คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้น
จุดเริ่มต้น
แสงแดดอ่อนๆตอนเช้า สาดส่องเข้ามาในห้องนอนสีขาว ลมพัดอ่อน พัดเข้ามากระทบผ้าม่านสีครีมบางๆ ปลิวเป็นระยะ ลมยังได้พากลิ่นของดอกแก้ว หน้าบ้านโชย เข้ามา ให้ได้กลิ่นอ่อนๆของมัน ฉันชอบอากาศตอนเช้าจังมันทำให้ฉันไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมา พบเจอกับเรื่องวุ่นวายทั้งหลายตลอดวัน ฉันอยากจะนอนอยู่บนเตียงแบบนี้ ใต้ผ้าห่มนวมผืนใหญ่ นุ่มๆ ผืนนี้ ที่มีกลิ่นของน้ำยาปรับผ้านุ่ม จางๆติดอยู่ ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี กรอบรูปไม้ อันเก่ายังตั้งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เก็บหนังสือก้อยังเรียงรายด้วยหนังสือและนิยายแสนโปรด ที่ฉันอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ต่ำกว่า สามรอบ (มีบางเล่มฉันอ่านถึง ห้ารอบเลย ) ตุ๊กตาหมีตัวโปรดที่ฉันชอบเล่นตั้งแต่เด็กๆยังตั้งอยู่บนหัวมุมเตียง ดูตอนนี้มันดำดูหมอง ขนของมันก็ไม่ฟูฟ่องเหมือนเดิมแล้ว แต่ฉันก็ยังกอดมันทุกครั้งเวลาฉันรู้สึกว่าไม่มีใคร เพราะ มันเป็น ของขวัญวันเกิดชิ้นสุดท้าย ที่ แม่ฉัน ทิ้งไว้ให้ ก่อนที่ทั้งพ่อและแม่ของฉัน จะมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิตไปทั้งคู่ตั้งแต่ฉันอายุได้ 12 ปี
หลังจากที่พ่อแม่ขอฉันเสียไป ฉันก็อาศัยอยู่กับน้าสาวของฉันซึ่งท่านเป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูฉันจนเรียนจบ และพอเรียนจบฉันก็ได้ย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ โดยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านพ่อ กับแม่ของฉันซึ่งยังไม่ได้ดูโทรม เพราะ ฉันกับน้า มักที่จะเข้ามาเที่ยวกรุงเทพฯ และมาพักที่บ้าน หลังนี้เป็นประจำอยู่แล้ว พอได้มาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็เลยตัดปัญหาเรื่องที่พักอาศัยไปได้เลย
“ขอบคุณมากคับ” เสียงของเค้า ตอบเมื่อวิ่งมาถึงลิพท์ แต่สีหน้าเค้านิ่งๆ สีหน้าไม่แสดงออกเหมือนคำพูดเลย
“ชั้นไรค่ะ” ฉันถาม
“ชั้น 15 คับ” เค้าตอบ หน้านิ่ง เช่นเคย
คนอะไรหว่ะ หน้านิ่งส่ะ (ฉันคิด) เอ๊ะ ทำงาน ชั้นเดียวกับเราเลยนี่หว่า ทำมัยเรามะเคยเห็นแห่ะ แต่ช่างเถอะ คงทำงาน ในส่วนออฟฟิตข้างๆมั้ง อาจจะมาใหม่ก็ได้
ติ๋ง.... (เสียงลิฟท์) ประตูลิฟท์เปิดออก
