ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สุดยอดมือกีต้าร์ระดับโลก (Guitarplayer of the word)

    ลำดับตอนที่ #5 : Albert King อัลเบิร์ต คิง (ราชาบลูส์ผู้ไร้บัลลังก์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.32K
      3
      27 ก.ค. 53

    Albert King
    อัลเบิร์ต คิง (ราชาบลูส์ผู้ไร้บัลลังก์)


    เจ้าของสำเนียงกีตาร์บลูส์ที่ แพร่กระจาย ระบาดไปในวงกว้างยิ่งกว่าใครทั้งหมด
    ผ่านทางกีตาร์ฮีโร่ผู้ถูกครอบงำ โดยความแรงยิ่งกว่าสารเสพติดของเสียงกีตาร์
    สยบวิญญาณ จนศิโรราบไม่อาจสลัดหลุดจากความเป็นทาสในพลังแห่งบลูส์
    สู่ความเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ได้
    ไม่ว่าจะเป็นจิมิ เฮ็นดริกซ์, อีริก แคล็พตัน หรือสตีวี เรย์ วอห์น ก็ตาม


     

            Albert King (อัลเบิร์ต คิง) ดังขึ้นมาช่วงกลางทศวรรษหกสิบ ในฐานะหนึ่งในศิลปินบลูส์ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในสมัยนั้น
            นักเขียนบทความดนตรี Albert Goldman (อัลเบิร์ต โกลด์แมน) ได้โหมประโคมในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์เอาไว้ว่า "นัก ดนตรีผิวดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งทศวรรษ" และในนิตยสาร ไลฟ์ "คน บลูส์สุดบิ๊ก, ร้ายกาจที่สุด"

             Robert Palmer (โรเบิร์ต พาล์เมอร์) นักวิจารณ์บลูส์ผู้ทรงอิทธิพล ถึงกับเทิดทูนความสำคัญของอัลเบิร์ต คิง ในทางบลูส์ให้อยู่ในระดับเดียวกับ John Coltrane (จอห์น โคลเทรน) ที่มีต่อแจ๊สทีเดียว

             อัลเบิร์ต คิง น่าจะเป็นราชาบลูส์ตัวจริง แต่ ผู้ที่ถือครองเป็นเจ้าของฉายา คือ บี บี คิง  ดังนั้น คิงอัลเบิร์ต จึงเป็นได้เพียง กษัตริย์บลูส์ผู้ไร้บัลลังก์

             ในสูติบัตรบันทึกไว้ว่า Albert Nelson (อัลเบิร์ต เนลสัน) ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1923 ใกล้เมืองอินเดียโนลา รัฐมิสซิสซิปปี เป็นหนึ่งในสิบสามของพี่น้องในครอบครัวเนลสัน พ่อเป็นนักเทศน์ร่อนเร่ ทิ้งลูกเมีย หายลับไป ตอนอัลเบิร์ตอายุเพียงห้าขวบ เป็นคนบ้านเดียวกับบี บี คิง และเขามักจะอ้างตัวว่าเป็นพี่ชายของบี บี คิงบ้าง หรือเป็นลูกพี่ลูกน้องบ้าง แต่บี บี คิงไม่ยอมนับญาติด้วย จนในที่สุดสรุปได้ว่า เรื่องทั้งหมดอัลเบิร์ตกุขึ้นมาเอง เขาเล่าได้เป็นตุเป็นตะว่า "ทางบ้านเขาเป็นห่วงบี บี กัน รุ้มั้ย เขากินเหล้าหนักเกิน, แล้วเดี๋ยวนี้หัวใจเขาก็ไม่ค่อยจะปกติ, พวกเขาห้ามก็ไม่ฟัง, ยังก๊งอยู่เหมือนเดิม" แล้วยังเสริมต่อไปอีก "พวกเราทุกคนไม่สบายใจ เมื่อเมียเขาตีจาก, ทั้งที่เขาดีแสนดีกับหล่อน นังนั่นอยู่ดีๆ ก็ไปซะเฉยๆ อย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาเซ็งมากเลย, นายรู้มั้ย แล้วมันยังทิ้งลูกให้เขาเลี้ยงอีก, นายรู้มั้ย เด็กคนนึงเป็นลูกติดแม่ ไม่ใช่ลูกเองซะด้วยซ้ำ, แต่เขาก็เลี้ยงดูเหมือนลูกในใส้"แสดงถึงความเป็นคนอารมณ์ดี มีนิสัยขี้อำของอัลเบิร์ต คิง

