คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : chapter 3 ...ตำนานแห่งกษัตริย์...
...ตำนานแห่งกษัตริย์...
สมบัติชิ้นโปรดของคุณชิ้นไหนที่ดึงดูดคุณได้ดีที่สุด คุณคงอาจจะไม่เคยคิดว่าสมบัติของคุณที่คุ้นเคยอย่างดี จะกลายเป็นสิ่งที่คนกลุ่มเล็กๆต้องการมัน เพราะบางทีสมบัติที่คุณรักและหลงใหลอาจจะนำภัยพิบัติหรือความหายนะมาสู่ตัวคุณก็เป็นได้ สมบัติล้ำค่าจากอดีตกาลได้ถูกค้นพบขึ้นในโลกอนาคต เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่จินตนาการของผมสั่งให้ผมต้องถ่ายเรื่องราวของสมบัติชิ้นนี้สู่ตัวอักษร เรื่องราวการผจญภัยจึงเริ่มขึ้น
ออโรทอป ซิตตี้ ปี 8500
“เฮ้เจ้าทึ่ม ปัญญานิ่ม ยืนเซอะอะไรตรงนี้วะ” เสียงที่ร้ายกาจนี้ดังมาจากกลุ่มของเด็กหนุ่มสี่ห้าคนที่กำลังเดินผ่านรั้วเหล็กสีเงินไปอย่างช้าๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะคิกคักสนุกสนาน ใต้รั้วเหล็กนั้นมีเด็กหนุ่มเคราะห์ร้ายยืนอยู่ เขาได้ยินเสียงของกลุ่มวายร้ายพวกนั้นแต่ก็ยังทำตัวนิ่งไม่ไหวติง เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ชื่อ มาร์ค เทรชเชอร์ ถ้าดูจากภายนอก เขาเป็นคนเงียบๆและออกจะดูปัญญานิ่มอย่างที่เด็กหนุ่มๆกลุ่มนั้นบอกก็เป็นได้ แต่แก่นแท้ของเด็กหนุ่มวัยสิบหกปีคนนี้คือ ความฉลาดล้ำลึก ถึงแม่ว่าในห้องเรียนเขาจะเอาแต่หลับใหลไปกับจินตนาการที่ฝันหา แต่พอการสอบไฟนอลของทุกปีมาถึง เขาก็มักจะทำได้และได้คะแนนดีเสมอ และที่สำคัญเขาก็ชินกับการที่โดนคนอื่นๆดูถูก ถึงแม้ว่าสิ่งที่ใครๆพูดอาจจะไม่น่าพิศมัยก็ตาม
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญของมาร์คแล้วล่ะ ในวันนี้เป็นวันปิดภาคเรียนใหญ่ที่เทคโนโรบอทไฮสคูล วันที่นักเรียนหนุ่มสาวต่างรื่นเริงและมีความสุขกันถ้วนหน้า เพราะพวกเขาได้หลุดพ้นจากความเหนื่อยที่ต้องทนาหนึ่งปีเต็ม การบ้าน หนังสือ งานการทุกอย่างที่ต้องทำไมตลอดหนึ่งปีนั้นได้ถูกสลัดทิ้งออกจากหัวสมองของหนุ่มสาวไฮสคูลไปหมดแล้ว
ตอนนี้มาร์คยืนรอให้ปู่ของเขามารับอย่างใจจดใจจ่อ สายตาทั้งสองของเขาจ้องมองยานพาหนะที่ลอยอยู่ในอากาศวนเวียนผ่านหน้าเขาไปคันแล้คันเล่า เจ้าสิ่งนี้เองถูกเรียกว่า ฟลายอิ้งคาร์ ยานพาหนะสุดไฮเทคหลากรูปแบบ ที่สามารถขับเคลื่อนไปไหนมาไหนได้บนอากาศโดยใช้เพียงแค่น้ำสะอาดเท่านั้น มันถูกประดิษฐ์ขึ้นโดย คาร์ซัส ทอมสัน เศรษฐีที่มีชื่อเสียง เขาเป็นเจ้าของฟลายอิ้งคาร์ทุกคันบนโรโบเทีย และเขายังเป็นคนที่คิดค้นเสาะหาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อฟลายอิ้งคาร์ของเขาอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้น เศรษฐีในโรโบเทียก็ไม่ได้มีเพียงคนเดียวในโลก แต่ยังมีเศรษฐีอีกมากมายเช่น มิสเตอร์มูลดิส อิสซราดัม กับภรรยาในออราทอป ซิตตี้เมืองฝาแฝด ทั้งสองเป็นเจ้าของกิจการเครื่องเพชรระดับโลก ซึ่งเครื่องเพชรแต่ละชิ้นนั้นไม่ซ้ำกันเลย มิสเตอร์ โพเจอร์ ที่ร่ำรวยทางด้านการค้าอาวุธเถื่อนระดับโลก แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ค้าอาวุธเถื่อนพวกนั้นแล้วหลังจากที่เขาเข้าเรือนจำเมสตริกซ์ในออราทอป ซิตตี้ และยังมีมิสเตอร์ โจเซฟ เทรชเชอร์ ปู่ของเด็กหนุ่มหน้าตาดีคนนั้น โจเซฟ เทรชเชอร์ เขาเป็นนักโบราณคดีชื่อดังที่ชื่นชอบเรื่องของสมบัติล้ำค่า เรื่องราวผจญภัยต่างๆนั้น เขาสามารถเล่ามันโดยที่ไม่เบื่อเลย เพราะเขาเป็นนักค้นหาสมบัติเช่นกัน แต่ตอนนี้พละกำลังและแรงที่หลงเหลือของเขาตอนนี้นั้นไม่เหมาะที่จะค้นหาสมบัติแล้ว เขาแก่มากแล้ว และได้สืบทอดงานนี้ให้แก่หลานชายสุดที่รักของเขา มาร์ค
