คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : chapter 4 ...ทองคำ คริสตัลและการโจมตี...
...ทองคำ คริสตัลและการโจมตี...
โจเซฟและมาร์ควิ่งออกมาดูเหตุการณ์หน้าร้านโดยเร็ว เด็กหนุ่มหัวขโมยคนนั้นพยายามที่จะงัดฟลายอิ้งคาร์ ให้ได้ แต่เด็กหนุ่มหันหลังมาเผชิญหน้ากับมาร์คและโจเซฟเสียก่อน เขาจึงกระโดดลงจากฟลายอิ้งคาร์อย่างชำนาญ ฝูงชนเริ่มแตกตื่น มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย เมื่อโจเซฟเห็นว่าหัวขโมยคนนั้นกำลังจะหนี เขาก้มตัวลงช้าๆเพื่อหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมา ก่อนที่จะปาอย่างแม่นยำไปที่หัวขโมยคนนั้น
ฟิ้ววววว ผึบ ปัก
หินนั้นลอยเฉียดหน้าฝูงชนไปอย่างหวุดหวิด มันพุ่งแวกอากาศไปอย่างรวดเร็ว จนในที่สุด มันก็กระแทกกับหัวของผู้ร้ายอย่างเต็มแรง เด็กหนุ่มสวมหมวกแก็ปคนนั้นล้มลงหน้ากระแทกกับพื้นอย่างรวดเร็ว
“เข้าโกล์!!” โจเซฟอุทานอย่างดีใจ แล้วทั้งสองก็วิ่งไปยังหัวขโมยจอมป่วนทันที
“โอยยยย โอยยยยย” หัวขโมยคนนั้นร้องอย่างเจ็บปวด เขานอนเอามือกุมหัวอย่างรันทดชีวิต โจเซฟกระชากร่างหัวขโมยคนนั้นขึ้นมา ผู้คนยังคงรุมล้อมเพื่อที่จะดูเหตุการณ์ต่อไป ส่วนมาร์คก็เดินไปเปิดหมวกแก็ปของหัวขโมยเพื่อที่จะดูหน้าคร่าตาของเด็กหนุ่มคนนั้น
“เรซคอร์น ฮอเรซ!!” มาร์คอุทานขึ้นด้วยความตกใจ เมื่อหัวขโมยดันกลายเป็นเพื่อนร่วมห้องของเขา “นายมาทำอะไรที่นี่”
“ขโมยน่ะสิถามได้” เด็กหนุ่มหัวขโมยที่มีนามว่าเรซคอร์น ตอบอย่างกวนๆ
“หลานไปคบกับพวกหัวขโมยแล้วหรือนี่” โจเซฟพูดขึ้นอย่างหัวเสียพลางทำท่าสายหัวเล็กน้อย เสียงฟลายอิ้งคาร์สองลำดังขึ้น ทั้งสามแหงนหน้ามองขึ้นบนฟ้า ฟลายอิ้งคาร์สองลำที่ดูเหมือนของตำรวจนั้นได้จอดลงเทียบท่าใกล้ๆกับจุดเกิดเหตุ
“มี-อะ-ไร-ให้-ผม-รับ-ใช้-มั้ย-ครับ” หุ่นยนต์ในชุดเครื่องแบบตนหนึ่งโผล่หัวออกมาจากฟลายอิ้งคาร์แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูทื่อๆเหมือนหุ่นยนต์รุ่นก่อนๆที่ไม่ได้รับการปรับปรุงเรื่องเสียงเหมือนหุ่นยนต์รุ่นปัจจุบัน
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณตำรวจ เราจัดการเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงใสๆหวานๆน่ารักของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลังทั้งสามซึ่งกำลังหันขวับไปหาเธออย่างรวดเร็ว เด็กสาวผมทองยาวสลวยใส่ชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อนดูเรียบร้อยและสะอาดตา พร้อมกับรองเท้าคัทชูสีชมพูดอ่อนมีโบว์เล็กๆน่ารักติดอยู่เช่นกัน แสงแดดตกกระทบลงบนผมของเธอสะท้อนแสงเป็นประกายเงางาม “สวัสดีค่ะปู่โจเซฟ” เธอทักทายโจเซฟด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ทั้งสามคนงุนงงไปตามๆกัน “สวัสดีจ้ามาร์ค” เธอหันไปทักมาร์คบ้าง มาร์คยังคงยิ้มให้อย่างงงๆ “คุณตำรวจคะ ไม่มีอะไรแล้วค่ะ เชิญตามสบายค่ะ”
“ขอบ-คุณ-ครับ” หลังจากสิ้นเสียงของหุ่นยนต์ตำรวจสองนาย ฟลางอิ้งร์คาร์สองลำนั้นก็บินฉิวหายวับไปในพริบตา เด็กสาวกลับมาสนใจเพื่อนของเธอต่อ เธอเดินเข้าไปหามาร์คใกล้ๆ
“จินนี่ เพเนปี้ เธอมาทำอะไรที่นี่” มาร์คถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
“เดี๋ยวปู่ไปก่อนนะหลานรัก สายมากแล้ว ปู่มีประชุมที่องค์กรณ์โบราณคดีแห่งชาติ” โจเซฟพูดตัดบทสนทนา "ปู่ลืมไปสนิทเลย"
“แต่ปู่จะไปส่งผมที่บ้านนี่ฮะ” มาร์คเถียงกลับอย่างหัวเสีย
