ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Princess of Time

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 ทางออก

    • อัปเดตล่าสุด 12 เม.ย. 48


                                                              บทที่ 2 ทางออก



             หลังจากนั้นประมาณหนึ่งวัน วีนก็ฟื้น แต่แววตาของเธอไม่เหมือนเดิม ทั้งยังขยับตัวออกห่างอย่างรังเกียจทำราวกับไม่ใช่เพื่อนกัน แค่นั้นไม่พอ เธอยังโวยวายให้พาเธอกลับและด่าว่าต่างๆนาๆ ยิ่งตอกย้ำความคิดของเซีย แต่คนอื่นๆเก็บไว้ในใจ ไม่แสดงท่าทีออกมา รวมทั้งอลิซที่ดูจะเงียบกว่าเดิม และเงียบทุกครั้งที่พูดเรื่องนี้ เซียจึงไม่ยกขึ้นมาพูดอีก



             หลังจากที่ส่งวีนกลับทุกคนก็นั่งประชุมกัน แต่การประชุมนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากนั่งสบตากัน นิ่งเงียบ และเปิดหนังสือในห้องสมุดของคฤหาสน์ครูเว่นแห่งมัลเลนเพื่อค้นหาวีธีการที่จะช่วยเอาเพื่อนคนเดิมกลับคืนมา...ผ่านมาสองวันแล้วก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ไม่มีวี่แววว่าจะมีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์เลยด้วยซ้ำ จะมีก็แค่เล็กน้อยที่พอเป็นความรู้ประดับ แต่ไม่มีหนทางที่จะช่วย จนกระทั่ง...



    “ ปิดหนังสือเถอะ...ไม่ต้องหาแล้ว ” คำพูดจากผู้ที่เงียบมาหลายวันทำให้ทุกคนเงยหน้าจากหนังสือและหันมามอง



    “ ทำไมล่ะอลิซ เธอเคยบอกเองไม่ใช่หรอว่าอย่าพึ่งท้อ อย่าพึ่งสิ้นหวัง ”

    “ ฉันไม่ลืมคำพูดตัวเองหรอกน่าแคต เพียงแต่ฉันจะบอกว่าฉันหาวิธีได้แล้ว... ” ได้นานแล้วด้วย ...ประโยคสุดท้ายถูกหยุดเอาไว้เพราะไม่อยากถูกเพื่อนรุม เพื่อนๆที่ไม่รู้เรื่องนั้นต่างยิ้มอย่างยินดีที่หาวิธีได้ และดูเหมือนอลิซจะกลับสู่สภาวะปกติ



    “ รีบๆบอกมาสิ ”

    “ อย่าใจร้อนกันสิ...จำส่วนผสมง่ายๆที่เคยไปเอากันตอนแพ้พนันฉันได้รึเปล่า เมื่อหลายปีที่แล้วน่ะ ” แน่นอนว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่มีวันลืม เพราะส่วนผสมง่ายๆเหล่านั้นทำเอาเกือบไม่มีชีวิตรอดกลับมาอย่างทุกวันนี้



    “ จำได้สิ...ใครจะไปลืมลงล่ะ ”

    “ อย่ามองฉันด้วยสายตาอย่างนั้นสิ ฟังให้จบก่อน...ส่วนผสมง่ายๆ เอ่อ ...ยากก็ได้ไม่ต้องมองอย่างนั้น…ส่วนผสมพวกนั้นเป็นส่วนผสมของน้ำยาแก้มนตร์ดำ ถ้าเราใส่ให้วีนกินบ่อยๆก็คงมีทางที่จะเอาวีนกลับมาได้...แค่น่าจะนะ ” ประโยคสุดท้ายกลายเป็นเสียงกระซิบอย่างไม่มั่นใจ แต่มันก็ดีกว่าไม่ลองดู เพราะดูมันจะเป็นหนทางเดียวที่คิดออก แล้วผู้ที่ฉลาดรู้ทันเธอก็พูดขึ้น



    “ อืม ก็ได้วิธีแล้ว แต่ฉันว่ามันคงไม่ได้มาจากหนังสือนะ จริงมั๊ยอลิซ ” ทุกคนเริ่มคิดตามแล้วก็หันมามองผู้ที่ทำให้ทนตาแฉะดูหนังสือถึงสองวันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อในขณะที่อีกฝ่ายยิ้มแหยๆเตรียมรับกรรม



