด์พยักหน้าเบาๆ“ใช่ค่ะ เล่นฆ่ากันแทบไม่เลือกแบบนั้นมันก็ต้องมีโดนพวกเดียวกันบ้างค่ะ”
เลียนเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “พาเธอออกนอกเรื่องไปแล้ว”เลียนหัวเราะ “ต่อดีกว่า ไม่งั้นยาวกว่านี้แน่ เวลายิ่งไม่มากด้วย”
“ก็ดีค่ะ”
“มาเริ่มเรื่องทั่วๆไปดีกว่า...ในโลกนั้นพวกสวราคากับตนาเองาก็อยู่ร่วมกันได้นะ แต่เรียกว่ายังไงดีล่ะ ส่วนมากแล้วแต่ละอาณาจักรก็จะแบ่งค่อนข้างชัดเจนเลยว่าอันนี้เป็นอาณาจักรของพวกสวราคา อันนั้นเป็นอาณาจักรของตนาเองา แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ จะมีไม่กี่อาณาจักรเท่านั้นที่อยู่ร่วมกันโดยไม่แบ่งแยกเท่าไหร่เหมือนกับการแต่งงานนั่นแหละ ส่วนใหญ่สวราคาก็จะรู้จักแต่พวกสวราคา ตนาเองาก็จะรู้จักเฉพาะพวกตนาเองาทำให้เวลาแต่งงานออกมาก็ไม่ค่อยมีสวราคาแต่งกับตนาเองาเท่าไหร่ แต่ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ก็มีการแต่งงานแบบนี้เพิ่มมาขึ้นแล้วล่ะ
ส่วนโรงเรียนก็เหมือนกัน แบ่งโดยชัดเจนจะมีสามแบบไปเลย แบบแรกก็สำหรับสวราคา แบบที่สองก็ตนาเองา แบบที่สามก็ได้ทั้งสองกลุ่ม แต่ไม่อาจจะไม่ยุติธรรมในสายตาของบางคนที่ว่า โรงเรียนของสวราคามีแต่สวราคาเท่านั้นที่เรียนได้ เพราะเธอต้องมีพรสวรรค์ที่เรียกว่าเวทย์ แต่สวราคาสามารถเข้าไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับพวกตนาเองาได้ เพราะสวราคากับตนาเองาต่างกันอย่างเดียวก็แค่ตรงที่มีเวทย์กับไม่มีเวทย์ แล้วเนื้อหาสาระการเรียนก็จะต่างกันไปนะ เพราะอาชีพของคนสองกลุ่มก็จะไปในคนละทางกัน แต่มันจะมีบางอาชีพที่คนทั้งสองกลุ่มทำเหมือนๆกัน ทำให้เกิดโรงเรียนแบบที่สามขึ้นมา คือโรงเรียนที่เหมาะสำหรับคนทั้งสองกลุ่มเลย
เมื่อไม่กี่ร้อยปีมาเนี่ย อาณาจักรต่างๆได้ตกลงกันว่าควรจะมีเมืองสักเมืองหนึ่งหรือมากกว่านั้นที่เป็นจุดที่ไม่มีการแบ่งแยก ทุกๆอาณาจักรสามารถมาที่นี่ได้ เพื่อจะได้เป็นศูนย์กลางการศึกษาของเหล่าเด็กหัวกะทิในแต่ละอาณาจักร เพราะทุกๆคนล้วนเห็นว่า ทุกๆอาณาจักรจะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถในการเรียนรู้สูงกว่าเด็กปกติทั่วไป แต่เมื่ออยู่กับเด็กที่มีการเรียนรู้ในขั้นธรรมดา จะทำให้ความสามารถนั้นไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะมีโรงเรียนขึ้นซักสามโรงเรียน แล้วให้แต่ละโรงเรียนเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในทุกๆอาณาจักร โดยที่ทุกอาณาจักรจะร่วมกันออกเงินเพื่อสนับสนุนโรงเรียนทั้งสาม ทำให้ผู้ที่มาเข้าเรียนที่สามโรงเรียนนี้ไม่เสียสตางค์
โรงเรียนทั้งสามที่ถือเป็นสามโรงเรียนสุดยอดของโรงเรียนในโลกนี้ก็คือ เวเลนซี อะดรีลิน และ สัรกรานต์ซึ่งเป็นโรงเรียนของสวราคา ตนาเองาและทั้งสองตามลำดับ เวเลนซีและอะดรีลินจะคล้ายกันตรงที่ว่า เกณฑ์ผู้สมัครคือ 16 ปีขึ้นไป เพราะทั้งสองโรงเรียนคิดว่าอายุประมาณนี้จะเป็นช่วงที่สามารถดูแลตัวเองได้ และทั้งสองโรงเรียนก็คล้ายกันอีกตรงที่การเรียนนั้นจะเป็นการเรียนเนื้อหาในแบบค่อนข้างจะไปในด้านรวม ไม่ได้แบ่งอย่างชัดเจนว่าเรียนที่นี่จบแล้วนักเรียนจะต้องไปต่อสาขาทางด้านนี้ ทำให้นักเรียนสามารถที่จะเลือกสาขาการเรียนได้ค่อนข้างหลากหลายในระดับอุดมศึกษา แต่สัรกานต์จะเป็นโรงเรียนสำหรับผู้ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่มากถึงมากที่สุดแล้วว่าจะประกอบอาชีพอะไรเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เกณฑ์การรับนักเรียนของสัรกานต์คือ15ปีโดยสัรกรานต์จะใช้เวลาเรียน6ปีจึงจะจบในขณะที่เวเลนซีกับอะดรีลินใช้แค่5ปี
และหลังจากที่การก่อตั้งโรงเรียนประสบความสำเร็จ อาณาจักรทั้งหลายก็เห็นตรงกันว่าควรจะมีมหาวิทยาลัยด้วย จึงทำให้มีการสร้างมหาลัยขึ้น แต่ระบบมหาลัยมันซับซ้อนกว่าโรงเรียนน่ะ เอาไว้อธิบายโอกาสหลังแล้วกัน หรือไม่ เธอไปอยู่ที่นั่นเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง”
“ได้ค่ะ”
“อ่า...ในที่สุดก็มาถึงเรื่องสุดท้ายแล้ว”เลียนยิ้ม
แต่ก่อนที่เลียนจะได้พูดต่อ เลียนก็หยุดพูดและมองไปที่ด้านหลังของฟลายด์
“สวัสดีค่ะ”ลิเดียทักเลียนพร้อมยกมือไหว้
“สวัสดีจ้ะ”เลียนรับไหว้
“ลิเดียค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เลียนจ้ะ ยินดีเหมือนกัน”
ฟลายด์หันหน้าไปหาลิเดียที่ตอนนี้มายืนอยู่ข้างๆเธอแล้ว
“มีอะไรเหรอ”
“อ่อ โทษที ตอนแรกไม่รู้ว่ายุ่งอยู่เลยจะมาถามว่าพาสเวิร์ดของคอมพิวเตอร์ฟลายด์มันอะไรอ่ะ จะเช็กเมลล์”
“da shit hit da fan”ฟลายด์หัวเราะแห้งๆ
“อะไรนะ?”ลิเดียงง
“พาสเวิร์ดก็คือ...d-a-s-h-i-t-h-i-t-d-a-f-a-n”เลียนได้ยินเลยยิ้ม
“อ่อ”ลิเดียพยักหน้า “ไปแล้วล่ะ”ลิเดียหันไปไหว้เลียนแล้วก็เดินออกไป
“เพื่อนหรอ”เลียนถามขึ้นหลังจากลิเดียลับสายตาไปแล้ว
“ค่ะ เพื่อนสนิทน่ะค่ะ”
“พ่อแม่รู้จักกันเหรอ”
“ก็รู้จักกันด้วยค่ะ เห็นว่าพ่อแม่ลิเดียเค้าเป็นชาวต่างชาติที่มีธุรกิจใหญ่โต แต่ฟลายด์ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าธุรกิจเกี่ยวกับด้านไหน”
“อืม หน้าเค้าคุ้นๆน่ะ ชื่อก็คุ้นๆ”
“คงเพราะหน้ากับชื่อแบบนี้คนซ้ำเยอะล่ะค่ะ”ฟลายด์หัวเราะ
“ใช่ๆ ว่าแล้วเรากลับมาคุยเรื่องเดิมกันดีกว่า เดี๋ยวไม่จบ”เลียนยิ้ม
“โรงเรียนทั้งสามจะต่างจากโรงเรียนแห่งอื่นๆหลายอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ ระยะเวลาการเรียนของแต่ละโรงเรียนนั้นมีเพียงแค่โรงเรียนละ4เดือนต่อปีการศึกษาเท่านั้น โดยอะดรีลินเปิดช่วงมกราคมถึงเมษายน สัรกรานต์เปิดช่วงพฤษภาคมถึงสิงหาคม ส่วนเวเลนซีก็สี่เดือนที่เหลือ เพราะต้องการเน้นการศึกษาด้วยตนเอง
พวกเรา...เอ่อ มีหลายคนน่ะที่เห็นว่าเธอควรจะเรียนที่เวเลนซี คืออันนี้สำคัญมาก ส่วนอะดรีลินกับสัรกรานต์เนี่ยก็แล้วแต่เธอนะ”
เลียนขมวดคิ้ว
“เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็มีเท่านี้แหละ มีคำถามไหม”
“คุณป้าพูดทำนองว่าตนาเองาจะเป็นสวราคาไม่ได้ และสวราคาจะอยู่โลกนั้น แสดงว่าป๊ากับม้าก็...”