ผึบ ฟิ้วววววววว
“เฮ้ ยืนระวังหน่อยสิเจ้าทึ่ม” เสียงของฟลายอิ้งคาร์คันหนึ่งดังขึ้นผ่านหูของมาร์คำไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขากระเด็นออกจากรั้วทันทีเมื่อฟลายอิ้งคาร์คันนั้นที่กำลังจะเฉี่ยวเขา เด็กหนุ่มใบหน้าซีดเผือดกับผมสีทองผู้ขับฟลายิ้งคาร์คันนั้นพูดขึ้นอย่างกวนๆ มาร์คเงยหน้าไปปะทะกับใบหน้าซีดเผือดนั้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“นายเกือบจะชนฉันแล้วนะ” มาร์คตะโกนกลับไปอย่างหาเรื่อง เด็กหนุ่มบนฟลายอิ้งคาร์เลิกคิ้วอย่างกวนประสาทก่อนจะพูดขึ้น
“แล้วใครใช้ให้นายมายืนเซ่ออยู่ตรงนี้เล่า” เด็กหนุ่มหน้าซีดคนนั้นเถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ มาร์คถอนหายใจอย่างแรงก่อนจะโต้กลับไป
“เฟเด็ด วิคเค็ด” มาร์คเรียกชื่อเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้น เฟเด็ด เด็กหนุ่มบนฟลายอิ้งคาร์สะดุ้งโหยง “นายต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในสังคม”
“นายกล้าเรียกชื่อฉันหรอ ไอเด็กเมื่อวานซืน” เฟเด็ดเริ่มหัวเสีย เขาตะคอกพลางชี้นิ้วมาทางมาร์คอย่างไม่ใยดี “แล้วเราเจอกันแน่” หลังจากนั้นเขาก็เอานิ้วอันซีดเผือดที่ชี้ไปที่มาร์คเมื่อซักครู่มาทำท่าปาดที่คอของตัวเองอย่างช้า มาร์คไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง ก่อนที่เฟเด็ดจะหายไปกับยานพาหนะเหินฟ้า ฟลายอิ้งคาร์ลำนั้น เด็กหนุ่มถอนหายใจหนึ่งเฮือก ก่อนที่จะมองซ้ายมองขวาอีกครั้งเพื่อหาปู่ของตน แต่มันยิ่งทำให้มาร์คมองยานพาหนะที่ผ่านไปผ่านมาได้ยากขึ้น เมื่อหุ่นยนต์ รอบเบสและคนอีกหลายๆคนนั้นเริ่มเดินกันขวักไขว่หนาตามากขึ้น แต่มันก็ทำให้เห็นความสัมพันธุ์อันดีงามระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งสามที่มีต่อกัน
“มาร์ค เทรชเชอร์” เสียงของผู้สูงอายุคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางฝูงชนที่โกลาหล มาร์คหันหน้าตามต้นเสียงในทันที เขาเห็นชายสูงอายุคนหนึ่ง ใส่สูท ผูกเน็กไทด์ ยืนยิ้มให้เขา ปู่โจเซฟอายุหกสิบแปดปี ยังคงดูแข็งแรง เขาเดินเข้ามาหามาร์คอย่างช้าๆด้วยยิ้มที่แจ่มใส เด็กหนุ่มยิ้มกลับเช่นกัน “มาร์ค เด็กหนุ่มที่กำลังจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกปี หลานขึ้นมอห้าแล้ว ปู่ดีใจด้วยนะ” ชายสูงอายุโผเข้ากอดเด็กหนุ่มอย่างอบอุ่น เขาค่อยๆเอามือลูบหัวเด็กหนุ่มอย่างช้าๆด้วยความอ่อนโยน มาร์คกอดปู่ของเขากลับเช่นกัน
“ปู่ไม่ต้องเดินมาหาผมก็ได้นี่ฮะ” มาร์คคลายกอดปู่ของเขาก่อนจะพูดขึ้น “ปู่รออยู่ที่รถแล้วโทรมาหาผมก็ได้ ผมจะได้เดินไป”
“โถ่เอ๊ย ปู่ยังแข็งแรงอยู่นะ มาร์คอย่าห่วงเลย” โจเซฟบอกอย่างดื้อดึง เขาโอบใหล่เด็กหนุ่มก่อนที่ทั้งสองจะก้าวเท้าเดินไปที่ฟลายอิ้งคาร์ “วันนี้ปู่จะพาหลานไปกินที่ร้านซอร์ควอ สนใจมั้ยล่ะ คับเค้กซักชิ้น หรือพายบลูเบอร์รี่ดีล่ะ กับกาแฟหรือนมสดซักแก้ว หลานว่าไง”
“ก็ดีฮะ แต่เนื่องในโอกาสอะไรอ่ะ” มาร์คถามอย่างสงสัยขณะที่ทั้งสองกำลังก้าวเท้าเพื่อที่จะขึ้นไปนั่งบนฟลายอิ้งคาร์ ซึ่งโจเซฟจอดมันไว้ตรงหัวมุมของถนนพอดี
“ก็ที่หลานปิดเทอมแล้วไง ทีนี้หลานก็จะสบายซักที ปู่ทนเห็นหลายเครียดไม่ได้น่ะ” โจเซฟบอกก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ ฟลายอิ้งคาร์สีเทาลำน้อยค่อยๆลอยขึ้นสู่อากาศและพร้อมที่จะเคลื่อนตัวออก