    ---***---***---***---***---***---



             ณ ห้องหนึ่งในคฤหาสน์ที่มีตู้และลิ้นชักมากมาย มีส่วนผสมต่างๆแยกตามประเภทเป็นหลายพันชนิดหรืออาจจะเป็นหมื่นด้วยซ้ำ ถัดจากตู้ส่วนผสมก็เป็นชั้นวางยาสีสวยต่างๆที่จัดแยกและเขียนสรรพคุณไว้ ข้างๆนั้นมีคอมพิวเตอร์สำหรับค้นหาว่ายาหรือส่วนผสมนั้นอยู่ตรงไหน มันเป็นห้องเก็บยาที่แสนทันสมัยของตระกูลครูเว่น ที่คนที่นอกจากคนในตระกูลน้อยคนนักจะได้มาเห็นห้องเก็บยาของตระกูลนักปรุงยาแห่งนี้



             ห้องเก็บยานี้แยกมาจากห้องปรุงยาต่างหากและยังมีเนื้อที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าห้องสมุดเสียอีก ทั้งที่เห็นยาต่างๆในห้องปรุงยามากมาย แต่ยาในนั้นก็น้อยกว่าห้องนี้อย่างทาบไม่ติด เป็นครั้งแรกที่แขกต่างเมืองทั้งสามได้มาเยือนห้องนี้



    เจ้าหญิงแห่งมัลเลนซึ่งเป็นเจ้าบ้านเดินนำมาจนสุด มาถึงชั้นที่เขียนเอาไว้ว่า เกี่ยวกับมนตร์ดำ เธอหยิบขวดยาที่บรรจุยาใสไร้สีขึ้นมาแล้วพิจารณา ป้ายที่ติดนั้นระบุสรรพคุณและเขียนชื่อผู้ปรุงไว้พร้อม และแน่นอนว่ามันเป็นชื่อของเธอ





             เธอชูขวดยาขึ้นให้เพื่อนๆดูแล้วลดมือลงให้ขวดยาอยู่ในระดับสายตาของทุกคนเพื่อให้อ่านฉลากสรรพคุณและวิธีใช้ที่ติดอยู่



             ...ยาสำหรับแก้มนตร์ดำ สามารถทำให้ผู้ที่ถูกครอบงำด้วยพลังร้าย ถูกยา หรืออื่นๆเกี่ยวกับมนตร์ดำนั้นมีสติมากขึ้น และชำระจิตใจให้ดีขึ้นและเป็นปกติโดยไว ทั้งนี้ระยะเวลานั้นขึ้นอยู่กับมนตร์ดำที่ได้รับ ให้ผู้ถูกมนตร์ดำนั้นกินทุกวัน สามารถผสมในน้ำหรืออาหารได้  ใช้เพียงแค่วันละ 1 หยดเท่านั้นในช่วงเย็น ถ้าเป็นวันเพ็ญให้ใช้ 2 หยด ยานี้ปรุงโดย อลิซซิน่า ครูเว่น..ปรุงเมื่อวันที่ xx/xx/xx ลงทะเบียนวันที่ xx/xx/xx...









    “ จะทำยังไงให้วีนได้กินทุกวันล่ะ เราไม่มีทางแอบใส่ได้ทุกวันอยู่แล้ว ”

    “ นั่นล่ะคือประเด็น...การที่จะให้วีนกลับมาเป็นปกตินั้นต้องใช้น้ำยาแก้มนตร์ดำนี้ แต่การที่จะใส่ให้กินทุกวันนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ...หยุดเวลา ” เจ้าตัวพูดแล้วเก็บขวดยาลงไม่สนใจสายตางุนงงของเพื่อน





    “ พูดเป็นเล่น เราจะหยุดเวลาได้ไง นอกจากจะใช้เวทย์ทำให้วีนหยุดแล้วใส่ลงไป ”

    \" เวทย์ของพวกเธอไม่สามารถสะกดวีนที่มีพลังนั่นครอบงำได้หรอก และอีกอย่าง...ถึงสะกดได้ก็จะรู้ตัว เพราะฉะนั้นก็ต้องหยุดโดยไม่ให้วีนรู้ตัว ไม่ให้ใครรู้...ดังนั้น...\" นัยน์ตาของผู้พูดเป็นประกายในขณะที่เพื่อนๆมองอย่างไม่วางใจ

    \"…เราก็ต้องหยุดเวลา...ฉันไม่ได้ล้อเล่น มันทำได้จริง เพียงแต่... \"





    “ เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าจะทำยังไงล่ะสิ ”