เค้า เดินนำหน้าฉันออกไป ฉันเดินตามหลังของเค้า อยู่ๆ เค้าก้อหยุดเดินฉันก็ไม่ทันระวังตัว เลย เดินชนหลังเค้าเข้าอย่างจัง
“อุ้ย” เสียงฉันอุทาน “ขอโทดนะคะ โทดทีคะ
เค้าหันมามอง ก้มหน้ามาใกล้ๆ และยิ้ม “ไม่เป็นไรคับ แต่ ตอนนี้หน้าผมคงไม่นิ่ง แล้วใช่มั้ย”
ให้ตายเหอะ เค้ารู้ได้งัยเนี่ย ว่า ฉัน ว่าเค้าว่าหน้านิ่ง ฉันก้มหน้าไม่พูดอะไร หน้าแดง แล้วก้อรีบเดินเข้าออฟฟิตไปทันที
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นฉันไม่รู้เลยว่า มันจะทำให้มีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นตามมา อย่างที่ฉันไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นและพบเจอ กับชีวิตของฉัน
หลายนาทีต่อมา ฉันนั่งคิดแต่หน้าผู้ชายคนนั้น ตาคมกริบคู่นั้น คิ้วดำเข้มได้ส่วน จมูกโด่ง ปากบางแดงๆ ร่างกายสูงโปร่ง แต่ ดูแล้ว แข็งแรง กลิ่นหอมอ่อนๆ ทีโชยมาจากตัวเค้า แล้วก้อ รอยยิ้ม มุมปาก เจ้าเล่ห์ๆ ของเค้าที่ ยิ้มให้กับฉัน
“เบล” เสียงยัย โมน่า เพื่อนร่วมงานแสนเปรี้ยวที่วันๆมัยแต่แต่งตัวสวย ทาปากแดงแป๊ด และจะคอยกระแน่ะกระแน๊ฉันเรื่องเป็นเด็กฝาก “นี่ เบล ช่วยหาข้อมูลของงานประมูลเรือขุดของบริษัทฯ ให้หน่อยสิ บอส อยากได้อ่ะ พอดีฉัน ติดงาน อยู่ ช่วยหน่อยนะ” น้ำเสียงหล่อนดูเหมือนออกคำสั่ง มองด้วยสายตาเหยีดๆ และก้อวางแฟ้มข้อมูลไว้ที่โต๊ะ ฉัน
“แต่ บอสใช้เธอมะใช่หรอ โมน่า อีกอย่าง ฉันก้อต้องรีบสรุปงบ ของงานก่อนให้เสร็จด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปทำให้ละ “ ฉันบอก
“เธอก็พักงานของเธอไว้ก่อนสิ ทำให้ฉันหน่อยไม่ได้หรองัย ไม่มีน้ำใจเลย หรือถือว่าเป็นเด็กฝาก ช่วยเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ไม่ได้หรองัย “ เค้าบีบเสียงสูง
“ฉันไม่ได้หมายความว่างั้น นะ โมน่า ถ้าฉันไม่มีงานด่วนฉันก้อช่วยเทอได้อยู่แล้วล่ะ” ฉันบอก
“อืมๆ ไว้งั้นแร่ะ เด๋วฉันว่างจะรีบทำให้ละกัน” ฉันพูดตัดบด
“ขอบใจนะจ๊ะ” โมน่ากล่าว หน้ายิ้มแย้ม ฉันถอนหายใจตามอีกหนึ่งที
ลืมแนะนำตัวไปค่ะ ฉันชื่อเบลอายุ 22 ปี เพิ่งเรียนจบปริญาตรี และทำงานที่นี่มาแล้ว 3 เดือน เป็นคนหน้าตาธรรมดา ผิวขาว แต่ น้าฉันชอบบอกว่า ตาฉันเหมือนแม่ ตาฉันสวยเหมือนแม่ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ฉันรักที่สุด
