[One-Shot] Twain - TaeNySic - [One-Shot] Twain - TaeNySic นิยาย [One-Shot] Twain - TaeNySic : Dek-D.com - Writer

    [One-Shot] Twain - TaeNySic

    ผู้เข้าชมรวม

    1,187

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    1.18K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 พ.ค. 57 / 00:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น





    เป็นไปได้ไหมหากเราจะรักใครสองคนในเวลาเดียวกัน

    เเม้รู้ว่ารักที่ดีควรมีเพียงหนึ่ง

    เเต่จะทำไงได้หละ

    มันก็เป็นเเบบนี้เเหละ

    เป็นมานานเเล้วด้วย.........
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

                 


      Twain



                 บ่ายวันอาทิตย์วันธรรมดาที่พิเศษของใครหลายคน  พนักงานออฟฟิศที่ตรากตรำทำงานมาทั้งสัปดาห์จะได้หยุดพัก  เดทแรกของนักเรียนมัธยมปลาย  วันที่ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าทานข้าวเช้าพร้อมกัน  วันที่สวนสนุกแน่นขนัด  ห้างสรรพสินค้าเต็มไปด้วยผู้คน  แม้สายฝนจะตกปรอยๆตั้งแต่ช่วงเช้าแล้วและยังไม่หยุดจนถึงช่วงบ่ายนี้แต่ก็ไม่ทำให้ผู้คนเกรงกลัวเท่าไหร่นัก  รถรายังคงเต็มท้องถนน  ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา  เสียงจอแจยังดังให้ได้ยินอยู่ไม่ขาดสาย

                  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายกับคนที่นอนอุดอู้อยู่บนเตียงนุ่มและผ้าห่มผืนหนาอยู่ในขณะนี้  แม้นาฬิกาจะบอกเวลาเลยครึ่งวันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว  แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าคนบนเตียงจะยอมขยับเขยื้อนกายไปไหน  หลังจากที่อดหลับอดนอนมาหลายคืนจากโปรเจ็คสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคเสร็จ  เป็นเรื่องธรรมดาที่นักศึกษาคณะสถาปัตย์ปี 3 ผู้นี้ต้องเจออยู่บ่อยๆ  และกลายเป็นเรื่องเคยชินกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ  กับผลงานแต่ละชิ้นที่พยายามแทบตายแต่สุดท้ายมันก็ลงไปกองอยู่ในถังขยะอยู่บ่อยครั้ง  ไม่ว่าจะด้วยฝีมือตัวเองหรืออาจารย์ก็เถอะ

                  “อือ”  เสียงครางลอดผ่านลำคอของคนที่หลับใหลไปกว่า 12 ชั่วโมง  มือเล็กความหาโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียง  ดวงตาที่ปิดสนิทปรือขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองตัวเลขบนหน้าจอให้ชัดเจนขึ้น

       

                  “ บ่ายสองสิบห้า”  พึมพำเบา ๆ ก่อนจะพยายามพาร่างกายอันหนักอึ้งของตัวเองลุกขึ้นนั่ง  ความปวดเมื่อยบริเวณหัวไหล่และต้นแขนขวายังไม่หายไปไหน  ท้องน้อย ๆ เรื่อมส่งเสียงงอแงหลังจากไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เมื่อคืน

       

                  ร้านกาแฟเปิดใหม่ใกล้คอนโดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในขณะนี้  หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จสรรพ  ร่างเล็กก็พาตัวเองมานั่งในร้านกาแฟแห่งนี้พร้อมกับเมนูกาแฟยาวเหยียดในร้าน  ไม่บ่อยครั้งนักที่จะพาตัวเองมาในสถานที่แบบนี้  เพราะส่วนใหญ่เธอมักจะอยู่ในร้านเครื่องเขียนหรือขลุกอยู่ในร้านหนังสือสักครึ่งวัน   ด้วยไม่จัดแจงในเรื่องแบบนี้และก็ไม่ใช่คอกาแฟก็ไม่รู้ว่าแต่ละอย่างมันต่างกันยังไง  และสุดท้ายเลยได้ลาเต้กับชีสเค้กอีกสองชิ้นมานั่งกินเงียบ ๆ อยู่โต๊ะมุมสุดในร้านนี่แหละ  เหตุผลหนะหรือ  ชื่อมันสั้นดีสั่งง่ายสุดแล้ว

                  การแต่งตัวที่ไม่ได้จัดแจงเหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่ตามกระแสแฟชั่นมากนัก  มีเพียงเสื้อยืดสีขาวลายกราฟิกสวย ๆ อย่างที่เจ้าตัวชอบ  กางเกงยีนส์ขายาวรับรัดรูดสีซีดที่ขาดตรงหัวเข่า  กับรองเท้าผ้าใบที่ไม่ค่อยจะได้รับการดูแลจากเจ้าของมากนัก  แต่ทุกอย่างเมื่ออยู่บนตัวของคนตัวเล็กมันกลับเข้ากันเป็นอย่างดีใบหน้าใสอ่อนวัย  ดวงตาสีน้ำตาล  ริมฝีปากแดงระเรื่อ  กับจมูกน้อยๆ  และดวงหน้าเรียวเล็ก  ที่ดูยังไงก็เข้าใกล้คำว่าน่ารัก  ผมสีน้ำตาลเข้มถูกรวบไปมัดหลวม ๆ ไว้ข้างหลังเหลือเพียงหน้าม้าที่คลอเคลียใบหน้าใสอยู่  ไม่แปลกใจที่เธอจะได้รับความสนใจจากคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ  ในขณะนี้  แต่มันคงไม่มากพอที่จะดึงดูดให้เธอหันกลับมาสนใจหรือยิ้มตอบอย่างบรรดาผู้หญิงมรรยาทงามทั่วไปหรอกนะ  มันไม่ใช่ตัวฉันอยู่แล้วแบบนั้นหนะ  รีบตักเค้กคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะยกกาแฟในถ้วยดื่มให้หมด  ก่อนจะจ่ายตังและพาตัวเองออกไปจากสถานการณ์ที่แสนจะไม่สบอารมณ์

                  สายฝนจะหยุดตกลงมาได้สักพักเหลือร่องรอยไว้เพียงพื้นคอนกรีตแฉะ ๆ  ขาเรียวก้าวพาตัวเองเข้ามาในร้านหนังสือร้านประจำ  ที่มาได้ทุกวันวันละหลายชั่วโมงในช่วงที่ติดนิยายหนัก ๆ