“ก็หลานกับหัวขโมนตัวแสบเนี่ยทำให้ปู่ต้องล่าช้า ปู่กลับบ้านต้องเจอตัวมาร์คและเจ้าหัวขโมยนี่ด้วย เข้าใจมั้ย” โจเซฟพูดด้วยน้ำเสียงดุดันก่อนที่จะกระวีกระวาดเดินฝ่าฝูงชนไปยังฟลายอิ้งคาร์ แล้วขับมันออกจากที่นั่นอย่างเร่งรีบ
“ฉันสัญญา ฉันจะไม่ไปกับนายแน่” เด็กหนุ่มหัวขโมยพูดขึ้น “ปู่ของนายต้องเอาฉันเข้าตารางแน่ๆ”
“ฉันเชื่อว่าปู่ของมาร์คคงไม่ทำอย่างนั้นกับนายหรอกเรซคอร์น ฮอเรซ” จินนี่พูดขณะที่เดินเข้าไปช่วยพยุงตัวเรซคอร์นหัวขโมยจอมป่วนพร้อมกับมาร์คขึ้น เรซคอร์น ฮอเรซ เด็กหนุ่มกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก เขาจึงอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด แต่เขาเป็นเด็กฉลาดหัวไว เป็นนักวางแผนที่ดีได้ เขายังสอบเข้าโรงเรียนเทคโนโรบอทไฮสคูลได้อีกด้วย และยังได้อยู่ห้องเดียวกับมาร์คเช่นกัน แม้ว่าทั้งสองจะไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ มาร์คก็อดสงสารเรซคอร์นไม่ได้ เรซคอร์นอาศัยการขโมยของในโรงเรียนเพื่อนำของพวกนั้นมาแลกเป็นเงิน ด้วยความคิดอันแสนฉลาดพร้อมกับนักวางแผนที่ดี เรซคอร์นจึงไม่เคยถูกจับได้แม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งมาร์คก็แอบชื่นชมในตัวเรซคอร์นอยู่เล็กน้อย แต่ครั้งนี้น่าแปลก ดูเหมือนว่าเรซคอร์นจะจงใจให้ตัวเขาถูกจับได้ ส่วนจินนี่ เพเนโลปี้เด็กสาวผู้เลอโฉม เป็นเพื่อนร่วมห้องอีกคนของมาร์ค ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะมีหนุ่มๆมารุมล้อมเธออยู่ตลอดเวลาที่โรงเรียน เด็กสาวผู้เลอโฉมคนนี้เรียนเก่งไม่แพ้มาร์คเลยทีเดียว เธอเป็นเด็กเรียบร้อยและพิถีพิถันเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องเสื้อผ้า ซึ่งมันออกจะหวานแหววเกินไปซักนิด แต่เธอก็ยังแต่งตัวได้เรียบร้อย ไม่หวือหวามากนัก ซึ่งมาร์คก็แอบปลื้มเธอเล็กน้อย
“นายต้องกลับบ้านไปกับฉันนะเรซ” มาร์คบอกด้วยน้ำเสียงที่ขอร้องขณะที่เด็กทั้งสามกำลังก้าวเท้าเดิน
“ฉันจะไปถ้านายและปู่ของนายสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรฉันหรือเอาฉันเข้าตาราง” เรซคอร์นตอบกลับอย่างหวาดๆ
“ฉันสัญญา” มาร์คตอบพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร เรซคอร์นยิ้มกลับอย่างไว้ใจ
“คือหนุ่มๆ ฉันไม่อยากขัดนะ แต่ฉันต้องเดินกลับบ้านเหมือนพวกนาย ขอฉันไปด้วยนะ” จินนี่ขอร้องด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลก่อนที่ทั้งสองจะหันมาหาเธออย่างช้าๆ
“มีเหตุผลมั้ยที่เราจะไม่ให้เธอไปด้วยน่ะ” เรซคอร์นตอบอย่างกวนๆขณะที่จินนี่มองตอบอย่างค้อนๆ
“คือทั้งสองฟังนะ” มาร์คเริ่มต้นพูดขึ้นขณะที่ทุกคนกำลังมุ่งหน้าเดินตรงไปยังบ้านของตนเอง ซึ่งบ้านของจินนี่และบ้านของมาร์คอยู่ระแวกเดียวกัน จะเจอบ้านของจินนี่ก่อนเป็นอันดับแรก “วันนี้มีงานเลี้ยงที่โรงเรียน ฉันว่าจะลงไปหาอะไรทำที่ถ้ำใต้ตรงเก้าหลังโรงเรียน ตรงริมแม่น้ำหน่อยอ่ะ”
“โถมาร์ค ฉันนึกว่าเธอจะหยุดเรื่องหาสมบัติแล้วเสียอีกนะเนี่ย” จินนี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงขณะที่ทั้งสามกำลังเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆไป
“ฉันว่าก็ดีนะ ฉันหัวขโมยของโรงเรียนยังไม่เคยเข้าไปในถ้ำนั้นเลย และอีกอย่างในฐานะที่ฉันชำนาญเรื่องโรงเรียนนี้มากที่สุด ฉันยังไม่เคยเจออะไรที่โรงเรียนนี้ซึ่งดูจะมีค่าที่สุดเลย” เรซคอร์นอธิบายอย่างเห็นด้วย มาร์คยิ้มให้อย่างมีความหวัง
“เรซคอร์นเธอให้ท้ายเขามากเกินไปนะ” จินนี่ดุขึ้น หนุ่มทั้งสองสะดุ้งโหยง “เธอก็เหมือนกันนะมาร์คทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว”