เวลาฉันคิดถึงแม่ฉันจะชอบมองตัวเองในกระจก และจ้องไปที่ตาของฉัน ฉันจะรู้สึกเหมือนแม่มองฉันอยู่ และคอยปลอบฉัน มันทำให้ฉันหายเศร้า และรู้สึกดีขึ้น
ฉันก้มหน้าก้มตาทำงาน ของฉันให้เสร็จ เพื่อที่ต้องใช้ทำงานของยัยโมน่าต่อ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันทำงานแบบไม่โงหัว ขึ้นมาเลย รู้สึกปวดตา และเมื่อยคอมาก
ฉันเอานิ้ว จับที่ขมับ และกดวนเป็นวงกลม ลุกขึ้น บิดซ้ายขวา แล้วก้อเดินไปเข้าห้องน้ำ ว่าจะไปล้างหน้า และทำธุระส่วนตัวนิดหน่อย
เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำ ฉันก็ได้ยินเสียงรอดออกมา “นี่โมน่า ทำข้อมูลที่บอสสั่งเส็ดยัง” เสียงยัย ฟิวส์ เพื่อนซี้ ถาม
“โอ๊ย ทำให้เมื่อยนิ้วทำมัยย่ะ ฉันเพิ่งไปทำเล็บมาด้วย ให้นังเบลมันทำให้แร่ะแก”
“ไรน่ะ นี่แกให้นังเบลมันทำให้หรอ เค้าก้อมีงานของเค้าน่ะ ยังจะไปใช้เค้าอีก แกทำอีท่าไหนหวะ เค้าถึงทำให้แกอะ” ยัยฟิวส์ ถาม
“เออนี่ฟิวส์ เห็น ผู้ชายที่เข้าทำงานใหม่ ที่ออฟฟิตข้างๆเรานี่มะ หน้าตาหล่อชะมัด น่ากินหว่ะแก สเป็กฉันเลยล่ะแกเห็นมะหว่ะ”
“อ๋อ เห็นแล้ว เพื่อนฉันที่ออฟฟิตเดียวกะเค้าก็เพิ่งโทรมาเม้าท์แตกกะฉันมะกี้อ่ะเค้ามาทำงานได้ สองอาทิตย์แล้ว แต่ออกไปพบลูกค้า บ่อยเพื่อแนะนำตัว นี่ก้อเพิ่งจะเข้ามาประจำออฟฟิตเมื่อวันพุธที่แล้วแร่ะ เค้าชื่อคุณจาริณ จบมาจาก เมกา เชียวนะแก มาทำตำแหน่งผู้จัดการ แทนคนเดิมที่ เพิ่งออกไป อายุยังน้อยอยู่เลยอ่ะ แค่ 27 เอง”
“จิงหรอแก” เสียงโมน่า ดูตื่นเต้น “ทั้งหล่อ เก่ง แบบเนี้ย โอ๊ยยยย อยากได้ อยากได้”
เสียงสองสาวขาแรดประจำออฟฟิตดังออกมานอกห้องน้ำ โดยมะรุ้ว่าฉันแอบฟังอยู่ จากที่ฉันกำลังโมโหโมน่า กลับลืมไปสนิท พอได้ยินเรื่องของเค้า แล้วฉันก็ค่อยๆถอยตัวออกมา ก่ะว่าจะให้ยัยสองคนนั่นออกมาก่อนและค่อยเดินเข้าไปใหม่ แต่ทันใดนั้นเอง
“คุณคับ”
ฉันสะดุ้ง รับหันกลับ จังวะเดียวกับที่หน้าฉันให้ไปชน หน้าอก ของผู้ชายคนหนึ่งอย่างจัง
กลิ่นคุ้นๆ แห่ะ ฉันนึก แล้วฉันก็ต้องตกใจ เมื่อเงยหน้าขึ้น เค้านั่นเอง เค้าที่ฉันเดินชนหลังเค้าเมื่อเช้า เค้าที่ พักนึงฉันนึกถึงใบหน้า และ กลิ่นตัวของเค้า แม้จะในช่วยระยะเวลาสั้นๆ
“ขอโทษค่ะ” ฉัน รีบขอโทษเค้า “ไม่เป็นไรคับ ถ้าผมไม่เรียกคุณ คุณก้อคงถอยหลังมาโดนผมและเหยียบเท้าผม” หน้า เค้าพูดนิ่งๆ
ซวยแล้วว ฉัน ยัยเบลเอ๊ย มัยทุเรศ แบบนี้หว่ะ สองหนในวันเดียว เดินชนเค้าอยู่ได้ น่าขายหน้าชะมัด > <”
