ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ทฤษฎีใหม่ชี้ ไดโนเสาร์สูญพันธ์เพราะเมฆอวกาศ
ทฤษฎีใหม่ชี้ ไดโนเสาร์สูญพันธ์เพราะเมฆอวกาศ
การระเบิดรังสีแกมมาจากดาวนิวตรอน SGR 1806-20
|
มหาภัยพิบัติในประวัติศาสตร์ของโลกซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกจำนวนมากสูญพันธ์เกิดขึ้นมาแล้ว 5 ครั้ง คือ ในยุคออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียน เมื่อประมาณ 439 ล้านปี ยุคดีโวเนียนเมื่อประมาณ 364 ล้านปี ยุคเพอร์เมียน-
ไทรแอสสิก เมื่อประมาณ 251 ล้านปี ยุคไทรแอสสิก เมื่อประมาณ
199-214 ล้านปี และยุคครีเทเชียส-เทอร์เทียรี เมื่อ 65 ล้านปีที่ผ่านมา การศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทำให้เชื่อว่า มหาภัยพิบัติในยุคออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียน เกิดจากการละลายของน้ำแข็งในทะเล ยุคดีโวเนียนยังไม่รู้สาเหตุ ยุคเพอร์เมียน-ไทรแอสสิก ยุค"การล้มตายครั้งยิ่งใหญ่"(the Great Dying) ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลก 95 สปีซีส์สูญพันธ์ เกิดจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลก หรืออาจจะเกิดจากการประทุของภูเขาไฟในไซบีเรีย ซึ่งปล่อยลาวาจำนวนมหาศาลขนาดครอบคลุมทวีปยุโรป ภูเขาไฟยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซพิษ จนทำให้ชั้นบรรยากาศของโลกเกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก(greenhouse effect) ยุคไทรแอสสิกเกิดจากทะเลลาวาเช่นกัน และครั้งหลังสุดคือยุคครีเทเชียส-เทอร์เทียรี ซึ่งกวาดล้างไดโนเสาร์จนหมดสิ้นไปจากโลกยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า เกิดจากดาวเคราะห์น้อยหรือดาวหางชนโลก หรือเกิดจากทะเลลาวา แต่จากการค้นพบหลุมอุกกาบาตชิคซูลูป (Chicxulub) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9.3ไมล์ บริเวณก้นอ่าวเม็กซิโก ทำให้ทฤษฎีดาวเคราะห์น้อยมีน้ำหนักมากกว่า นักวิทยาศาสตร์อธิบายถึงอำนาจการทำลายล้างของดาวเคราะห์น้อยว่า ดาวเคราะห์น้อยที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 กิโลเมตร จะทำความเสียหายอย่างรุนแรง ในระดับท้องถิ่น แต่ถ้าหากมันมีขนาด 2 กิโลเมตร จะมีอานุภาพทำลายล้างเท่ากับระเบิดทีเอ็นทีล้านเม็กกะตันเลยทีเดียว มันจะทำลายสิ่งแวดล้อมทั้งโลก โลกจะถูกปกคลุมด้วยหมอกฝุ่นและก๊าซ แสงอาทิตย์ไม่อาจส่องผ่านได้ยาวนาน เกิดเป็นฤดูหนาวที่เรียกว่า ฤดูหนาวนิวเคลียร์ อุณหภูมิจะต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง พืชจะตาย ซึ่งจะนำความอดอยากและเกิดโรคระบาดมาสู่สัตว์โลก แต่ถ้าดาวเคราะห์น้อยใหญ่กว่านี้มันจะทำให้สิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดสูญพันธ์ ในขณะที่ทฤษฎีดาวเคราะห์น้อยชนโลกและทฤษฎีภูเขาไฟระเบิด ได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์มากที่สุด นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มก็ได้เสนอทฤษฎีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจเช่นกัน นั่นคือทฤษฎีซุปเปอร์โนวาหรือทฤษฎีการระเบิดรังสีแกมมา