“เธอก็รู้จินนี่ สมบัติคือชีวิตของฉัน ฉันหยุดทำมันไม่ได้หรอกน่า” มาร์คเถียงกลับอย่างทันควัน
“แต่เราไม่เคยเข้าไปในถ้ำนั้นนะ ถ้าหากมีพวกเจ้าสไตรเดอร์มอนล่ะ เราจะทำยังไง มันเสี่ยงถึงชีวิตเลยนะ” จินนี่เริ่มหัวเสียกว่าเดิม
“อย่างงั้นสิน่าสนุก ชีวิตเราต้องเจออะไรอีกเยอะที่เสี่ยงอันตรายน่ะ” เรซคอร์นบอกพลางตบบ่าเด็กสาวอย่างอ่อนโยน
“ฉันไม่เข้าไปในนั้นเด็ดขาดเลย” จินนี่ปฏิเสธ มาร์คหันมาหาเด็กสาวแล้วพยักหน้าเล็กน้อย
“งั้นเธอมาบ้านฉันตอนหนึ่งทุ่มตรงนะ เราจะรออยู่ที่นั่นรวมทั้งแองเจลล่าด้วย” มาร์คบอก จินนี่พยักหน้าอย่างเนือยๆก่อนที่สหายทั้งสามจะมุ่งหน้าเดินต่อไปเพื่อตรงไปยังบ้านของจินนี่
ขณะที่ทั้งสามเดินไปได้ครึ่งทางแล้วจู่ๆเสียงบางอย่างก็ดังขึ้น เสียงนั้นดังราวกับเสียงของฟ้าผ่า เสียงครืนๆนั่นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนทั้งสามมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างคืบคลานเข้ามาทุกขณะ เงา ความมืดเริ่มบดบังทุกสิ่งทุกอย่าง ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนละแวกนั้นหยุดทำกิจกรรมต่างๆแล้วหันมาสนใจกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป เศษกระดาษ ใบไม้เริ่มปลิวว่อนเป็นวง เสียงครืนๆราวกับฟ้าร้องยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มแห่กันออกมาดูเหตุการณ์ กลางถนนเริ่มว่างเปล่าไม่มีฟลายอิ้งคาร์ลอยลำเลยซักคัน จินนี่เอามือรวบผมที่ปลิวสยายเนื่องจากลมแรง มาร์คเอามือป้องตาพลางเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า ส่วนเรซคอร์นเอามือปัดฝุ่นที่ลอยคลุ้งทั่วบริเวณซึ่งทั้งสามยืนอยู่
ครืนนนนนน
บางสิ่งบางอย่างกำลังจะลงจอดในถนนที่ว่างเปล่า มันมีลักษณะคล้ายยานอวกาศขนาดใหญ่สีเงินวาว ดูสวยงามและดูใหม่เอี่ยม มันค่อยๆลอยลำลงมาเรื่อยๆ ลมพัดแรงขึ้นกว่าเดิม ต้นไม้เล็กๆนละแวกนั้นโค่นล้มไปเป็นทาง ผู้คนเริ่มล้อมวงเข้ามาเรื่อยๆ ยานลำนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันคือฟลายอิ้งคาร์ลำใหญ่มหึมาเท่ากับเรือลำหนึ่ง มาร์ค จินนี่ และเรซคอร์นค่อยๆถอยออกห่างเพื่อความปลอดภัย
ตึงงงงงงง ครืนนนนน
ลมเริ่มอ่อนแรงลง ยานมหึมาลำนั้นจอดลงอย่างช้าๆ จนในที่สุดขาตั้งทั้งสี่ด้านก็โผล่ออกมาจากใต้ยานเพื่อลองรับตัวยานเอาไว้ ยานนั้นจอดด้วยความชำนาญ ควันและฝุ่นเริ่มคลุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ทุกคนเอามือขึ้นมาป้องตาและจมูกและแหงนหน้ามองขึ้นดูยานอวกาศลำนั้นด้วยความสงสัยระคลตื่นเต้น
“ว้าวววว!!!” เสียงของผู้คน หุ่นยนต์และรอบเบสต่างๆดังมาทั่วทุกสารทิศอย่างไม่ขาดสาย
“นั่น มัน อะไรกัน” เรซคอร์นพูดตะกุกตะกักด้วยความตื่นเต้น
“ฉันรู้มันคือ ฟลายอิ้งคาร์ อาร์พีเอสรุ้น8500” มาร์คตอบพลางเดินเข้าไปใกล้ๆฟลายอิ้งคาร์ลำนั้นมากขึ้น แต่แล้วเสียงบางอย่างที่ดูคล้ายกับเสียงเปิดปรตูดังขึ้น มาร์คสะดุ้งก่อนที่จะก้าวออกห่างอย่างระมัดระวัง
“มันสวยมาก ฉันไม่เคยเห็นฟลายอิ้งคาร์ลำไหนที่สวยแบบนี้มาก่อนเลย” จินนี่พูดพลางเอามือปิดปากด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน
ร่างๆหนึ่งเดินออกมาจากยานลำนั้นอย่างช้าๆ ผ่านหมอกควันที่ยังคงลอยอยู่รอบๆบริเวณนั้น ร่างนั้นเริ่มเดินออกมาบนพื้นถนน มันทำให้ทั้งสามเห็นหน้าของเจ้าของร่างนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มใบหน้าซีดร่างเล็กผมสีทอง พร้อมกับชุดสูทสีน้ำเงิน เขากำลังเดินออกมาจากฟลายอิ้งคาร์ลำหรูอย่างช้าๆ ผู้คนเริ่มหันมาสนใจและมองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เขาเดินออกมาอยู่ตรงหน้าของสหายทั้งสามทันที เด็กหนุ่มแสยะยิ้มขึ้นทักทายทั้งสาม
