ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 7 การทดสอบวัดฝีมือ
                                                              บทที่ 7 การทดสอบวัดฝีมือ
        “ เป็นยังไงบ้างอลิซ ” เสียงพี่ชายถามหลังจากที่ออกมาจากห้องโถง
“ ไม่น่าถาม เลวร้ายมากๆเลย คราวหน้าเวลาทำตามกฎที่พี่ตั้งน่ะช่วยกันคนออกห่างๆเราด้วยนะ เดี๋ยวโดนลูกหลง ” กฎการวัดฝีมือที่พี่ชายของเธอเป็นผู้ตั้งก็อิงมาจากธรรมเนียมของวีเชอร์นั่นแหละ
“ เอาน่า...ชมรมมีแค่อาทิตย์ละ 2 คาบเอง ”
“ เห็นตารางแล้วว่ามีวันอังคารเลย ...แต่เรียนวันละแค่ 3 คาบ... ดีเหมือนกัน ” โรงเรียนเก่าของเธอเรียนตั้งวันละ 6 คาบ การมาเรียนแค่ 3 คาบแถมพักวันจันทร์ให้อีกจึงเป็นเรื่องดี...^^
“ แล้วน้องก็จะรู้... ” เสียงเตือนเบาๆชวนหวั่นของพี่ชายทำให้เธอชักไม่มั่นใจ
---***---***---***---***---
“ เป็นยังไงบ้างอลิซ ” คำถามเดียวกันกับพี่ชายแต่มาจากเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเย็น
“ คู่กับโมนาร์น่ะ เดี๋ยววันอังคารพวกเธอก็คงได้รู้ว่าเป็นยังไง ” พูดพลางทำสีหน้าเซ็งๆทำให้คนถามพอจะเดาอะไรขึ้นมาได้
“ โมนาร์...โมนาร์...จีนารีก้า โมนาร์ เจ้าหญิงแห่งไพคัสที่อยู่บ้านเพริดอตน่ะหรอ ” พออีกฝ่ายพยักหน้าเชจึงเสริม “ อืม...ว่ากันว่าหล่อนร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ระวังตัวล่ะ ”
“ เห็นข่าววงในบอกว่าเธอไม่ค่อยชอบพวกครูเว่นอย่างเราเท่าไหร่ เอ่อ ข่าวแว่วมาน่ะ ” จะแก้ก็แก้ไม่ทันแล้วเซียจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาจากอลิซกับแคต
“ วงใน? วงในอะไรกัน? หรือว่า...มีสปายอยู่ในไพคัส ” เมื่อเอ๊ดจี้ตรงจุดอลิซจึงต้องรีบแก้
“ ฉันจะไปเอาสปายมาจากไหน...จะหาคนทำงานได้เก่งน่ะยากนะ อีกอย่าง...มัลเลนจะส่งสปายไปทำอะไร ”
“ สงคราม... ” คำตอบสั้นๆที่แปลได้หลายความหมาย
“ อะไรกัน นายคิดว่ามัลเลนจะทำสงครามหรอ? ”
“ เปล่า แต่เป็นเพื่อป้องกันไว้ก่อนเพราะไม่แน่ว่าถ้าไพคัสก่อสงคราม มัลเลนจะรับมือได้ง่าย และนี่ก็อาจรวมเมืองอื่นๆด้วย... ” เจ้าหญิงแห่งมัลเลนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่คาดเดาได้ยาก
“ นายตอบไม่จบ มัลเลนมีคนเก่งๆก็จริง แต่คนก็น้อยอยู่แล้ว จะเสียเงินจ้างก็เปล่าประโยชน์ แล้วจะไปเอาพวกสปายมาจากไหน ”
“ ...ถ้ามัลเลนคิดจะปิด ทำยังไงก็ไม่มีทางรู้... ” พูดแล้วจ้องมาอย่างมีความหมาย
“ เอ่อ...ชั่งมันเถอะน่า เดี๋ยวกินข้าวไม่อร่อย...พรุ่งนี้วันอังคาร เปิดเรียนวันแรก เพราะฉะนั้นคืนนี้ก็ต้องกินให้อิ่ม นอนหลับฝันดี ตื่นมาจะได้สดใสไง กินเร็วเข้า ” คนเริ่มยอมเงยหน้าขึ้น แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ พรุ่งนี้คาบแรกเรียนสิบโมงครึ่งแน่ะ มีเวลานอนอีกนาน จริงมั๊ยอลิซ? ”
“ อืม ไม่ต้องมาว่าทางอ้อมว่าฉันตื่นสายเลย ฉันรู้ทันหรอก...ที่แย่ก็คือพรุ่งนี้เรียนร่วมกับเพริดอต ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...ฉันจะได้เจอโมนาร์ทั้ง 3 คาบเลย โชคดีอะไรเช่นนี้... ” เจ้าตัวพูดประชดชีวิต
“ แล้วพวกนายล่ะ ” เซียถามขึ้น เพราะตารางเรียนของหญิงกับชายไม่เหมือนกัน
“ ก็...กว่าจะได้เรียนร่วมกับพวกเธอก็วันพุธวิชาทฤษฎีกับศิลปะป้องกันตัว วันพฤหัสวิชาฝึกจิตที่เรียนรวมทุกบ้าน แล้วก็วันศุกร์คาบทฤษฎี ” เดรเป็นฝ่ายตอบให้
“ ทำไมต้องเรียนร่วมกับบ้านอื่นด้วยนะ แล้วทำไมต้องแยกก็ไม่รู้ ”
“ อคติ ” คำพูดเรียบง่ายจากไคที่ทำให้แคลร์หันขวับ
“ อคติตรงไหนกัน ” ย้อนถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองพลางส่งสายตาไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายมองเธอราวกับเด็กๆ และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมานับตั้งแต่ได้รู้จักกัน
“ เธอไม่ชอบคนต่างบ้านบางคนถึงได้อคติ ทั้งที่รู้ดีว่ามันเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างบ้านที่ไม่อยากให้มีการแตกแยกหรือแบ่งฝ่าย แล้วก็เพราะเธออยากเรียนร่วมกับ... ” คำพูดสุดท้ายนั้นไคที่มองคนได้ทะลุปรุโปร่งนั้นตัดสินใจที่จะไม่พูด
“ พูดให้มันดีๆ แล้วที่ว่าอยากจะเรียนน่ะ อยากเรียนร่วมกับใคร ทำไมไม่พูดให้มันจบล่ะ ” นัยน์ตาสีเขียวของแคลร์จับจ้องอย่างท้าทายในขณะที่นัยน์ตาสีเดียวกันอีกคู่นั้นดูเฉยชาไม่อยากต่อความ
“ เอาน่า...จะทะเลาะกันไปทำไม เป็นพี่น้องกันมาทะเลาะกันเองไม่อายคนอื่นบ้างหรอ ”