    *****************************************

     

                อัลเบิร์ต คิงเป็นคนถนัดซ้าย และเล่นกีตาร์แบบไม่กลับสายเช่นเดียวกับโอติส รัช (Otis Rush) วิธีการเล่นจะตรงกันข้ามกับชาวบ้านทั่วไป การดันสายซึ่งปกติใช้ดันขึ้น แต่อัลเบิร์ตจะดันลง เวลาที่เขาดันสายเดียวกลับไปโดนสายอื่น ติดนิ้วป้อมใหญ่ทรงพลังตามมาด้วย โดยไม่ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง กลายเป็นเทคนิคดันสายคู่ที่เก๋ไปอีกแบบ บางครั้งดันควบไปถึงสามสายก็มี และช่วงเสียงที่ถูดันไปตามร่องเฟร็ตกีตาร์ของเขานั้น ได้ความเที่ยงตรงไม่ผิดเพี้ยน และระยะเป็นคู่เสียงที่กว้างกว่าใครเขาทั้งหมด ทั้งนี้เกิดจากการตั้งสายแบบหย่อนกว่าปกติถึงหนึ่งเสียงครึ่ง ที่เขาอุบเป็นความลับไม่ยอมเปิดเผย
               ส่วนมือซ้ายที่ใช้ดีด เคยลองหัดกับปิ้กอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าปิ้กก็ไม่เคยเชื่อง มันจะลื่นหลุดบินว่อนไปจากมือที่ใหญ่เหมือนใบพายของอัลเบิร์ตเป็นประจำ เลยใช้นิ้วเปลือยปะทะสายเหล็กตั้งแต่นั้นมา เสียงกีตาร์ของเขาจึงแปลกพิเศษกว่าคนอื่น อัลเบิร์ตได้ทีอวดว่า "เราเรียนรู้สไตล์นั่น ด้วยตัวเอง และไม่มีใครทำได้เหมือน, แม้จะมีหลายคนที่พยายามกันจัง"

    **********************************************

               ผู้ติดเชื้อกีตาร์ สไตล์อัลเบิร์ต คิง ที่เป็นสื่อพาหะแพร่ระบาดจนลุกลามไปทั่วโลก
    ทำให้สิ้นหวังหมดหนทางที่จะหาวัคซีนมาฉีดสร้างภูมิคุ้มกันได้โดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดจับได้คาหนังคาเขา จากร็อกซูเปอร์สตาร์ อีริค แคล็พตัน หลังแยกตัวออกจากวง Yardbirds (ยาร์ดเบิร์ดส์) ไปก่อตั้งวง Cream (ครีม) อาศัยอัลเบิร์ตเป็นบันไดลัดสู่ความสำเร็จ ก้อปปี้ลูกโซโลจากเพลง Personal Manager ถือวิสาสะเอาไปใส่ในผลงานเอง Strange Brew จนน่าจะโดนฟ้องฐานละเมิดลิขสิทธิ์ทรัพย์สินทางปัญญา และยังลอก Born Under A Bad Sign ไปทำซ้ำในอัลบั้มของครีมด้วย
    ต่อมาเขาทำพิธีไถ่บาปด้วยการสารภาพกลางคอนเสิร์ต ให้วัยรุ่นผู้คลั่งไคล้ในตัวเขาขนาดหนัก ถึงขั้นอัญเชิญขึ้นแท่นบูชาเป็นพระเจ้า ได้รับรู้ถึงแหล่งที่มาของแม่ไม้เพลงบลูส์



    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
    แม้จะสร้างผลงานระดับ อนุสาวรีย์
    แต่ตัวแม่แบบเองกลับได้รับเพียงแค่กล่อง และสัญญาทาส

              "เราถูกโกง และโดนเบี้ยวฉิบหาย มันให้แค่เศษเงิน เพื่อปิดปากเราให้เงียบ" อัลเบิร์ตระบายออกมาด้วยความสุดเซ็ง