“เฟเด็ด วิคเค็ด” มาร์คเรียกชื่อเด็กหนุ่มคนที่พยายามจะขับฟลายอิ้งคาร์เฉี่ยวเขาหน้าโรงเรียน
“อ่าวมาร์ค เจอกันอีกแล้วนะ” เฟเด็ดพูดพร้อมกับแสยะยิ้มพลางยืนมือมาเพื่อเป็นการทักทาย แต่มาร์คนิ่งเฉย เฟเด็ดจึงเก็บมือของเขาอย่างหงุดหงิด “เออ นายเนี่ยต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลยนะในการใช้ชีวิตในสังคม” เฟเด็ดย้อนคำพูดของมาร์คตอนที่เฟเด็ดเกือบขับฟลายอิ้งคาร์เฉี่ยวหัวของมาร์ค ตอนนี้มาร์คอยู่ในอารมณ์ที่ฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด เขาอยากจะชกหน้าเฟเด็ดอีกซักครั้งหนึ่งเหมือนตอนม.หนึ่ง ซึ่งทั้งสองเคยมีเรื่องชกต่อยกัน
“เฟเด็ดเธอเอามันมาจากไหนน่ะ” จินนี่ถามขึ้นด้วยความสงสัย เฟเด็ดเอี้ยวตัวไปมองฟลายอิ้งคาร์ลำหรูก่อนที่จะหันมาให้คำตอบ
“บ้านฉันรวย อย่างน้อยก็ไม่ได้ขโมยใครกิน” เด็กหนุ่มนิสัยร้ายพูดขึ้นก่อนที่จะเหล่ตาไปหาเรซคอร์น ซึ่งเริ่มมีอาการโมโหตามๆกัน หัวขโมยน้อยเริ่มมีลมออกหูและทำจมูกฟุดฟิดด้วยความโกรธ เขากำหมัดทั้งสองข้างเพื่อเตรียมพร้อมที่จะสู้ เฟเด็ดแสยะยิ้มก่อนที่จะตะโกนพูดกับฝูงชนที่ห้อมล้อมเข้ามาใกล้ฟลายอิ้งคาร์ลำหรูมากขึ้น “ทุกคน!” เขาตะโกนอย่างสุดเสียง “ผมเฟเด็ด วิคเค็ด ลูกชายของนายกเทศมนตรีกระทรวงโรบอทคนปัจจุบัน บาดีล วิคเค็ดพ่อของผมเอง และการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีครั้งใหม่ที่จะถึงนี้ ถ้าพ่อของผมยังคงเป็นนายกเทศมนตรีคนเดิม ผมรับรองและรับประกันเลยว่าชีวิตเศรษฐีของพวกคุณนั้นจะดีขึ้นแน่นอน” คนบางส่วนเริ่มถอยห่างจากคำพูดของเฟเด็ดที่ดูไม่น่าเชื่อถือ จินนี่ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ได้โปรดฟังผมก่อน ทุกคนจะมีสิทธิ์ใช้ฟลายอิ้งคาร์รุ่นใหม่นี้ ทุกคน ฟังผมก่อน” เฟเด็ดตะโกนยื้อผู้คนที่กำลังเดินออกห่างเรื่อยๆอย่างไม่ใยดี
“เสียใจด้วยเฟเด็ด พวกเขาไม่ฟังนายหรอก” เรซคอร์นพูดอย่างกวนประสาทก่อนที่จะแสยะยิ้มอย่างมีชัย
“ใช่สิ ไม่มีใครสนับสนุนพ่อฉันอยู่แล้วนี่” เฟเด็ดพูดอย่างโมโหระคลประชดเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันมาหามาร์ค “รวมทั้งปู่ของนายด้วย ปู่ของนายก็แค่โดนสลัดทิ้งออกจากกระทรวงโรบอทก็เท่านั้นแหละ”
“อย่ามาว่าปู่ของฉันเสียๆหายๆแบบนี้นะ!” มาร์คพูดพลางเดินเข้าไปผลักใหล่เฟเด็ด เด็กหนุ่มโมโหมากขึ้นกว่าเดิม จินนี่เดินเข้าไปใกล้ๆมาร์ค “เขาเป็นคนสร้างกระทรวงขึ้นมา ไม่ใช่พ่อนาย อย่านึกนะว่าเราไม่รู้เรื่องของพ่อนายกับเหล่ากระทรวงมืด”
“นายสนใจด้วยหรอ นึกว่าจะเอาแต่ขุดสมบัติทั้งวันเสียอีก” เฟเด็ดเริ่มกวนประสาทมากกว่าเดิมเช่นกัน
“พอเถอะเฟเด็ด” จินนี่บอกพลางเดินเข้าไปฉุดแขนมาร์ค “อย่าไปสนใจมาร์ค กลับบ้านกัน” มาร์คค่อยๆใจเย็นลงก่อนที่ทั้งสามจะกลับหลังหันเพื่อเดินกลับบ้านต่อ แต่แล้วเฟเด็ดก็เรียกพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ พวกนาย” เฟเด็ดเรียกขึ้น สามสหายหันไปหาเฟเด็ดอีกครั้ง เขากำลังล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันคือชิ้นส่วนทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดเท่าก้อนหิน และที่สำคัญมันเป็นสีทองอร่าม เฟเด็ดชูมันขึ้น เมื่อชิ้นส่วนนั้นกระทบกับแสงแดด มันเปล่งแสงจ้าบาดตาทำให้มาร์ค