“ ใช่ แต่ก็แค่ในนาม...ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาก่อนจะจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดอีกครั้ง
        เมื่อ 6 ปีที่แล้วตอนที่เขามีอายุได้เพียง 8 ปี แม่ของเขาได้เสียชีวิตลงเขาจึงหมดที่พึ่งเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา รู้ว่าพ่อเป็นใคร เคยพบเห็นห่างๆ ไม่เคยได้เข้าไปทำความรู้จักหรือชิดใกล้ พ่ออาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกคนนี้อยู่ในโลก เขาจึงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงสองคนและไม่มีพ่อมาตลอด
หลังจากที่แม่ของเขาตายเพื่อนสนิทคนเดียวของแม่ซึ่งก็คือแม่ของแคลร์และเควินก็นำเขาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ได้เป็นเจ้าชายบุญธรรมของเมืองแห่งพลังพิเศษในมัลเลน และเติบโตในวีเชอร์ตั้งแต่นั้นมา
แม่ของเขาก็มีสายเลือดของคนในเมืองจึงส่งผลให้เขามีและได้ความสามารถทางการเปลี่ยนสีผมและสีตาไปด้วย ตั้งแต่ใช้พลังนั้นได้ ไคก็ใช้ตาสีเขียวและผมสีทองแบบวีเชอร์มาตลอด...และก็ได้รับความอบอุ่นและการเลี้ยงดูแบบลูกในไส้จากพ่อและแม่ของแคลร์ที่นำเขามาเลี้ยง แต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะใช้นามสกุลเดิมซึ่งก็คือนามสกุลของแม่
แม้จะเติบโตมาด้วยกันถึง 6 ปี แต่แคลร์กับไคก็ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ เพราะแคลร์มักไม่ชอบที่ไคนั้นมักจะมองเธอเป็นเด็กๆ พวกวีเชอร์เหมือนกันหมดตรงนี้ ตรงที่ไม่ชอบให้ใครมองเป็นเด็กทั้งที่อายุเท่ากันหรือตีความไปว่าดูถูกความสามารถ การทะเลาะหรือกระทบกระทั่งกันจึงเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ต่อหน้าคนคุ้นเคยอย่างอลิซ แต่คงไม่คุ้นสำหรับคนอื่น
“ จริงอย่างที่คิดสินะ ” เอ๊ดพึมพำเบาๆไม่ให้ใครได้ยิน เขาคิดอยู่แล้วว่าแคลร์กับไคไม่น่าจะใช่ญาติกันจริงๆ แล้วข่าวหนังสือพิมพ์ตอนที่ตั้งไคเป็นเจ้าชายนั้นก็มีข่าวแว่วมาแต่ไม่มีข้อมูลมากนักคนจึงได้แต่เดากันไปต่างๆนาๆ แต่ดูเหมือนคนในมัลเลนจะให้การต้อนรับอย่างดีและไม่สนใจข่าวจึงค่อยๆซาไป และถ้าไม่ได้เป็นญาติกับแคลร์ก็คงไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับอลิซ...
“ จะยังไงก็แล้วแต่ พวกเธอโตมาด้วยกันทะเลาะกันไม่เบื่อบ้างรึไง ”
“ ก็เหมือนกับที่เธอทะเลาะกับพี่เบลบ่อยๆทั้งที่เป็นพี่น้องกันจริงๆนั่นล่ะ ไม่เบื่อบ้างรึไง ” คำย้อนกับน้ำเสียงเฉยชาเรียบง่ายทำให้คนถามที่กลายมาเป็นถูกถามนั้นยิ้มเจื่อน
“ นั่นที่ทะเลาะกันเพราะฉันไปแกล้งพี่เบลหรอก...แต่ฉันไม่เคยยกเรื่องมาพูดทะเลาะกันเองนะ อีกอย่าง แกล้งพี่เบลสนุก ไม่น่าเบื่อ แล้วพี่เฟิร์ซก็สนับสนุน ” พูดพลางยิ้ม
“ เอาเป็นว่าเราแยกย้ายกลับบ้านเถอะ กินหมดแล้วนี่  ” เซียรีบเปลี่ยน เพราะคราวนี้เธอเป็นฝ่ายเริ่มหัวข้อสนทนาที่ทำให้เกิดเรื่อง
หลังจากได้รับการ์ด ( ใช้ซื้อของในโรงเรียน ทุกคนจะต้องมีเงินฝากไว้ในธนาคารโรงเรียนแล้วเวลารูดการ์ดมันจะหักบัญชีเอง คล้ายๆกับบัตรเครดิต ) ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครได้พูดอะไรอีก
---***---***---***---***---
“ วันนี้เราจะเรียนเรื่องในโรงเรียนก่อน โรงเรียนของเราก่อตั้งขึ้นเมื่อ... ” เสียงบรรยายดังแว่วมาแต่ไม่เข้าโสตประสาทเท่าไรนัก จริงอย่างที่พี่เฟิร์ซว่าว่าครูคนนี้ชำนาญการกล่อมเด็กเป็นพิเศษจริงๆ เพราะขนาดเธอคิดว่านอนมาพอแล้วเมื่อได้ฟังเสียงสมองที่เคยตื่นเต็มที่ก็เกิดอยากพักผ่อนขึ้นมากระทันหันเช่นเดียวกับหลายๆคน
แต่แม้จะอยากหลับเพียงใดก็ทำไม่ได้ เพราะวันแรกไม่ควรทำให้ขายหน้าและข้อสำคัญ...เธอกำลังเรียนร่วมกับบ้านเพริดอต ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...โมนาร์ก็อยู่ในชั้นเรียนนี้ด้วย
        ครูที่พยายามแต่งตัวให้ดูสาว แต่จริงๆแล้วอยู่ในวัยกลางคนกำลังบรรยายไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนในครั้งนี้ไม่ออกสอบจึงไม่มีใครจดได้แต่ฟังเอา แต่ดูเหมือนน้ำเสียงของครูจะต้อนรับสู่โลกแห่งจินตนาการความฝันมากกว่าที่จะให้รับฟังความเป็นจริงที่เจ้าตัวกำลังบรรยาย วิธีที่จะทำให้ตาสว่างได้คือการมองไปที่ชุดสีส้มแสดสะท้อนแสงของครู แต่นั่นก็จะทำให้ได้อาการปวดตาแถมมาอีกหนึ่ง
        เพียงดูการแต่งตัวก็รู้ว่าครูคนนี้เป็นคนเปรี้ยวขนาดไหน ผมที่รวบสูงปล่อยลงมาเป็นหางม้านั้นมีที่รัดผมสีเขียวสะท้อนแสง ชุดนั้นก็ยิ่งเด่นเข้าไปใหญ่ แถมด้วยเครื่องประดับวับวาวแสนแสบตาแบบไม่อยากจะหันไปมอง นี่ถ้าเธอไปยืนกลางแดดพวกที่มองคงได้ตาบอดกันเป็นแถว...