“ปู่ งั้นผมขออะไรอย่างหนึ่งได้มั้ย” เด็กหนุ่มถามขึ้น โจเซฟทำหน้าสงสัยพลางยักคิ้วให้หลานชาย “ปู่อย่าซิ่งได้มั้ยฮะ”
“มันก็ได้อ่ะนะ” ปู่ของเขาพูดขึ้นก่อนที่จะอมยิ้มอย่างมีเลศนัย “แต่มันติดอยู่ที่ว่า หลานบอกปู่ช้าไป” ในทันทีทันใดที่โจเซฟพูดจบ ฟลายอิ้งคาร์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วผ่านหุ่นยนต์ รอบเบส และผู้คนนับร้อยที่แตกตื่นอย่างโกลาหล โจเซฟขับฟลายอิ้งคาร์โฉบเฉี่ยวไปอย่างชำนาญ ส่วนมาร์คก็นั่งนิ่งเงียบไม่ไหวติงตามเคย เด็กหนุ่มนั่งมองหน้าโจเซฟที่กำลังบังคับพวงมาลัยอย่างเมามัน บางทีเขาอาจจะชินกับการกระทำของปู่ในตอนนี้แล้วก็ได้ โจเซฟหลบหลีกฟลายอิ้งคาร์ลำอื่นได้อย่างแม่นยำ มันบินฉิวอยู่ในอากาศอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าฟลายอิ้งคาร์ลำไหนๆ
“ปู่นั่นไฟแดงนะ ลดความเร็วลงหน่อยสิฮะ” มาร์คบอกขณะที่สายตาจดจ้องอยู่กับไฟจราจร ซึ่งด้านหน้าพวกเขามีฟลายอิ้งตาร์ลำอื่นๆจอดรอสัญญาณไฟกันอย่างแน่นขนัด โจเซฟไม่มีท่าทีที่จะลดความเร็วลงเลย มาร์คมีความรู้สึกวูบวาบ ใบหน้าร้อนผ่าวถึงแม้ว่าจะมีลมปะทะใบหน้าเขาตลอดเวลา ในเขาเต้นสั่นรัวยิ่งขึ้น เมื่อปู่ของเขาไม่ยอมลดความเร็ว
“ปู่มีทางลัดน่ะ” หลังจากที่โจเซฟพูดจบ เขาก็หักฟลายอิ้งคาร์เลี้ยวเข้าซอยข้างตึกทางด้านขวาอย่างชำนาญและรวดเร็ว ส่วนมาร์คนั่งเอามือกุมปิดตาอยู่ด้วยความกลัว หลังจากที่ปู่ของเขาเลี้ยวเข้าซอยข้างตึกอย่างปลอดภัย เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างแรง และยังโชคดีที่ซอยข้างตึกนั้นมีขนาดใหญ่สำหรับให้ฟลายอิ้งคาร์แล่นผ่านได้ และในที่สุด ทั้งสองก็แล่นออกมาอีกฟากของถนน ซึ่งซอยข้างตึกนั้น เป็นซอยที่พาพวกเขามาสู่ด้านข้างของร้าน ซอร์ควอ ร้านขนมชื่อดังแห่งเมืองออโรทอป ซิตตี้ มีขนมหวานหลากหลายชนิดให้เลือกที่นี่ ผู้คน หุ่นยนต์และรอบเบสหนุ่มสาวทั้งหลายชอบมาออกเดทกันในยามที่พวกเขามีความรักที่แสนหวานและชื่นบาน ร้านขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมอีกฟากของถนน นั้นแออัดไปด้วยผู้คน หุ่นยนต์และรอบเบสที่กำลังนั่งจิบกาแฟ หรือรอซื้อขนมหวานจากร้านนี้ มาร์คและปู่เมื่อหาที่จอดฟลายอิ้งคาร์ได้เรียบร้อย ทั้งสองก็เดินเบียดเสียดเข้าไปในร้าน ซอร์ควอ ทันที โจเซฟพยายามกวาดสายตาเพื่อมองหามุมว่างๆสำหรับเขากับหลานชายสองคน แต่ทั้งร้านนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้คนมากมาย มองไปทางไหนก็มีแต่กลุ่มวัยรุ่นจาก เทคโนโร-บอท ไฮสคูล
“โจเซฟ!” เสียงของสาววัยกลางคน คนหนึ่งดังขึ้น ทำเอาโจเซฟสะดุ้งโหยง ชายชราหันมายิ้มให้กับหุ่นยนต์หญิงกลางคน คนนั้นอย่างอบอุ่น เธอเป็นหุ่นยนต์ร่างอวบ กับผมหยิกสีแดงที่สะท้อนกับแสงวับเป็นเงางาม เธอเป็นเจ้าของร้านซอร์ควอชื่อดังนี้เอง และยังเป็นคนเขียนสูตรสำหรับทำขนมให้อร่อยเป็นร้อยๆสูตรเลยทีเดียว แต่เรื่องสูตรต่างๆนั้นปิดไว้เป็นความลับสุดยอด “ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีมั้ย”
“ก็เรื่อยๆเหมือนเช่นเคยนั่นแหละซินยอริต้า” โจเซฟบอกขณะที่เขาและหุ่นยนต์อวบคนนั้นเช็คแฮนด์กัน
“โห ว้าว” ซินยอริต้าอุทานขึ้นขณะที่เธอมองไปที่มาร์คอย่างตื่นเต้น เธอยิ้มให้มาร์คทันทีทันใด มาร์คยิ้มกลับอย่างเป็นมิตร “นี่หลานชายหรอเนี่ย ว้าวโตวัยจังเลยนะ” เธอพูดขณะที่เช็คแฮนด์พร้อมกับมาร์ค
“ขอบคุณฮะ น้าซินยอ” มาร์คบอกขอบคุณก่อนที่โจเซฟจะหันมายิ้มให้ซินยออีกครั้งหนึ่งแล้วพูดขึ้น