จินนี่และเรซคอร์นต้องเอามือป้องตาตัวเอง แสงสีทองนั้นค่อยๆพวยพุ่งแผ่รัศมีออกไปเรื่อยๆทำให้ถนนละแวกนั้นกลายเป็นสีทอง ประกายระยิบระยับเริ่มปรากฏขึ้นราวกับเพชรเม็ดงาม เฟเด็ดค่อยๆเอามันลงมา จนในที่สุดทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติ แสงสีทองอร่ามเมื่อครู่นี้หายไปในพริบตา เด็กหนุ่มเอามันเก็บใส่กระเป๋ากางเกงตามเดิม “ว่าไงล่ะ มันคือทองคำแท้เชียวล่ะ มีขนาดเบามากด้วย และฉันก็เป็นคนเจอมันที่แม่น้ำหลังโรงเรียน นายอยากได้ใช่มั้ยล่ะมาร์ค นายชอบนี่”
“อย่าไปฟังมันมาร์ค” เรซคอร์นบอกขณะที่มาร์คกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“มาร่วมมือกัน แล้วนายจะได้ทุกอย่างตามต้องการ” เฟเด็ดเริ่มเดินเข้ามาใกล้ๆมาร์คที่กำลังสับสนและตัดสินใจ
“ขอบใจนะ แต่ไม่ดีกว่า” แต่แล้วมาร์คก็ตัดสินใจพูดออกมา ทั้งที่เขาแอบเสียดายเล็กน้อย เขาน่าจะเป็นคนพบทองคำนั่น แต่กลับเป็นเฟเด็ด “ฉันไม่ทำงานสกปรกกับพวกนายหรอก”
“แล้วนายจะรู้ว่าพ่อของฉันมีอำนาจมากแค่ไหน” เฟเด็ดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูหยิ่งยโส “พวกนายคอยดูเมืองนี้จะต้องมีการปฏิวัติ และทุกอย่างจะตกอยู่ในอำนาจของพ่อฉัน” เมื่อเฟเด็ดพล่ามเรื่องอำนาจขอพ่อทูนหัวเขาเสร็จ เด็กหนุ่มก็เดินขึ้นไปบนฟลายอิ้งคาร์ เสียงครืนๆราวกับฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง ลมเริ่มกรรโชกแรงขึ้น ก่อนที่ฟลายอิ้งคาร์ลำหรูจะเคลื่อนตัวออกแล้วบินหายวับไปในทันทีทันใด
“หายนะชัดๆเลย” เรซคอร์นพูดขึ้นขณะที่ทั้งสามเดินทางกลับบ้านต่อ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเหล่ากระทรวงมืดยึดอำนาจทั้งหมดบนโลกนี้”
“เราก็อยู่ไม่ได้น่ะสิ มันต้องมีใครออกมาต่อต้านบ้างน่ะแหละ” จินนี่เถียงกลับ “ไม่มีใครอยู่เฉยหรอก ถ้าเหล่ากระทรวงมืดยึดครองอำนาจทั้งหมด”
“ฉันว่าซักวันมันอาจจะเกิดสงคราขึ้นก็ได้” มาร์คออกความคิดเห็นบ้าง
“ถ้างั้นเราจะรบกับเหล่ากระทรวงมืดหรอ” เรซคอร์นถามขณะที่เดินปลีกตัวออกห่างจากเสาไฟ
“ใช่แล้ว แล้วถ้าถึงวันนั้น ฉันก็จะออกรบด้วย” จินนี่พูดขณะที่หัวเราะเล็กน้อย
ทั้งสามเดินมาถึงหน้าโรงเรียนอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วพวกเขาก็ต้องหยุดชะงักแล้วสอดส่องสายตาเข้าไปในโรงเรียน ซึ่งภายในโรงเรียนนั้นดูชุลมุนวุ่นวายกันยกใหญ่ เนื่องจากงานเลี้ยงปิดเทอมในคืนนี้ โต๊ะอาหารชุดหรูมากมายถูกจัดวางให้เข้าที่เข้าทางพร้อมกับเก้าอี้ตรงกลางของสนาม ด้านหน้านั้นเป็นเวทีรูปทรงห้าเหลี่ยมสุดอลังการและยิ่งใหญ่ ช่อดอกไม้หลากหลายสีสันต์ถูกจัดเรียงบนเวทีอย่างสวยงาม เครื่องดนตรีต่างๆถูกจัดเรียงไว้บนเวทีเรียบร้อยแล้ว ส่วนด้านบนโต๊ะอาหารทั้งหลายนั้นถูกตบแต่งไปด้วยโคมระย้าคริสตัลมากมายหลากสีสันเช่นเดียวกัน ลำโพงขนาดใหญ่มหึมาถูกวางไว้ทั้งสองข้างของเวที ส่วนซุ้มอาหารต่างๆก็เริ่มมีวางเรียงเป็นแถวยาวราวกับรถไฟขบวนหนึ่ง
“สุดยอด!” เรซคอร์นอุทานขึ้นขณะที่สายตาทั้งสองกำลังจ้องมองงานเลี้ยงสุดหรูที่กำลังถูกจัดขึ้น ส่วนมาร์คมองที่อีกฟากของงาน ถ้ำขนาดใหญ่ริมแม่น้ำหลังโรงเรียนนั้นเงียบสงัด ปากทางเข้าถ้ำนั้นมืดสนิทไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอะไรเลยที่จะอยู่ละแวกนั้น
“ยังอยากเข้าไปอยู่ใช่มั้ย” จินนี่บอกขณะที่แตะใหล่มาร์คเบาๆอย่างเป็นห่วง มาร์คพยักหน้ากลับ “งั้นฉันจะช่วยอีกแรง” จินนี่ตอบ มาร์คยิ้มอย่างมีความหวัง
“เอาเถอะ ยังไงซะ เราต้องรีบกลับบ้านก่อนไม่ใช่หรอ” เรซคอร์นบอกแล้วทั้งสามก็ออกตัวเดินต่อไป