ทั้งซุปเปอร์โนวาและการระเบิดรังสีแกมมา มีความคล้ายคลึงกันคือเกิดจากการระเบิดของดาวฤกษ์มวลมากที่หมดอายุขัย แต่การระเบิดรังสีแกมมาจะมีความรุนแรงมากกว่า ความรุนแรงของของรังสีแกมมาจะทำลาย ชั้นโอโซน ระบบนิเวศน์วิทยาและแหล่งผลิตอาหาร แรงกระแทกจากรังสีอาจตามมาด้วย อนุภาครังสีคอสมิคพลังงานสูงนานแรมเดือน นอกจากนั้นกัมมันตภาพรังสีจะอยู่บนผิวโลกนานหลายพันปี ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์ของนาซ่าสามารถตรวจจับการระเบิดรังสีแกมมาที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยตรวจพบเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2004 มันเกิดจากดาวนิวตรอน 'SGR 1806-20' ซึ่งอยู่ไกลจากโลก 50,000 ปีแสง ในกลุ่มดาวคนยิงธนู อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าทฤษฎีนี้จะอ่อนกำลังลง จากผลการศึกษาของทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์อวกาศกอดดาร์ด ซึ่งพบว่าพลังงานจากการระเบิดของซุปเปอร์โนวา สามารถทำลายชั้นโอโซนของโลกได้ก็ต่อเมื่อ โลกอยู่ห่างจากการระเบิดในระยะทาง 26 ปีแสง นอกจากนี้ผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์บางคนก็ชี้ว่า โอกาสที่จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนั้นได้จะอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งหมื่นล้านปีต่อครั้ง เมื่อเร็วๆนี้นักวิทยาศาสตร์ทีมหนึ่งได้เสนอผลงานวิจัย ซึ่งนำเสนอทฤษฎีใหม่ที่แตกต่างออกไปอย่างน่าสนใจอย่างยิ่ง นั่นคือทฤษฎีเมฆอวกาศ ผลงานวิจัยนี้เพิ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารGeophysical Research Letters. ทฤษฎีนี้อธิบายว่า ตัวการที่ทำให้สิ่งมีชีวิตบนโลกสูญพันธ์คือเมฆอวกาศ แบบจำลองคอมพิวเตอร์แสดงให้เห็นว่า เมื่อโลกเคลื่อนที่ผ่านเข้าไปในเมฆอวกาศที่มีความหนาแน่นสูง ฝุ่นในเมฆอวกาศจะจับตัวกันเป็นชั้นๆ ในชั้นบรรยากาศของโลก ชั้นของฝุ่นจะมีความหนาพอที่จะกั้นแสงอาทิตย์ไว้ทำให้เกิดหิมะปกคลุมบนพื้นโลก นักวิทยาศาสตร์ทีมนี้เชื่อว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ในช่วงเวลา 600-800 ล้านปีที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังเชื่อว่าทุกๆ 500,000 ปี ระบบสุริยะจะเคลื่อนที่เข้าสู่บริเวณเมฆอวกาศที่มีความหนาแน่นระดับปานกลาง ซึ่งจะทำให้เกิดการทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศ อเล็ก พาฟลอฟ หนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์บอกว่าเราคงจะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์กันโดยนักธรณีวิทยาจะต้องค้นหาธาตุยูเรเนียม 235 ในชั้นดิน ซึ่งมันเป็นธาตุที่โดยธรรมชาติแล้วไม่เกิดในระบบสุริยะ แม้ว่าทฤษฎีนี้ยังขาดหลักฐานที่ชัดเจนมาสนับสนุนในขณะนี้ก็ตาม ทว่าผลการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งเมื่อปี ค.ศ. 2003 พบว่า ปัจจุบันระบบสุริยะและดาวฤกษ์ใกล้เคียงกำลังเคลื่อนที่เข้าไปในบริเวณเมฆอวกาศในระดับที่เบาบาง ปรากฏการณ์นี้อาจบ่งชี้ถึงความเป็นไปได้ของทฤษฎีเมฆอวกาศได้ในระดับหนึ่ง
|
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น