ที่โรงเรียนนี้พวกครูมีอิสระในการแต่งตัวเสมอ และการที่ไม่มีใครออกมากล่าวเตือนหรือตำหนิการแต่งตัวก็คงจะเป็นเพราะนั่นเป็นยาช่วยแก้หลับอย่างหนึ่ง การแต่งตัวกับน้ำเสียงนั้นเป็นยาคู่ขนานที่แก้กันได้เป็นอย่างดี ( ? )
“ เอาล่ะ ทีนี้ครูก็ขอแจ้งการสอนล่วงหน้า เรื่องต่อไปเราจะเรียน... ” นักเรียนเอาสมุดขึ้นมาจดเรื่องที่ออกสอบ เรื่องที่จะเรียน...ในการเรียนวิชานี้จะไม่มีการเช็คชื่อ แต่ถ้าขาดสอบเทสต์ย่อยก็คือได้ 0 และต้องซ่อม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าทุกคาบเพราะไม่รู้ว่าครูจะสอบเมื่อไหร่ ตามที่ครูแจ้งนั้นคือคะแนนเต็ม 100 คะแนน เทสต์ย่อย 50 คะแนน สอบปลายภาค 50 คะแนน เป็นมาตรฐานของวิชานี้วิชาเดียวเท่านั้น วิชาอื่นก็อาจจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย
นักเรียนรุ่นน้องมักได้คำเตือนจากรุ่นพี่เรื่องกิติศัพท์การซ่อมของวิชานี้ซึ่งแน่นอนว่าการซ่อมย่อมไม่ใช่เรื่องดี และวิธีซ่อมที่ไม่ค่อยจะเหมือนใครของครูชั้นปี 1 ต่างทำให้นักเรียนเข็ดขยาดกันเป็นแถว แม้ว่าจะน่าเบื่อแค่ไหนแต่วิชานี้ก็มีนักเรียนเต็มเสมอ นักเรียนคนไหนที่มีกิจจริงๆจะมาแจ้งครูด้วยตัวเองทุกราย
---***---***---***---***---
“ น่าเบื่อ... ” เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของแคตหลังจากออกมาจากห้อง ตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ อย่าคิดอย่างนั้นสิ พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เอ่อ...อย่างเช่น...คนเราต้องเจอประสบการณ์ เจอครูหลายๆแบบถึงจะดี ถ้าคิดแต่ว่าครูสอนหน้าเบื่อ น้ำเสียงชวนนิทรามากกว่าชวนเรียน สีชุดก็แสบตา ก็เรียนไม่เป็นสุขหรอก ” คำพูดนี้มาจากเด็กผู้มองโลกในแง่ดีอย่างเคท ทำเอาหลายๆคนแอบคาราวะในใจ
“ จริงของเธอ แต่ชั่วโมงนี้คงจะดีถ้าไม่ใช่ว่ามีแต่คนคอยจับจ้องอยู่ตลอด...แย่ชะมัด ไอ้พวกจ้องดีมันก็ทำใจได้อยู่หรอก แต่จ้องประสงค์ร้ายอย่างโมนาร์นี่ไม่ไหว... ”
“ จ้อง...ใครจ้องเธอบ้างล่ะอลิซ แล้วจ้องเพราะอะไร? ” แคตขยับแว่นเล็กน้อย นัยน์ตาสีอำพันมีแววระริกก่อนจะตอบคำถามของเอ๊ดแทนอลิซที่ทำหน้าเบื่อ
“ ...สงสัยคงเห็นอลิซเป็นของแปลก ” คนฟังแทบสำลักน้ำกับคำตอบของเพื่อนซี้ ส่วนผู้ร่วมโต๊ะนั้นก็พากันเบือนหน้าไปหัวเราะอีกทาง ไม่เว้นแม้แต่ไคที่ได้ชื่อว่าเก็บอารมณ์เป็นเลิศ ทำเอาคนถูกกล่าวหาว่าเป็น ของแปลก หน้าขึ้นสี
“ บ้า... ใครเป็นของแปลกกัน... ”
“ ไม่บ้านะ ไอ้พวกมองน่ะถ้าไม่เห็นเธอแปลกมันจะมองหรอ ” น้ำเสียงยังคงกวนอย่างไม่กลัวแว่นแตกคามือใครบางคนที่กำลังมองตาเขียว
“ แคต เธอก็ว่าไปนั่น...มันก็มีมองหลายสาเหตุแหละอย่างโมนาร์ก็ประสงค์ร้าย ถ้าเป็นคิราร่า เชียร์เลอร์ นั่นก็มองแบบเย็นชา ถ้าเป็นซัลคอล์ฟนั่นก็มองแบบทักทาย บ้างก็มองแบบอยากสู้อย่างเช่นชิล เอเวอร์ แล้วก็มองแบบชื่นชม น่าสนใจกับอย่างอื่นก็มี...สรุปง่ายๆว่าไม่เป็นส่วนตัวเอาซะเลยนั่นแหละ ” เคทแจกแจงแต่ละคำว่า กับอย่างอื่น เอาไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะคาดว่าคนถูกมองคงไม่ชอบใจเท่าไหร่
“ ไอ้ที่ว่ากับอย่างอื่นน่ะ มองแบบจีบหรอ ” คำถามส่งตรงจากเดรทำให้แคตยิ้มเจื่อนๆแล้วหันไปทางอลิซที่นั่งตั้งหน้าตั้งตากิน ( รัศมีบางอย่างเริ่มแผ่ ) อย่างเกรงๆ แล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้อีกเพราะอารมณ์ที่เริ่มบูดของเจ้าหญิงแห่งมัลเลนอาจทำให้อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นได้ ซึ่งนั่นแน่นอนว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี
---***---***---***---***---
“ ตามมาทางนี้! ” เสียงบอกจากเฟิร์ซที่เดินนำหน้ากลุ่มเวทย์ผสมนี้ไปทางห้องๆหนึ่งซึ่งเป็นห้องฝึกของกลุ่ม เพียงแค่เดินจากห้องโถงไปตามเส้นทางด้านขวาแล้วเปิดประตูแรกที่มีตัวอักษรสารพัดสีเขียนบอกว่า กลุ่มเวทย์ผสม ก็จะพบกับห้องฝึกขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่สามารถจุคนเป็นพันได้สบายๆ ทั้งนี้ที่ห้องนี้ใหญ่ก็เพราะจะต้องเว้นพื้นที่ฝึกให้ห่างเพื่อกันการโดนลูกหลง
ห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรามีสไตล์ แสงไฟสลัวๆกับโคมไฟแสนแพงทำให้ห้องนี้ดูหรูได้อย่างไม่ยาก แต่ค่าห้องในแต่ละเทอมที่แยกออกมาจากค่าเทอมนี่ก็หนักเอาการ ตามใบรายการแล้วห้องของกลุ่มเวทย์ผสมนั้นแพงกว่าเวทย์กลุ่มอื่นเพราะต้องเสริมความแข็งแกร่งกันความรุนแรงของเวทย์
และส่วนมากพวกเวทย์กลุ่มนี้จะเป็นพวกราชนิกูล การตกแต่งจึงใช้ของดีและแพงเป็นพิเศษ แต่ใช่ว่าจะมีแต่พวกราชนิกูลที่มีเวทย์นี้ พวกคนธรรมดาอย่างพวกลูกพ่อค้าก็มีเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ต้องไปเคลียร์รายจ่ายที่ทำเอากระเป๋าฉีกกันเอาเอง ^^”
“ เอาล่ะ ทีนี้ก็อยู่ห่างๆกันไว้ แต่ละคู่ไปยืนตามจุดที่จัดไว้นะ จากนั้นพี่จะสร้างเวทย์กระจกกั้น แล้วก็...วัดฝีมือกันเมื่อนับถึง 3 ทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 2 ชั่วโมง เริ่ม... ” ทุกคนรีบแยกย้ายไปจองจุดของคน อลิซและจีน่าเลือกที่จะอยู่ห่างฝูงชนให้มากที่สุด
“ หนึ่ง...สอง...สาม! ” แล้วเสียงจากทั่วสารทิศก็เริ่มขึ้น ตามกติกาคือห้ามใช้อาวุธทุกชนิดให้ใช้เวทย์ได้อย่างเดียว ซึ่งความรุนแรงอาจจะมากกว่า... อลิซและจีน่าไม่รอช้า เพราะถ้าช้ากว่าอีกฝ่ายล่ะก็...นั่นหมายถึงการบาดเจ็บที่จะตามมา ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าทั้งคู่จะเล่นกันแค่เบาะๆ...