“พอจะมีที่ว่างตรงไหนบ้างล่ะ ซินยอ” โจเซฟถามขึ้นทำให้หุ่นยนต์อวบต้องหยุดบทสนทนา
“มีอยู่แล้วสิจ้า เชิญด้านบนเลย” เธอบอกพร้อมกับเดินนำทางให้กับทั้งสองเพื่อที่จะขึ้นไปด้านบน ทั้งสามก้าวเท้าขึ้นบันไดวนสีดำขนาดใหญ่ บนหัวพวกเขามีโครมระย้าคริสตัลแขวนประดับอยู่มากมาย
ส่วนด้านบนนั้นมีห้องกระจกมากมายราวกับว่าเป็นห้องวีไอพีสำหรับแขกคนสำคัญ มาร์คมองห้องต่างๆอย่างตื่นเต้น เพราะเขาไม่เคยขึ้นมาบนนี้เลย แสงไฟสีส้มสลัวช่วยสร้างบรรยากาศในการจิบกาแฟได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนตามฝาผนังก็ถูกแขวนไปด้วยภาพของจิตรกรรมชื่อดังต่างๆ มันช่วยเรียกร้องความสนใจให้กับผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ว่าการตกแต่งจะเป็นไปอย่างเรียบง่ายก็ตาม
“เชิญห้องนี้เลยจ้า ทั้งสอง” ซินยอพูดขึ้นขณะที่ทั้งสองเดินตามมาถึงห้องกระจกที่อยู่มุมสุดของห้องโถง โซฟาสีดำสองตัวและโต๊ะรับแขกขนาดใหญ่ถูกตั้งอยู่ภายใน พร้อมแจกันดอกกุหลาบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะรับแขก ส่วนด้านหน้าก็มีตู้อะไรบางอย่างที่ดูคล้ายกับไมโครเวฟ มันคือช่องวาร์ปส่งอาหารขนาดเล็ก ซึ่งสามารถส่งอาหารจากด้านล่างขึ้นมาสู่ด้านบนได้อย่างง่ายดาย “พวกเธอทั้งสองต้องนั่งห้องวีไอพีที่ซินยอขอนำเสนอ”
“ขอบคุณมากซินยอ” โจเซฟบอกอย่างสุภาพ ซินยอโค้งคำนับกลับอย่างสวยงาม
“แล้วจะรับอะไรดีล่ะจ้า” หลังจากที่ซินยอเงยหน้าขึ้นเธอก็ถามทันที
“ผมขอเป็นพายบลูเบอร์รี่กับนมสดแก้วนึงครับ” มาร์ครีบบอกก่อนด้วยความหิว
“ของฉันก็คับเค้กกับกาแฟคาปูชิโน่หนึ่งแก้วแล้วกัน” โจเซฟพูดขึ้นซินยอริต้ารีบบันทึกข้อมูลทุกอย่างลงเครื่องจดจำรายการรุ่นใหม่ ที่มีรูปร่างคล้ายมือถือเล็กๆ หลังจากที่บันทึกรายการ รายการนั้นจะถูกส่งไปยังแม่ครัวและพ่อครัวต่างๆในทันทีทันใด
“แหมๆ โจเซฟของคุณเมนูเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ” ซินยอแซว มาร์คหัวเราะในลำคออย่างมีความสุข ส่วนโจเซฟก็ยิ้มอย่างอายๆ “เอาล่ะ เด๋วอาหารก็จะส่งมาทางช่องวาร์ปส่งอาหาร แล้วดิฉันขอเตือนสองปู่หลาน อย่าเสียงดังเป็นอันขาด” โจเซฟทำหน้าฉงนเล็กน้อย “ข้างๆห้องคุณนั้นคือมิสซิสพรีและลูกน้องที่กำลังประชุมกันอยู่ ดิฉันเตือนแล้วนะคะ” หลังจากที่ซินยอริต้าพูดจบ เธอก็เดินออกจากห้องนี้ไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้สองปู่หลานคุยกันตามลำพังอย่างมีความสุข
“มิสซิสพรีนี่คือใครกันหรอฮะ ปู่” มาร์คถามอย่างสงสัย ขนาดที่กำลังเหยียดตัวลงบนโซฟาสีดำที่นุ่มนวลราวกับปุยเมฆ
“เจ้าขององการการคมนาคมไงล่ะหลาน เศรษฐีอีกคน” โจเซฟบอกขึ้น มาร์คพยักหน้าหงึกๆ “เศรษฐีที่วีนแตกได้ตลอดเวลา” ชายชราพูดพลางขำเล็กน้อย “ถ้าไม่ยุ่งกับเธอได้ก็จะดีมากๆเลย” แต่มาร์คไม่ได้สนใจประโยคหลัง เขานั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง พลางมองสร้อยจี้คริสตัลเส้นหนึ่งซึ่งถูกแขวนโชว์อยู่ในตู้กระจก ที่ร้านเครื่องเพชรตรงข้ามกับร้านซอร์ควอ มันกระทบกับแสงวูบวาบผ่านเข้าดวงตาของมาร์คอย่างจัง
“ปู่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับคริสตัลห้าพระองค์มั้ยครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้นขณะที่โจเซฟกำลังเดินไปหยิบขนมหวานและเครื่องดื่มที่ช่องวาร์ปส่งอาหาร