       

                  “ ไม่มีเรียนหรอ ”  เสียงคนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เอ่ยทักขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออกและปรากฏร่างของใครอีกคน

                  “วันอาทิตย์”

                  “กินอะไรมายัง  ดูสภาพเหมือนคนพึ่งตื่นนอน”

                  “อื้อ”  ครางรับเบา ๆ ก่อนจะเดินมานั่งหลังเคาน์เตอร์ข้าง ๆ เจ้าของร้าน

                 

      ใบหน้าหวาน  ริมฝีปากได้รูป  จมูกโด่งรั้น  มาพร้อมกับดวงตาคู่สวยที่มากับรอยยิ้มสวยที่ไม่ว่าใครได้มองก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์  การศึกษาที่จบจากเมืองนอกคงการันตรีได้ว่าเธอไม่ได้แค่สวยไปวัน ๆ  นอกจากร้านหนังสือแห่งนี้แล้ว  เธอยังทำงานแปล  และเขียนคอลัมน์ให้กับบริษัทหนังสือเล็กๆ  นอกจากนี้ก็ยังมีนิยายที่เธอเขียนเองออกมาให้ได้อ่านปีละเล่มสองเล่ม  ลูกสาวคนเล็กของตระกูลฮวังเจ้าของบริษัทสื่อ  และสิ่งพิมพ์ชื่อดัง  แม้จะถูกทางเรียกให้กลับไปทำงานในบริษัทอยู่บ่อย ๆแต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมันซะทุกครั้ง  ด้วยเหตุผลที่ว่าเธออยากจะสร้างเรื่องราวของเธอขึ้นเอง  ไม่อยากเรียนรู้จากสิ่งที่ใครสร้างขึ้นและมีอยู่แล้ว  และตอนนี้เธอก็มีความสุขดีกับเรื่องราวที่เป็นอยู่อย่างนี้  เรื่องราวที่ได้สร้างขึ้นเอง 

      “ ง่วง”  เสียงเนือยๆ ของคนข้างๆ ที่ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ดังขึ้น

      “ออกมาทำไม  ไม่นอนอยู่บ้าน”

      “ก็พึ่งตื่นนี่แหละ” 

      “ทำงาน”  เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

      “อืม  ไม่ได้นอนมาสองอาทิตย์แล้ว”

      “ไหนเงยหน้าขึ้นมาดูซิสภาพยังดูได้อยู่รึเปล่า”  พูดติดตลกเจือด้วยเสียงหัวเราะเล็กพร้อมร้อยยิ้มกว้างบนใบหน้า  ขณะที่พลิกไปหน้าของอีกคนให้หันมา

      “ทำงาน ไม่ได้ไปรบสักหน่อย”  ตอบด้วยเสียงขุ่น  พร้อมท่าทีฟึดฟัดดูยังไงก็น่ารักมากกว่าน่ากลัว  จมูกเล็กที่ย่นขึ้นอยากจะบีบให้หายหมั่นไส้

      .

      .

      .

      .

      .

       

      หลังจากโปรเจ็คสุดท้ายของเทอมนี้ผ่านไป  งานไม่ลงไปนอนเล่นในถังขยะนักศึกษาตัวเล็กคนนี้ก็พอหายใจหายคอคล่องขึ้นมาอีกนิดก่อนจะถึงสัปดาห์สอบปลายภาคอีกครั้ง  ภายในห้องนอนที่ดูยังไงก็ไม่เข้าใกล้คำว่าคล้ายเลยสักนิด  กระดาษทั้งดีและเสียวางปะปนกันเต็มพื้นห้องบางอันก็ถูกขยำจนยับยู่ยี่และโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี  อุปกรณ์การเขียนเกลื่อนเต็มพื้น  เศษไม้ที่เหลือจากการตัดโมเดลก็ยังไม่ได้เก็บเช่นกันไม่ใช่เธอจะโสโครกขนาดนั้นหรอกเพียงแต่ยังไม่มีเวลาจะเก็บมันเท่านั้นเอง 

      “กระเป๋าตังค์  มือถือ  หูฟัง  ไอพอด ...............”  เสียงงึมงำขณะเก็บข้าวของลงในกระเป๋าสะพายข้างสีน้ำตาลเข้ม  ขาเรียวเขี่ยสิ่งของเกลื่อนกลาดบนพื้นพอให้มีเส้นทางได้ย่างกรายออกจากห้อง  มองนาฬิกาบนข้อมือที่เลยเวลานัดมาร่วมสิบนาทีสองขาพาตัวเองมาหยุดหน้าคอนโดพร้อมกับเสียงหอบเหนื่อย  สอดสายตามองหาใครอีกคน

      “มาช้าสิบสองนาทีสี่สิบเจ็ดวินาที”

      “นาฬิกามันไม่ปลุก”

      “เหตุผลฟังไม่เข้าท่าสักนิด”  หญิงสาวมองหน้าคนตัวเล็กพลางย่นจมูกแสดงสีหน้าไม่พอใจ

      “นอนดึกทุกคืนเลยสินะ”  เอ่ยถามขึ้นหลังจากแพลนสายตาสำรวจคนตัวเล็กตั้งแต่หัวจรดเท้า  ใบหน้าดูหมองลง  ขอบตาบวมเล็กน้อย  กับร่างบางที่ดูจะซูบผอมลง

      “งั้นมั้ง  เป็นห่วงรึไง”  รอยยิ้มถูกส่งไปให้คนตรงหน้า 

      “ไม่ใช่สักหน่อยก็แค่เห็นผอมลง” 

      “ ไม่ห่วงจริงอะ”  คนขี้แกล้งยังคงหยอดแหย่ให้หญิงสาวหน้าแดงเล่นๆ  ไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่คอยส่งมาให้  จนหญิงสาวต้องยกมือขึ้นฟาดไหล่เป็นชุดโทษฐานที่แกล้งให้เธอเขินได้ขนาดนี้

      “อา....เจ็บนะ  เลิกตีได้แล้ว”  มือเล็กรวบมือของหญิงสาวไว้ก่อนจะกอบกุมและฉุดให้อีกคนเดินตามกันไป

       