จนในที่สุดทุกคนก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านของจินนี่ ซึ่งเป็นบ้างสองชั้นถูกทาด้วยสีชมพูอ่อนสดใส กลิ่นหอมของดอกไม้ในบ้านเธอส่งกลิ่นอบอวลมาด้านนอก แปลงดอกไม้และสวนถูกตกแต่งอย่างสวยงามไม่รกรุงรัง ฟลายอิ้งคาร์สองลำถูกจอดอยู่ในโรงรถข้างบ้าน ตอนนี้ประตูรั้วสีชมพูขนาดใหญ่ถูกเปิดออกด้วยระบบบังคับด้วยรีโมท ทั้งสามเดินเข้ามาในบ้านของจินนี่อย่างช้าๆ เรซคอร์นสอดส่องสายตามองไปรอบๆบ้าน เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้นทำให้ทั้งสามต้องหยุดชะงักลง
“จินนี่ลูกรัก กลับมาแล้วหรอจ้า” เสียงของคุณนายเพเนโลปี้ดังขึ้น แม่ของจินนี่ซึ่งมีหุ่นที่ผอมเพรียวและผมสีทองดัดเป็นรอน จินนี่ถอดแบบออกมาจากแม่ของเธอไม่ต่างกันเลย คุณนายเพ้นโลปี้เดินมาหาลูกสาวช้าๆด้วยเสื้อผ้ากระโปรงยาวสีชมพูและรองเท้าใส่ในบ้านสีชมพูเข้ม
“สวัสดีฮะคุณนายเพเนโลบี้” เรซคอร์นและมาร์คทักทายแม่ของจินนี้พร้อมกัน
“สวัสดี ขอบคุณเธอทั้งสองมากนะที่มาส่งจินนี่ถึงที่บ้าน” คุณนายเพเนโลปี้พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรพลางยิ้มทักทาย หนุ่มทั้งสองยิ้มกลับอย่างเขิน “จินนี่เร็วรีบไปแต่งตัว แม่จะให้ลูกไปเดินแบบที่โรงเรียนคืนนี้” มาร์คและเรซคอร์นมองหน้ากันอย่างสงสัย
“อะไรนะแม่” จินนี่โพล่งขึ้นอย่างตกใจ “แม่จะให้หนูไปเดินแบบที่งานที่โรงเรียนหรอ”
“ใช่จ้า แม่เตรียมชุดให้ลูกแล้วนะ ลูกจะปฏิเสธหรอ แม่อุตส่าห์เสียตังค์ซื้อชุดสวยๆแพงๆเพื่อให้ลูกใส่ไปงานนี้โดยเฉพาะเลยนะจ้า” แม่ของเด็กสาวอธิบายพลางเดินเข้าไปจูงมือจินนี่เข้าบ้าน
“เดี๋ยวเจอกันที่บ้านเธอนะมาร์ค กลับบ้านดีๆล่ะ” จินนี่บอกพร้อมกับโบกมือลาหนุ่มๆทั้งสองที่ยังคงงุนงงกับสิ่งที่คุณนายเพเนโลปี้พูด และแล้วทั้งสองก็เดินออกจากบ้านของจินนี่ไปอย่างรวดเร็วแล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของมาร์คทันที
“จบกัน จินนี่ไปไม่ได้แล้ว” เรซคอร์นพูดอย่างหมดหวังขณะที่ทั้งสองกำลังเดินผ่านถนนที่ทั้งสองข้างทางป่าทึบสนิท ทุกอย่างเงียบสงัดมีเพียงเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของต้นไม่ที่ลู่ลมไหวไปมา
“อย่างน้อยเรามีแองเจลล่าอีกคน” มาร์คบอกขณะที่เดินเหยียบเศษกิ่งไม้และใบไม้ดังกรอบแกรบ ส่วนเรซคอร์นก็ได้แต่พยักหน้าพลางมองสำรวจไปรอบๆ ไม่มีฟลายอิ้งคาร์ผ่านมาทางนี้ซักลำเดียว ลมพัดเอื่อยๆชวนเด็กหนุ่มทั้งสองเริ่มขนลุก
“นี่มาร์คซอยบ้านนายนี่มันเปลี่ยวจริงๆเลย หาที่อยู่ใหม่ได้แล้วมั้งเนี่ย” เรซคอร์นบอกอย่างระแวงขณะที่มองบรรยากาศรอบๆตัวเขา “ทำไมหนาวจัง” มาร์คหยุดชะงักพลางหันหน้ามองซ้ายมองขวา
ทั้งสองเริ่มมีความรู้สึกเดียวกัน ความหนาวเหน็บและเยือกเย็นเริ่มคืบคลานมาเรื่อยๆ เรซคอร์นเริ่มมีอาการขนลุกและสั่นไปมา ความมืดถาโถมเข้ามาทุกขณะไม่มีท่าทีว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดเลย ลมเริ่มหยุดพัดอย่างช้าๆ ต้นไม้หยุดไหว และฝูงนกต่างๆพากันบินหนีว่อนไปคนละทิศละทาง หมอกหรือควันอะไรบางอย่างเริ่มลอยเข้ามาหาพวกเขาช้าๆ มาร์คและเรซคอร์นค่อยๆเขยิบออกห่าง มีไอออกมาจากปากของพวกเขาทุกขณะในยามที่เขาหายใจ
“เกิดอะไรขึ้น” เรซคอร์นถามด้วยท่าทางที่ตื่นๆ เด็กหนุ่มก้าวออกมาทีละก้าวพลางสอดส่องสายตาไปรอบๆเพื่อความปลอดภัย