ขวับ!
เสียงสายเวทย์สีทองพุ่งผ่านหน้าไปเส้นยาแดงเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็เล่นเอาผมอลิซขาดไป 3 เส้นทีเดียว
ปึก! โอ๊ย!
คราวนี้โมนาร์ถูกเอาคืนเริ่มด้วยการเตะไปโดนท้องเต็มๆ เพียงแค่เจ้าตัวไวน้อยกว่าและประมาทไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
พลั่ก ! ขวับ! ปึก! ขวับ ! ฉั๊ว! ปึก! โครม !
อลิซเตะและชกไม่ยั้งในขณะที่อีกฝ่ายหลบบ้าง โดนบ้าง แต่ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ ในที่สุดผู้ที่อ่อนทักษะกว่าก็ไปกองอยู่ที่พื้น จุกจนร้องไม่ออก แต่อีกฝ่ายไม่ร้ายพอที่จะซ้ำเติม เธอยืนมอง...มองคู่ต่อสู้อย่างเย็นชาและรอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเองเพราะเธอรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีวันยอมแพ้ และจะไม่มีวันให้เธอช่วยฉุดขึ้นมา เพราะรังสีแห่งความเกลียดชังที่มีให้เธอนั้นมันมีมากกว่าเดิม เธอสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
“ ลุกขึ้นมาสิ แสดงให้ฉันเห็น...แสดงให้เห็นว่าเธอคู่ควรอย่างที่เธอบอก...เอาชนะฉันให้ได้ อย่างที่เธอหวัง ไม่อยากทำให้ความหวังของพ่อเธอเป็นจริงหรอกหรือ ” น้ำเสียงและแววตายังคงเย็นชาเช่นเคย แต่คำพูดสุดท้ายมันแทงใจดำอย่างชัดเจนในความรู้สึกของจีน่า
“ เธอรู้...? ”
“ ฉันรู้ทุกอย่าง...รู้ว่าทำไมเธอถึงมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ...รู้ว่าทำไมเธอถึงเกลียดฉัน...รู้ถึงความปรารถนา ความกดดันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง... ถ้าคิดแต่ความสามารถภายนอกที่เป็นที่รู้กันล่ะก็ เธอจะไม่มีวันชนะ ถ้าเธอรู้ข้อมูลครูเว่นและวีเชอร์ล่ะก็ ถึงแม้แค่ผิวเผินก็น่าจะรู้ว่า...ไม่มีคนที่ฉลาดคนไหนแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาให้ศัตรูรอบด้านเห็น...เพราะฉะนั้นก็แสดงให้ฉันเห็นสิ ว่าเธอไม่ใช่คนโง่... ”
ถ้อยคำเชือดเฉือนที่ไม่คิดออมหรือถนอมน้ำใจถูกส่งเข้าสู่โสตประสาททุกส่วนของจีน่า ไม่มีใครเคยได้รับคำพูดแบบนี้จากอลิซ เพราะใครปรารถนาดี คนๆนี้จะส่งปรารถนาที่ดีตอบ ข้อนี้เป็นข้อที่เธอรู้อยู่แล้ว และเตรียมรับมาก่อนอยู่แล้วนับตั้งแต่วันที่เลือกที่จะเกลียดคนๆนี้
“ งั้นเรามาวัดกันให้รู้ไปเลยว่าใครจะแน่กว่ากัน ” วิธีปะทะกันตรงๆด้วยพลังเวทย์ซึ่งผู้ที่อ่อนกว่านั้นจะถูกทำร้ายตรงๆเป็นวิธีที่เธอเลือก เพราะจริงอย่างที่รู้มา ต่อให้สู้กันไปเรื่อยๆ พวกที่ไม่ชอบแสดงความสามารถทั้งหมดอย่างครูเว่นและวีเชอร์ ทั้งยังได้รับการอบรมและสั่งสอนมาแบบแปลกๆ ย่อมเอาชนะได้ยาก เพราะทักษะที่ฝึกมาแต่เด็ก กับคนที่ฝึกมาไม่กี่ปีมันผิดกัน
ถึงแม้โอกาสชนะจะมีน้อยแต่การปะทะกันแบบนี้ตัดสินผลเร็วกว่า เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าจะชนะทั้งที่โอกาสแทบจะไม่มีเลยก็ตาม เพราะดูเหมือนว่าความสามารถที่ทั้งได้ยินทั้งสืบมาจะไม่ใช่ทั้งหมด และคงไม่ใช่แค่ที่แสดงให้เห็นตอนนี้...ยิ่งสู้ไปก็ยิ่งรู้สึกว่าคนๆนี้มีบางอย่างที่น่ากลัว ยิ่งสู้พลังใจที่มีมาก็ยิ่งลดฮวบลงเธอจึงเลือกให้จบเร็วที่สุดก่อนที่ความกลัวในส่วนลึกจะโผล่ออกมาให้คนตรงหน้าที่แววตาเย็นเยียบขึ้นทุกทีได้เห็น
“ ฉันจะให้เนลลี่นับหนึ่งถึงสามเป็นสัญญาณ บอกไว้เลยนะว่าห้ามเล่นตุกติกกับฉัน ” เสร็จแล้วเจ้าตัวก็เรียกภูติที่อยู่ประจำสร้อยที่คล้องคอมาตั้งแต่เกิดออกมา ทั้งคู่ตั้งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่เฟิร์ซประธานชมรมที่สู้เสร็จไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบระดมพลออกมาจากห้องโถงของกลุ่มเวทย์โดยด่วน เพราะพลังของอลิซนั้นมีโอกาสมากที่จะทำลายกระจกของเขา และคนอื่นอาจได้รับลูกหลงไปด้วย ด้วยเหตุนี้ทั้งห้องโถงนี้จึงเหลืออยู่แค่ 2 คน กับภูติอีกหนึ่ง
“ หนึ่ง...สอง...สาม! ” แล้วพลังของทั้งสองก็พุ่งใส่กันส่งผลให้แสงสีทองเจิดจ้า
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
--------------------------------------------------------------------------------
aris : ตอนนี้จบลงแล้วค่า ^^ ต้องขอโทษด้วยที่ลงช้า แต่ช่วงนี้จะเริ่มมีเวลาแล้วค่ะ ตอนหน้าก็เร็วๆนี้ล่ะค่ะ ยิ่งแต่งเรื่องก็ยิ่งซ้อนกันทุกที เริ่มเข้าสู่เนื้อหาแล้ว ส่วนคนที่เริ่มคิดว่านางเอกจะโดนแกล้งนั้นควรจะห่วงอีกฝ่ายมากกว่านะ ^^\" นางเอกเราไม่เหมือนนางเอกทั่วไปด้วยสิ ควรห่วงว่าจะเอาคืนใครมากกว่า ^O^\" โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณมิช สำหรับคำผิดจ้ะ ^^
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนด้วยค่ะแล้วก็
Merry Christmas & Happy New Year ค่ะ ขอให้มีความสุขสมปรารถนานะคะ ^O^ 26/12/47
20/04/48 แก้คำผิด
        “ เป็นยังไงบ้างอลิซ ” เสียงพี่ชายถามหลังจากที่ออกมาจากห้องโถง
“ ไม่น่าถาม เลวร้ายมากๆเลย คราวหน้าเวลาทำตามกฎที่พี่ตั้งน่ะช่วยกันคนออกห่างๆเราด้วยนะ เดี๋ยวโดนลูกหลง ” กฎการวัดฝีมือที่พี่ชายของเธอเป็นผู้ตั้งก็อิงมาจากธรรมเนียมของวีเชอร์นั่นแหละ
“ เอาน่า...ชมรมมีแค่อาทิตย์ละ 2 คาบเอง ”
“ เห็นตารางแล้วว่ามีวันอังคารเลย ...แต่เรียนวันละแค่ 3 คาบ... ดีเหมือนกัน ” โรงเรียนเก่าของเธอเรียนตั้งวันละ 6 คาบ การมาเรียนแค่ 3 คาบแถมพักวันจันทร์ให้อีกจึงเป็นเรื่องดี...^^
“ แล้วน้องก็จะรู้... ” เสียงเตือนเบาๆชวนหวั่นของพี่ชายทำให้เธอชักไม่มั่นใจ
---***---***---***---***---
“ เป็นยังไงบ้างอลิซ ” คำถามเดียวกันกับพี่ชายแต่มาจากเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเย็น