“ขอโทดค่ะ ขอโทดจิงๆ พอดีฉัน เอ่อ
.” จังหวะเดียวกันกับที่ยัย โมน่ากับยัยฟิวส์ ออกมาพอดี
เมื่อสองคนนั้น เห็นชายหนุ่มผู้ที่ ตัวเองพูดเมื่อตะกี้ ก็แสดงมารยา ร้อยห้าสิบเล่มเกวียนออกมาทันที โดยเฉพาะยัยโมน่า
“สวัดดีคะ คุณจาริณ ดิฉันโมน่า ค่ะ ทำงานอยู่ออฟฟิตนี้ “ พร้อม ชี้ไปทาง ข้างหลัง “ได้ยินชื่อเสียงของคุณมา
นานแล้วค่ะ ดีใจจังได้เจอตัวคุณจิงๆสักที” ตอแหลชะมัด ฉันคิด และทำหน้าเบ้
“ขอบคุณคับ ยินดีที่ได้รู้จักนะคับคุณโมน่า” เค้ายิ้มมุมปาก
“ฉันชื่อฟิวส์คะ” ยัยฟิวส์แนะนำตัว
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันคับฟิวส” “แล้ว ก็คุณ
.. เอ่อ” และก็มองมาทางฉัน
“อ่อยัยนี่ชื่อเบล พนักงาน ดีเด่น ประจำบริษัทฯ เราค่ะ” เสียงยัยโมน่า กระแนะกระแน๋ แล้วก็หัวเราะกับยัยฟิวส์
“พนักงานดีเด่น” เค้าทวนคำ “หรอครับ” แหมยินดีจิงๆ ที่ ได้พบนะคับ
“แต่ พนักงานดีเด่นนี่ เค้าวัดกันจากอะไรหรอคับ ออฟฟิตคุณ”เค้าถาม
“ก็วัดจาก เส้นใครใหญ่ที่สุด คนไหนเส้นใหญ่สุด คนนั้นก้อพนักงานดีเด่น งัยค่ะ คุณจาริณ” ยัยโมน่า เสียง แดรกดันเหมือนเดิม
ในขณะนั้น ฉันหน้านิ่ว และฉันก็คิดว่า เค้าก็คงจะจับสํญญาณจากหน้าฉันออก เค้ามองหน้าฉันฉัน และก็พูดขึ้นมา "แหม แบบนี้ ผมคงเป็นพนักงานดีเด่นที่สุดในออฟฟิตผม แล้วมั้ง คับ เพราะคนฝากงานคือ เจ้าของบริษัทฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าชายผม” เค้าตอบน้ำเสียงกวนๆ
“ฉันพูดเล่นนะคะคุณจาริณ (หัวเราะหน้าเจื่อนๆ) คุณจาริณทานข้าวหรือยังค่ะ” ยัยโมน่ารีบเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าจะไปทานเนี่ยคับไม่ทราบว่า พวกคุณทานหรือยัง”
“อุ้ยบัญเอิญจังเลยนะคะ โมน่ากับฟิวส์ กำลังจะไปทานพอดี ไปด้วยกันมั้ยค่ะ ถ้าไม่รังเกียจ”
“ได้สิครับไม่รังเกียจเลย แล้วคุณเบล ไม่ไปด้วยหรอคับ”
ฉันกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ดันมีเสียงแทรกขึ้นมา “โอ๊ยไม่ต้องเสียเวลาชวนหลอกค่ะ เค้าไม่ไปหลอกคุณจาริณ ยัยเนี่ย เค้า หอบข้าวใส่ปิ่นโตมากินที่ออฟฟิตทุกวันอ่ะคะ ไม่รู้จะงกไปไหน”
“อ๋อหรอคับ น่าเสียดายจัง ไปกันหรือยังละครับผมหิวแล้ว” เค้าพูด
“ไปสิค่ะ” โมน่า พูด พร้อมเดิน ไป พร้อมๆกับยัยฟิวส์ และคุณจาริน ฉันได้แต่มองตาม และก็ถอนหายใจ(อีกแล้ว)