“ใช่จ้ะ สวราคานั่นแหละจ้ะ แต่สองคนนั้นเบื่อโลกนั้นเลยเนรเทศตัวเองมาอยู่นี่น่ะ สงสัยเบื่อเวทย์มั้ง”
“ทำให้ต้องไหว้วานคุณป้ามาช่วยจัดการธุระในโลกนั้น...ที่เกี่ยวกับฟลายด์ให้ใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว เข้าใจถูกต้องเลย”
“แล้วอาณาจักรต่างๆเอ่อ...เป็นเอกเทศกันเหรอคะ”
“ใช่ เป็นเอกเทศกัน แต่...ทั้งโลกใช่ภาษาเดียวกันหมดนะ”
“เอ้ย...งั้นก็ต้องเรียนภาษาใหม่สิคะ คงจะนาน”
“ไม่หรอกๆ ภาษาที่เราใช้เป็นภาษาแบบที่ไม่เหมือนภาษาทั่วไป ก่อนจะพูดภาษานี้ได้ เธอจะต้องพูดเป็นอย่างน้อยภาษาหนึ่งก่อน หลังจากนั้นจะมีผู้ที่มีเวทย์อยู่ในระดับสูงขึ้นไปมาช่วยร่ายเวทย์ปลดล็อค คือ กุญแจสำคัญของที่เรียนภาษานี้ได้คือในตัวมนุษย์ทุกๆคนจะมีเวทย์ล็อคการรับรู้ภาษานี้อยู่ เพราะมันแปลงมาจากภาษาเทพ ทำให้เราต้องปลดล็อคเวทย์ หลังจากปลดล็อคเวทย์เรียบร้อย คำต่างๆในภาษานั้นจะจัดการทำการจับคู่กับคำในภาษาที่เธอรู้อยู่แล้ว จากนั้นมันจะทำการบันทึกตัวเองลงในสมองเธออัตโนมัติ ทำให้เธอสามารถพูดได้เลย”
“แปลว่าเราพูดกับเทพรู้เรื่องหรอคะ”
เลียนหัวเราะ “เทพเลิกปรากฏตัวให้พวกเราเห็นมานานมากแล้วล่ะ”
“แย่จัง”
“ไม่หรอก นั่นแปลว่าโลกเราไม่มีปัญหา”
“งั้นก็อาจจะดีสิคะ”
“ใช่อาจจะดี”เลียนยิ้มให้ฟลายด์
“มีคำถามอีกไหม”
“แล้ว...อธิบายเกี่ยวกับโรงเรียนให้ฟังคร่าวๆหน่อยสิคะ”
“เวเลนซีเป็นโรงเรียนที่สอนทุกอย่างเกี่ยวกับการใช้เวทย์ โรงเรียนนี้จะนำเธอไปสู่อาชีพทุกอย่างที่ต้องใช้เวทย์ อะดรีลินจะเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับการรบ มีสอนนักดาบ นักธนูอะไรพวกนี้ ส่วนสัรกรานต์ ในปีแรกเธอจะต้องเรียนทุกอย่าง แล้วปีสองเธอค่อยเลือกเอาว่าเธอจะเรียนอะไรไปในทางสายไหน โรงเรียนนี้จะสอนเธอเกี่ยวกับอาชีพสำคัญๆที่ทุกอาณาจักรจะต้องมี ก็อย่างเช่น พื้นฐานวิศวะ อะไรพวกเนี้ย คร่าวพอไหม”
“อ่าว...นักรบจะมีไว้ทำไมหรอคะ? สำคัญขนาดที่ทุกอาณาจักรช่วยกันลงขันออกเงินสนับสนุนเลยหรอคะ”
“เมื่อก่อนน่ะ อย่าลืมว่าโรงเรียนตั้งมานานแล้วนะ อ่อ...ลืมไป ตอนนี้อะดรีลินไม่ได้มีเงินจากอาณาจักรต่างๆมาสนับสนุนแล้วล่ะ แต่ได้เงินจากนักเรียนที่มาเรียนกัน ไม่ใช่ค่าเทอมนะ แต่นักเรียนบริจาคเข้าโรงเรียนกัน เพราะพวกทักษะแบบนี้ค่อนข้างสำคัญกับชนชั้นสูงมากอยู่นะ แล้วถ้าไม่ใช่คนชั้นสูง บางส่วนก็เรียนไปเพื่อเปิดโรงเรียนสอนศาสตร์ป้องกันตัวอะไรพวกเนี้ย แล้วที่นั่นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้สอนเกี่ยวกับนักรบอย่างเดียว มีศาสตร์อย่างอื่นๆเพิ่มมาบ้าง แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอะไร”
ฟลายด์พยักหน้าเบาๆ
“ฟลายด์สนใจเวเลนซีกับอะดรีลินน่ะค่ะ สมัครสองที่ได้ไหมคะ เพราะยังไงเวลาเรียนก็ไม่ชนกัน”
“ได้ แต่ตอนสอบนี่สิยากเพราะคนไปสอบก็ไม่น้อยเลย ต้องเตรียมตัวเยอะ”
แล้วเลียนก็พูดขึ้นเหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้
“เกือบลืม อันนี้สำคัญที่สุด เกี่ยวกับการเตรียมตัวของเธอน่ะ เวเลนซีจะมีการสมัครสอบก่อนคือช่วงกลางเดือนเมษา ส่วนอะดรีลิน...ช่วงกลางๆเดือนพฤษภาน่ะ ตอนนี้ก็ต้นมีนาคม เธอมีเวลาอีกเดือนกว่าในการเตรียมตัวไปสอบที่เวเลนซี ส่วนหลังจากสอบที่เวเลนซีเสร็จแล้วค่อยเตรียมตัวไปสอบที่อะดรีลิน แล้วพวกเรากลัวว่ามันจะไม่ทันการก็เลยตกลงกันว่าจะให้เธอไปวันจันทร์ที่ 7 นี้แหละ ว่าไงล่ะ เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวอีก2วันก่อนออกเดินทางย้ายถิ่นฐาน”
“โห เร็วจังเลยค่ะ”
“ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทัน” เลียนก้มลงไปเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋า “เดี๋ยวฟลายด์คุยกับม๊าของฟลายด์ก็แล้วกันนะ”ว่าแล้วเลียนก็ต่อโทรศัพท์ไปแล้วก็ส่งมาให้ฟลายด์
ฟลายด์ถือสายรอสักพักแม่ของเธอก็รับโทรศัพท์
“ม้าสวัสดีค่ะ”
“อ่าวฟลายด์ เบอร์เลียนหนิจ้ะ”
“ใช่ค่ะ คุยกับเลียนเสร็จแล้ว”
“งั้นก็ถึงคิวของม้าแล้วสิลูก”
“ใช่แล้วค่ะม้า”
“งั้นเริ่มละกันนะ อันดับแรก สำคัญสุด...เงิน”
ฟลายด์หัวเราะ
“เงินที่นั่นน่ะ เค้าใช้กันอีกสกุล เรียกว่า ซิ้งค์ ค่าของมันเทียบกับเงินไทยก็ได้ประมาณ 100 บาทต่อซิ้งค์”
“โอเคค่ะ”
“แล้วฟลายด์ก็มีบัญชีที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ปีนี้ม๊าให้ฟลายด์ไปสองหมื่นซิ้งค์นะ แล้วปีนี้ให้แค่ครั้งเดียวนะลูก ใช้อย่าเกินล่ะ”