      มันก็เป็นแบบนี้มานานแล้วหละตั้งแต่  3  ปีที่แล้ว  วันนั้นฉันจำได้แม่นเลยหละ  ผู้หญิงที่ชอบทำหน้ามึน ๆ  ซึน ๆ  เหมือนจะไม่สนใจอะไร  ใบหน้าที่แสนจะเฉยเมยออกจะดูหยิ่ง ๆ ไปด้วยซ้ำ  รอยยิ้มเย็นๆ นั่นก็ด้วยหลายคนที่ไม่รู้จักคงคิดว่าเธอคงเหมือนกับลูกคุณหนูเหวี่ยง วีน  และเอาแต่ใจประมาณนั้น  แต่ไม่ใช่กับฉันเลยสักนิด  เธอน่ารัก  ขี้อ้อน  ติดแต่เอาแต่ใจตัวเองและขี้งอนไปเท่านั้น  แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะใบหน้าเวลาสาวเจ้าเธองอนนั้นน่ารักเป็นบ้า  และมันก็ทำให้ฉันยิ้มได้ทุกครั้ง  และเมื่อไรที่เธอตั้งใจงอนฉันก็เต็มใจที่จะง้อ  มันก็เป็นแบบนี้แหละเป็นมานานแล้วด้วย

       

      “เค้าว่าดูเรื่องนี้ดีกว่า”  เสียงของคนตัวเล็กกว่าเอ่ยขึ้นขณะอยู่หน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋วหนัง

      “ไม่เอาเค้าไม่ชอบหนังแอคชั่นยิงกันเลือดสาด”  อีกเสียงของคนข้าง ๆ เอ่ยประท้วงไม่เห็นด้วยกับหนังเรื่องที่คนตัวเล็กเลือก

      “ดูเรื่องนี้ดีกว่าน่ารักดีออก”  หญิงสาวเสนอความเห็นของเธอพร้อมกับระบายยิ้มบนใบหน้า

      “ไม่อ่ะเค้าไม่ชอบดูแอนิเมชั่น”  เถียงกันไปมาอยู่นานแต่ก็ไม่ได้ข้อยุติ  สุดท้ายก็ลงเอยที่ร้านขายดีวีดีเลือกซื้อใครซื้อมันกลับไปดูที่บ้านเองละกัน

      “แทงกูอ่ะเรื่องมากจัง” 

      “สิก้านั่นแหละเรื่องมากเค้าจะดูเรื่องไหนก็ไม่ให้ดู”  เอ่ยอย่างไม่ได้จริงจังอะไร  ก็แค่อยากจะแกล้งอีกคนเท่านั้น  ดูสิหน้างอ ๆ นั่นกำลังมองมาทางเธออย่างคาดโทษ  ไหนจะท่าทีฟึดฟัดที่แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง  มันทำให้ฉันหุบยิ้มไม่ได้จริง ๆ  เธอก็เป็นแบบนี้เสมอเป็นมานานแล้วด้วย   เจสสิก้าผู้แสนขี้งอน   ฉันก็รักเธอที่เป็นแบบนี้รักมานานแล้วด้วย

       

      “โอ๋ ๆ ...... งั้นเดี่ยวพาไปกินติม”

      “ไม่”  พองลมที่แก้มก่อบจะพ่นมันออกมา

      “เลี้ยงข้าว”

      “ไม่”

      “ไปทำเล็บ”

      “ก็บอกว่าไม่ไง”

      “ไปร้านเสื้อผ้า  ร้านทำผม  ซื้อกระเป๋า  เครื่องสำอาง.....”  สารพัดวิธีที่คนตัวเล็กจะสรรหามาง้อแฟนสาวที่งอนตุ๊บป่องอยู่ตอนนี้  แต่ก็ดูจะไร้ผลมันไปซะทุกวิธี

      “ไม่อะไรทั้งนั้นแหละ”

      “แล้วไม่รักเค้าด้วยรึเปล่า”  เอ่ยพลางยื่นใบหน้าใสเข้าไปใกล้  รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมปากด้วยเช่นกัน

      “รักสิ.... คนบ้า”  ตอบพร้อมใบหน้าอมยิ้ม  มือเรียวยกขึ้นฟาดไหล่คนเจ้าเล่ห์โดยอัตโนมัติ  ใบหน้าที่เคยหงิกงอก็กลับมาอมยิ้มได้ไม่ยาก

      “รักเค้าก็อย่างอนใส่กันแบบนี้สิ”  ยกนิ้วก้อยขึ้นเป็นเหมือนสัญญายุติสงครามงอนง้อ

      “หายโกรธแล้วนะ  โอเคเดี๋ยวพาไปกินติม  ไปทำเล็บ  ซื้อเครื่องสำอาง  ไปร้านหนังสือ  และก็ก่อนกลับเค้าจะแวะซื้อปากกาเขียนแบบตกลงตามนี้นะ”  ยังไม่ทันที่จะโต้เถียงหรือแย้งอะไรคนตัวเล็กก็ออกแรงดึงมือเธอให้เดินตาม

      “คนบ้า...เอาแต่ใจชะมัด”  ริมฝีปากบ่นขมุบขมิบแสดงความไม่พอใจกับคนจอมเผด็จการ

                  คิมแทยอน...คนบ้า...

       

                  ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มและกำลังจะลับหายไปในไม่ช้า  ส่งผลให้อุณหภูมิที่สูงลิ่วมาทั้งวันลดลงบ้าง  สิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่าคนเดินขวักไขว่ไม่ว่าจะมองไม่ทางไหน  เย็นวันศุกร์ที่ควรจะสุขกับเสาร์อาทิตย์ที่นอนรออยู่อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า  แต่ทำไมกับเธอถึงได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายไร้จุดหมายอย่างนี้  สองขาย่างไปบนฟุตบาธเรื่อย ๆ  ดวงตาว่างเปล่าไร้จุดโฟกัส  เกือบสองอาทิตย์แล้วที่เธอไม่ยอมคุยกับฉัน  ฉันผิดนัดเธอ  อาจจะฟังดูเป็นเรื่องงี่เง่าแต่วันนี้แนเข้าใจดีถึงความรู้สึกของคนที่รอ  เหมือนที่ฉันกำลังเป็นอยู่ตอนนี้ไง  รอว่าเมื่อไหร่เธอจะรับสาย  เมื่อไหร่เธอจะยอมคุยกับฉัน  เมื่อไหร่เธอจะหายโกรธกันสักที  ฉันเข้าใจความรู้สึกนี้ดีก็วันนี้หละ