ไม่รู้ทำมัย รู้สึกเหมือนว่า ตาจาริณนี่กำลังช่วยฉันให้พ้นๆ ไปจาก สายตาและคำพูด จิกๆ ของยัยโมน่า ช่างเถอะ เราคงคิดไปเองละมั้ง เค้าจะมาช่วยทำมัย หน้านิ่งสะขนาดนั้น สงสัยเค้าก็คงเหมือนผู้ชาย ในตึกทั่วๆไปอะแร่ะ ชอบสาวๆ สวยๆ เปรี้ยวๆ วุ้ยย ยิ่งคิด ก้อยิ่ง หมั่นไส้ ยัยสองคนนั่น ไปกินข้าวดีกว่า
“เบลยังไม่ไปกินข้วอีกหรอ” เสียงเจ้านายหัวงู ถาม และมองฉันด้วยสายตา หื่นๆนิดหน่อย
“อ่อ กำลังจะไปค่ะ ขอตัวก่อนนะค่ะ” ฉันรีบ ปิดบทสนทนา
“อ่อเบล งบอ่ะ ถ้า คุณ ยัยทำไม่เส็ด ไม่เป็นไรน่ะ ค่อยๆทำไป ถ้ามีอะไรสงสัยก็ถามผมได้นะ” พร้อมกับ เอามือมาจับแขนฉัน
“ค่ะๆ ได้คะบอส จะเส็ดแล้วค่ะ” ฉันรีบ ดึงมือออก “ขอตัวไปทานข้าวก่อนนะคะ” แล้วฉันก็รีบเดินไป
ไอแก่ลามกเอ๊ย โรคจิต ชอบแต๊ะอั๋น เด็ก หัวงู สักวันฉันจะต้องสั่งสอนตาแก่บ้ากามนี่ให้ได้
จิงๆแล้วฉันเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมคนหลอกค่ะ ด้วยความที่พ่อและแม่ เสียไปตั้งแต่ เด็ก ฉันเลยต้องช่วยเหลือตัวเองมาตลอด โดยมีน้าสาวคอยให้คำสั่งสอนมาควบคู่กัน แต่มันก็ไม่เหมือนกับพ่อแม่ คอยอบรมสั่งสอนเราจิงมั้ยค่ะ ดังนั้นฉันจิงเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมคนเท่าไหร่ แต่ในทางกลับกันฉันก้ออ่อนโยน และ ถ่อมตัวกับผู้ใหญ่ และผู้อาวุโสกว่าเสมอๆ แต่อย่า เพิ่งแปลกใจนะคะว่าทำมัย ไม่สวนยัยสองคนนั่น สะล่ะ ด้วยความที่เราเป็นพนักงานใหม่ อีกอย่าง ฉันก็อยากพิสูจน์ให้ยัยสองคนนั่นเห็นด้วยว่า ฉันเนี่ยไม่ได้ทำงานเพราะใช่เส้นอย่างเดียว ความสามารถ ฉัน กับเกียรตินิยม ที่ เป็นเครื่องการันตีความสามารถของฉัน และอยากจะเอาชนะยัยสองคนนั่นให้เห็นกับตาเลยว่าฉันก็สามารถทำงาน เหมือนกับพวกหล่อนได้ ไม่เหมือนพวกหล่อนที่ทำงาน แบบเช้าชามเย็นชามมาสองสามปี แต่ไม่ได้เรือง จมปรักดักดานอยู่กับตำแหน่งเดิม คอยแต่จะจับผู้ชายแต่งตัวสวยไปวันๆ เท่านั้น
เดินมาที่โต๊ะ ด้วยอาการเบื่อหน่ายสุดขีด เมื่อไหร่ จะถึงเวลาเลิกงานสักทีเนี่ย ฉันหยิบกล่องข้าว ในกระเป๋าถือของฉันออกมาวางบนโต๊ะ แก่ะกล่อง ออก หยิบช้อนกับส้อมออกมา และค่อยๆ ตัก ข้าว และ ผัดผัก ใส่ปาก ค่อยเคี้ยว ในใจพลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมา ป่านนี้ เค้าคงสนุกสนาน กับยัยโมน่า และยัยฟิวส์ ยิ่งคิด ก็ยิ่งหงุดหงิด นี่เราเป็นอะไรไปน่ะ ทำมัย ต้องคิดถึงแต่ผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ายังไม่ถึง 10 นาทีเลย เป็นไรไปยัยบ๊องพลางกำหมัด ทุบหัวตัวเองเบา สองที และรีบกินข้าวต่อ เผื่อที่จะมาปั่นงานของฉัน และงานที่ยัยโมน่า ฝากเอาไว้