“ไม่เกินหรอกน่าม๊า ฟลายด์น่ะไม่ใช้เงินเปลืองเหมือนใครบางคน”
“แน่ะๆ ถ้าหาเงินเองเป็นแล้ว หามาได้เท่าไหร่ก็ใช้ไปเลย แค่อย่าเกินก็พอ”
“แหมม๊า รู้แล้วค่ะ”
“แล้วเรื่องของใช้น่ะ ไม่ต้องบ้าขนไปนะฟลายด์ ลูกยิ่งชอบขนเยอะๆอยู่ เอาเสื้อผ้าไปซักสิบกว่าชุดก็พอ ของใช้อะไรที่ขาดเหลือแล้วเดี๋ยวไปซื้อเอาที่นั่น”
“เข้าใจแล้วค่ะท่านม้า”
“ดูแลตัวเองดีๆนะลูก อยู่คนเดียวน่ะต้องระวังตัวนะ”
“ค่ะม้า ฟลายด์ดูแลตัวเองได้ค่ะ”
“คุยกับป๊าแล้วกันนะลูกฟลายด์ บ๊ายบายจ้ะลูก โชคดีนะ”   
“ค่ะม้า”
“ฮัลโหลฟลายด์”เสียงของพ่อเธอดังขึ้น
“หวัดดีค่ะป๊า”
“ดีลูก เป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย ข่าวปุบปับ”
“ถามจริงนะคะป๊า ล้อเล่นป่ะเนี่ย”
“อ่าว พูดแบบนั้นได้ไงลูก เนี่ยเรื่องใหญ่นะ ถึงป๊าจะชอบแกล้ง แต่ก็แกล้งลูกเฉพาะเรื่องเล่นๆนะ”
“ค่ะป๊า ฟลายด์ล้อเล่นน่า”
“ดีแล้วลูก ไปอยู่นั่นน่ะระวังตัวหน่อยนะ”
“ค่ะป๊า ฟลายด์จะระวัง”
“ตั้งใจด้วยนะ อย่าดื้อล่ะ อย่าโดดเรียนด้วย”
“รู้แล้วค่ะป๊า ป๊าน่ะอย่าพูดดังสิ ม้าได้ยินแล้ว”
พ่อของฟลายด์หัวเราะเบาๆ “ม้าเค้ากลับเข้าไปในห้องประชุมแล้ว”
“อ่ะ...งั้นก็ดีแล้วค่ะ แต่ป๊าง่ะ ให้ฟลายด์โดดบ้างหน่อยสิ ฟลายด์โดดเรียนก็จริงแต่ฟลายด์ก็เรียนได้สี่จุดนะ”
“ก็เพราะที่นี่มันง่ายไงลูก มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ลูกคุ้นเคย ลูกโตมากับมัน แต่ที่นั่น ลูกต้องปรับตัวเยอะ อะไรๆมันก็ต่างกันไปหมด การเรียนก็เหมือนกัน ลูกต้องให้ความสนใจมันมากกว่านี้ เพราะถ้าผลการเรียนออกมาไม่ดีป๊าไม่ให้เข้าบ้านนะลูก”
“ป๊าขู่ฟลายด์อ่ะ ป๊าใจร้าย”
พ่อฟลายด์หัวเราะอีกครั้ง “เอาล่ะลูก ป๊าต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะ”
“ค่ะป๊า”
“มีอะไรอีกมั๊ยลูก”
“อืม...ไม่หรอกค่ะ”
“ป๊ารักลูกนะ”
“ค่ะ ฟลายด์ก็รักป๊ากับม้ามากค่ะ”
“โชคดีนะลูก”
“ค่ะ”
แล้วพ่อฟลายด์ก็วางโทรศัพท์ไป เธอจึงส่งโทรศัพท์คืนให้เลียน
“คุณป้าคะ”
“อะไรเหรอ”
“แล้วตอนเด็กๆน่ะค่ะ เค้าเรียนกันยังไง”
“อ๋อ เค้ามีโรงเรียนคล้ายๆที่นี่แหละ โรงเรียนจะแบ่งเป็น 4 ช่วง ช่วงแรก 6-10 ปี ช่วงที่สอง 11-15 ปี หรือ 16 ปี แล้วแต่หลักสูตรที่เรียน ถัดมาก็ 16 หรือ 17 ปีถึง 21 หรือ 22 ปี ส่วนช่วงสุดท้าย ก็ตั้งแต่ 21 ขึ้นไปน่ะ”
“แล้วที่คุณป้าพูดว่าภาษาที่พูดแปลงมาจากภาษาเทพ แล้วภาษาเขียนล่ะคะ”
“อ๋อ ลืมสนิทเลย นึกก่อนนะ ในโลกนี้เผอิญตรงกับ...ตัวอักษรภาษากรีกโบราณพอดีเลย แต่การใช้จะต่างกันบ้างบางจุดเท่านั้น พวกรูปแบบไวยกรณ์นิดหน่อย หรือศัพท์บางคำซึ่งก็มีนิดเดียว ซึ่ง...เรียนไม่นานเท่าไหร่ก็ใช้ได้แล้ว เห็นแม่ของฟลายด์บอกด้วยหนิว่าฟลายด์ลงเรียนอักษรกรีกโบราณไปด้วยเมื่อเทอมที่แล้ว”
ฟลายด์พยักหน้า “ค่อยยังชั่วค่ะ เพราะไม่ยังงั้นคงยุ่ง”
“ใช่ เพราะแบบนี้เราเลยเกิดตกลงกันว่าถ้าฟลายด์มาเรียนที่โลกนั้นก็ไม่ยุ่งยากเลย”
ฟลายด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“งั้นวันจันทร์จะมารับตอนแปดโมงเช้านะ อย่าลืมล่ะ”เลียนพูดพลางดูนาฬิกา “ออกมาทั้งทีต้องทำธุระให้คุ้มหน่อย กว่าจะออกมาได้”เลียนพูดยิ้มๆ
“อ๋อ...ใช่ กว่าจะออกมาได้”ฟลายด์ยิ้มตอบให้เลียน
“งั้นไปล่ะฟลายด์”
“เดี๋ยวค่ะ คำถามสุดท้าย”
“ว่ามาเลย”
“ที่นั่นต่างกับที่นี่มากรึเปล่าคะ”
“อืม...ถ้าอาณาจักรของพวกตนาเองาก็แทบจะเหมือนกันเปี๊ยบนะ แต่คล้ายๆว่า จะสวยงาม สะอาดและดูมีอารยธรรมกว่านะ เจริญด้านเทคโนโลยีมากกว่านิดหนึ่งด้วย”
“แล้วอาณาจักรสวราคาล่ะคะ”
“คล้ายๆกันแหละ ต่างตรงที่ว่าอุปกรณ์ที่เป็นไฮเทคโนโลยีหรือเทคโนโลยีขั้นสูงจะไม่ค่อยเจอ และก็จะมีการใช้เทคโนโลยีเหมือนกันแต่ไม่มากเท่าตนาเองา”
ฟลายด์ขมวดคิ้วนิดๆ
“ไปที่นั่นแล้วจะเข้าใจเองแหละ เหมือนกันเกือบหมดเลยล่ะ”
“แล้ว...มีโทรศัพท์เคลื่อนที่มั๊ยล่ะคะ”
“นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้”เลียนหัวเราะ “มีสิจ้ะ ก็ที่นั่นเจิญด้านเทคโนโลยีมากกว่าที่นี่นะ”
“งั้นก็ดีค่ะ”
“ไม่มีข้อข้องใจแล้วนะ”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“บายจ้ะ แล้วเจอกันวันจันทร์”
“สวัสดีค่ะ”ฟลายด์ไหว้ลาเลียน
“อ่อ หวัดดีจ้ะ”เลียนรับไหว้แล้วก็เดินตัวปลิวออกไป
“ตกลง เราก็ลาออกทั้งคู่เลยสินะฟลายด์” ลิเดียเริ่มบทสนทนาขึ้นขณะดูฟลายด์จัดของ
“ใช่ๆ ทั้งคู่เลย ฮะๆๆ ตลกดีนะ”