“กลิ่นอะไรน่ะ” มาร์คถามขึ้นขณะที่มีกลิ่นเหม็นเน่าเหมือนซากสัตว์ที่ตายมาหลายวันแล้วลอยโชยมาเตะจมูกของเขา เด็กหนุ่มก้าวถอยไปพร้อมๆกับเรซคอร์นที่กำลังตื่นกลัว แต่แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นอยู่ในหูของพวกเขาทั้งสอง มันดังเข้ามาใกล้ทุกที เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงคำรามของปีศาจที่ร้องโหยหวนราวกับจะขาดใจตาย หมอกนั่นยังคงลอยเข้ามาหาพวกเขาเรื่อยๆ จนในที่สุดมาร์คก็เห็นร่างๆหนึ่งปรากฏอยู่ในหมอกนั้น มันเป็นร่างสีดำทมิฬซึ่งค่อยๆลอยมาพร้อมกับหมอก “นั่นมันดูเหมือนผีดิบ” มาร์คบอกขณะที่จ้องสายตาไปที่เงาดำนั้น
“ฉันหนาวไม่ไหวแล้ว” เรซคอร์นบอก เขาเริ่มเห็นเงาดำอีกตัวหนึ่งซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามา “มันมีสองตัว”
“วิ่ง!!!!” มาร์คตะโกนขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเท้าวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต
วืบบบบบบบ
ขณะที่ทั้งสองก้าวเท้าวิ่งอย่างรวดเร็ว เงาสีดำทมิฬสองร่างนั้นก็พวยพุ่งออกมาจากสายหมอก มันคือผีดิบในป่าทึบซึ่งไม่ได้ออกมาหากินเป็นปีแล้ว เสื้อผ้าของมันฉีกขาด ส่วนร่างกายของมันนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลเน่าเฟะมากมาย น้ำหนองสีเหลืองขุ่นค่อยๆไหลเยิ้มทั่วใบหน้าของพวกมันซึ่งบูดบี้ดูไม่ได้รูป มาร์คกับเรซคอร์นเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกผีดิบกลับพวยพุ่งเข้ามาหาพวกเขาเร็วมากกว่าเดิม ทั้งสองวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตและไม่คิดที่จะหันหลังกลับไป ส่วนผีดิบสองตนนั้นก็ได้หอบเอาหมอกแห่งความหนาวเหน็บตามพวกมันมาด้วย ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวกว่าเดิม พวกผีดิบไม่สามารถโดนแสงแดดได้
ปึก
“โอ๊ยยย!!!” เรซคอร์นร้องขึ้นเมื่อเขาสะดุดล้มลงจนหน้ากระแทกพื้น มีเลือดเล็กน้อยไหลออกจากจมูกเด็กหนุ่ม เขาพยายามที่จะพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น แต่สายเสียแล้ว ผีดิบตนหนึ่งลอยเข้ามาใกล้เรซคอร์น พร้อมกับส่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย เด็กหนุ่มเริ่มร้อนผ่าวที่ใบหน้าพร้อมกับจมูกที่เจ็บแปลบๆ
กรรรรรร กรรรรรรร
เสียงของปีศาจร้ายนั้นดังไม่หยุดหย่อน มันค่อยๆใช้เล็บมือทั้งสองข้างจิกลงไปที่หัวของเรซคอร์น อย่างเต็มแรงจนเลือดไหลซิปไม่หยุดเลย เด็กหนุ่มร้องอย่างเจ็บปวดทรมานพลางดิ้นไปมา ในที่สุดมาร์คก็ช่วยเพื่อนของเขาไว้ทัน
ปึก
หินก้อนใหญ่ถูกมาร์คปากระเด็นเข้าเต็มๆศีรษะ ผีดิบร้องคำรามอย่างเจ็บปวดก่อนที่จะล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่พื้นพลางเอามือกุมที่หัวอย่างเจ็บปวดทรมาน มาร์คเดินเข้าไปพยุงตัวเรซคอร์นขึ้น ร่างของเขานั้นอาบไปด้วยเลือด เด็กหนุ่มเริ่มได้สติอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งหนีเพื่อที่จะออกจากรัศมีความมืดนี้ให้ได้ ขณะที่มาร์คกำลังจะก้าวขานั้นเอง ผีดิบอีกตัวก็พวยพุ่งออกมาจากหมอกอย่างไม่ทันตั้งตัว มันมาหยุดอยู่ตรงหน้าของมาร์คพร้อมกับง้างฝ่ามือขนาดใหญ่แล้วตบลงไปที่ใบหน้าเด็กหนุ่มอย่างจัง มาร์คล้มตัวลงกับพื้นก่อนที่ผีดิบตนนั้นจะยื่นปากอันเหม็นเน่าเข้ามาใกล้ๆกับมาร์คมากขึ้น มันอ้าปากกว้างจนน้ำหนองและเลือดเริ่มไหลออกมาแล้วหยดลงบนใบหน้าของมาร์ค เด็กหนุ่มพยายามสะบัดใบหน้าเพื่อเอาน้ำที่เหม็นเน่านี้ออก และแล้วมาร์คก็กลั้นใจเอามือของเขาเองยัดเข้าไปในปากของผีดิบที่กำลังอ้าอยู่ มันเริ่มร้องครวญครางพร้อมกับเอาเล็บจิกที่มือของมาร์คซึ่งยังคงล้วงเข้าไปลึกจนสุดแขน จนในที่สุดผีดิบตนนั้นทนไม่ไหว มันจึงปล่อยอ้วกที่เหม็นเน่าลงบนตัวมาร์คอย่างกลั้นไม่ได้ มีบางสิ่งบางอย่างหลุดออกมาด้วย บางอย่างที่ดูคล้ายคริสตัลหรือเพชรหรืออะไรสักอย่าง มันร่วงลงสู่พื้นก่อนที่จะกลิ้งไปตามทางช้าๆ มาร์คพยายามเอามือออกจากปากของผีดิบ แต่มันติดอะไรบางอย่างในนั้น