“เฮ้อเสร็จสักที” ฉันบ่นออกมาเบาๆ ไปหากาแฟกินที่แคนทีน สักหน่อยดีกว่าแห่ะ คิดแล้วก็หยิบ แก้วกาแฟบนโต๊ะ ถือไปด้วย ระหว่างทางที่เดินไปแคนทีนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนจ้องมองฉันอยู่ ความรู้สึกนั้น รุนแรงมาก ฉันเดินไป พลางหันหลังมาดู เหมือนกับว่ามีใครจ้องอยู่ข้างหลัง แต่มันก็ไม่ใช่ ทุกคนต่างก็ทำงานกัน
ฉันคงคิดมากไปเองละมั้ง ระหว่าง ไปชงกาแฟ ฉันก็ได้ยินเสียงยัยโมน่า และยัยฟิวส์ พูดคุยกันถึงเรื่องตอนเย็น
“นี่ฟิวส์ เทอว่า คุณจาริณ เค้าจะไปกับเรามะ ถ้าฉันชวน ดูเหมือนเค้าสนใจฉันอยู่ไม่น้อยนะเทอว่ามะ” โมน่าพูด
“แม๋ หล่อน คิดมาไปหรือป่าวย่ะ ฉันก็เห็นเค้าเฉยๆ นะ” ฟิวส์ตอบ “ แต่ นี่โมน่า เทอว่ามั้ย คุณจาริณ นี่เค้าแปลกๆนะ เค้าดูเฉยๆ ขรึมๆ ไม่เห็นคุย กับเราเหมือนตอนก่อนลงไปกินข้าวกันเลยอ่”
“นี่แระแก ผู้ชายอ่ะ ต้องดูสุขุม นุ่มลึก น่าค้นหา แบบนี้แระดี “ ยัยโมน่าพูดพลางทำในตาชวนฝัน “ไม่รู้แร่ะวันนี้ฉันต้องชวนคุณจาริณ ไป เที่ยวกับพวกเราให้ได้”
“อ้าว เบล ชงกาแฟหรอจ๊ะ” ยัยโมน่า ทำน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้เลยว่า ไม่ได้ถามด้วยความจิงใจ
“อืม” ฉันตอบกลับ
“เออ เบล งานประมูลฉันละ เสร็จยัง บอส ถาม ฉันใหญ่ “
“อืม เสร็จแล้ว “ เด๋วเทอไปเอาที่โต๊ะฉันแล้วกัน
“ยอดเลยเบล ขอบใจมากน่ะ นี่ถ้าไม่ได้เทอฉันแย่แน่ๆ”
โหย อยากจะ ตะบันหน้าเข้าสัก หมัด หมั่นใส้จิงๆ -“-
“เอ่อ โมน่า เป็นงัยบ้าง กินข้าวกับคุณจาริณ” อยู่ๆฉันก็ถามออกไป ฉันก็ยังงงๆ ตัวเองอยู่เหมือนกัน ไม่ต้องสงสัยเลย โมน่า กับฟิวส์ทำหน้า ฉงนกว่าฉันสะอีก
“แล้วเทอถามทำมัย หรอเบล” ฟิวส์ ถาม
“เอ่อ คือป่าวหลอก ก็เห็นเทอกับเค้าคุยกันดูถูกคอ ก็เลยอยากรู้อย่างน้อยเค้าก้อทำงาน ชั้นเดียวกับเรา ใช่มะ อย่างน้อย ฉันก็จะได้รู้ไว้หน่อยเกิดเจอเค้าก็จะได้ทักทายถูก ถ้าเทอว่า เค้า ไม่โอเค ฉันจะได้ ห่างๆเค้างัย” ฉัน ดำน้ำตอบไปแบบมั่วสุดริด
“เออเค้าก็ดีน่ะ คุยสนุกมาก และยัยชมอีกว่าฉันคุยสนุก แถมยังชวนฉันกินข้าวตอนเย็นด้วยน่ะ” โมน่ายิ้ม
แม๋ จะรู้ว่ายัยนี่ โกหก แต่ทำมัยฉันรู้สึกหงุดหงิดนักน่ะ “ อ่อ หรอ อืมก็ดีนี่ ไปแร่ะ อย่าลืมไปเอางานโต๊ะฉันล่ะ”