“อืม งั้นโรงเรียนก็ขาดคนน่ารักไปอีกตั้งคนนึง”
“ซึ่งคนนั้นก็คือเราเอง”ฟลายด์รีบพูดสวนขึ้นมา
“แหม ทีงี้รีบพูดเลยนะ”
“แน่อยู่แล้ว”
“ตกลงฟลายด์ไปวันไหนล่ะเนี่ย”
“อีกเกือบอาทิตย์เอง”
“ของเรา...อีกสองอาทิตย์ ไม่ต่างเท่าไหร่เลย”
“ลิเดียไปไหนล่ะ”
“ยังไม่รู้เลยดิ พ่อเรายังไม่เห็นบอกรายละเอียดซักกะนิด”
“อ่อ”
“ฟลายด์ล่ะ”
“อ่ะ...เราไม่รู้เหมือนกันล่ะนะ ม้าเราให้ป้าเลียนจัดการหมดเลย”
“แต่ว่านะ ฟลายด์ก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว”
“อ่ะ...ไหงเป็นงั้นไปล่ะ คนไม่รู้เรื่องน่ะนั่งแถวๆนี้ล่ะ”
“หนิ...เออแต่ว่า เราสองคนก็ต้องไปบอกคนอื่นๆว่า เราจะลาออกจากไอ้โรงเรียนน่าเบื่อนี่แล้วนะ”
“อืม ช่ายๆ โรงเรียนที่แสนจะน่าเบื่อแต่หลับสบาย”
“จัดงานกันป่าว”
“จัดดิๆ”ฟลายด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“งั้นดี บ้านฟลายด์”
“อ่าว อะไร”
“บ้านฟลายด์ไง เพราะฟลายด์ไปก่อนเรา จัดวันมะรืนนี้นะ เดี๋ยวเราโทรไปบอกเพื่อนๆให้”
“อ่ะ...พูดเองเอยเองเลย”
“สรุปว่าก็มีแต่กลุ่มเราแล้วกันนะ”
ฟลายด์พยักหน้ารับอย่างปลงๆ
“อ่า งั้นดี ก็มีผู้หญิงหก ชายเจ็ดนะ”
“เออ บอกเราทำไม เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มเรามีใครบ้าง”
“ป่าว จะได้ให้แม่บ้านเธอจัดห้องนอนไว้ไง ผู้หญิงให้สองห้อง ห้องละสามคน...ส่วน”
“ผู้ชายห้องเดียวอัดมันเจ็ดคนเลย” ฟลายด์รีบพูดสวนลิเดียขึ้นมาอีกรอบ
“จะบ้ารึไง ผู้ชายก็อีกสองห้อง เดี๋ยวเราจะไปนอนกับฟลายด์เอง เพราะบ้านฟลายด์มีห้องนอนที่ว่างห้าห้องใช่มั้ยล่ะ แต่เราก็ไม่ควรใช้หมด ต้องเผื่อไว้ห้องนึง”
“อ๊ายยย นอนกับลิเดียต้องตายแน่เลย”ฟลายด์แกล้งทำหน้าซีด
ลิเดียเขกหัวฟลายด์เบาๆทีหนึ่ง แล้วเธอก็หันกลับไปวางแผนต่อ
ฟลายด์พบกันหญิงสาววัยกลางคน ผิวค่อนข้างขาว อวบเล็กน้อย และใบหน้าของเธอก็เริ่มมีร่องรอยของวันเวลาขึ้นประปราย
“สวัสดีค่ะ”ฟลายด์ทำความเคารพพลางนั่งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ตรงข้ามกับที่หญิงคนนั้นนั่งอยู่
“สวัสดีจ้ะ”หญิงคนนั้นรับไหว้
ฟลายด์รู้สึกว่าผู้หญิงคนที่นั่งตรงหน้าเป็นคนที่ดูใจดี และน่าเชื่อถือจากน้ำเสียงและท่าทาง
“คุณแม่ของหนูคงบอกเรื่องฉันแล้วนะ ฉันเลียนจ้ะ อ่อ...ป้าเลียนก็ได้ แต่ไม่ค่อยชอบคำว่าป้าเลย”
“ค่ะ ฟลายด์ค่ะ”ฟลายด์ยิ้ม “งั้นเรียกน้าเลียนไหมคะ”
“โอ้ย เดี๋ยวขี้กลากจะพานขึ้นหัวคนแก่เอา ป้าเถอะ”
ฟลายด์หัวเราะขึ้นพร้อมๆกับเลียน
“แล้วคุณแม่บอกฟลายด์เรื่องอะไรแล้วบ้างล่ะ”
“ก็เรื่องที่คุณป้าจะมาคุยเรื่องเรียนต่ออะไรประมาณนี้แหละค่ะ”
“งั้นก็ยังไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังสินะ”
“ยังเลยค่ะ”
“ป้าจะอธิบายให้ฟลายด์ฟังก็แล้วกันนะ”
“ดีค่ะ”
“เอาล่ะ ฟลายด์คงต้องเปิดใจให้เชื่อป้าหน่อยนะ เพราะเรื่องที่ป้าจะพูดมันอาจจะเหลือเชื่อนะ แต่...ป้าบอกได้แค่ว่าป้าไม่ได้กำลังโกหกฟลายด์”
“คะ?”ฟลายด์ไม่เข้าใจที่เลียนพูดเท่าไหร่
“เอาเป็นว่า อันดับแรก...ฟลายด์ต้องเชื่อก่อนนะว่าดินแดนที่มนุษย์เราสามารถอยู่ได้ไม่ได้มีแค่เพียงโลกที่เห็นเท่านั้น”
ฟลายด์พยักหน้าเบาๆเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังฟังอยู่
“เริ่มเลยแล้วกันนะ ค่อยๆฟัง” เลียนเริ่มขยับตัวเพื่อปรับท่านั่งให้สบายมากขึ้น จากนั้นเธอก็เริ่มต้นพูดเสียยืดยาว
“เมื่อนานมาแล้วมนุษย์มีสองกลุ่ม คือ ธะรมา และ ตะรนา ทั้งสองกลุ่มนี้เคยอยู่ด้วยกัน ธะรมาจะประกอบด้วยทั้งพวกสวราคา และ พวกตนาเองา ส่วนตระนามีแต่พวกตนาเองา
พวกสวราคาคือพวกมีพรจากสรวงสวรรค์ ส่วนตนาเองาคือพวกที่มีไม่มีพรจากสรวงสวรรค์
มีคนว่ากันว่า พวกสวราคานั้นสืบเชื้อสายมาจากปวงเทพบนสวรรค์ที่เริ่มเบื่อกับชีวิตที่แสนสบายเบื้องบน จึงมีการ...อาจเรียกได้ว่าการย้ายถิ่นฐานของเทพกลุ่มหนึ่งลงมาบนแดนมนุษย์หรือแดนของพวกตระนาในตอนที่มนุษย์ได้เริ่มมีอารยธรรมบ้างแล้ว และวิถีชีวิตของมนุษย์และเทพก็ดำเนินร่วมกันมาเรื่อยๆโดยเทพต้องละทิ้งความเป็นอมตะ แต่สิ่งที่เทพยังคงอยู่คือพรสวรรค์ต่างๆที่มนุษย์ธรรมดาหามีไม่
กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่หัวหน้าของทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง ธะรมาจึงทำการใช้พรสวรรค์ขั้นสูงของตนที่มีอยู่ หรือเรียกอีกอย่างว่าพลังเวทย์ทำให้โลกเกิดดินแดนที่ซ้อนทับกัน คือ ก่อนหน้านั้นโลกจะมีขนาดใหญ่กว่านี้สองเท่า และเวทย์ขั้นสูงก็ได้แบ่งโลกทั้งหมดให้เป็นดินแดนสองส่วนที่ซ้อนทับกันอยู่ โดยโลกทั้งสองก็จะมีบางจุดที่เชื่อมต่อกัน จากนั้นธะรมาจึงทำการย้ายถิ่นฐานครั้งยิ่งใหญ่สู่ดินแดนที่ซ้อนทับอีกแห่งหนึ่ง ในกลุ่มที่ย้ายเข้ามาโลกธะรมานั้นก็มีกลุ่มสวรคาทั้งหมดซึ่งมีความเห็นตรงกับผู้นำของตน รวมถึงตนาเองาบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับผู้นำของตนก็ย้ายเข้ามาอยู่ในโลกที่ซ้อนทับอีกแห่ง โดยข้อแม้มีอยู่ว่า ถ้าตนาเองามาอยู่ในโลกนี้และห้ามกลับไปโลกเก่า ทำให้โลกทั้งสองขาดการติดต่อกันไปอย่างสิ้นเชิง แต่ที่ค่อนข้างจะไม่ยุติธรรมก็คือ...สวราคาบางส่วนที่มีพรสวรรค์ในการข้ามไปมาระหว่างจุดเชื่อมต่อนั้นสามารถข้ามกลับไปมาระหว่างโลกทั้งสองได้อย่างง่าย และบางส่วนก็ได้ไปก่อปัญหามากมายในโลกตะรนาทำให้กลุ่มสวราคาได้ตกลงกันว่าจะไม่มีการข้ามกลับไปมาโดยขาดการอนุญาตเกิดขึ้น
ช่วงแรกๆนั้นการข้ามไปมาระหว่างสองโลกมีอัตราการลดลงสูงมาก แต่ผ่านมาไม่กี่ร้อยปีพวกราชวงศ์ชั้นสูงหรือกลุ่มกษัตริย์ที่มีอำนาจในการกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆบางส่วนเริ่มต้องการที่จะข้ามกลับไปมา ทำให้กลุ่มคนเหล่านั้นเริ่มผลักดันให้เกิดกฎใหม่ขึ้นมาซึ่งสะดวกสำหรับพวกเขามากคือ ราชวงศ์ชั้นสูงสามารถข้ามกลับไปมาระหว่างโลกทั้งสองได้ เพียงแค่แสดงหลักฐานว่าตนเป็นราชวงศ์ชั้นสูงของอาณาจักรใดที่จุดเชื่อมต่อเท่านั้นก็สามารถข้ามได้อย่างง่ายดาย ส่วนพวกที่ไม่ใช่ราชวงศ์ชั้นสูงนั้นก็ยังคงเหมือนเดิมจนถึงปัจจุบันคือ ถ้าต้องการข้ามจุดเชื่อมจะต้องให้กษัตริย์ในทุกๆอาณาจักรรวมกันแล้วเป็นจำนวนมากกว่าครึ่งของจำนวนอาณาจักรทั้งหมดเซ็นอนุญาต ซึ่งยุ่งยากมากเลยทำให้เกือบร้อยละร้อยของคนที่ใช้จุดเชื่อมนั้นเป็นพวกราชวงศ์ชั้นสูง ซึ่งรวมทั้งโลกแล้วก็มีไม่กี่พันคน
การที่มนุษย์ในโลกตะรนาไม่สามารถข้ามกลับไปมาระหว่างสองโลกนั้นได้ทำให้ในที่สุดมนุษย์ในโลกตะรนาก็สูญสิ้นความทรงจำเกี่ยวกับสวราคาทั้งหมดไป แต่เธอก็คงจะสังเกตได้นะว่าเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ก็คือก่อนจะออกกฎเรื่องการข้ามกลับไปมาจะมีเรื่องผู้คนที่มีอำนาจวิเศษบ้างในโลกนี้ นั่นก็คือพวกสวราคาที่มาก่อความเดือดร้อนที่โลกนี้นั่นแหละ”
เลียนหยิบน้ำขึ้นมาจิบหลังจากพูดไปนาน เธอพักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มพูดต่อ
“ก็เป็นมีถูกเรียกว่าแม่มดบ้าง หมอผีบ้างน่ะ”
เลียนหัวเราะเบาๆ
“ทำเอาคนที่โลกนี้ป่วนกันใหญ่เลยล่ะ แต่ก็ยังไม่ป่วนเท่าตอนที่มีการกวาดล้างในยุโรปเกิดขึ้น บางคนที่พลังไม่มีพอ ไม่เก่งกล้าพอ หรืออาจจะเพราะพรวสรรค์ที่มีไม่สามารถช่วยในเรื่องการหลบหนีจึงทำให้ถูกจับ ยอดของผู้เสียชีวิตเลยพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเราจึงออกกฎนี้มาเพื่อป้องกันการนองเลือด แต่ก็มีตะรนาบางคนนะที่ถูกฆ่าทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลยซึ่ง...น่าสงสารมาก”
ฟลายด์พยักหน้าเบาๆ“ใช่ค่ะ เล่นฆ่ากันแทบไม่เลือกแบบนั้นมันก็ต้องมีโดนพวกเดียวกันบ้างค่ะ”
เลียนเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “พาเธอออกนอกเรื่องไปแล้ว”เลียนหัวเราะ “ต่อดีกว่า ไม่งั้นยาวกว่านี้แน่ เวลายิ่งไม่มากด้วย”
“ก็ดีค่ะ”
“มาเริ่มเรื่องทั่วๆไปดีกว่า...ในโลกนั้นพวกสวราคากับตนาเองาก็อยู่ร่วมกันได้นะ แต่เรียกว่ายังไงดีล่ะ ส่วนมากแล้วแต่ละอาณาจักรก็จะแบ่งค่อนข้างชัดเจนเลยว่าอันนี้เป็นอาณาจักรของพวกสวราคา อันนั้นเป็นอาณาจักรของตนาเองา แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ จะมีไม่กี่อาณาจักรเท่านั้นที่อยู่ร่วมกันโดยไม่แบ่งแยกเท่าไหร่เหมือนกับการแต่งงานนั่นแหละ ส่วนใหญ่สวราคาก็จะรู้จักแต่พวกสวราคา ตนาเองาก็จะรู้จักเฉพาะพวกตนาเองาทำให้เวลาแต่งงานออกมาก็ไม่ค่อยมีสวราคาแต่งกับตนาเองาเท่าไหร่ แต่ในช่วงสองร้อยปีที่ผ่านมานี้ก็มีการแต่งงานแบบนี้เพิ่มมาขึ้นแล้วล่ะ
ส่วนโรงเรียนก็เหมือนกัน แบ่งโดยชัดเจนจะมีสามแบบไปเลย แบบแรกก็สำหรับสวราคา แบบที่สองก็ตนาเองา แบบที่สามก็ได้ทั้งสองกลุ่ม แต่ไม่อาจจะไม่ยุติธรรมในสายตาของบางคนที่ว่า โรงเรียนของสวราคามีแต่สวราคาเท่านั้นที่เรียนได้ เพราะเธอต้องมีพรสวรรค์ที่เรียกว่าเวทย์ แต่สวราคาสามารถเข้าไปเรียนที่โรงเรียนสำหรับพวกตนาเองาได้ เพราะสวราคากับตนาเองาต่างกันอย่างเดียวก็แค่ตรงที่มีเวทย์กับไม่มีเวทย์ แล้วเนื้อหาสาระการเรียนก็จะต่างกันไปนะ เพราะอาชีพของคนสองกลุ่มก็จะไปในคนละทางกัน แต่มันจะมีบางอาชีพที่คนทั้งสองกลุ่มทำเหมือนๆกัน ทำให้เกิดโรงเรียนแบบที่สามขึ้นมา คือโรงเรียนที่เหมาะสำหรับคนทั้งสองกลุ่มเลย