                  ไม่รู้ว่าเธอต้องคอยชำเลืองมองนาฬิกากี่ครั้ง  มองผู้คนมากมายเพียงเพื่อมองหาฉันคนเดียว  หรืออาจจะคิดว่าที่ฉันมาช้าอาจจะลืมกระเป๋าตังค์  หรือกังวลไปมากกว่านั้นว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับฉัน  หลากหลายความคิดปะปนกันไปหมด  แต่เมื่อคนที่รอคอยปรากฏกายตรงน่าเชื่อว่าความรู้สึกเหล่านี้จะลอยหายไปดังสายลมพัดผ่าน  แต่ฉันไม่ได้ทำอย่างที่ว่าเพียงแค่โทรศัพท์ไปบอกเธอว่าไปไม่ได้แล้วในเวลาไม่ถึงสองนาที  คุ้มกันหรอที่เธอรอฉันมาเกือบสองชั่วโมง  เธอตอบมาว่าไม่เป็นไรแต่ฉันรู้เธอไม่มีทางไม่เป็นอะไรอย่างที่ว่าไม่อย่างนั้นเธอคงไม่หายไปโดยไร้การติดต่อแบบนี้หรอก  ฉันยอมรับความผิดทุกข้อกล่าวหาแต่อย่าเงียบไปแบบนี้สิ....ฉันกลัวนะรู้เปล่า

       

                  ใบหน้าหงอยๆ  ไม่พูดไม่จา ผิดสังเกตของคนที่เข้ามานั่งข้างเธอได้สักพัก   แสดงถึงความไม่ปกติของสภาพความรู้สึกของคนตัวเล็กในขณะนี้

                  “ไปทำอะไรให้เค้างอนมาอีกหละ”  เอ่ยถามหลังจากมองอยู่นานสีหน้าท่าทางแบบนี้คงมีเรื่องเดียวเท่านั้นหละที่คนตัวเล็กหนักอกหนักใจหนักหนา  และก็มักจะมาปรึกษาเธอบ่อย ๆ  แม้คำตอบที่ให้ไปจะเหมือนกันเกือบทุกครั้ง  ไม่เป็นคำว่าไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย....  เรื่องของเธอเธอก็แก้เอาเองสิ....  หรือไม่ก็สมควรแล้วหละ....  อะไรประมาณนี้

                  “รู้ทันอีกแล้ว”

                  “อา...เอาถูกซะด้วย”  เสียงหัวเลาะเล็ก ๆ  เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินส่งผลให้คนตัวเล็กได้แต่ส่งสีหน้าไม่พอใจไปให้  นี่เธอกำลังเครียดอยู่นะยังจะมาหัวเราะหน้าระรื่นอีก   ฮึ่ย.....

                  “ช่วยหน่อยสิ”  เอ่ยเสียงหงอยไม่ต่างจากลักษณะใบหน้าที่เป็นอยู่

                  “ไม่ใช่แฟนฉันสักหน่อย”  นั่นไงคำตอบที่ได้มาก็เข้าอีหรอบเดิมทุกครั้ง

                  “ไม่รู้หละป้าต้องช่วยฉัน”

                  “ท่าทางเบลอๆ นะวันนี้  เอานิยายไปอ่านสักสองเล่มไป  อันนี้ให้เลยไม่ต้องคืน”  พูดพลางยัดหนังสือนิยายลงในกระเป๋าของอีกคนที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์

                  “ไปกลับไปนอนซะดูท่าจะไม่ไหว”  สีหน้าเรียบตึงจ้องมองหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ  ยัดหนังสือให้แล้วบอกกลับไปนอนนี่เธอมาขอความช่วยเหลือนะ  นอกจากจะไม่ได้แล้วยังถูกไล่อีก

                  “พรุ่งนี้คงไม่เห็นเธอมานั่งเป็นหมาหลงเจ้าของแบบนี้นะ”  เอ่ยติดตลกกับสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจกับคำยุแหย่ของเธอนัก  แก้มป่องถูกพ่นลมออกมาก่อนจะเอ่ยประโยคสุดท้ายแล้วก้าวเดินออกจากร้าน

                  “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”

       

                  .

                  .

                  .

                  “แทงกูอย่าหลับสิ”  เขย่าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้าง ๆ  ที่ผงกหัวหงึกหงักใกล้จะหลับเต็มที

       

                  ไม่ใช่อะไรหรอกหลังจากเธอหายโกรธฉัน  ไม่สิเธอบอกไม่ได้โกรธฉันเลยเพียงแต่อย่างแกล้งให้ฉันกระวนกระวายเล่นสักสองอาทิตย์เท่านั้นเองก็คงพอจะหยวนๆกันได้กับที่ฉันผิดนัดเธอบอกกับฉันอย่างนั้น  อา...ร้ายกาจชะมัดเลย  และเพื่อเป็นการไถ่โทษอีกหลังจากแกล้งฉันให้หัวเสียไปแล้ว  หลังสอบเสร็จฉันบอกว่าจะพามาดูหนังและก็จะตามใจเธอทุกอย่างเป็นเวลาสามวัน  และนี่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องมาทนนั่งดูแอนิเมชั่นแนวเจ้าหญิงที่เจ้าตัวชอบหนักหนา

                 

      “ง่วงอ่ะ”  จะบอกว่าหนังมันแสนจะน่าเบื่อกไม่กล้า  กลัวว่าเธอจะงอนแก้มป่องให้ต้องง้อกันอีก

                  “ง่วงอะไรยังไม่ถึงสิบห้านาทีเลยด้วยซ้ำ  ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”  ไม่พูดเฉย ๆ สาวเจ้ารัวฝ่ามือไปบนท่อนแขนของอีกคนไม่ยั้ง

                  “โอเคๆ”  ปรือตามองจอกว้างตรงหน้าและไม่ถึงสิบนาที่ถัดมาก้เป็นเหมือนเดิม

                  “ย๊า...  แทงกูตื่นขึ้นมาเลยนะ.......”

       

                เธอก็เป็นของเธอแบบนี้  เอาแต่ใจและงอนได้ทุกเรื่องแม้แต่เรื่องที่ไม่มีอะไรให้น่างอนเลยสักนิด  และฉันก็เป็นแบบนี้  ไม่เคยเบื่อที่จะตามใจเธอเลยสักครั้ง

                  เจสสิกาขี้งอน........

                  แทยอนขี้ ง้อ..........

