ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องเก่าเล่าใหม่

    ลำดับตอนที่ #9 : สี่ยอดหญิงงาม ๒

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 55


                             เมื่อวานเล่าค้างไว้ ไรเตอร์กำลังมันส์เรย พอดี (ดวง) ตาของไรเตอร์มันเบลอๆ ล้าๆ เรยต้องพัก มาต่อกันดีกว่าครับ

    หญิงงามนางที่ 3 นางมีชื่อว่า เตียวเสี้ยน หรือที่ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า เตียวฉาน (貂蟬) ตัวฉานที่ว่านี้ เคยมีคนแปลไว้น่าเกลียดมาก แปลว่า “จักจั่น” อ้อ นึกชื่อหนังสือได้ แต่ไม่บอกครับ เดี๋ยวเค้าเสียชื่อหมด เอาเป็นใบ้ให้ว่าเป็นหนังสือเล่าเรื่องสามก๊กแถวหน้าของเมืองไทย มีชื่อเสียงเคียงคู่กันกับสามก๊ก ฉบับนายทุน ของท่านอาจารย์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์  ปราโมช ตัวฉานนี้ แปลว่า “พระจันทร์” จะพระจันทร์อย่างไร ตามมาดูครับ

    นางเป็นบุตรีบุญธรรมของหวางอวิ่นหรืออ้องอุ้น (王允) ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย สมัยนั้นครองเมืองด้วยทรราชนางตั๋งโต๊ะ (董卓) (ขอทับศัพท์ตามหนังสือสามก๊กเรยละกัน) ซึ่งมีขุนพลคู่ใจนามว่าลิโป้ (สุดหล่อ) (吕布) ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นเป็นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์ จึงคิดอุบายที่จะให้สองคนนี้แตกคอกัน จึงวางอุบายให้ลิโป้มาพบนางเตียวเสี้ยน เมื่อลิโป้ตกหลุมพราง หลงรักนางเตียวเสี้ยนแสนงาม จึงทำทีเป็นยกให้ แต่ให้รอฤกษ์มารับตัวนางในวันหลัง แต่วันต่อมาก็ใช้แผนเดียวกันนี้กับตั๋งโต๊ะ ต่างกันที่ว่า ยกให้ไปในวันนั้นเรย

     



    หลังจากนั้น สองพ่อลูกก็แตกคอกันจนตั๋งโต๊ะต้องตกตาย ส่วนลิโป้บ้านแตก ในสามก๊กไม่ได้กล่าวถึงอีก แต่ในตำนานว่ากันว่า ทั้งสอง (คือ เตียวเสี้ยนและลิโป้) หนีไปอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

    มาถึงที่ผมจะเล่าก็คือ สมญานามของนาง ก่อนหน้าที่จะวางอุบายนั้น ในวันหนึ่ง เตียวเสี้ยนออกไปไหว้พระจันทร์ที่สวนหลังบ้าน บังเอิญพระจันทร์ในเวลานั้นได้หลบเข้าเมฆไป นางรับใช้จึงเอาไปบอกแก่อ้องอุ้น อ้องอุ้นเห็นได้ที จึงเอาไปป่าวประกาศว่า งเตียวเสี้ยน “งามจนจันทราหลบเร้นหาย” นางจึงได้สมญานามว่า “จันทราหลบเร้นหาย” (闭月) แต่นั้นมา

    หญิงงามคนที่สี่คับ นางมีชื่อว่า หยางอวี้หวน (杨玉环) เป็นหญิงงามสมัยราชวงศ์ถัง เดิมทีนางเป็นเพียงชายาของอ๋ององค์หนึ่ง แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของนางมีส่วนคล้ายคลึงกับฮองเฮาที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วของถังเสวียนจงฮ่องเต้ (唐玄宗皇帝) นางจึงถูกส่งตัวเข้าวังไปดำรงตำแหน่งเป็น “กุ้ยเฟย” (贵妃) (พระสนมเอก) ให้กับพระบิดาของสวามีตัวเอง

    บั้นปลายชีวิตของนางนั้น ต้องจบชีวิตลงอย่างอนาถ เพราะความที่ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงต่อนางจนไม่เป็นอันว่าราชการจึงเกิดกบฏ เหล่าทหารที่ร่วมต่อสู้ของฮ่องเต้ แม้ว่าจะปราบกบฏได้แล้ว ก็ร่วมใจกันเรียกร้องให้ฆ่าตัวตาย นางจึงต้องจบชีวิตด้วยการผูกคอตายกลางทาง ทิ้งให้ฮ่องเต้ผู้ชราที่ลี้ภัยกบฏไปต่างเมือง ต้องกลับเมืองหลวงอย่างโดดเดี่ยว เป็นที่มาของคำว่า “ไม่รักแผ่นดินรักแต่หญิงงาม”

    ที่มาของสมญานามของนางมาจากตอนที่นางถูกส่งตัวเข้าวัง นางมีความโศกเศร้ามาก วันหนึ่งเมื่อนางไปยังอุทยาน ก็ได้เดินชมจนเจอดอกไม้งามดอกหนึ่ง นางเข้าไปจับด้วยความเศร้า พลางกล่าวว่า “ดอกไม้เอ๋ย ดอกไม้ เวลาผ่านไปเท่าใด ดอกไม้เยี่ยงเจ้าก็ยังคงได้เบ่งบาน แล้วข้าล่ะ วันใดจะได้ออกไป” พลันน้ำตาก็หยดลงบนกลีบดอกไม้ ทันใดนั้นดอกไม้ก็หุบลงทันที นางกำนัลที่เห็นเหตุการณ์จึงนำไปเล่าต่อๆ กัน ว่านาง “งามจนดอกไม้ขวยอาย” สมญานามนางจึงมีมาแต่นั้น “บุปผาสะเทิ้นอาย” (羞花)

     



    สมญานามทั้งสี่ของนางเหล่านี้ ชาวจีนได้นำมาเรียงกันเป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบสตรีที่มีความงามเป็นเลิศ โดยจะเรียงว่า “沉鱼落雁 闭月羞花” (เฉินหยีว์ลว่อเยี่ยน ปี้เยว่ซิวฮวา) แปลว่า “งามจนมัจฉาจมวาร ปักษีตกนภา จันทราหลบเร้นหาย บุปผาสะเทิ้นอาย” นั่นเอง

    ขอให้นักอ่านที่เม้นต์ทุกๆ ท่าน “沉鱼落雁 闭月羞花” เช่นกันนะครับ เม้นต์หนึ่งครั้งความงามเพิ่ม 25% เม้นต์ 2 ครั้ง ความงามเพิ่มเท่าตัว เม้นต์ทุกตอนติดตามผลงานตลอดไป ความงามถึงขีดสุดฉุดไม่อยู่นะคร้าบบบบบบบบบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×