    “ ฉันทำได้ แต่...ต้องปรุงยา มีสูตรยาโบราณอยู่สูตรนึงที่บรรพบุรุษของครูเว่นเขียนไว้ ส่วนผสมไม่ยากมากมาย มันพอมีอยู่ในห้องเก็บยานี้ ส่วนที่ไม่มีฉันก็ให้ร่างต่างๆที่แยกมาไปหาหมดแล้วช่วยทุ่นแรงไปเยอะ แต่จุดสำคัญมันอยู่ที่...ตอนดื่มยานั่นอาจจะต้องเจ็บตัวนิดหน่อย แล้วก็อาจทำให้เพลียไปนาน...ตอนนี้เราก็จะสอบเข้าแล้ว... ” อลิซเงียบไปก่อนจะพูดต่อ





    “ ฉันว่าเราคงต้องปรุงหลังจากเข้าโรงเรียนแล้ว ระหว่างที่พักฉันจะให้เอเรียผลัดกับร่างอื่นๆเรียนแทนไปก่อน อย่าทำหน้าอย่างนั้นกันสิ คงไม่นานหรอก...เอาตามนี้นะ ” อลิซไม่ได้บอกรายละเอียดมากกว่านี้ เธอไม่บอกว่ายานั่นจะทำให้เธอเสียพลังไปทุกครั้งที่ใช้ ขึ้นอยู่กับว่าหยุดเวลามากน้อยแค่ไหนและหยุดผู้มีพลังเวทย์สูงรึเปล่า นอกจากนี้ยังมีข้อปลีกย่อยอีก จะเสียพลังมากหรือน้อยนั้นก็อาจทำให้เพลียด้วย...แต่เธอกลัวเพื่อนๆเป็นห่วงเลยไม่ได้บอกอะไร





             เซียและแคตรู้สึกคุ้นๆอย่างประหลาด ยาที่บรรพบุรุษครูเว่นเขียนขึ้น แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินมาบ้าง หรือว่า...แคตและเซียหันมาสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็เก็บความรู้สึกและข้อมูลต่างๆไว้ในใจเพราะรู้ว่ามันเป็นทางที่อลิซเลือกแล้ว พวกเธอคงขัดไม่ได้ถึงแม้จะกลัวว่าอันตรายจะเกิดขึ้น...เพราะเคยมีคนตายเพราะยานี้มาแล้ว คนนั้นคือผู้เขียนตำราเล่มนั้นเอง ยานี้จึงเป็นยาสูตรสุดท้ายที่ผู้นั้นได้บันทึกเอาไว้ เขาตายเพราะใช้พลังหยุดเวลามากเกินไป...





    “ มั่นใจแล้วใช่มั๊ยอลิซ... ”

    “ มั่นใจสิเซีย แคต... ฉันเลือกแล้ว... ” ตอบด้วยเสียงหนักแน่นแล้วหันไปมองเพื่อนทั้งสองที่รู้ข้อมูลดี และนึกขอบใจที่เข้าใจเธอ ในขณะที่เช เอ๊ด และเดรไม่ได้อยู่ตรงนั้นแต่สำรวจยาต่างๆในห้องอยู่จึงไม่ได้รับรู้บทสนทนานี้



    ---***---***---***---***---



    ...เกือบสองเดือนต่อมา...



    “ อลิซ อลิซ!

    “ อาราย... ” เสียงงัวเงียตอบกลับมา



    ตื่น! ” เพื่อนๆพูดพร้อมกัน ขณะนี้ทุกคนอยู่ที่ห้องสมุดของคฤหาสน์และติวหนังสือเตรียมสอบเข้ากันอยู่แต่ตอนฟังเชบรรยายประวัติศาสตร์ได้ไม่นานอลิซก็ฟุบคาโต๊ะ เนื่องจากอากาศเย็นน่านอนในห้องสมุดที่ติดแอร์แห่งนี้ และเสียงบรรยายของเชที่ไม่คิดจะเพิ่มชีวิตชีวาเข้าไป ไม่ใช่แค่อลิซที่หลับ แต่เซียกับแคตก็หลับเช่นกันเพียงแต่ว่าทั้งคู่ตื่นก่อนเท่านั้นเอง