“อืม ใช่แล้ว ใช่ เรื่องราวของเจ้าหญิงบาบารัสน่ะหรอ” โจเซฟเริ่มพูดอย่างช้าๆ ขณะที่เขาเดินมาพร้อมกับอาหารทั้งหมดที่ทั้งสองสั่งไป มาร์คหยิบแก้วนมสดมาแล้วดื่มอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมกับตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ “คริสตัลห้าพระองค์ หนึ่งในคริสตัลรูปดาวที่หายากที่สุดของโลก แต่ไม่เคยมีใครค้นพบมันอีกเลย มันก็ยังมีตำนานถึงเจ้าคริสตัลพวกนี้ด้วยนะหลาน”
“ตำนานอะไรกันล่ะฮะ” มาร์คถามอย่างสงสัย ก่อนที่โจเซฟจะจิบกาแฟคาปูชิโน่ แล้วถอนหายใจหนึ่งเฮือก
“ตำนานสงครามจักรกลครองเมืองยังไงล่ะ” โจเซฟเล่าต่อด้วยน้ำเสียงขึ้นลงเพื่อลดจังหวะความน่าตื่นเต้น “เจ้าหญิงบาบารัส รอสต้าได้สร้างคริสตัลห้าพระองค์ขึ้น เพื่อลำลึกถึงกษัตริย์ต่างๆในยุคอดีตที่เคยปกครองบ้านเมืองมาให้อยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ยังไงล่ะ แต่ยังไงเสียมันก็เป็นแค่ตำนานเล่าขานกันมานาน เจ้าหญิงบาบารัสมีอยู่จริงหรือเปล่าปู่ก็ไม่ทราบ เพราะเธอไม่เคยออกมาพบปะกับประชาชนเลย แต่ที่ปู่ทราบก็คือ เธอสร้างคริสตัลห้าพระองค์ขึ้น ปู่เคยเห็นแค่ครั้งเดียวเอง เป็นบุญตามาก ปู่เห็นทางทีวีน่ะ” เขาหยุดและหัวเราะเล็กน้อยอย่างมีเลศนัย มาร์คยิ้มให้อย่างเนือยๆ “มันมีลักษณะเป็นคริสตัลกลมแบนคล้ายกับเศษเหรียญ ส่วนที่นูนออกมาเป็นรูปดาว แต่นั่นเป็นของปลอมที่วัยรุ่นมือบอนทำขึ้น ส่วนของจริงนั้นยังไม่เคยมีใครค้นพบ บางคนบอกว่าเจ้าหญิงบาบารัสได้นำมันไปซ่อนทุกมุมเมืองของโลกเพื่อให้พวกหน้าเลือดหรือพวกตามหาสมบัติอย่างเราหยุดตามหามัน” โจเซฟหยุดเรื่องราวอีกครั้งก่อนที่จะยัดคับเค้กเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย “ส่วนคริสตัลห้าพระองค์นั้น ก็สร้างเพื่อแทนกษัตริย์ทั้งห้ายังไงล่ะ คริสตัลรูปดาวสีฟ้าใสเป็นของกษัตริย์แอนเดอร์สัน เซฟโคลน กษัตริย์องแรกของออโรทอป ซิตตี้ ปู่คาดว่าอย่างนั้นนะ ส่วนสีเทาใส น่าจะเป็นของกษัตริย์เอเดรียน คริสเตรียนบิลลาโกรฟฟาน และยังมีสีเขียวใส เป็นของเจ้าชายสเตฟาน ดริงเกิ้ล กษัตริย์ที่หนุ่มที่สุดในยุคนั้น ส่วนสีเหลืองทองใส ก็น่าจะเป็นของ กษัตริย์เอกพิธ พิภพธรราช ส่วนชิ้นสุดท้าย สีแดงใส เป็นของเจ้าหญิงบาบารัส รอสต้านั่นแหละ เธอเป็นคนเล่าเรื่องตำนานสงครามจักรกลครองเมืองทั้งหมด ปู่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่เธอแต่งขึ้นหรือเปล่า”
“ปู่เล่าให้ฟังได้มั้ย” มาร์คขัดขึ้นขณะที่กำลังตักพายบลูเบอร์รี่เข้าปากอย่างเต็มคำ
“ได้สิ ปู่อยากให้หลานศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้ เผื่อหลานไปพบอะไรเด็ดๆไงล่ะ” โจเซฟพูดไปพลางขำไปอย่างมีความสุข “เอาล่ะ สงครามจักรกลครองเมืองนั้นเกิดในยุคอดีตกาล นานมาแล้ว กษัตริย์แอนเดอร์สัน เซฟโคลน ปกป้องอณาจักรเอลเวน ซึ่งมีการสันนิฐานว่ามหาสมุทรเอลเวนที่ติดกับเมืองของเรานั้น เคยเป็นเมืองเอลเวนมาก่อน”
“แสดงว่า เมืองต้องจมอยู่ใต้น้ำสิฮะ” มาร์คถามอีกครั้งอย่างสงสัย
“คงประมาณนั้น” โจเซฟตอบคำถามแล้วเล่าเรื่องราวต่อไป “เมืองเอลเวน อยู่กันอย่างสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง จนกระทั่ง แอนเดอร์สันได้รับของกำนัลชิ้นพิเศษจากทหารเวรที่เข้าเวรอยู่ตรงทะเลสาปท้ายเมือง ของสิ่งนี้เป็นสมบัติอันล้ำค่า ถ้าปู่จำไม่ผิด มันน่าจะเป็นกระจกบานใหญ่นะ เป็นกระจกสีทองบานใหญ่ ซึ่งทำมาจากไม้โกลเด้นวูด จากป่าสีทอง มันเป็นกระจกต้องคำสาปซึ่งจะนำพาหายนะมาสู่โลก กระจกนี้ใช้สำหรับเป็นเครื่องมือในเดินทางผ่านมิติกาลเวลาได้ แต่แอนเดอร์สันก็ไม่ได้ใช้มัน เพราะเขาคิดว่ามันเป็นความเชื่อที่แสนจะไร้สาระและงมงาย เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนยุคมืดเริ่มคลืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ เสียงของเครื่องจักรกลดังสนั่นหวั่นไหวทั้วท้องฟ้า มันดังมาจากอีกฟากของเมือง ใช่แล้ว พวกหุ่นยนต์ยักษ์ จู่ๆก็โจมตีเมืองเอลเวนโดยที่ไม่ทันตั้งตัว ชาวเมืองหวาดกลัวและหวาดหวั่น เอเดรียน คริสเตรียนบิลลาโกรฟฟานได้นำกองทัพหุ่นยนต์ หุ่นเหล็กยักษ์และรอบเบสจำนวนมากเข้าโจมตี เขาเป็นศัตรูกับแอนเดอร์สันซึ่งการโจมตีครั้งนี้ก็เพื่อจุดประสงค์เดียวคือยึดอณาจักรไว้เพื่อเป็นของตน แอนเดอร์สันและทหารก็ได้นำกำลังโจมตีอย่างไม่หวาดหวั่น แล้วได้นำกองกำลังบางส่วนอพยพผู้คนหนีออกจากเมือง เขายังได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าชายสเตฟาน ดริงเกิ้ล กษัตริย์แห่งเมืองมาร์ติมอร์ อณาจักรเพื่อนบ้าน ส่วนทางด้านเมืองเอลเวนนั้นก็ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง หุ่นเหล็กขนาดมหึมาได้ใช้แสงเรเซอร์สีขาวยิงใส่บ้านเรือนจนเสียหายมากมาย กองทัพของแอนเดอร์สันอ่อนแรงลง คริสเตรียนเริ่มมีรอยยิ้มแห่งชัยชนะ กองทัพของแอนเดอร์สันอ่อนแอมาก เขามีกำลังคนน้อยเกินไป อีกทั้งคริสเตรียนก็ยังมีหุ่นเหล็กพิฆาตด้วย”
“ไม่ยุติธรรมเลย เค้าน่าจะเอาพวกมนุษย์มาเป็นกองกำลังสิ จะได้เท่าเทียมกัน” มาร์คขัดขึ้นขณะที่โจเซฟทำหน้าบุ้ย แล้วพูดต่อ
“ใครที่มีความสามารถมากกว่าก็ชนะ แล้วเป็นไปตามนั้นจริงๆ กองทัพหุ่นเหล็กได้ชัยชนะมา ส่วนแอนเดอร์สันนั้นได้สิ้นชีวิตลง เมื่อแสงเรเซอร์ขนาดใหญ่พุ่งชนตัวเขาอย่างแรง ขณะที่เขากำลังจะเอาดาบมาฟันที่คอของเอเดรียน เอเดรียนจึงประกาศชัยชนะตั้งแต่นั้นมา เขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไปของเมืองเอลเวล อณาจักรได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด พวกหุ่นยนต์ดูหนาตามากขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆมากมาย ทุกอย่างเปลี่ยนไปจริงๆ ชาวเอลเวนที่อพยพมาอยู่ที่เมืองมาร์ติมอร์ ก็ไม่กลับไปบ้านของตนเองอีกเลย ยุคนั้นจึงกลายเป็นยุคมืดที่ทุกคนกลัว และช่วงนั้นเองที่เอเดรียนได้สนใจเรื่องของมหาสมบัติอันล้ำค่าในพระราชวังแห่งเมืองเอลเวน เขาได้เจอเข้ากับกระจกต้องคำสาป กระจกสีทองที่ดึงดูดเอเดรียนให้สนใจ เขาสั่งให้ทหารทำลายกระจกนี้เพื่อที่จะนำไม้สีทองหายากมาขายต่อให้กับเมืองอื่นๆและจะได้นำเงินมาปรนเปรอไปพร้อมกับเหล้าและโสเพณี แต่หายนะก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่ทันตั้งตัว ขณะที่ทหารคนนึงกำลังจามขวานลงบนกระจกนั้นเอง มีแสงๆหนึ่งวาบขึ้น สว่างจ้าไปทั่วทุกสารทิศ จนในที่สุดมันก็หายไป ตามมาด้วยคลื่นยักษ์ขนาดใหญ่ที่ถาโถมเข้าสู่เมืองเอลเวน มันกวาดบ้านเรือนเสียหาย ปราสาทแห่งเมืองเอลเวนก็ล้มระเนระนาด หุ่นเหล็กยักษ์ก็ถูกปิดระบบทำงานไม่ได้อีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้น้ำ รวมทั้งเอเดรียนที่จมน้ำตาย ส่วนชาวเมืองมาร์ติมอร์เห็นดังนั้นจึงรีบอพยพผู้คนขึ้นไปบนภูเขาทันที มีรอบเบสและหุ่นยนต์จำนวนหนึ่งตามพวกเขาไปด้วยเพื่อหนีเอาตัวรอด นั่นทำให้เห็นมิตรภาพระหว่าง คน หุ่นยนต์และรอบเบสที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตั้งแต่นั้นมาเมืองเอลเวนก็กลายเป็นมหาสมุทรเอลเวนยังไงล่ะ”
“แล้วใครได้เป็นกษัตริย์คนต่อไปล่ะฮะ” มาร์คถามอย่างสงสัย “แล้วกระจกอยู่ที่ไหน”