“ คู่กับโมนาร์น่ะ เดี๋ยววันอังคารพวกเธอก็คงได้รู้ว่าเป็นยังไง ” พูดพลางทำสีหน้าเซ็งๆทำให้คนถามพอจะเดาอะไรขึ้นมาได้
“ โมนาร์...โมนาร์...จีนารีก้า โมนาร์ เจ้าหญิงแห่งไพคัสที่อยู่บ้านเพริดอตน่ะหรอ ” พออีกฝ่ายพยักหน้าเชจึงเสริม “ อืม...ว่ากันว่าหล่อนร้ายไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ระวังตัวล่ะ ”
“ เห็นข่าววงในบอกว่าเธอไม่ค่อยชอบพวกครูเว่นอย่างเราเท่าไหร่ เอ่อ ข่าวแว่วมาน่ะ ” จะแก้ก็แก้ไม่ทันแล้วเซียจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาจากอลิซกับแคต
“ วงใน? วงในอะไรกัน? หรือว่า...มีสปายอยู่ในไพคัส ” เมื่อเอ๊ดจี้ตรงจุดอลิซจึงต้องรีบแก้
“ ฉันจะไปเอาสปายมาจากไหน...จะหาคนทำงานได้เก่งน่ะยากนะ อีกอย่าง...มัลเลนจะส่งสปายไปทำอะไร ”
“ สงคราม... ” คำตอบสั้นๆที่แปลได้หลายความหมาย
“ อะไรกัน นายคิดว่ามัลเลนจะทำสงครามหรอ? ”
“ เปล่า แต่เป็นเพื่อป้องกันไว้ก่อนเพราะไม่แน่ว่าถ้าไพคัสก่อสงคราม มัลเลนจะรับมือได้ง่าย และนี่ก็อาจรวมเมืองอื่นๆด้วย... ” เจ้าหญิงแห่งมัลเลนยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่คาดเดาได้ยาก
“ นายตอบไม่จบ มัลเลนมีคนเก่งๆก็จริง แต่คนก็น้อยอยู่แล้ว จะเสียเงินจ้างก็เปล่าประโยชน์ แล้วจะไปเอาพวกสปายมาจากไหน ”
“ ...ถ้ามัลเลนคิดจะปิด ทำยังไงก็ไม่มีทางรู้... ” พูดแล้วจ้องมาอย่างมีความหมาย
“ เอ่อ...ชั่งมันเถอะน่า เดี๋ยวกินข้าวไม่อร่อย...พรุ่งนี้วันอังคาร เปิดเรียนวันแรก เพราะฉะนั้นคืนนี้ก็ต้องกินให้อิ่ม นอนหลับฝันดี ตื่นมาจะได้สดใสไง กินเร็วเข้า ” คนเริ่มยอมเงยหน้าขึ้น แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ พรุ่งนี้คาบแรกเรียนสิบโมงครึ่งแน่ะ มีเวลานอนอีกนาน จริงมั๊ยอลิซ? ”
“ อืม ไม่ต้องมาว่าทางอ้อมว่าฉันตื่นสายเลย ฉันรู้ทันหรอก...ที่แย่ก็คือพรุ่งนี้เรียนร่วมกับเพริดอต ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...ฉันจะได้เจอโมนาร์ทั้ง 3 คาบเลย โชคดีอะไรเช่นนี้... ” เจ้าตัวพูดประชดชีวิต
“ แล้วพวกนายล่ะ ” เซียถามขึ้น เพราะตารางเรียนของหญิงกับชายไม่เหมือนกัน
“ ก็...กว่าจะได้เรียนร่วมกับพวกเธอก็วันพุธวิชาทฤษฎีกับศิลปะป้องกันตัว วันพฤหัสวิชาฝึกจิตที่เรียนรวมทุกบ้าน แล้วก็วันศุกร์คาบทฤษฎี ” เดรเป็นฝ่ายตอบให้
“ ทำไมต้องเรียนร่วมกับบ้านอื่นด้วยนะ แล้วทำไมต้องแยกก็ไม่รู้ ”
“ อคติ ” คำพูดเรียบง่ายจากไคที่ทำให้แคลร์หันขวับ
“ อคติตรงไหนกัน ” ย้อนถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองพลางส่งสายตาไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายมองเธอราวกับเด็กๆ และมันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมานับตั้งแต่ได้รู้จักกัน
“ เธอไม่ชอบคนต่างบ้านบางคนถึงได้อคติ ทั้งที่รู้ดีว่ามันเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างบ้านที่ไม่อยากให้มีการแตกแยกหรือแบ่งฝ่าย แล้วก็เพราะเธออยากเรียนร่วมกับ... ” คำพูดสุดท้ายนั้นไคที่มองคนได้ทะลุปรุโปร่งนั้นตัดสินใจที่จะไม่พูด
“ พูดให้มันดีๆ แล้วที่ว่าอยากจะเรียนน่ะ อยากเรียนร่วมกับใคร ทำไมไม่พูดให้มันจบล่ะ ” นัยน์ตาสีเขียวของแคลร์จับจ้องอย่างท้าทายในขณะที่นัยน์ตาสีเดียวกันอีกคู่นั้นดูเฉยชาไม่อยากต่อความ
“ เอาน่า...จะทะเลาะกันไปทำไม เป็นพี่น้องกันมาทะเลาะกันเองไม่อายคนอื่นบ้างหรอ ”
“ ใช่ แต่ก็แค่ในนาม...ไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาก่อนจะจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดอีกครั้ง
        เมื่อ 6 ปีที่แล้วตอนที่เขามีอายุได้เพียง 8 ปี แม่ของเขาได้เสียชีวิตลงเขาจึงหมดที่พึ่งเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา รู้ว่าพ่อเป็นใคร เคยพบเห็นห่างๆ ไม่เคยได้เข้าไปทำความรู้จักหรือชิดใกล้ พ่ออาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีลูกคนนี้อยู่ในโลก เขาจึงได้แต่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เพียงสองคนและไม่มีพ่อมาตลอด
หลังจากที่แม่ของเขาตายเพื่อนสนิทคนเดียวของแม่ซึ่งก็คือแม่ของแคลร์และเควินก็นำเขาไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม ได้เป็นเจ้าชายบุญธรรมของเมืองแห่งพลังพิเศษในมัลเลน และเติบโตในวีเชอร์ตั้งแต่นั้นมา
แม่ของเขาก็มีสายเลือดของคนในเมืองจึงส่งผลให้เขามีและได้ความสามารถทางการเปลี่ยนสีผมและสีตาไปด้วย ตั้งแต่ใช้พลังนั้นได้ ไคก็ใช้ตาสีเขียวและผมสีทองแบบวีเชอร์มาตลอด...และก็ได้รับความอบอุ่นและการเลี้ยงดูแบบลูกในไส้จากพ่อและแม่ของแคลร์ที่นำเขามาเลี้ยง แต่เขาก็ยังคงยืนกรานที่จะใช้นามสกุลเดิมซึ่งก็คือนามสกุลของแม่
แม้จะเติบโตมาด้วยกันถึง 6 ปี แต่แคลร์กับไคก็ไม่ค่อยจะถูกกันเท่าไหร่ เพราะแคลร์มักไม่ชอบที่ไคนั้นมักจะมองเธอเป็นเด็กๆ พวกวีเชอร์เหมือนกันหมดตรงนี้ ตรงที่ไม่ชอบให้ใครมองเป็นเด็กทั้งที่อายุเท่ากันหรือตีความไปว่าดูถูกความสามารถ การทะเลาะหรือกระทบกระทั่งกันจึงเป็นเรื่องปกติของทั้งคู่ต่อหน้าคนคุ้นเคยอย่างอลิซ แต่คงไม่คุ้นสำหรับคนอื่น
“ จริงอย่างที่คิดสินะ ” เอ๊ดพึมพำเบาๆไม่ให้ใครได้ยิน เขาคิดอยู่แล้วว่าแคลร์กับไคไม่น่าจะใช่ญาติกันจริงๆ แล้วข่าวหนังสือพิมพ์ตอนที่ตั้งไคเป็นเจ้าชายนั้นก็มีข่าวแว่วมาแต่ไม่มีข้อมูลมากนักคนจึงได้แต่เดากันไปต่างๆนาๆ แต่ดูเหมือนคนในมัลเลนจะให้การต้อนรับอย่างดีและไม่สนใจข่าวจึงค่อยๆซาไป และถ้าไม่ได้เป็นญาติกับแคลร์ก็คงไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับอลิซ...