                หลังจากการสอบปลายภาคได้ผ่านพ้นไปร่วมอาทิตย์  คนตัวเล็กดูจะไม่ค่อยจะอยู่ติดกับที่เท่าไหร่  วันอาทิตย์ไปเที่ยวกับแฟน  วันจันทร์ตระเวนถ่ายรูปงานสถาปัตยกรรมรอบเมือง  วันอังคารไปนั่งอยู่ที่ไหนสักแห่งมองอะไรสักอย่างแล้วก็ขีด ๆ เขียน ๆมันลงในสมุดสเก็ตเล่มโปรด  วันพุธขลุกอยู่ในหอศิลป์ชมงานศิลปะที่มนุษย์สรรสร้าง  วันพฤหัส  วันศุกร์  และวันเสาร์ที่มาพร้อมกับกิจกรรมที่เจ้าตัวจะรังสรรค์ขึ้นมา  เช่นเดียวกันกับวันนี้

       

                  “ หวัดดีป้า”  เสียงทักทายที่ไม่รู้ว่าคนที่ถูกทักจะชอบรึเปล่าดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิดออกพร้อมกับปรากฏร่างของคนที่เป็นเจ้าของน้ำเสียงเมื่อสักครู่

                  “หนังสือออกยัง”  คงหมายถึงหนังสือของนักเขียนคนโปรดของเค้า

                  “นานแล้ว”

                  “อ้าวหรอ  งั้นซื้อเลยแล้วกัน”

                  “ปกติเห็นแต่อ่านฟรี”

                  “เปลี่ยนใจละยืมไปอ่านดีกว่า”

                  “ตามใจ”

                  “จัดหนังสือเข้าชั้นให้ด้วย”  ส่งสายตาเหลือบมองไปยังกล่องกระดาษสีน้ำตาลสามกล่องบนพื้นเป็นข้อความเชิงสั่งให้คนตัวเล็กช่วยเอาหนังสือในกล่องมาวางบนชั้นให้ด้วย

                 

      คนตัวเล็กพยักหน้าตอบรับก่อนจะลากกล่องกระดาษมาใกล้ตัวจัดการแกะเทปกาวที่ติดอยู่บนฝา กล่องออกและนำหนังสือมาจัดวางบนชั้นตามคำสั่ง  มือเล็กบรรจงหยิบหนังสือทีละเล่มมาจัดวางให้เป็นระเบียบใบหน้าระบายรอยยิ้มอยู่ไม่ขาด

       

      “วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อยนะเดี๋ยวพาไปกินติม”  คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นขณะที่สายตายังไม่ละไปจากชั้นหนังสือ 

      “อารมณ์ไหนเนี่ย”  เจ้าของร้านเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

      “สอบเสร็จแล้วก็ที่ให้ยืมหนังสือบ่อยๆ”  หนังสือเล่มสุดท้ายถูกวางให้เข้าที่ก่อนจะละสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ 

      “ทำไมไม่ชวนแฟนหละ”

      “ช่วงนี้คงยุ่งๆ  สอบยังไม่เสร็จ”

      “ตกลงตามนี้นะสองทุ่มเดี๋ยวมารับ....ห้ามเลท”  ไม่ทันให้หญิงสาวได้เอ่ยอะไรต่อคนตัวเล็กก็ตัดบทด้วยประโยคแสนเอาแต่ใจ

      “เอาเล่มนี้ห่อปกให้ด้วย...ส่วนสามเล่มนี้ยืม”  วางหนังสือลงบนเคาน์เตอร์ไม้ก่อนจะยืนเท้าคางกับของของเคาน์เตอร์มองเจ้าของร้านที่กำลังห่อปกหนังสือให้ตามคำขอ  รับถุงหนังสือมาถือในมือและก่อนออกจากร้านก็ไม่ลืมเอ่ยประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับยู่หน้าเล็ก ๆ

      “อย่าลืมนะสองทุ่มห้ามเลท”

       

      เนื่องด้วยการสอบปลายภาคกำลังคลืบคลานเข้ามา  เหลือเวลาประมาณสามวันก่อนจะลงสนามจริง  วันทั้งวันของเจจสสิก้า  จอง  เลยหมดไปกับกองหนังสือที่วางตรงหน้านี้  ช่วงนี้เธอดูเหมือนจะสนใจตัวหนังสือในหน้ากระดาษมากกว่าแฟนเป็นตัวเป็นตนของตัวเองซะอีก  จะว่าไปก็ไม่ได้โทรคุยกันเกือบอาทิตย์  แต่ที่ทำทุกวันก็คงจะเป็นการส่องอินสตราแกรมของอีกคนที่ลงรูปไม่เว้นแต่ละวัน  วันละหลายๆ รูป  แต่ละวันสถานที่ไม่ซ้ำดูเหมือนว่าเธอลั้ลลาออกหน้าออกตาซะเหลือเกิน  อย่าให้ถึงทีฉันก็แล้วกัน....  ฮึ่ย.....  แต่ตอนนี้ขอคบหากับตัวหนังสือสักพัก  หน้ากระดาษถูกพลิกเปลี่ยนเป็นหน้าใหม่สายตายังไล่อ่านตัวหนังสือยังไม่ถึงครึ่งหน้าแต่ก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อเสียงข้อความจากโปรแกมแชทยอดนิยมในโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น  ถ้าจะให้เดาคงเป็นคนที่ฉันเพิ่งแอบนินทาในใจไปเมื่อตะกี้ 

      “ ทำไรอยู่อ่ะ” 

      “กำลังพิมพ์ตอบเธออยู่นี่ไง”

      “กวนละ.... เอาเป็นว่าก่อนหน้านี้ทำอะไร”

      “หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาดู 555.....ล้อเล่นๆ อ่านหนังสืออยู่”

      “ว่างปะสองทุ่ม”

      “ไม่”

      “ว่าจะชวนไปกินติม  ฉลองสอบเสร็จ”

      “เธอสอบเสร็จคนเดียวหนิก็ไปคนเดียวสิ”

      “ใจร้าย”

      “อือฉันมันใจร้าย”

      “อ่า.....เค้าล้อเล่น  ก็ประชดซะ”

      “ไม่กวนละๆ”

      “ไปเลยไอ้เตี้ย”

      “แงง....ไล่จังไปก็ได้  สู้ๆนะที่รัก” 

      “ใครที่รักเธอไม่ทราบ”

      “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร”

       

      ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์  พยามยามไม่โต้ตอบอีกฝ่ายให้ยืดยาวกว่านี้  มีหวังเธอไม่ได้อ่านหนังสือเป็นแน่  ไล่อ่านข้อความอีกรอบก่อนรอยยิ้มจะแต่งแต้มบนใบหน้าอย่างห้ามไม่ได้

       

      คิมแทยอน....คนบ้า.....