“เจ้าชายสเตฟานไงล่ะ เขาเริ่มก่อตั้งเมืองเล็กๆอีกครั้งขณะที่หายนะที่เกิดขึ้นนั้นกำลังผ่านไปอย่างช้าๆ พวกหุ่นเหล็กทั้งหลาย บ้านเมือง ปราสาท และทุกชีวิตถูกจองจำไว้ใต้ผืนน้ำนั้นไปอีกนาน บ้านเมืองกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ผู้คน รอบเบส และหุ่นยนต์ทั้งหลายอยู่กันอย่างปรองดองกันไม่แตกแยก บ้านเรือนถูกพัฒนาขึ้น และนี่ก็คือยุคสิวิลัย เทคโนโลยีต่างๆเริ่มคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดทั้งเมืองก็เจริญรุ่งเรืองอย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าชายสั่งห้ามทหารและคนอื่นๆดำลงไปหากระจกบานนั้นอีก เพราะเขากลัวว่า มันจะนำหายนะกลับมาอีกครั้ง แต่แล้วเจ้าชายก็หายตัวไปอย่างไร้สาเหตุ ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าชายหายไปไหน พวกทหารออกตามหากันให้จ้าละหวั่น แต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของเจ้าชายเลย จนในที่สุดเขาก็กลับมาด้วยสภาพที่แก่ชรากว่าเดิม ทรุดโทรมกว่าเดิม และไม่พูดอะไรเลยด้วยซ้ำว่าหายไปไหนมา บางคนเล่าว่าเขาถูกวิญญาณของเอเดรียนที่ยังไม่ผุดไม่เกิดครอบงำอยู่ บางคนบอกว่าคำสาปของกระจกทำร้ายเขา มีเรื่องเล่าต่างๆนานามากมายเกิดขึ้น และไม่นานสเตฟานก็จากทุกคนไปเป็นอย่างปริศนา จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาหายไปไหนมา ก็มีแต่ข้อสันนิฐานเท่านั้นแหละ หลังจากนั้น กษัตริย์เอกพิธ พิภพธรราช ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าชายสเตฟานก็เข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขาแทน ช่วงแรกๆมีแต่คนกล่าวหาว่าเขาลอบสังหารสเตฟาน แต่ไม่ใช่อย่างนั้นเลย เขาเป็นคนดีมาก มีเมตตา และปกครองอณาจักรมาจนถึงทุกวันนี้แหละ”
“แล้วเจ้าหญิงบาบารัสล่ะ เธอทำคริสตัลเพื่อตัวเธอเองทำไมกัน ในเมื่อเธอไม่มีบทบาทอะไรเลยนี่ฮะ” มาร์คโพล่งขึ้นขณะที่ตักพายคำสุดท้ายเข้าปาก และตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ใช่ หลานถามได้ถูกประเด็นเลย เจ้าหญิงบาบารัส รอสต้า เธอไม่ได้มีหน้าที่ปกครองบ้านเมืองหรือทำอะไรเพื่อบ้านเมืองเลย” โจเซฟเล่าต่อ “เธอเป็นคู่หมั้นคนเก่าของเอกพิธ แต่เหตุการณ์ร้ายๆก็เกิดขึ้น เมื่อเอกพิธได้รับราชสาสน์จากเมืองหลวงให้รับหน้าที่เป็นกษัตริย์แทน ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะหมั้นกัน เจ้าหญิงไม่ยอมและไม่อยากให้เอกพิธ เป็นกษัตริย์ เธอจึงถอนหมั้นเพราะความโกรธยังไงล่ะ แต่ที่เธอสร้างคริสตัลของตัวเธอเองนั้นก็เพราะเธอเป็นคนถ่ายทอดเรื่องราวตำนานสงครามจักรกลครองเมือง หลังจากที่เธอสร้างคริสตัลห้าพระองค์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็อยู่แต่ในพระราชวังไม่ออกมาพบปะกับประชาชนอีกเลย ตำนานแห่งกษัตริย์ห้าพระองค์ก็มีแค่นี้แหละ ปู่ยินดีที่ได้เล่าให้หลานฟัง เผื่อหลานต้องเจอกับอะไรที่มีเรื่องราวพวกนี้เกี่ยวข้อง หลานจะได้แก้ปริศนาขุมสมบัติถูกยังไงล่ะ”
“แล้วกระจกทองต้องคำสาปนั้นหายไปไหน คริสตัลอีกล่ะฮะ” มาร์คถามอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาช่างเป็นเด็กขี้สงสัยเสียจริง
“ตอนนี้กระจกอาจจะจมอยู่ใต้มหาสมุทรเอลเวนก็ได้ ใครจะไปรู้ แต่ยังไม่มีใครค้นพบซากของจักรกลยักษ์นั่นเลย อาจเป็นเพราะมันจมอยู่ก้นมหาสมุทรก็ได้” โจเซฟอธิบายขณะที่ยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่มเป็นครั้งสุดท้าย “ส่วนคริสตัล ยังไม่มีคนรู้ว่าพวกมันหายไปไหน ปู่เชื่อว่ามันยังคนเก็บอยู่ที่เจ้าหญิงบาบารัสนั่นแหละ หลานรัก ปู่คิดว่าหลานจะหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ได้นะ”