    อลิซตื่นขึ้นแล้วขอตัวเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าแล้วก็กลับเข้าห้องสมุดมาด้วยสติสัมปชัญญะเต็มที่เพราะตาสว่างแล้ว... เอ๊ดได้แต่ส่ายหน้า นี่หรือเจ้าหญิงแห่งมัลเลน ตัวจริงคงมีน้อยคนที่รู้ ขืนรู้ภาพพจน์มีหวังแตกยับเพราะคงไม่มีใครคิดว่าเธอจะหลับท่ามกลางเสียงบรรยายอย่างนี้



    ตอนอยู่ที่โรงเรียนเวลาอยู่ในชั่วโมงต่างๆ อลิซไม่เคยหลับ แต่ในครั้งนี้เพื่อนเธอเป็นคนบรรยายจึงขอใช้สิทธิ์ความเป็นเพื่อนหลับอย่างไม่เกรงใจ เพราะเมื่อคืนเธอ แคต และเซียต่างก็อ่านหนังสือนั่งติวกันจนดึกจึงง่วงนอนเป็นธรรมดา



    “ อาทิตย์หน้าจะสอบแล้วนะอลิซ ยังมีเวลามานอนอีก ”

    “ เมื่อคืนติวจนดึกไง อืม...ใกล้สอบแล้วเราก็ติววิชาการกันมาตลอด นายคิดว่าการสอบมันมีแต่วิชาการอย่างเดียวรึไงเอ๊ด เช ถึงได้ติวกันแต่ประวัติศาสตร์อย่างนี้น่ะ...เราน่าจะลองฝึกดาบ หรือเวทย์กันบ้าง ” เจ้าตัวเสนอความคิด



    เพราะคิดว่าการสอบคงไม่ได้มีวิชาการอย่างเดียวแน่ ส่วนพี่ชายกับพี่สาวตัวดีก็ได้แต่ยิ้มไม่บอกอะไร ปีนี้มีผู้เข้าสอบมากมาย แต่รับไม่ถึงร้อยคน พวกเธอจึงต้องขยันเป็นพิเศษ



    “ จะฝึกยังไงกันล่ะ...บอกซะก่อนนะว่าเล่นแผลงๆเดี๋ยวจะเป็นการตัดกำลังตัวเอง ”

    “ ก็...แหม เหลือเวลาอีกตั้งอาทิตย์มีเวลารักษาตัวจากการบาดเจ็บหรอก เอ้ย! ฉันหมายความว่า...ไม่ต้องห่วงหรอก เราเล่นกันไม่ถึงตาย เอ่อ...คือ...คือเล่นกันเบาะๆน่ะ ” แม้จะแก้คำพูดแต่ผู้ฟังก็รู้ดี สาวๆครูเว่นสบตากันแล้วแอบหัวเราะในใจเพราะไม่มีอะไรเล่นมานานแล้ว



    “ เราควรฝึกเวทย์ง่ายๆทั่วไปก่อน เอาให้คล่อง...ห้องฝึกอยู่ไหนนะเซีย ”

    “ ชั้น 7 นะ ถ้าจำไม่ผิด ”

    “ ชั้น 8 ต่างหากล่ะ ไปกันเถอะ ” แล้วเจ้าบ้านผู้เสนอความคิดก็เดินนำหน้าไป



    ---***---***---***---***---





             เมื่อทั้งหมดเปิดประตูเข้ามาก็พบห้องโล่งกว้างที่รอบด้านมีแต่กระจก ทั้งหมดนั่งลงที่โต๊ะที่มุมห้องที่มีจัดเตรียมไว้แล้วเปิดบทสนทนา



    “ เราจะทดลองตามตารางที่พี่เฟิร์ซเคยใช้ฝึกตอนสอบเข้าเมื่อหลายปีที่แล้วดูนะ...ข้อมูลมีบันทึกเอาไว้ แคตจัดการหน่อยสิ ”



             แคตขยับแว่นตาแล้วจ้องมองไปที่โต๊ะ เธอยื่นมือไปใต้โต๊ะและกดปุ่มอย่างชำนาญโดยไม่ก้มลงไปมองเลยซักนิด แล้วพื้นที่กลางโต๊ะก็หายไปปรากฏจอคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแทน  ระบบกลไกต่างๆทำงานตามที่ได้วางไว้ แป้นคีย์บอร์ดโผล่ขึ้นมาจากกลางโต๊ะและค่อยๆเลื่อนมาทางแคต ในขณะที่พวกหนุ่มๆกำลังจ้องอย่างสนใจ อีกสองสาวกำลังแอบหาวและหันมาสบตากันอย่างเซ็งๆ





             แคตจัดการพิมพ์รหัสและสิ่งที่ต้องการต่างๆอย่างชำนาญเพราะเธอถูกใช้ให้ทำบ่อยมาก คนใช้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอลิซที่เป็นทั้งญาติและเพื่อนของเธอที่ตอนนี้กำลังคุยเล่นกับเซียแก้เซ็ง ปกติอลิซเป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง แต่เรื่องคอมพิวเตอร์มักจะไว้ใจให้แคตใช้ อลิซนั้นมีข้อดีอยู่ที่รู้จักเลือกใช้และไว้วางใจคน ข้อเสียคือการชอบไม่เปิดเผยอะไรให้คนอื่นได้รับรู้และชอบเก็บไว้คนเดียว...