“ จะยังไงก็แล้วแต่ พวกเธอโตมาด้วยกันทะเลาะกันไม่เบื่อบ้างรึไง ”
“ ก็เหมือนกับที่เธอทะเลาะกับพี่เบลบ่อยๆทั้งที่เป็นพี่น้องกันจริงๆนั่นล่ะ ไม่เบื่อบ้างรึไง ” คำย้อนกับน้ำเสียงเฉยชาเรียบง่ายทำให้คนถามที่กลายมาเป็นถูกถามนั้นยิ้มเจื่อน
“ นั่นที่ทะเลาะกันเพราะฉันไปแกล้งพี่เบลหรอก...แต่ฉันไม่เคยยกเรื่องมาพูดทะเลาะกันเองนะ อีกอย่าง แกล้งพี่เบลสนุก ไม่น่าเบื่อ แล้วพี่เฟิร์ซก็สนับสนุน ” พูดพลางยิ้ม
“ เอาเป็นว่าเราแยกย้ายกลับบ้านเถอะ กินหมดแล้วนี่  ” เซียรีบเปลี่ยน เพราะคราวนี้เธอเป็นฝ่ายเริ่มหัวข้อสนทนาที่ทำให้เกิดเรื่อง
หลังจากได้รับการ์ด ( ใช้ซื้อของในโรงเรียน ทุกคนจะต้องมีเงินฝากไว้ในธนาคารโรงเรียนแล้วเวลารูดการ์ดมันจะหักบัญชีเอง คล้ายๆกับบัตรเครดิต ) ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้านไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครได้พูดอะไรอีก
---***---***---***---***---
“ วันนี้เราจะเรียนเรื่องในโรงเรียนก่อน โรงเรียนของเราก่อตั้งขึ้นเมื่อ... ” เสียงบรรยายดังแว่วมาแต่ไม่เข้าโสตประสาทเท่าไรนัก จริงอย่างที่พี่เฟิร์ซว่าว่าครูคนนี้ชำนาญการกล่อมเด็กเป็นพิเศษจริงๆ เพราะขนาดเธอคิดว่านอนมาพอแล้วเมื่อได้ฟังเสียงสมองที่เคยตื่นเต็มที่ก็เกิดอยากพักผ่อนขึ้นมากระทันหันเช่นเดียวกับหลายๆคน
แต่แม้จะอยากหลับเพียงใดก็ทำไม่ได้ เพราะวันแรกไม่ควรทำให้ขายหน้าและข้อสำคัญ...เธอกำลังเรียนร่วมกับบ้านเพริดอต ซึ่งนั่นก็หมายความว่า...โมนาร์ก็อยู่ในชั้นเรียนนี้ด้วย
        ครูที่พยายามแต่งตัวให้ดูสาว แต่จริงๆแล้วอยู่ในวัยกลางคนกำลังบรรยายไปเรื่อยๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนในครั้งนี้ไม่ออกสอบจึงไม่มีใครจดได้แต่ฟังเอา แต่ดูเหมือนน้ำเสียงของครูจะต้อนรับสู่โลกแห่งจินตนาการความฝันมากกว่าที่จะให้รับฟังความเป็นจริงที่เจ้าตัวกำลังบรรยาย วิธีที่จะทำให้ตาสว่างได้คือการมองไปที่ชุดสีส้มแสดสะท้อนแสงของครู แต่นั่นก็จะทำให้ได้อาการปวดตาแถมมาอีกหนึ่ง
        เพียงดูการแต่งตัวก็รู้ว่าครูคนนี้เป็นคนเปรี้ยวขนาดไหน ผมที่รวบสูงปล่อยลงมาเป็นหางม้านั้นมีที่รัดผมสีเขียวสะท้อนแสง ชุดนั้นก็ยิ่งเด่นเข้าไปใหญ่ แถมด้วยเครื่องประดับวับวาวแสนแสบตาแบบไม่อยากจะหันไปมอง นี่ถ้าเธอไปยืนกลางแดดพวกที่มองคงได้ตาบอดกันเป็นแถว...