เมื่อไม่กี่ร้อยปีมาเนี่ย อาณาจักรต่างๆได้ตกลงกันว่าควรจะมีเมืองสักเมืองหนึ่งหรือมากกว่านั้นที่เป็นจุดที่ไม่มีการแบ่งแยก ทุกๆอาณาจักรสามารถมาที่นี่ได้ เพื่อจะได้เป็นศูนย์กลางการศึกษาของเหล่าเด็กหัวกะทิในแต่ละอาณาจักร เพราะทุกๆคนล้วนเห็นว่า ทุกๆอาณาจักรจะมีเด็กกลุ่มหนึ่งที่มีความสามารถในการเรียนรู้สูงกว่าเด็กปกติทั่วไป แต่เมื่ออยู่กับเด็กที่มีการเรียนรู้ในขั้นธรรมดา จะทำให้ความสามารถนั้นไม่ถูกใช้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดจึงตกลงกันว่าจะมีโรงเรียนขึ้นซักสามโรงเรียน แล้วให้แต่ละโรงเรียนเป็นสถาบันที่ได้รับการยอมรับในทุกๆอาณาจักร โดยที่ทุกอาณาจักรจะร่วมกันออกเงินเพื่อสนับสนุนโรงเรียนทั้งสาม ทำให้ผู้ที่มาเข้าเรียนที่สามโรงเรียนนี้ไม่เสียสตางค์
โรงเรียนทั้งสามที่ถือเป็นสามโรงเรียนสุดยอดของโรงเรียนในโลกนี้ก็คือ เวเลนซี อะดรีลิน และ สัรกรานต์ซึ่งเป็นโรงเรียนของสวราคา ตนาเองาและทั้งสองตามลำดับ เวเลนซีและอะดรีลินจะคล้ายกันตรงที่ว่า เกณฑ์ผู้สมัครคือ 16 ปีขึ้นไป เพราะทั้งสองโรงเรียนคิดว่าอายุประมาณนี้จะเป็นช่วงที่สามารถดูแลตัวเองได้ และทั้งสองโรงเรียนก็คล้ายกันอีกตรงที่การเรียนนั้นจะเป็นการเรียนเนื้อหาในแบบค่อนข้างจะไปในด้านรวม ไม่ได้แบ่งอย่างชัดเจนว่าเรียนที่นี่จบแล้วนักเรียนจะต้องไปต่อสาขาทางด้านนี้ ทำให้นักเรียนสามารถที่จะเลือกสาขาการเรียนได้ค่อนข้างหลากหลายในระดับอุดมศึกษา แต่สัรกานต์จะเป็นโรงเรียนสำหรับผู้ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่มากถึงมากที่สุดแล้วว่าจะประกอบอาชีพอะไรเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ทำให้เกณฑ์การรับนักเรียนของสัรกานต์คือ15ปีโดยสัรกรานต์จะใช้เวลาเรียน6ปีจึงจะจบในขณะที่เวเลนซีกับอะดรีลินใช้แค่5ปี
และหลังจากที่การก่อตั้งโรงเรียนประสบความสำเร็จ อาณาจักรทั้งหลายก็เห็นตรงกันว่าควรจะมีมหาวิทยาลัยด้วย จึงทำให้มีการสร้างมหาลัยขึ้น แต่ระบบมหาลัยมันซับซ้อนกว่าโรงเรียนน่ะ เอาไว้อธิบายโอกาสหลังแล้วกัน หรือไม่ เธอไปอยู่ที่นั่นเดี๋ยวก็จะเข้าใจเอง”
“ได้ค่ะ”
“อ่า...ในที่สุดก็มาถึงเรื่องสุดท้ายแล้ว”เลียนยิ้ม
แต่ก่อนที่เลียนจะได้พูดต่อ เลียนก็หยุดพูดและมองไปที่ด้านหลังของฟลายด์
“สวัสดีค่ะ”ลิเดียทักเลียนพร้อมยกมือไหว้
“สวัสดีจ้ะ”เลียนรับไหว้
“ลิเดียค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เลียนจ้ะ ยินดีเหมือนกัน”
ฟลายด์หันหน้าไปหาลิเดียที่ตอนนี้มายืนอยู่ข้างๆเธอแล้ว
“มีอะไรเหรอ”
“อ่อ โทษที ตอนแรกไม่รู้ว่ายุ่งอยู่เลยจะมาถามว่าพาสเวิร์ดของคอมพิวเตอร์ฟลายด์มันอะไรอ่ะ จะเช็กเมลล์”
“da shit hit da fan”ฟลายด์หัวเราะแห้งๆ
“อะไรนะ?”ลิเดียงง
“พาสเวิร์ดก็คือ...d-a-s-h-i-t-h-i-t-d-a-f-a-n”เลียนได้ยินเลยยิ้ม
“อ่อ”ลิเดียพยักหน้า “ไปแล้วล่ะ”ลิเดียหันไปไหว้เลียนแล้วก็เดินออกไป
“เพื่อนหรอ”เลียนถามขึ้นหลังจากลิเดียลับสายตาไปแล้ว
“ค่ะ เพื่อนสนิทน่ะค่ะ”
“พ่อแม่รู้จักกันเหรอ”
“ก็รู้จักกันด้วยค่ะ เห็นว่าพ่อแม่ลิเดียเค้าเป็นชาวต่างชาติที่มีธุรกิจใหญ่โต แต่ฟลายด์ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าธุรกิจเกี่ยวกับด้านไหน”
“อืม หน้าเค้าคุ้นๆน่ะ ชื่อก็คุ้นๆ”
“คงเพราะหน้ากับชื่อแบบนี้คนซ้ำเยอะล่ะค่ะ”ฟลายด์หัวเราะ
“ใช่ๆ ว่าแล้วเรากลับมาคุยเรื่องเดิมกันดีกว่า เดี๋ยวไม่จบ”เลียนยิ้ม
“โรงเรียนทั้งสามจะต่างจากโรงเรียนแห่งอื่นๆหลายอย่าง แต่ที่สำคัญก็คือ ระยะเวลาการเรียนของแต่ละโรงเรียนนั้นมีเพียงแค่โรงเรียนละ4เดือนต่อปีการศึกษาเท่านั้น โดยอะดรีลินเปิดช่วงมกราคมถึงเมษายน สัรกรานต์เปิดช่วงพฤษภาคมถึงสิงหาคม ส่วนเวเลนซีก็สี่เดือนที่เหลือ เพราะต้องการเน้นการศึกษาด้วยตนเอง
พวกเรา...เอ่อ มีหลายคนน่ะที่เห็นว่าเธอควรจะเรียนที่เวเลนซี คืออันนี้สำคัญมาก ส่วนอะดรีลินกับสัรกรานต์เนี่ยก็แล้วแต่เธอนะ”
เลียนขมวดคิ้ว
“เท่าที่นึกออกตอนนี้ก็มีเท่านี้แหละ มีคำถามไหม”
“คุณป้าพูดทำนองว่าตนาเองาจะเป็นสวราคาไม่ได้ และสวราคาจะอยู่โลกนั้น แสดงว่าป๊ากับม้าก็...”