             เมื่อแคตกรอกข้อมูลเสร็จประตูที่เข้ามานั้นก็ถูกล็อคอีกชั้นด้วยกลไกระบบเฉพาะและปิดด้วยกระจกเงาอีกชั้น ชั้นวางของ หนังสือ และอุปกรณ์ต่างๆปรากฏขึ้นอย่างรู้หน้าที่ กลางห้องนั้นโล่งเพื่อเว้นที่ไว้ ทางฝั่งตรงข้ามของประตูปรากฏหน้าจอขึ้นและมีตัวอักษรเลือกเมนูต่างๆ บนโต๊ะที่กำลังนั่งอยู่นั้นก็มีรีโมทอยู่ด้วยเพื่อให้เลือกว่าจะลองอะไรก่อน





             การใช้เวทย์ของชาวสเปชนั้นจะขึ้นอยู่กับสีของเวทย์ที่บ่งบอกถึงธาตุ ความถนัดและอื่นๆ สีที่หายากและมีพลังมากที่สุดคือสีใส หรือพูดง่ายๆคือไม่มีสี เวลาปล่อยพลังเวทย์นั้นยากที่อีกฝ่ายจะรู้ตัว ทั้งพลังเวทย์ยังสูงมากเป็นพิเศษหากเจ้าตัวสามารถดึงพลังมาได้สูงสุดย่อมไม่มีใครสู้ได้อย่างแน่นอน ผู้คนที่มีพลังเวทย์ใสนี้ในแต่ละเมืองจะมีอยู่ไม่ถึง 2 คนเท่านั้น และบางเมืองอาจไม่มีเลย ซึ่งที่มัลเลนนั้นมีอยู่เพียงคนเดียวคือพ่อของอลิซ ส่วนฟอล์คกอตเมืองแห่งชาวฟ้ามี 2 คน หนึ่งในนั้นคือกษัตริย์แห่งเมืองนั้นนั่นเอง





    รองลงมาคือพลังเวทย์ สีเงินและสีทอง ซึ่งในแต่ละเมืองมีไม่ถึง 9 คนที่แน่ๆในมัลเลนอลิซก็คงเป็นหนึ่งในนั้น และเอเรียก็เช่นกัน อลิซมีเวทย์สีทอง ส่วนเอเรียมีเวทย์สีเงิน เวทย์สีทองและเงินนั้นมีสายธาตุพิเศษรองจากเวทย์ใสที่สามารถใช้ได้ทีละหลายอย่าง เวทย์สีเงินและทองนี้สามารถใช้ได้สูงสุดพร้อมกันถึงทีละ 4 อย่าง เช่นตอนที่อลิซสู้กับปีศาจอันดับหนึ่งนั้นใช้ไปถึงสามอย่าง





    พลังเวทย์และความหายากอันดับสามตกเป็นของเวทย์สีดำ ที่ถ้าจัดด้านพลังนับว่ามากแต่ยังน้อยกว่าสีทองและสีเงิน ด้านความหายากนั้นมีเมืองละไม่ถึง 5 คนส่วนในมัลเลนมีไม่ถึง 3 คน แต่จะพบมากในเดวิลัสเกือบครึ่งเมืองเลยทีเดียว! จึงไม่จัดว่าหายาก แต่ถูกจัดในโซนพลังเวทย์มากกว่า





    นอกจากนี้ก็ยังมีพลังเวทย์สีน้ำเงิน สีเขียว สีฟ้า สีเหลือง สีส้ม สีม่วง สีแดง สีชมพู และสีอื่นๆ อีกมากมาย ผู้คนที่มีเวทย์รองลงมาใช่ว่าจะด้อยกว่าเสมอไป ถ้าดึงความสามารถมาใช้ได้ดีก็มีโอกาสชนะแต่ก็น้อยนักเพราะส่วนมากถึงแม้ 3 อันดับแรกจะดึงมาใช้ได้ไม่เต็มร้อยแต่ก็มากพอที่จะชนะอยู่แล้ว ผู้ที่ดึงความสามารถของตนเองมาได้ร้อยเปอร์เซนต์นั้นมีอยู่น้อย น้อยมากจริงๆ ขนาดผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจอมเวทย์ก็ยังดึงมาไม่ได้ทั้งหมด