      .

      .

      .

      ฝีเท้าเล็กหยุดลงพร้อมอาการหอบเหนื่อยที่กำลังเล่นงาน  เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะมองเลยผ่ายเข้าไปในร้านหนังสือ  ไฟทุกดวงปิดสนิทประตุหน้าร้านก็เช่นกัน

      “ช้าไปสิบนาทีนะ”  หญิงสาวเจ้าของร้านเอ่ยขึ้นสายตามองตรงไปยังใบหน้าของคนตัวเล็กกว่ายังฝั่งตรงข้ามที่ตอนนี้กำลังก้มหน้างุดด้วยความผิด  ให้ตายสิ....เป็นตัวเองซะเองที่มาช้า

      “คนอื่นห้ามช้าแต่ตัวเองมาช้าได้ว่างั้น”  เธอเอ่ยโดยไม่ได้จริงจังอะไร  และก็ใบหน้าหงอย ๆ นั่นก็เรียกรอยยิ้มจากเธอได้ไม่ยาก

      “ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยทำหน้าสำนึกผิดอยู่ได้”  มือบางยกขึ้นไปจับใบหน้าใสให้เงยขึ้น

      “จะไปได้ยัง”  คือคำพูดของคนสำนึกผิดที่เอ่ยถาม  หญิงสาวไม่ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าสองสามทีแทนคำตอบของคำถาม

       

      ตอนนี้เราเดินอยู่ริมฟุตบาธข้างทางหลังจากออกมาจากร้านเนื้อย่าง ไม่ต้องสงสัยคนที่บอกจะพามากินไอติมในตอนแรกเกิดติสท์แตกเปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อ ๆ สุดท้าเราก็เลยได้เข้าไปนั่งดมกลิ่นเนื้อแทนที่จะเป็นไอศกรีมหวาน ๆ

      “อยากกินเบียร์”

      “ไข้ขึ้นรึเปล่า”  หญิงสาวที่เอ่ยขึ้นหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่จากปากของคนตัวเล็ก

      “อยากกินจริงๆ”  เอ่ยยืนยันว่าเธอไม่ได้แค่พูดลอยๆ

      “ไม่เอาเดี๋ยวเมา”

      on  the  rock  ยังเคยมาแล้ว”

      “โอเคๆ”

      ไม่นานคนตัวเล็กก็ออกมาจากร้านสะดวกซื้อข้างทางพร้อมเบียร์สองกระป๋อง  ทั้งสองเดินเรียบเคียงฟุตบาธมาเรื่อยๆก่อนจะถึงสวนสาธารณะที่อยู่ไม่ไกลนัก  กระป๋องเบียร์ถูกเปิดออกก่อนจะถูกยกจรดริมฝีปากโดยคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ บนม้านั่งไม้สีขาว

      “ถ้ารสชาติมันจะแย่ขนาดนั้นก็ไม่รู้จะกินทำไม”  เธอเอ่ยหลังจากมองสีหน้าเหยเกของคนที่พึ่งซดเบียร์ลงคอไปอย่างยากลำบาก  ส่วนคนตัวเล็กไม่ได้สนใจกับคำกล่าวของหญิงสาวเมื่อครู่  เธอเพีบงหยิบเบียร์อีกกระป๋องที่เหลือส่งให้

      “ไม่เอา...วันนี้ต้องทำงาน”  ปฏิเสธกระป๋องเบียร์ในมือของคนตัวเล็ก  มือสองข้างยกขึ้นมากอดอกด้วยที่อุณหภูมิตอนนี้ดูเหมือนจะลดต่ำลงมาก

      “หนาวหรอ  กลับเลยก็ได้นะ”  หลังจากที่เห็นอีกคนนั่งกอดอกตัวเองอยู่ตอนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถาม

      “แค่ไม่ชินหนะ”  ก็จริงที่เธอว่าวัน ๆ เธอก็ขลุกอยู่แต่ในร้านหนังสือ  เย็นก็กลับคอนโดไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนบ่อย ๆ เลยไม่แปลกที่จะไม่คุ้นชินอากาศในยามค่ำคืนแบบนี้

       

      สวนสาธารณะยามค่ำคืนปลอดผู้คน  เราทั้งสองยังนั่งที่เดิมแต่ที่แปลกไปคงเป็นความเงียบที่เริ่มทำงานอยู่ตอนนี้  ราวสิบนาทีหลังจากประโยคสุดท้ายหลุดออกมาจากริมฝีปาก

      “ป้าเคยรู้สึกดีกับใครสักคนมั้ย”  เป็นคนตัวเล็กที่ทำลายความเงียบลงด้วยประโยคคำถามที่ทำเอาคนฟังต้องเลิกคิ้วให้กับคำถามที่มักไม่มีที่มาที่ไปจากอีกคน  เธอนิ่งคิดสักครู่ก่อนจะเอ่ยตอบไป

      “เคยมั้ง”

      “แล้วมันพอมั้ยที่จะเรียกว่าความรักได้รึเปล่า”  คนถูกถามใช้ความคิดอีกสักครู่

      “อาจจะแค่ปลื้ม ๆ ”

      “ก็ขอให้เป็นแค่นั้น”  ประโยคที่อีกคนเอ่ยเหมือนแค่พูดลอย ๆ ออกมา  เธอไม่เข้าใจว่าคนตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ถามเรื่องทำนองนี้  หรืออาจจะเมาเลยพูดอะไรเพ้อเจ้อ

      “ถามทำไม”

      “เปล่าไม่มีอะไรหรอก”

      .

      .

      .

      .

      .