ที่โรงเรียนนี้พวกครูมีอิสระในการแต่งตัวเสมอ และการที่ไม่มีใครออกมากล่าวเตือนหรือตำหนิการแต่งตัวก็คงจะเป็นเพราะนั่นเป็นยาช่วยแก้หลับอย่างหนึ่ง การแต่งตัวกับน้ำเสียงนั้นเป็นยาคู่ขนานที่แก้กันได้เป็นอย่างดี ( ? )
“ เอาล่ะ ทีนี้ครูก็ขอแจ้งการสอนล่วงหน้า เรื่องต่อไปเราจะเรียน... ” นักเรียนเอาสมุดขึ้นมาจดเรื่องที่ออกสอบ เรื่องที่จะเรียน...ในการเรียนวิชานี้จะไม่มีการเช็คชื่อ แต่ถ้าขาดสอบเทสต์ย่อยก็คือได้ 0 และต้องซ่อม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าทุกคาบเพราะไม่รู้ว่าครูจะสอบเมื่อไหร่ ตามที่ครูแจ้งนั้นคือคะแนนเต็ม 100 คะแนน เทสต์ย่อย 50 คะแนน สอบปลายภาค 50 คะแนน เป็นมาตรฐานของวิชานี้วิชาเดียวเท่านั้น วิชาอื่นก็อาจจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย
นักเรียนรุ่นน้องมักได้คำเตือนจากรุ่นพี่เรื่องกิติศัพท์การซ่อมของวิชานี้ซึ่งแน่นอนว่าการซ่อมย่อมไม่ใช่เรื่องดี และวิธีซ่อมที่ไม่ค่อยจะเหมือนใครของครูชั้นปี 1 ต่างทำให้นักเรียนเข็ดขยาดกันเป็นแถว แม้ว่าจะน่าเบื่อแค่ไหนแต่วิชานี้ก็มีนักเรียนเต็มเสมอ นักเรียนคนไหนที่มีกิจจริงๆจะมาแจ้งครูด้วยตัวเองทุกราย
---***---***---***---***---
“ น่าเบื่อ... ” เป็นคำแรกที่หลุดออกมาจากปากของแคตหลังจากออกมาจากห้อง ตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ อย่าคิดอย่างนั้นสิ พยายามมองโลกในแง่ดีเข้าไว้ เอ่อ...อย่างเช่น...คนเราต้องเจอประสบการณ์ เจอครูหลายๆแบบถึงจะดี ถ้าคิดแต่ว่าครูสอนหน้าเบื่อ น้ำเสียงชวนนิทรามากกว่าชวนเรียน สีชุดก็แสบตา ก็เรียนไม่เป็นสุขหรอก ” คำพูดนี้มาจากเด็กผู้มองโลกในแง่ดีอย่างเคท ทำเอาหลายๆคนแอบคาราวะในใจ
“ จริงของเธอ แต่ชั่วโมงนี้คงจะดีถ้าไม่ใช่ว่ามีแต่คนคอยจับจ้องอยู่ตลอด...แย่ชะมัด ไอ้พวกจ้องดีมันก็ทำใจได้อยู่หรอก แต่จ้องประสงค์ร้ายอย่างโมนาร์นี่ไม่ไหว... ”
“ จ้อง...ใครจ้องเธอบ้างล่ะอลิซ แล้วจ้องเพราะอะไร? ” แคตขยับแว่นเล็กน้อย นัยน์ตาสีอำพันมีแววระริกก่อนจะตอบคำถามของเอ๊ดแทนอลิซที่ทำหน้าเบื่อ
“ ...สงสัยคงเห็นอลิซเป็นของแปลก ” คนฟังแทบสำลักน้ำกับคำตอบของเพื่อนซี้ ส่วนผู้ร่วมโต๊ะนั้นก็พากันเบือนหน้าไปหัวเราะอีกทาง ไม่เว้นแม้แต่ไคที่ได้ชื่อว่าเก็บอารมณ์เป็นเลิศ ทำเอาคนถูกกล่าวหาว่าเป็น ของแปลก หน้าขึ้นสี
“ บ้า... ใครเป็นของแปลกกัน... ”
“ ไม่บ้านะ ไอ้พวกมองน่ะถ้าไม่เห็นเธอแปลกมันจะมองหรอ ” น้ำเสียงยังคงกวนอย่างไม่กลัวแว่นแตกคามือใครบางคนที่กำลังมองตาเขียว
“ แคต เธอก็ว่าไปนั่น...มันก็มีมองหลายสาเหตุแหละอย่างโมนาร์ก็ประสงค์ร้าย ถ้าเป็นคิราร่า เชียร์เลอร์ นั่นก็มองแบบเย็นชา ถ้าเป็นซัลคอล์ฟนั่นก็มองแบบทักทาย บ้างก็มองแบบอยากสู้อย่างเช่นชิล เอเวอร์ แล้วก็มองแบบชื่นชม น่าสนใจกับอย่างอื่นก็มี...สรุปง่ายๆว่าไม่เป็นส่วนตัวเอาซะเลยนั่นแหละ ” เคทแจกแจงแต่ละคำว่า กับอย่างอื่น เอาไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะคาดว่าคนถูกมองคงไม่ชอบใจเท่าไหร่
“ ไอ้ที่ว่ากับอย่างอื่นน่ะ มองแบบจีบหรอ ” คำถามส่งตรงจากเดรทำให้แคตยิ้มเจื่อนๆแล้วหันไปทางอลิซที่นั่งตั้งหน้าตั้งตากิน ( รัศมีบางอย่างเริ่มแผ่ ) อย่างเกรงๆ แล้วก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้อีกเพราะอารมณ์ที่เริ่มบูดของเจ้าหญิงแห่งมัลเลนอาจทำให้อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นได้ ซึ่งนั่นแน่นอนว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่ใช่สิ่งที่ดี
---***---***---***---***---
“ ตามมาทางนี้! ” เสียงบอกจากเฟิร์ซที่เดินนำหน้ากลุ่มเวทย์ผสมนี้ไปทางห้องๆหนึ่งซึ่งเป็นห้องฝึกของกลุ่ม เพียงแค่เดินจากห้องโถงไปตามเส้นทางด้านขวาแล้วเปิดประตูแรกที่มีตัวอักษรสารพัดสีเขียนบอกว่า กลุ่มเวทย์ผสม ก็จะพบกับห้องฝึกขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่สามารถจุคนเป็นพันได้สบายๆ ทั้งนี้ที่ห้องนี้ใหญ่ก็เพราะจะต้องเว้นพื้นที่ฝึกให้ห่างเพื่อกันการโดนลูกหลง
ห้องนี้ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่หรูหรามีสไตล์ แสงไฟสลัวๆกับโคมไฟแสนแพงทำให้ห้องนี้ดูหรูได้อย่างไม่ยาก แต่ค่าห้องในแต่ละเทอมที่แยกออกมาจากค่าเทอมนี่ก็หนักเอาการ ตามใบรายการแล้วห้องของกลุ่มเวทย์ผสมนั้นแพงกว่าเวทย์กลุ่มอื่นเพราะต้องเสริมความแข็งแกร่งกันความรุนแรงของเวทย์
และส่วนมากพวกเวทย์กลุ่มนี้จะเป็นพวกราชนิกูล การตกแต่งจึงใช้ของดีและแพงเป็นพิเศษ แต่ใช่ว่าจะมีแต่พวกราชนิกูลที่มีเวทย์นี้ พวกคนธรรมดาอย่างพวกลูกพ่อค้าก็มีเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ต้องไปเคลียร์รายจ่ายที่ทำเอากระเป๋าฉีกกันเอาเอง ^^”
“ เอาล่ะ ทีนี้ก็อยู่ห่างๆกันไว้ แต่ละคู่ไปยืนตามจุดที่จัดไว้นะ จากนั้นพี่จะสร้างเวทย์กระจกกั้น แล้วก็...วัดฝีมือกันเมื่อนับถึง 3 ทุกคนมีเวลาเท่ากันคือ 2 ชั่วโมง เริ่ม... ” ทุกคนรีบแยกย้ายไปจองจุดของคน อลิซและจีน่าเลือกที่จะอยู่ห่างฝูงชนให้มากที่สุด
“ หนึ่ง...สอง...สาม! ” แล้วเสียงจากทั่วสารทิศก็เริ่มขึ้น ตามกติกาคือห้ามใช้อาวุธทุกชนิดให้ใช้เวทย์ได้อย่างเดียว ซึ่งความรุนแรงอาจจะมากกว่า... อลิซและจีน่าไม่รอช้า เพราะถ้าช้ากว่าอีกฝ่ายล่ะก็...นั่นหมายถึงการบาดเจ็บที่จะตามมา ไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าทั้งคู่จะเล่นกันแค่เบาะๆ...