“ใช่จ้ะ สวราคานั่นแหละจ้ะ แต่สองคนนั้นเบื่อโลกนั้นเลยเนรเทศตัวเองมาอยู่นี่น่ะ สงสัยเบื่อเวทย์มั้ง”
“ทำให้ต้องไหว้วานคุณป้ามาช่วยจัดการธุระในโลกนั้น...ที่เกี่ยวกับฟลายด์ให้ใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้ว เข้าใจถูกต้องเลย”
“แล้วอาณาจักรต่างๆเอ่อ...เป็นเอกเทศกันเหรอคะ”
“ใช่ เป็นเอกเทศกัน แต่...ทั้งโลกใช่ภาษาเดียวกันหมดนะ”
“เอ้ย...งั้นก็ต้องเรียนภาษาใหม่สิคะ คงจะนาน”
“ไม่หรอกๆ ภาษาที่เราใช้เป็นภาษาแบบที่ไม่เหมือนภาษาทั่วไป ก่อนจะพูดภาษานี้ได้ เธอจะต้องพูดเป็นอย่างน้อยภาษาหนึ่งก่อน หลังจากนั้นจะมีผู้ที่มีเวทย์อยู่ในระดับสูงขึ้นไปมาช่วยร่ายเวทย์ปลดล็อค คือ กุญแจสำคัญของที่เรียนภาษานี้ได้คือในตัวมนุษย์ทุกๆคนจะมีเวทย์ล็อคการรับรู้ภาษานี้อยู่ เพราะมันแปลงมาจากภาษาเทพ ทำให้เราต้องปลดล็อคเวทย์ หลังจากปลดล็อคเวทย์เรียบร้อย คำต่างๆในภาษานั้นจะจัดการทำการจับคู่กับคำในภาษาที่เธอรู้อยู่แล้ว จากนั้นมันจะทำการบันทึกตัวเองลงในสมองเธออัตโนมัติ ทำให้เธอสามารถพูดได้เลย”
“แปลว่าเราพูดกับเทพรู้เรื่องหรอคะ”
เลียนหัวเราะ “เทพเลิกปรากฏตัวให้พวกเราเห็นมานานมากแล้วล่ะ”
“แย่จัง”
“ไม่หรอก นั่นแปลว่าโลกเราไม่มีปัญหา”
“งั้นก็อาจจะดีสิคะ”
“ใช่อาจจะดี”เลียนยิ้มให้ฟลายด์
“มีคำถามอีกไหม”
“แล้ว...อธิบายเกี่ยวกับโรงเรียนให้ฟังคร่าวๆหน่อยสิคะ”
“เวเลนซีเป็นโรงเรียนที่สอนทุกอย่างเกี่ยวกับการใช้เวทย์ โรงเรียนนี้จะนำเธอไปสู่อาชีพทุกอย่างที่ต้องใช้เวทย์ อะดรีลินจะเป็นโรงเรียนเกี่ยวกับการรบ มีสอนนักดาบ นักธนูอะไรพวกนี้ ส่วนสัรกรานต์ ในปีแรกเธอจะต้องเรียนทุกอย่าง แล้วปีสองเธอค่อยเลือกเอาว่าเธอจะเรียนอะไรไปในทางสายไหน โรงเรียนนี้จะสอนเธอเกี่ยวกับอาชีพสำคัญๆที่ทุกอาณาจักรจะต้องมี ก็อย่างเช่น พื้นฐานวิศวะ อะไรพวกเนี้ย คร่าวพอไหม”
“อ่าว...นักรบจะมีไว้ทำไมหรอคะ? สำคัญขนาดที่ทุกอาณาจักรช่วยกันลงขันออกเงินสนับสนุนเลยหรอคะ”
“เมื่อก่อนน่ะ อย่าลืมว่าโรงเรียนตั้งมานานแล้วนะ อ่อ...ลืมไป ตอนนี้อะดรีลินไม่ได้มีเงินจากอาณาจักรต่างๆมาสนับสนุนแล้วล่ะ แต่ได้เงินจากนักเรียนที่มาเรียนกัน ไม่ใช่ค่าเทอมนะ แต่นักเรียนบริจาคเข้าโรงเรียนกัน เพราะพวกทักษะแบบนี้ค่อนข้างสำคัญกับชนชั้นสูงมากอยู่นะ แล้วถ้าไม่ใช่คนชั้นสูง บางส่วนก็เรียนไปเพื่อเปิดโรงเรียนสอนศาสตร์ป้องกันตัวอะไรพวกเนี้ย แล้วที่นั่นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้สอนเกี่ยวกับนักรบอย่างเดียว มีศาสตร์อย่างอื่นๆเพิ่มมาบ้าง แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีอะไร”
ฟลายด์พยักหน้าเบาๆ
“ฟลายด์สนใจเวเลนซีกับอะดรีลินน่ะค่ะ สมัครสองที่ได้ไหมคะ เพราะยังไงเวลาเรียนก็ไม่ชนกัน”
“ได้ แต่ตอนสอบนี่สิยากเพราะคนไปสอบก็ไม่น้อยเลย ต้องเตรียมตัวเยอะ”
แล้วเลียนก็พูดขึ้นเหมือนพึ่งจะนึกขึ้นได้
“เกือบลืม อันนี้สำคัญที่สุด เกี่ยวกับการเตรียมตัวของเธอน่ะ เวเลนซีจะมีการสมัครสอบก่อนคือช่วงกลางเดือนเมษา ส่วนอะดรีลิน...ช่วงกลางๆเดือนพฤษภาน่ะ ตอนนี้ก็ต้นมีนาคม เธอมีเวลาอีกเดือนกว่าในการเตรียมตัวไปสอบที่เวเลนซี ส่วนหลังจากสอบที่เวเลนซีเสร็จแล้วค่อยเตรียมตัวไปสอบที่อะดรีลิน แล้วพวกเรากลัวว่ามันจะไม่ทันการก็เลยตกลงกันว่าจะให้เธอไปวันจันทร์ที่ 7 นี้แหละ ว่าไงล่ะ เธอจะได้มีเวลาเตรียมตัวอีก2วันก่อนออกเดินทางย้ายถิ่นฐาน”
“โห เร็วจังเลยค่ะ”
“ไม่งั้นเดี๋ยวไม่ทัน” เลียนก้มลงไปเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋า “เดี๋ยวฟลายด์คุยกับม๊าของฟลายด์ก็แล้วกันนะ”ว่าแล้วเลียนก็ต่อโทรศัพท์ไปแล้วก็ส่งมาให้ฟลายด์
ฟลายด์ถือสายรอสักพักแม่ของเธอก็รับโทรศัพท์
“ม้าสวัสดีค่ะ”
“อ่าวฟลายด์ เบอร์เลียนหนิจ้ะ”
“ใช่ค่ะ คุยกับเลียนเสร็จแล้ว”
“งั้นก็ถึงคิวของม้าแล้วสิลูก”
“ใช่แล้วค่ะม้า”
“งั้นเริ่มละกันนะ อันดับแรก สำคัญสุด...เงิน”
ฟลายด์หัวเราะ
“เงินที่นั่นน่ะ เค้าใช้กันอีกสกุล เรียกว่า ซิ้งค์ ค่าของมันเทียบกับเงินไทยก็ได้ประมาณ 100 บาทต่อซิ้งค์”
“โอเคค่ะ”
“แล้วฟลายด์ก็มีบัญชีที่นั่นเรียบร้อยแล้ว ปีนี้ม๊าให้ฟลายด์ไปสองหมื่นซิ้งค์นะ แล้วปีนี้ให้แค่ครั้งเดียวนะลูก ใช้อย่าเกินล่ะ”
“ไม่เกินหรอกน่าม๊า ฟลายด์น่ะไม่ใช้เงินเปลืองเหมือนใครบางคน”
“แน่ะๆ ถ้าหาเงินเองเป็นแล้ว หามาได้เท่าไหร่ก็ใช้ไปเลย แค่อย่าเกินก็พอ”
“แหมม๊า รู้แล้วค่ะ”
“แล้วเรื่องของใช้น่ะ ไม่ต้องบ้าขนไปนะฟลายด์ ลูกยิ่งชอบขนเยอะๆอยู่ เอาเสื้อผ้าไปซักสิบกว่าชุดก็พอ ของใช้อะไรที่ขาดเหลือแล้วเดี๋ยวไปซื้อเอาที่นั่น”
“เข้าใจแล้วค่ะท่านม้า”
“ดูแลตัวเองดีๆนะลูก อยู่คนเดียวน่ะต้องระวังตัวนะ”
“ค่ะม้า ฟลายด์ดูแลตัวเองได้ค่ะ”
“คุยกับป๊าแล้วกันนะลูกฟลายด์ บ๊ายบายจ้ะลูก โชคดีนะ”   
“ค่ะม้า”
“ฮัลโหลฟลายด์”เสียงของพ่อเธอดังขึ้น
“หวัดดีค่ะป๊า”
“ดีลูก เป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย ข่าวปุบปับ”
“ถามจริงนะคะป๊า ล้อเล่นป่ะเนี่ย”
“อ่าว พูดแบบนั้นได้ไงลูก เนี่ยเรื่องใหญ่นะ ถึงป๊าจะชอบแกล้ง แต่ก็แกล้งลูกเฉพาะเรื่องเล่นๆนะ”
“ค่ะป๊า ฟลายด์ล้อเล่นน่า”
“ดีแล้วลูก ไปอยู่นั่นน่ะระวังตัวหน่อยนะ”
“ค่ะป๊า ฟลายด์จะระวัง”