“ปู่ใช้ให้ผมเอาหัวไปกระแทกกับข้างฝายังง่ายกว่ามั้ย” มาร์คพูดขึ้นอย่างกวนๆ “ถ้าให้ผมไปหาคำตอบและคลายปริศนากระจกหายนะนั่น หรือคริสตัลห้าพระองค์ และยังจะปริศนาการตายของสเตฟาน อีกทั้งตามหาเจ้าหญิงบาบารัส มันไม่บ้าไปหน่อยหรอ นั่นเป็นแค่ตำนาน ปู่ก็เป็นคนบอกเองนะ”
“ใช่ แต่ตำนานก็มักจะมาจากเรื่องจริงไม่ใช่หรือไง” โจเซฟเถียงกลับ ทำให้เด็กหนุ่มหยุดชะงักและเถียงไม่ออก เขาค่อยๆเอนตัวลงบนโซฟาอีกครั้งหนึ่ง “แต่ก็เอาเถอะ หลานคงอยากคิดวางแผนเรื่องเย็นนี้มากกว่า ว่าหลานจะทำอะไรกับเพื่อนๆดี ปู่ไม่ค่อยเห็นหลานคุยกับจินนี่เท่าไหร่ แองเจลล่าก็ไม่มาที่บ้านเลย หลานควรจะพักผ่อนบ้างนะ”
“เย็นนี้มีงานเลี้ยงที่โรงเรียนฮะ เลี้ยงปิดเทอมน่ะ” มาร์คบอกด้วยน้ำเสียงและท่าทางเซ็ง
“สุดยอด!” โจเซฟอุทานขึ้นมาอย่างเสียงดังจนมาร์คตกใจ “คราวนี้หลานก็จะเป็นวัยรุ่นซักที สังสรรค์กับกลุ่มวัยรุ่นด้วยกัน งั้นปู่จะปล่อยให้หลานไปกับเพื่อนๆของหลานนะ”
“ก็ได้ฮะ” มาร์คตอบอย่างเนือยๆ “ผมจะหาอะไรทำสนุกๆที่โรงเรียนซะหน่อย” มาร์คพูดอย่างมีเลศนัย
“ดีมาก หลานรักของปู่จะเป็นวัยรุ่นที่ไม่หมกมุ่นอยู่แต่กับหนังสือ ตำราเรียน หรือสมบัติ หลานจะเป็นคนใหม่แล้ว ปู่ดีใจกับหลานด้วยนะ” โจเซฟพูดอย่างมีความสุข ส่วนมาร์คก็ได้แต่พยักหน้าอย่างขอไปที เขามองไปที่ร้านขายเครื่องเพชรอีกครั้ง เขาพยายามนึกเรื่องของตำนานแห่งกษัริย์และพยายามประติดประต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด “ซินยอเก็บตังค์ด้วย” โจเซฟเรียกหุ่นยนต์อวบขณะที่เขาเห็นเธอกำลังเดินมาทางนี้พอดี
“ร้อยบาทพอดีจ้า” ซินยอริต้าเดินเข้ามาหาทั้งสองก่อนที่จะใช้หัวสมองอัจฉริยะคิดเงิน “ฉันลดเหลือเก้าสิบบาทแล้วกัน คนกันเองน่ะ”
“คนเคินอะไรกันซินยอ เธอเป็นหุ่นยนต์นะลืมแล้วหรือ” โจเซฟแซวเล่นทั้งสองหัวเราะกันคิกคัก
“เอาน่า อย่างน้อยก็ยังประหยัดเงินของคุณไง” ซินยอริต้าคะยั้นคะยอเพื่อที่เธอจะลดขนมมื้อพิเศษนี้ให้ได้
“โถ่ซินยอ แค่นี้ฉันก็ไม่รู้จะขอบคุณเธอยังไงแล้ว รับไว้เถอะนะ” โจเซฟบอกพลางยื่นเงินหนึ่งร้อยบาทให้กับหุ่นยนต์อวบซึ่งทำท่ายอมแพ้
“ก็ได้ คุณเนี่ย ชนะฉันตลอดเลยนะ” ซินยอริต้าบอกอย่างงอนๆก่อนที่เธอจะย้ายร่างอวบๆของเธอลงไปทำงานชั้นล่างตามเคย โจเซฟหันมายิ้มให้เด็กหนุ่มก่อนที่ทั้งสองจะเดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน ชั้นล่างนั้นแออัดไปด้วยผู้คนที่มากกว่าเดิม ราวกับว่าพวกเขาทั้งหลายจะมาถล่มร้านให้ย่อยยับ โดยเฉพาะคู่หนุ่มสาวที่ยังคงนั่งสวีทหวานหลากหลายคู่เลยทีเดียว ผู้คน หุ่นยนต์และพวกรอบเบสต่างพากันยืนต่อแถวกันมากมาย บางส่วนก็ยื้อแย่งขนมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนโต๊ะตามมุมต่างๆนั้นก็อัดแน่ไปด้วยคนจำนวนมาก
“ซินยอ” โจเซฟเรียกขึ้นขณะที่หุ่นยนต์ร่างอวบเดินผ่านหน้าเขาไป “ขอบคุณสำหรับขนม แลฉันคิดว่าคุณน่าจะขยายร้านได้แล้วนะ” โจเซฟหัวเราะชอบใจ ส่วนซินยอริต้าก็แค่ยิ้มๆและเดินนำขนมไปเสริฟตามเดิม “ปู่ว่ารีบกลับเถอะ ป่านนี้เซอร์แวนท์คอยนานแล้ว”
“ปู่!” มาร์คร้องขึ้น ทำให้โจเซฟสะดุ้งโหยง สายตาเด็กหนุ่มจับจ้องไปยังฟลายอิ้งคาร์ลำหนึ่งที่จอดอยู่หน้าร้าน เด็กหนุ่มอีกคนสวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งพร้อมกับหมวกแก็ปสีดำ เขากำลังงัดแงะฟลายอิ้งคาร์ลำนั้นอยู่อย่างใจจดใจจ่อ “เอ่อ นั้นของเราหรือเปล่าฮะ”
••.•´¯`•.•• ••.•´¯`•.••
ความคิดเห็น