เรซคอร์นวิ่งด้วยความเหนื่อยหอบมาพ้นรัศมีแห่งความมืดแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นมาร์คตามมาด้วย เด็กหนุ่มกำลังจะวิ่งกลับเข้าไปในหมอกเพื่อช่วยเพื่อนของเขาแต่ เขากลับเห็นอะไรบางอย่างดูเหมือนคริสตัลกลิ้งมาแล้วสะท้อนเข้ากับแสงแดด แสงนั้นเข้าตาเรซคอร์นจนทำให้เด็กหนุ่มแสบตาแล้วทรุดลงกับพื้นทันที ก่อนที่เขาจะเอื้อมไปหยิบคริสตัลนั้นขึ้นมาก่อนที่จะทำให้มันสะท้อนกับแสงอีกครั้ง จนในที่สุดแสงก็พวยพุ่งเข้าปะทะกับหมอกสีเทาทันที ความมืดมิดและหมอกค่อยๆจางหายไปอย่างช้าๆ และแล้วแสงนั้นก็ตรงเข้าไปหาผีดิบที่ทำร้ายมาร์คพอดี เสียงคำรามและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทรมานของมันนั้นดังไปทั่วทุกสารทิศเมื่อมันโดนแสงแดด
บึ้มมมมม
ร่างของผีดิบตนนั้นทนความร้อนของแสงไม่ได้ มันจึงขยายตัวขึ้นก่อนที่จะระเบิดอย่างเต็มแรง ชิ้นส่วนต่างๆของร่างกายมันถูกแยกออกเป็นชิ้นเกชิ้นน้อยก่อนที่จะกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนผีดิบอีกตัวก็ลอยหนีหายวับไปกับความมืดและหมอกที่มันนำมา ทุกอย่างกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง แสงแดดอ่อนๆค่อยๆถาโถมเข้ามาแทนที่ เรซคอร์นวางคริสตัลนั้นลงก่อนที่จะวิ่งเข้าไปช่วยพยุงตัวของเพื่อนอย่างไม่รีรอ ร่างของมาร์คนั้นเต็มไปด้วยเนื้อเยื่อต่างๆมากมายของผีดิบตนนั้นพร้อมกับเลือดที่เหม็นเน่าเหมือซากสัตว์ที่ตายมาหลายวันแล้ว มันไม่ได้กลายเป็นเถ้าถ่าน
“ไม่เป็นไรนะมาร์ค” เรซคอร์นถามขึ้นก่อนที่จะพยุงร่างมาร์คซึ่งลุกขึ้นอย่างช้าๆ แล้วเขาทั้งสองก็เดินไปข้างทาง
“ทำไมจู่ๆพวกผีดิบป่าถึงกลับมาโจมตีอีกครั้ง” มาร์คถามอย่างสงสัย ก่อนที่จะปัดเนื้อเยื่อส่วนต่างๆออกจากเสื้อของตนเอง ส่วนเรซคอร์นก็เอามือปาดเลือดที่ศีรษะอย่างเบาๆ
“มันคงหิวจริงๆ” เรซคอร์นตอบ
“ไม่ ไม่มีทางเป็นได้ ในป่ามีสัตว์ต่างๆมากมายที่คอยเป็นอาหารพวกมัน แต่ทำไมมันถึงโจมตีอีกครั้ง” มาร์คกำลังไขปริศนาทุกอย่างด้วยความสงสัย “มันไม่เคยโจมตีมนุษย์มานานแล้วนะ ฉันเดินผ่านตรงนี้ประจำไม่เห็นเจออะไรเลย”
“แต่เราเจอนี่” เรซคอร์นพูดขึ้นก่อนที่จะเดินไปหยิบคริสตัลสะท้อนแสงนั้นแล้วยื่นมันให้มาร์ค “ฉันใช้เจ้านี่ฆ่ามัน”
“นายเยี่ยมมาก” มาร์คบอกก่อนที่จะรับคริสตัลนั้นมาอย่างช้าๆ เขาเอามันเข้ามาใกล้ๆมากยิ่งขึ้นเพื่อตรวจสอบ คริสตัลนี้มีลักษณะกลมและแบนคล้ายกับเหรียญแต่ใหญ่กว่า มีส่วนที่นูนออกมาซึ่งเป็นรูปดาว และที่สำคัญมันมีสีฟ้าใสและสวยงาม “คริสตัลห้าพระองค์” มาร์คโพล่งขึ้น
“ฉันไม่รู้นะว่ามันคืออะไร แต่มันมาจากไหนน่ะ” เรซคอร์นถามอย่างสงสัยก่อนที่จะเข้าไปสังเกตมันบ้าง
“มันหลุดออกมาตอนที่ฉันล้วงคอมัน” มาร์คบอกก่อนที่จะเก็บคริสตัลสีฟ้าใสเข้ากระเป๋าโดยเร็ว
“มันกินเข้าไปได้ไงน่ะ” เรซคอร์นถามพลางทำหน้าเหมือนคนกำลังจะอาเจียนและเบ้หน้าใส่
“เราต้องเอามันไปตรวจสอบที่บ้านฉันโดยด่วนเลย” มาร์คบอกก่อนที่จะก้าวเท้าเดิน
“ก่อนจะตรวจสอบมัน ฉันว่าอาบน้ำก่อนได้มั้ย ตัวนายเหม็นเน่ามาก” เรซคอร์นแซวก่อนที่จะก้าวเท้าเดินตาม เขาหัวเราะเยาะเย้ยมาร์คอย่างสะใจ พลางเอามือโอบใหล่เพื่อนชายไว้ด้วยความเป็นมิตร
••.•´¯`•.•• ••.•´¯`•.••
ความคิดเห็น