       

      วันนั้นเมื่อสี่ปีก่อนวันที่ฉันก้าวไปในร้านหนังสือแห่งนั้น  ตอนนั้นจำได้ว่าไปหาหนังสืออ่านเตรียมสอบซึ่งไม่ค่อยจะมีในร้านสักเท่าไหร่เพราะส่วนมากจะมีแต่หนังสือนิยายเป็นส่วนใหญ่  รอยยิ้มทักทายของเจ้าของร้านในวันนั้นฉันไม่เคยลืม  รู้สึกไม่เป็นตัวเองเอาซะเลยเวลาทีเจ้าของร้านคนนั้นถามไถ่ว่าต้องการหนังสือประมาณไหน  วันนั้นพูดจาตะกุกตะกักจนเธอแอบหัวเราะด้วย  น่าอายชะมัด  หลังจากนั้นไม่รู้ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ฉันต้องไปร้านหนังสือแห่งนั้นทุกอาทิตย์  พร้อมกับหนังสือนิยายทีละเล่มสองเล่มทั้งที่ฉันไม่เคยอ่านหนังสือประเภทนี้มาก่อน  จะอะไรซะอีกหละก็คุณเจ้าของร้านนั่นแหละที่แนะนำ  ไม่สิหลอกล่อเรียกอย่างนี้น่าจะถูก  เล่มนี้ดีนะ  อันนี้ออกมาใหม่  ลองอ่านอันนี้ดูคนเขียนเขียนได้ดีมาก  อะไรประมาณนี้  นอกจากนี้เธอยังเสนอให้ยืมหนังสือฟรี ๆ  มาอ่านที่บ้านด้วย  นี่จึงเป็นเหตุผลให้ฉันติดนิยายอย่างช่วยไม่ได้  ความสัมพันธ์ของเราเติบโตเรื่อยมาจากวันแรก  เป็นสัปดาห์แรก  เดือนแรก  ปีแรก  และหลายปีถัดมา  จนเวลาล่วงเลยมาถึงวันนี้  ฉันยังเป็นเด็กคนเดิมสำหรับเธอเมื่อสี่ปีที่แล้ว  ส่วนเธอก็ยังเป็นเจ้าของร้านหนังสือเป็นพี่สาวที่ฉันไม่ค่อยจะเรียกว่าพี่เป็นคนที่ฉันอยู่ด้วยแล้วสบายใจ  มันก็เป็นอย่างนี้แหละเป็นมานานแล้วด้วย

       

      ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม........     

      มีเพียงความรู้สึกของฉันเท่านั้นที่เปลี่ยนไป......

      .........ฉันก็หวังว่ามันจะไม่ใช่ความรัก

       

       

      ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่กำลังพล่านในกระแสเลือด  อาจไม่ไดมากจนทำให้เมามายแต่ก็มีพอที่จะทำให้ใบหน้าขาวซีดนั้นมีสีแดงระเรื่อขึ้นมาได้  ศีรษะน้อยๆ กำลังปวดตุบๆ  จนทำให้คนอวดเก่งต้องหาที่พักพิงนั่นก็คือไหล่ของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน  เอนศีรษะลงกับไหล่ของคนข้างๆ อย่างถือวิสาสะ  คนอายุมากกว่าหัวเราะเบาๆ ในลำคอ  ดูแก้มแดงๆนั่นสิเธออยากจะหยิกมันสักครั้งให้หายหมั่นไส้  คนอวดเก่ง

       

      “ไหนบอก on the rock  ยังเคยมาแล้วเบียร์สองกระป๋องทำไมเมาหละ”  รอยยิ้มย้อยๆปรากฏแต่งแต้มบนใบหน้า  นิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยไรผมที่ปิดบังใบหน้าแดงระเรื่อของคนตัวเล็ก

      “ไม่ได้เมาซะหน่อยแค่ปวดหัว”  ท่าทางเหวี่ยงเล็ก ๆ  และการเถียงคำไม่ตกฟากของคนอวดเก่งเพียงแค่นี้ก็เรียกรอยยิ้มของเธอได้อีกไม่ยากเช่นกัน

       

      คนตัวเล็กขยับศีรษะให้เข้าใกล้คนข้างๆ มากยิ่งขึ้น  ปลายจมูกห่างจากต้นคอของอีกคนแค่ฝ่ามือกั้น  กลิ่นกายหอมอ่อนๆ  ทำเอาสติกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับร่องกับรอย อาจเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ร่วมด้วยทำให้ยากเกินกว่าจะควบคุม  ยามที่คนข้างๆ หันมามองใบหน้าเราห่างกันแค่คืบสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดใบหน้า  น้ำเสียงน่าฟังที่ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นที่คอยพูดหยอกเย้าให้คนฟังต้องใจเต้น  ตอนนี้สติสัมปชัญญะของเธอเหมือนหลุดลอยไปกลางอวกาศเกินกว่าจะเรียกมันกลับมาได้

      เธอยกศีรษะที่พึงบนไหล่ออกก่อนที่เจ้าของหัวไหล่ที่เธอใช้พักพิงเมื่อสักครู่จะหันมามอง  เธอโน้มใบหน้าเข้าใกล้อีกคน  มือเล็กยกขึ้นประคองใบหน้าหญิงสาว  ช่องว่างระหว่างเราลดลงเรื่อยๆ จนเหลือศูนย์  ริมฝีปากเราสัมผัสลงบนตำแหน่งเดียวกัน  ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น  เพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกัน  อ่อนโยน  แผ่วเบา  เนิบนาบ  ทว่าเนิ่นนาน

       

      เก็บกวาดสติที่หล่นหายไปชั่วครู่ให้กลับมา  เป็นคนอายุมากกว่าที่ผละริมฝีปากออกก่อน  ใบหน้าเธอเห่อร้อน  กลิ่นแอลกอฮอลล์จากริมฝีปากของอีกคนยังอบอวลในห้วงความรู้สึก  เมื่อกี้เราจูบกันถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ริมฝีปากสัมผัสกันก็เถอะ  เธอยอมรับว่ารู้สึกดีแค่ไหนกับสัมผัสเมื่อครู่แต่ก็ไม่ควรคิดอะไรไปมากกว่านั้น  ไม่ลืมว่าอีกคนมีใครอีคนอยู่แล้ว  ภาวนาให้สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงคำสั่งการณ์ของแอลกอฮอลล์ในกายของอีกคนเท่านั้น  

       

      คนตัวเล็กผ่อนลมหายใจยาวสายตามองทอดไกลไร้จุดโฟกัส  ตอนนี้เธอไม่กล้ามองหน้าคนข้างๆ ไม่กล้าแม่แต่จะขยับกาย  นึกว่าอีกคนจะตบหน้าเธอเข้าซักป้าบแล้วซะอีก

       

      “ฉันได้แต่หวังว่ามันคงไม่ใช่ความรัก”

      .