              ชักจะท้อใจเหนื่อย หน่ายกับวงการบันเทิง เริ่มถอดใจเตรียมเบนเข็มไปทำอย่างอื่น อัลเบิร์ตลุยทำงานหนัก เพื่อเก็บสะสมเงินไว้ถอยรถสิบล้อสักคันหนึ่ง เริ่มทำงานกะแรกในเซ็นต์หลุยส์ ตั้งแต่สี่โมงเย็น ถึงสองทุ่ม เสร็จแล้วไปต่ออีกที่หนึ่ง ตั้งแต่สามทุ่ม ถึงตีหนึ่ง แล้ววิ่งรอกไปปิดรายการ ที่คลับเล็กๆแถวอีสต์ เซ็นต์หลุยส์ ตั้งแต่ตีสอง ถึงหกโมงเช้า คืนหนึ่งไปเจอฮิปปี้สองหนุ่ม เข้ามาแนะนำตัว และทำความคุ้นเคย นั่งคุย และจิบเบียร์ทั้งคืนจนถึงเช้า ก่อนจากกัน หนุ่มบิลและพอล ขอที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ พร้อมกับบอกว่าจะมีงานให้ไปเล่นโชว์ที่ซาน ฟรานซิสโก แต่อัลเบิร์ตก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
    จนราว 3-4 อาทิตย์ผ่านไป เขาได้รับโทรศัพท์จาก Bill Graham (บิล แกรห์ม)
    หนุ่มฮิปปี้ที่ไปนั่งเฝ้าดูจนฟ้าสางเมื่อคืนวันก่อน ยืนยันเรื่องกิ้กสามวันที่เคยคุยกันไว้
    และอีกไม่กี่วันต่อมาอัลเบิร์ตได้รับเงินค่าตัว 1,000 เหรียญ เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากที่เรียกไปแค่ 500 เหรียญ พร้อมค่าเดินทางอีกต่างหาก

             คืนวันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธุ์ 1968 อัลเบิร์ต คิงก้าวขึ้นเวทีฟิลมอร์ ออดิตอเรียม ซาน ฟรานซิสโก เป็นครั้งแรก ในฐานะวงก่อนเวลา เปิดโรงให้กับจิมิ เฮ็นดริกซ์ ร็อกฮีโร่ ขวัญใจฮิปปี้ ที่พี้กัญชาเคล้าเพลงร็อกไซคีเดลิกของเขา และเจ้าพ่อบลูส์อังกฤษ John Mayall (จอห์น เมยอล) กับวง Bluesbreakers(บลูส์ เบรเกอร์) ซึ่ง Mick Taylor (มิก เทเลอร์) ทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ ก่อนที่วงโรลลิง สโตนจะคว้าตัวไปร่วมทีม แทนที่ Brian Jones (ไบรอัน โจน) ผู้ถอนตัวออกไป
              อัลเบิร์ตผู้เวียนว่ายอยู่แต่ในวงจรบาร์ผีถิ่นคนดำ ไม่เคยเห็นคนดูที่เป็นฝรั่งผิวขาวมากมายขนาดนี้เลยในชีวิต และคนหนุ่มสาวผมยาว ยุคบุบผาชนเฟื่องฟูเหล่านั้น ก็แทบจะไม่มีใครเคยได้ยินชื่อคนบลูส์ร่างยักษ์ สิงห์อีซ้าย เล่นกีตาร์ทรงแปลกประหลาด มาก่อนหน้านี้เลย และไม่ได้คาดหวังว่าพวกเขาจะต้องตกอยู่ในสภาพเป็นเสมือนสายกีตาร์
    ให้อัลเบิร์ตดัน บดขยี้ไปตามใจสั่ง ปล่อยใจให้อยู่ในโอวาทของเสียงกิ้บสันฟลายอิง วี
    จนลืมไปเลยว่าตั้งใจจะไปดูใคร วัยรุ่นที่เดินออกจากฟิลมอร์ตอนจบการแสดงของคืนนั้น
    ไม่มีใครไม่รู้จักอัลเบิร์ต คิงอีกแล้ว เขาแจ้งเกิดกับคอร็อควัยรุ่นแล้วในคืนนั้น และสี่คืนที่เขาเล่นประกบกับเฮ็นดริกซ์ และเมยอล นับเป็นช่วงไฮไลต์ที่น่าประทับใจที่สุด ในอายุขัยหกปีแห่งร็อคคอนเสิร์ตของฟิลมอร์