ขวับ!
เสียงสายเวทย์สีทองพุ่งผ่านหน้าไปเส้นยาแดงเดียวเท่านั้น แต่นั่นก็เล่นเอาผมอลิซขาดไป 3 เส้นทีเดียว
ปึก! โอ๊ย!
คราวนี้โมนาร์ถูกเอาคืนเริ่มด้วยการเตะไปโดนท้องเต็มๆ เพียงแค่เจ้าตัวไวน้อยกว่าและประมาทไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
พลั่ก ! ขวับ! ปึก! ขวับ ! ฉั๊ว! ปึก! โครม !
อลิซเตะและชกไม่ยั้งในขณะที่อีกฝ่ายหลบบ้าง โดนบ้าง แต่ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ ในที่สุดผู้ที่อ่อนทักษะกว่าก็ไปกองอยู่ที่พื้น จุกจนร้องไม่ออก แต่อีกฝ่ายไม่ร้ายพอที่จะซ้ำเติม เธอยืนมอง...มองคู่ต่อสู้อย่างเย็นชาและรอให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาเองเพราะเธอรู้ว่าคนตรงหน้าจะไม่มีวันยอมแพ้ และจะไม่มีวันให้เธอช่วยฉุดขึ้นมา เพราะรังสีแห่งความเกลียดชังที่มีให้เธอนั้นมันมีมากกว่าเดิม เธอสามารถสัมผัสมันได้อย่างชัดเจน
“ ลุกขึ้นมาสิ แสดงให้ฉันเห็น...แสดงให้เห็นว่าเธอคู่ควรอย่างที่เธอบอก...เอาชนะฉันให้ได้ อย่างที่เธอหวัง ไม่อยากทำให้ความหวังของพ่อเธอเป็นจริงหรอกหรือ ” น้ำเสียงและแววตายังคงเย็นชาเช่นเคย แต่คำพูดสุดท้ายมันแทงใจดำอย่างชัดเจนในความรู้สึกของจีน่า
“ เธอรู้...? ”
“ ฉันรู้ทุกอย่าง...รู้ว่าทำไมเธอถึงมุ่งมั่นที่จะเอาชนะ...รู้ว่าทำไมเธอถึงเกลียดฉัน...รู้ถึงความปรารถนา ความกดดันที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง... ถ้าคิดแต่ความสามารถภายนอกที่เป็นที่รู้กันล่ะก็ เธอจะไม่มีวันชนะ ถ้าเธอรู้ข้อมูลครูเว่นและวีเชอร์ล่ะก็ ถึงแม้แค่ผิวเผินก็น่าจะรู้ว่า...ไม่มีคนที่ฉลาดคนไหนแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาให้ศัตรูรอบด้านเห็น...เพราะฉะนั้นก็แสดงให้ฉันเห็นสิ ว่าเธอไม่ใช่คนโง่... ”
ถ้อยคำเชือดเฉือนที่ไม่คิดออมหรือถนอมน้ำใจถูกส่งเข้าสู่โสตประสาททุกส่วนของจีน่า ไม่มีใครเคยได้รับคำพูดแบบนี้จากอลิซ เพราะใครปรารถนาดี คนๆนี้จะส่งปรารถนาที่ดีตอบ ข้อนี้เป็นข้อที่เธอรู้อยู่แล้ว และเตรียมรับมาก่อนอยู่แล้วนับตั้งแต่วันที่เลือกที่จะเกลียดคนๆนี้
“ งั้นเรามาวัดกันให้รู้ไปเลยว่าใครจะแน่กว่ากัน ” วิธีปะทะกันตรงๆด้วยพลังเวทย์ซึ่งผู้ที่อ่อนกว่านั้นจะถูกทำร้ายตรงๆเป็นวิธีที่เธอเลือก เพราะจริงอย่างที่รู้มา ต่อให้สู้กันไปเรื่อยๆ พวกที่ไม่ชอบแสดงความสามารถทั้งหมดอย่างครูเว่นและวีเชอร์ ทั้งยังได้รับการอบรมและสั่งสอนมาแบบแปลกๆ ย่อมเอาชนะได้ยาก เพราะทักษะที่ฝึกมาแต่เด็ก กับคนที่ฝึกมาไม่กี่ปีมันผิดกัน
ถึงแม้โอกาสชนะจะมีน้อยแต่การปะทะกันแบบนี้ตัดสินผลเร็วกว่า เธอก็ได้แต่ภาวนาว่าจะชนะทั้งที่โอกาสแทบจะไม่มีเลยก็ตาม เพราะดูเหมือนว่าความสามารถที่ทั้งได้ยินทั้งสืบมาจะไม่ใช่ทั้งหมด และคงไม่ใช่แค่ที่แสดงให้เห็นตอนนี้...ยิ่งสู้ไปก็ยิ่งรู้สึกว่าคนๆนี้มีบางอย่างที่น่ากลัว ยิ่งสู้พลังใจที่มีมาก็ยิ่งลดฮวบลงเธอจึงเลือกให้จบเร็วที่สุดก่อนที่ความกลัวในส่วนลึกจะโผล่ออกมาให้คนตรงหน้าที่แววตาเย็นเยียบขึ้นทุกทีได้เห็น
“ ฉันจะให้เนลลี่นับหนึ่งถึงสามเป็นสัญญาณ บอกไว้เลยนะว่าห้ามเล่นตุกติกกับฉัน ” เสร็จแล้วเจ้าตัวก็เรียกภูติที่อยู่ประจำสร้อยที่คล้องคอมาตั้งแต่เกิดออกมา ทั้งคู่ตั้งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ในขณะที่เฟิร์ซประธานชมรมที่สู้เสร็จไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบระดมพลออกมาจากห้องโถงของกลุ่มเวทย์โดยด่วน เพราะพลังของอลิซนั้นมีโอกาสมากที่จะทำลายกระจกของเขา และคนอื่นอาจได้รับลูกหลงไปด้วย ด้วยเหตุนี้ทั้งห้องโถงนี้จึงเหลืออยู่แค่ 2 คน กับภูติอีกหนึ่ง
“ หนึ่ง...สอง...สาม! ” แล้วพลังของทั้งสองก็พุ่งใส่กันส่งผลให้แสงสีทองเจิดจ้า
ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
--------------------------------------------------------------------------------
aris : ตอนนี้จบลงแล้วค่า ^^ ต้องขอโทษด้วยที่ลงช้า แต่ช่วงนี้จะเริ่มมีเวลาแล้วค่ะ ตอนหน้าก็เร็วๆนี้ล่ะค่ะ ยิ่งแต่งเรื่องก็ยิ่งซ้อนกันทุกที เริ่มเข้าสู่เนื้อหาแล้ว ส่วนคนที่เริ่มคิดว่านางเอกจะโดนแกล้งนั้นควรจะห่วงอีกฝ่ายมากกว่านะ ^^\" นางเอกเราไม่เหมือนนางเอกทั่วไปด้วยสิ ควรห่วงว่าจะเอาคืนใครมากกว่า ^O^\" โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
ขอบคุณมิช สำหรับคำผิดจ้ะ ^^
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนด้วยค่ะแล้วก็
Merry Christmas & Happy New Year ค่ะ ขอให้มีความสุขสมปรารถนานะคะ ^O^ 26/12/47
20/04/48 แก้คำผิด
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น