             จอมเวทย์คือผู้ใช้เวทย์ที่เก่งกาจจนได้รับการยกย่องบ้างก็เป็นผู้มีเวทย์ทั่วไป บ้างก็อยู่ในสามอันดับแรก หนึ่งในจอมเวทย์แห่งมัลเลนผู้มีสายเวทย์ทั่วไปคืออเล็กซ์แซนดร้า ครูเว่น หนึ่งในผู้สร้างชื่อเสียงทางด้านเวทย์ให้กับตระกูลครูเว่น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือเสียเพราะลูกหลานอย่างอลิซมักถูกท้าประลองเวทย์เพราะชื่อเสียงอันดีที่บรรพบุรุษสร้างไว้...อาจจะมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ



          

             ทุกตระกูลต่างก็มีชื่อเสียงและความสามารถต่างกันไปตามที่ระบุไว้ในหนังสือ 50 ตระกูลดัง ที่เชนั้นท่องจำได้หมดแล้วและถูกแคตแซวบ่อยๆว่ากินมันเป็นอาหารถึงจำได้ เขามักจะตอบกลับว่า “ ใช่ เป็นอาหารสมองไง ” ทำให้คนไม่ค่อยชอบอาหารสมองประเภทนี้อย่างแคตยิ้มเจื่อนๆ





             เมื่อทุกคนดูวิธีที่ขึ้นบนหน้าจอเรียบร้อยแล้วจึงยืนอยู่หน้าอุปกรณ์ เตรียมตัวให้พร้อมแล้วถอยหลัง อุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ถูกเก็บให้พ้นทาง เหลือเพียงอุปกรณ์ที่ต้องใช้ตามเมนูที่เลือกซึ่งนั่นก็คือเป้าบินที่ต้องเล็งพลังให้แม่น ดูว่าเป้านั้นต้องใช้พลังเท่าไรจึงกำจัดได้ และดูคะแนนว่าจะคุ้มรึเปล่าด้วย หลังจบเกมจะสรุปคะแนนซึ่งกินระยะเวลานานกว่าจะจบ ผู้เล่นจึงต้องถนอมพลังแล้วใช้สายตาและสมองไปพร้อมกัน





    เวลาผ่านไป...ประมาณสองชั่วโมง ทุกคนต่างก็หมดแรงไปตามๆกัน ผลคะแนนออกมาเป็นที่น่าพอใจ...หลังจากซ้อมเหนื่อยๆแคตจึงเลือกโปรแกรมเบรกพักดื่มน้ำเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต่อด้วยโปรแกรมที่อลิซเลือกซึ่งไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมากมายเลย เพราะห้องเป็นกระจกเงาที่มีฤทธิ์สะท้อนอยู่แล้ว และมีปืนที่ริมห้อง การฝึกครั้งนี้คือปืนนั้นจะยิงลำแสงทุกๆ 3 นาที ต้องหลบให้ได้ ใครหลบไม่ได้ก็เจ็บตัวไปและจะพักอยู่ที่โต๊ะที่บัดนี้มีกระจกใสครอบคลุมอยู่เป็นที่พักผู้บาดเจ็บชั่วคราว



    เฟี้ยว!!



    ลำแสงสีแดงอันแรกถูกยิงในขณะที่ทุกคนพยายามหลบและตั้งสติ จากข้อมูลระบุว่าจะเปลี่ยนสีลำแสงที่ยิงแต่ละครั้งและการเจ็บตัวไม่เท่ากัน...การฝึกหลบหลีกเพิ่มความว่องไวครั้งนี้จึงเริ่มขึ้นท่ามกลางความท้าทายและความสนุกของผู้ฝึก...





    -------------------------------------------------------------



    บทต่อไป บทที่ 3 ค่ะ คงเกี่ยวกับการฝึกไม่ก็การสอบแหละนะ  ขอความคิดเห็นด้วยนะคะ^^



    7/01/48

    19/02/48 - ตรวจทานและแก้ใขคำผิด

    12/04/48 - แก้คำผิดอีก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×