              ตั้งแต่นั้นมา บิล แกรห์ม โปรโมเตอร์ผู้หลักแหลม จะจัดคิวสอดแทรกให้อัลเบิร์ตแวะเวียนมาแสดงเป็นประจำที่ฟิลมอร์ทั้งสองแห่ง ของเขา เป็นศิลปินบลูส์ที่ได้รับการเสนอตัวให้แฟนเพลงร็อกได้รับรู้มากกว่าใครอื่น
             “อัลเบิร์ตเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ผมใช้บริการ หลายครั้ง ด้วยเหตุผลที่หลากหลาย” แกรห์ม ทวนความหลังให้ฟัง
              “เขาไม่ใช่เป็นเพียงแค่ยอดนักกีตาร์ ลีลาบนเวทีของเขาก็เยี่ยม, เป็นกันเอง, อบอุ่น และเข้าถึงคนดู และอีกอย่าง,
              "เขาไม่เคยเสแสร้งตอแหล เพื่อเอาใจคนดู อย่างที่ศิลปินบลูส์หลายคนทำกัน"

              เขาเล่นคอนเสิร์ตรอบ ปฐมทัศน์เปิดตัวฟิลมอร์ อีสต์ ที่นิวยอร์ก เมื่อ 8 มีนาคม 1968 และยังมาร่วมรายการปิด เมื่อ 27 มิถุนายน 1971 Live Wire/Blues Power เป็นอัลบั้มบันทึกการแสดงสดจากฟิลมอร์ เวสต์ ซาน ฟรานซิสโก ตอนหน้าร้อน ปี 1968 ได้รับการเชิดชูให้เป็นหนึ่งในที่สุดของอัลบั้มแสดงสด เทียบเท่า Live At The Regal ของ B. B. King และ Live At The Apollo Theatre ของราชาเพลงโซล James Brown



              บรรดาวงร็อคดังๆทั้งหลาย จะรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าถูก บิล แกรห์ม วางตัวอัลเบิร์ต คิงเป็นวงอุ่นเครื่องเปิดเวทีให้ ตามนโยบายขายคนดัง พ่วงแถมของจริง ที่แกรห์มต้องการให้คอเพลงได้รับรู้ถึงต้นแบบของเหล่าซูเปอร์สตาร์นั้นด้วย และบ่อยครั้งที่วงดังโดนอัลเบิร์ต เผาเครื่องจนกลายเป็นเศษเหล็ก ขนาดวงร็อกสุดยอดอย่าง The Doors (เดอะ ดอร์) ยังเคยโดนเขาเคี้ยวเป็นอาหารว่าง ในโปรแกรมที่อัลเบิร์ตเป็นวงแถมก่อนเวลา แฟนเพลงยังร่ำร้องเรียกหาอัลเบิร์ตกันอย่างเซ็งแซ่ไม่ยอมเลิกรา แม้ม่านเวทีจะพร้อมเปิดให้ Jim Morrison (จิม มอริสัน)และทีมออกมาโชว์ตัวแล้วก็ตาม
     หรือแม้กระทั่งบี บี คิง ผู้มีอิทธิพลในสำเนียงกีตาร์ของเขา เมื่อถูกจัดให้โคจรมาปะทะกันในศึกกีตาร์คิง ก็ยังโดนอัลเบิร์ตทำแต้มนำห่าง จนบี บี ทนไม่ไหว ต้องสะพายกีตาร์เดินออกมาขอร่วม ในช่วงเวลารอบสองของอัลเบิร์ต ไมค์ บลูมฟิลด์ กีตาร์ซูเปอร์สตาร์ ซึ่งนั่งดูอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย สรุปผลออกมาว่า
     

    “อัลเบิร์ตแดกบี บี จนไม่เหลือซาก”

          Joe Walsh (โจ วอลช์) กีตาร์ร็อกวงอีเกิ้ล ซึ่งนักกีตาร์บ้านเราถือท่อนโซโลเพลง Hotel California เป็นอาขยานบทหนึ่ง เคยพูดไว้เมื่อหลายปีก่อน (1988) ว่า...
          “Eddie Van Halen (เอ็ดดี้ แวน เฮเล็น) คือ ที่สุดของวันนี้ แต่อัลเบิร์ต คิง
    สามารถอัดเอ็ดดี้ให้ตกเวที.......ด้วยแอมป์ที่เปิดแค่สแตนด์บาย(พักเครื่อง) เขายิ่งใหญ่สุดแล้ว, เพื่อนเอ๋ย”


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×