ฉันเดินจากไป พร้อม กับ สายตา สงสัย ของยัยสองคนนั่น
ยัยบ้าเอ๊ย อยู่ๆไปถามเรื่องผู้ชาย กับยัยสองคนนั่น ยัยสองคนนั่นต้องคิดแน่เลย ว่าฉันสนใจ ตาหน้านิ่งคนนั้น อยู่
ได้เวลาเลิกงานแล้ว ฉันรีบเก็บของใส่กระเป๋าอย่างเร่งด่วน เพื่อต้องการหลุดพ้นจาก สถานที่ แห่งนี้ซะที หวัง จะออกไปจากนี่ให้เร็วที่สุด จากนั้น ฉันก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้า พอถึงสถานีปลายทาง ฉันก็ลง และเดินกลับ ระหว่างทางเดินกลับบ้าน ฉันชอบที่จะแวะ ที่สวนหย่อมเล็กๆ ซึ่งอยู่ ไม่ไกล จากบ้านฉันเท่าไหร่ แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่มาก แต่ต้นไม้ ต้นใหญ่ ที่อยู่ในสวน รวมทั้งดอกไม้ นานาชนิด ที่ขึ้น เรียงราย อยู่นั่น ทำให้ ฉันดูสบายตา และดูผ่อนคลาย จากสภาวะ และมลภาวะ ที่ฉันเจอมาวันนี้อย่างสิ้นเชิง ฉันค่อยๆ เดินไปนั่ง โต๊ะไม้ ใต้ต้นไม้ใหญ่ ตัวเดิมที่ฉันเคยนั่งประจำ สวนหย่อมนี้ไม่ค่อยที่จะมีคนพลุกพล่น โดยส่วนใหญ่ จะมี เด็กๆมาวิ่งเล่น และเล่นชิงช้า แม่พาลูกนั่งรถเข็นมาป้อนข้าว ผู้เฒ่าผู้แก่ บางคนมาออกกำลัง ภายใน (หรือที่ฉันเรียกว่ารำไทเก็ก)
ฉันชอบนั่งมอง อิริยาบถ ของคนเหล่านั้น เหมือนกับที่ฉันนั่งมอง อิริยาบถของคนบนรถไฟฟ้านั่นแร่ะ
ระหว่าง ที่ฉัน มองไปรอบๆ ฉันรู้สึก ว่าเหมือนมีคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ข้างหลัง ความรู้สึกมันแปลกๆ มันทำให้ ขนแขนฉันลุกได้เลยทีเดียว ฉันรีบหันหลังไป ฉันแน่ใจว่าคราวนี้ฉันรู้สึกไม่ผิดเหมือนเมื่อตอนกลางวันแน่ๆ แล้วก็จิงๆ ฉัน หันไปเจอ
. เค้า ตาหน้านิ่ง คนนั้น กำลังนั่งมองฉันอยู่ หน้านิ่งๆ ซีดๆ แต่ ในตาชวนฝันคู่นั้น ฉันจำได้เลย ฉันตกใจ รีบหันหน้ากลับมา ก้มหน้า พลางคิดว่า เค้ามาทำอะไรที่นี่ เค้าไม่น่าที่จะมาอยู่ตรงนี้ แต่ยังไม่ทัน จะได้คิดอะไร
“ หวัดดีคับ ผมขอนั่งด้วยคน” เค้าพูดขึ้นมา
“อ่อ ได้สิค่ะ ฉันกำลังจะกลับพอดี” ฉันตอบกลับไป
“ทำมัยคับ ผมทำให้คุณรำคาญมาก นักหรอเค้าพูด
“ป่าวค่ะ คือ ฉันต้องมีหลายอย่าง ที่ต้องทำที่บ้าน”
“บ้านคุณ อยุ่แค่นี้เองนี่คับ จะรีบกลับไป ไหน อีกอย่าง ดูแล้ว คุณก็เหมือนไม่ค่อยรีบ เพราะเมื่อสักครู่ผม ยังเห็นคุณนั่งนิ่งๆ ดูสบายใจ ชมนกชม ไม้ อยู่เลย แต่พอผมมา นี่เพิ่งนึกออกเลยหรอคับ ว่ามีอะไรที่ทำค้างไว้ที่บ้าน”
เค้าพูด พร้อมยิ้มอย่างกวนประสาท