      .

      .

      .

      เดินเลียบถนนมาเรื่อย ๆ ปราศจากบทสนทนาใด ๆ หลังจากคนตัวเล็กโพล่งประโยคสุดท้ายไปร่วมครึ่งชั่วโมง  เราแยกกันตรงป้ายรถเมล์  เธอกลับคอนโด  คนตัวเล็กก็คงกลับคอนโดเช่นกัน  เราจากกันตรงนั้นโดยปราศจากคำร่ำลา  คนตัวเล็กเพียงแค่หันมามองหน้าเธอด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

      “ฉันก็หวังว่ามันคงไม่ใช่ความรัก”

       

       

      นั่งเคาะแป้นคีย์บอร์ดมาเกือบจะชั่วโมงตัวหนังสือที่ปรากฏในจอยังไม่ถึงครึ่งหน้าด้วยซ้ำ  จิตใจล่องลอยยากเกินกว่าจะจดจ่อกับงานที่ทำอยู่ตรงหน้าได้จึงตัดสินใจปิดมันลง  ตั้งแต่วันนั้นจะสองอาทิตย์แล้วสินะที่คนตัวเล็กหายหน้าหายตาไปจากชีวิตประจำวันของเธอ  มหาลัยก็ไม่ได้ไป  การบ้านก็คงไม่มี  เที่ยวกับแฟนก็คงไม่ทุกวันขนาดนั้นหรอกมั้ง  วันๆจะขลุกอยู่ในห้องทั้งวันหรือไม่มีทาง  หรืออาจจะไปเที่ยวต่างจังหวัด  กลับบ้นไปหาครอบครัว  หรือตั้งใจจะหลบหน้าเธอกันแน่  เฮ้อแล้วฉันจะคิดถึงเธอทำไมกันเนี่ยเด็กบ้า  ตอนนี้เธอไม่เป็นอันทำอะไรเสียเลยนอกจากการถอนหายใจยาวๆ  อีกครั้ง  อีกครั้ง  และอีกครั้ง

       

      .....คิมแทยอนเด็กบ้าฉันจะประสาทกินอยู่แล้ว  ให้ตายสิ

       

      หน้าจอมือถือปรากฏหมายเลขโทรศัพท์ของอีกคนจ้องมองอยู่นานก่อนจะวางมันลง  จำได้ว่าตั้งแต่รู้จักกันมาเธอโทรหาคนตัวเล็กนับครั้งได้  ยิ่งพวกโปรแกรมแชทต่างๆ นานาทั้งหลายแหล่ยิ่งไม่เคย  ไม่รู้สิเราเจอกันทุกอาทิตย์  ถ้าอาทิตย์ไหนอีกคนว่างๆ ก็เจอกันวันเว้นวันน่าจะได้  ช่องทางการสื่อสารเหล่านี้จึงถูกลดความสำคัญลงไป  ไม่สิมันไม่สำคัญเลยสักนิด

      .

      .

      .

      .

      ประตูหน้าร้านถูกเปิดออกพร้อมกับร่างคนที่เธอนึกถึงมาตลอดอาทิตย์  ความอึดอัด  ความคิดฟุ้งซ่าน  และอะไรต่างๆ นานาที่ทำให้เธอไม่เป็นอันทำอะไรมาหลายวันเหมือนถูกปลดปล่อยให้ล่องลอยไปในอากาศ

       

      “เอาหนังสือมาคืน”  คนที่พึ่งก้าวย่างเข้ามาในร้านเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ  หนังสือสามเล่มวางบนเคาน์เตอร์  ใบหน้าก้มมองพื้นกระเบื้องไม่รู้ว่ามันมีสิ่งมหัศจรรย์อันใดให้น่าค้นหา

      “เรื่องวันนั้น..........” 

      “ฉันจะถือว่าเธอเมาแล้วกัน”  หญิงสาวเอ่ยแทรกก่อนที่อีกคนจะพูดจบประโยค

      “ขอโทษ” 

      “ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยแล้ว  ก็เลิกทำหน้ามึนๆ  สำนึกผิดแบบนี้ซะที  น่ารำคาญ”  เอ่ยอย่างไม่ได้จริงจังอะไร  ขำมากกว่าที่เห็นใบหน้ามึนๆ  ซึนๆ  นั้นแล้ว

      “แล้วก็จัดหนังสือเข้าชั้นให้ด้วย” 

      “ไม่โกรธจริงอ่ะ”

      “เร็ว ๆ ก่อนฉันจะเปลี่ยนใจ”

      “โอเคๆ” 

      .

      .

      .

      .

       

       

      หลังจากวันนั้นความสัมพันธ์ของเรายังเหมือนเดิมทุกอย่าง  ฉันยังแวะเวียนมาร้านหนังสือแห่งนี้ทุกอาทิตย์  อาทิตย์ละหลายวัน  เรายังคุยกันได้ทุกเรื่อง  เว้นเสียแต่เรื่องวันนั้นไม่มีใครพูดถึงมันอีก  แต่ฉันเชื่อเสมอไม่ว่าฉันหรือเธอคงไม่มีวันลืมมันแน่นอน  ส่วนเรื่องของฉันกับคนรักก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแลง  นิสัยขี้งอนที่แก้ไมหายของเธอ  และนิสัยขี้ง้อของฉันก็ไม่ได้ลดน้อยลง

      อะไรหลายๆ อย่างที่เข้ามาในชีวิตทำให้ฉันเข้าใจสิ่งหนึ่งมากขึ้น  ความรักเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ  ทุกเวลา  กับทุกคน  ไร้ที่มา  ไร้แบบแผน  ไร้เหตุผล  และไร้การควบคุม

      ฉันรักเจสสิก้ามาก.....

      แต่ก็ใช่ว่าจะรักทิฟฟานี่ไม่ได้.......

      อาจจะดูเหมือนคนเห็นแก่ตัวไปหน่อยก็เถอะ.......

      แต่มันก็เป็นแบบนี้แหละ  เป็นมานานแล้วด้วย.........

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      .

      .

       

      จบแบบมึนๆ ซึนๆ เหมือนหน้าพี่แทตอนสำนึกผิด

      อย่าได้หาสาระกับเรื่องนี้แต่งสนองความต้องการตัวเองทั้งนั้น

      ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่าน

       

       

       

       

                 

                 

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×