“ตั้งใจด้วยนะ อย่าดื้อล่ะ อย่าโดดเรียนด้วย”
“รู้แล้วค่ะป๊า ป๊าน่ะอย่าพูดดังสิ ม้าได้ยินแล้ว”
พ่อของฟลายด์หัวเราะเบาๆ “ม้าเค้ากลับเข้าไปในห้องประชุมแล้ว”
“อ่ะ...งั้นก็ดีแล้วค่ะ แต่ป๊าง่ะ ให้ฟลายด์โดดบ้างหน่อยสิ ฟลายด์โดดเรียนก็จริงแต่ฟลายด์ก็เรียนได้สี่จุดนะ”
“ก็เพราะที่นี่มันง่ายไงลูก มันเป็นสภาพแวดล้อมที่ลูกคุ้นเคย ลูกโตมากับมัน แต่ที่นั่น ลูกต้องปรับตัวเยอะ อะไรๆมันก็ต่างกันไปหมด การเรียนก็เหมือนกัน ลูกต้องให้ความสนใจมันมากกว่านี้ เพราะถ้าผลการเรียนออกมาไม่ดีป๊าไม่ให้เข้าบ้านนะลูก”
“ป๊าขู่ฟลายด์อ่ะ ป๊าใจร้าย”
พ่อฟลายด์หัวเราะอีกครั้ง “เอาล่ะลูก ป๊าต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองดีๆนะ”
“ค่ะป๊า”
“มีอะไรอีกมั๊ยลูก”
“อืม...ไม่หรอกค่ะ”
“ป๊ารักลูกนะ”
“ค่ะ ฟลายด์ก็รักป๊ากับม้ามากค่ะ”
“โชคดีนะลูก”
“ค่ะ”
แล้วพ่อฟลายด์ก็วางโทรศัพท์ไป เธอจึงส่งโทรศัพท์คืนให้เลียน
“คุณป้าคะ”
“อะไรเหรอ”
“แล้วตอนเด็กๆน่ะค่ะ เค้าเรียนกันยังไง”
“อ๋อ เค้ามีโรงเรียนคล้ายๆที่นี่แหละ โรงเรียนจะแบ่งเป็น 4 ช่วง ช่วงแรก 6-10 ปี ช่วงที่สอง 11-15 ปี หรือ 16 ปี แล้วแต่หลักสูตรที่เรียน ถัดมาก็ 16 หรือ 17 ปีถึง 21 หรือ 22 ปี ส่วนช่วงสุดท้าย ก็ตั้งแต่ 21 ขึ้นไปน่ะ”
“แล้วที่คุณป้าพูดว่าภาษาที่พูดแปลงมาจากภาษาเทพ แล้วภาษาเขียนล่ะคะ”
“อ๋อ ลืมสนิทเลย นึกก่อนนะ ในโลกนี้เผอิญตรงกับ...ตัวอักษรภาษากรีกโบราณพอดีเลย แต่การใช้จะต่างกันบ้างบางจุดเท่านั้น พวกรูปแบบไวยกรณ์นิดหน่อย หรือศัพท์บางคำซึ่งก็มีนิดเดียว ซึ่ง...เรียนไม่นานเท่าไหร่ก็ใช้ได้แล้ว เห็นแม่ของฟลายด์บอกด้วยหนิว่าฟลายด์ลงเรียนอักษรกรีกโบราณไปด้วยเมื่อเทอมที่แล้ว”
ฟลายด์พยักหน้า “ค่อยยังชั่วค่ะ เพราะไม่ยังงั้นคงยุ่ง”
“ใช่ เพราะแบบนี้เราเลยเกิดตกลงกันว่าถ้าฟลายด์มาเรียนที่โลกนั้นก็ไม่ยุ่งยากเลย”
ฟลายด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“งั้นวันจันทร์จะมารับตอนแปดโมงเช้านะ อย่าลืมล่ะ”เลียนพูดพลางดูนาฬิกา “ออกมาทั้งทีต้องทำธุระให้คุ้มหน่อย กว่าจะออกมาได้”เลียนพูดยิ้มๆ
“อ๋อ...ใช่ กว่าจะออกมาได้”ฟลายด์ยิ้มตอบให้เลียน
“งั้นไปล่ะฟลายด์”
“เดี๋ยวค่ะ คำถามสุดท้าย”
“ว่ามาเลย”
“ที่นั่นต่างกับที่นี่มากรึเปล่าคะ”
“อืม...ถ้าอาณาจักรของพวกตนาเองาก็แทบจะเหมือนกันเปี๊ยบนะ แต่คล้ายๆว่า จะสวยงาม สะอาดและดูมีอารยธรรมกว่านะ เจริญด้านเทคโนโลยีมากกว่านิดหนึ่งด้วย”
“แล้วอาณาจักรสวราคาล่ะคะ”
“คล้ายๆกันแหละ ต่างตรงที่ว่าอุปกรณ์ที่เป็นไฮเทคโนโลยีหรือเทคโนโลยีขั้นสูงจะไม่ค่อยเจอ และก็จะมีการใช้เทคโนโลยีเหมือนกันแต่ไม่มากเท่าตนาเองา”
ฟลายด์ขมวดคิ้วนิดๆ
“ไปที่นั่นแล้วจะเข้าใจเองแหละ เหมือนกันเกือบหมดเลยล่ะ”
“แล้ว...มีโทรศัพท์เคลื่อนที่มั๊ยล่ะคะ”
“นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องนี้”เลียนหัวเราะ “มีสิจ้ะ ก็ที่นั่นเจิญด้านเทคโนโลยีมากกว่าที่นี่นะ”
“งั้นก็ดีค่ะ”
“ไม่มีข้อข้องใจแล้วนะ”
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“บายจ้ะ แล้วเจอกันวันจันทร์”
“สวัสดีค่ะ”ฟลายด์ไหว้ลาเลียน
“อ่อ หวัดดีจ้ะ”เลียนรับไหว้แล้วก็เดินตัวปลิวออกไป
“ตกลง เราก็ลาออกทั้งคู่เลยสินะฟลายด์” ลิเดียเริ่มบทสนทนาขึ้นขณะดูฟลายด์จัดของ
“ใช่ๆ ทั้งคู่เลย ฮะๆๆ ตลกดีนะ”
“อืม งั้นโรงเรียนก็ขาดคนน่ารักไปอีกตั้งคนนึง”
“ซึ่งคนนั้นก็คือเราเอง”ฟลายด์รีบพูดสวนขึ้นมา
“แหม ทีงี้รีบพูดเลยนะ”
“แน่อยู่แล้ว”
“ตกลงฟลายด์ไปวันไหนล่ะเนี่ย”
“อีกเกือบอาทิตย์เอง”
“ของเรา...อีกสองอาทิตย์ ไม่ต่างเท่าไหร่เลย”
“ลิเดียไปไหนล่ะ”
“ยังไม่รู้เลยดิ พ่อเรายังไม่เห็นบอกรายละเอียดซักกะนิด”
“อ่อ”
“ฟลายด์ล่ะ”
“อ่ะ...เราไม่รู้เหมือนกันล่ะนะ ม้าเราให้ป้าเลียนจัดการหมดเลย”
“แต่ว่านะ ฟลายด์ก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว”
“อ่ะ...ไหงเป็นงั้นไปล่ะ คนไม่รู้เรื่องน่ะนั่งแถวๆนี้ล่ะ”
“หนิ...เออแต่ว่า เราสองคนก็ต้องไปบอกคนอื่นๆว่า เราจะลาออกจากไอ้โรงเรียนน่าเบื่อนี่แล้วนะ”
“อืม ช่ายๆ โรงเรียนที่แสนจะน่าเบื่อแต่หลับสบาย”
“จัดงานกันป่าว”
“จัดดิๆ”ฟลายด์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“งั้นดี บ้านฟลายด์”
“อ่าว อะไร”
“บ้านฟลายด์ไง เพราะฟลายด์ไปก่อนเรา จัดวันมะรืนนี้นะ เดี๋ยวเราโทรไปบอกเพื่อนๆให้”
“อ่ะ...พูดเองเอยเองเลย”
“สรุปว่าก็มีแต่กลุ่มเราแล้วกันนะ”
ฟลายด์พยักหน้ารับอย่างปลงๆ
“อ่า งั้นดี ก็มีผู้หญิงหก ชายเจ็ดนะ”
“เออ บอกเราทำไม เราก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ากลุ่มเรามีใครบ้าง”
“ป่าว จะได้ให้แม่บ้านเธอจัดห้องนอนไว้ไง ผู้หญิงให้สองห้อง ห้องละสามคน...ส่วน”
“ผู้ชายห้องเดียวอัดมันเจ็ดคนเลย” ฟลายด์รีบพูดสวนลิเดียขึ้นมาอีกรอบ
“จะบ้ารึไง ผู้ชายก็อีกสองห้อง เดี๋ยวเราจะไปนอนกับฟลายด์เอง เพราะบ้านฟลายด์มีห้องนอนที่ว่างห้าห้องใช่มั้ยล่ะ แต่เราก็ไม่ควรใช้หมด ต้องเผื่อไว้ห้องนึง”
“อ๊ายยย นอนกับลิเดียต้องตายแน่เลย”ฟลายด์แกล้งทำหน้าซีด
ลิเดียเขกหัวฟลายด์เบาๆทีหนึ่ง แล้วเธอก็หันกลับไปวางแผนต่อ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น