ฉันยอมรับว่า อึ้งเล็กน้อยกับคำพูดของเค้า และหงุดหงิดนิดหน่อย ที่โดนจี้ ใจดำสะขนาดนั้น มันทำให้ฉันอยากจะเถียงเค้าสะจิงๆ แต่ ไม่รู้ทำมัย ไม่ว่าฉันคิดหรือฉันจะทำอะไร เค้าก็รู้ไปหมดสะทุกอย่าง
“ก็ได้ ค่ะ เชิญตามสบาย” ฉันพูด น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“ปกติคุณมาที่นี่บ่อยหรอ”เค้าถามฉัน
“ก็ทุกวันอ่ะคะเพราะฉันต้องเดินผ่นทางนี้กลับบ้านทุกวันอยู่แล้ว” แล้วคุณละ บ้านอยู่แถวนี้หรือป่าว
“ป่าว” นั่นคือคำตอบเค้า “ผมตามคุณมา” เค้าตอบหน้ายังนิ่งตามเดิม
“หา อะไรนะ” ฉันร้องเสียงดัง
“ตามฉันมา ตามฉันมาทำมัย มีอะไรไม่ทราบ และตามฉันมาตอนไหนเนี่ย ทำมัยฉันไม่รู้ตัว” ฉันเริ่มพูดเร็ว ในใจคิดกัวตาคนนี้เอยู่ นิด ๆ กัวว่า เค้าคิดไม่ดีอะไร กับฉันหรือป่าว แต่ว่า ถ้าเค้าคิดไม่ดีกับเราจิงๆ เค้าจะมานั่งบอกทำมัยว่าตาม มา หว่า
“ผมมีเรื่องคุยกับคุณ พอมีเวลาคุยกับผมมั้ย” เค้า พูดแต่สีหน้าเค้าจิงจังมาก
“มีเรืองอะไร หรอค่ะ “ ฉันถามไป ในใจก็เริ่มกังวล ว่าเค้าจะมาไม้ไหนอีก
“ผมมีเรื่องให้คุณช่วย” เค้า พูดน้ำเสียงนิ่งๆ เหมือนกับสีหน้าเค้า
จิงๆ ฉันงง กับผู้ชายคนนี้จิงๆ เราเจอกันไม่ถึง ยี่สิบนาที คุยก็ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ยังจะมีอะไร ให้ช่วยอีก หรือว่า จะให้เราช่วยจีบ ยัยโมน่า ?
“ผมไม่ให้คุณช่วยผมเรื่องผู้หญิงหรอกน่า” เค้าพูดสวนขึ้นมา ระหว่างที่ฉันคิด
“เอ่อ คุณรู้ได้งัย” ฉัน โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตกใจ
“นี่แหล่ะ สาเหตุที่ทำให้ผม ต้องมาขอความช่วยเหลือจากคุณ”
จากนั้นเค้าก็เริ่มพูด “ผมสามารถอ่านใจคนได้” เค้าพูดพร้อมมองหน้าฉัน “แต่พักหลังๆ นี่ ผมอ่านใจคนไม่ค่อยได้ และถ้าผมอ่านใจใครได้ นั่นหมายความว่า ผมกำลังจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น”
พูดเสร็จ ก็หันมองหน้าฉันอีกครั้ง ครั้งนี้เค้าคงสังเกตว่าหน้าฉัน ซีด ปากค้าง ฉันเข้าใจ อาการของคนเหวอ เลยทันที หลังจากฟังเรื่องของเค้า
“แล้วงัยค่ะ” ฉันถาม แต่พยาม เก็บอารมณ์ อันตกใจไว้
“คนที่ผมอ่านใจได้ คนนั้นต้องมีจิตผูกพันกับผม แล้วคนคนนั้น จะสามารถช่วยผมได้ ให้ผมหลุดพ้น จาก ความสามารถพิเศษ ที่ผมไม่ต้องการนี้ ตลอดไป”
“แล้วที่ผ่านมา คนเหล่านั้น ฉันหมายถึง คนที่คุณอ่านใจได้ เค้าช่วยคุณหรือป่าวล่ะ” ฉันถาม
“ถ้าช่วย ผมจะมานั่งอ่านใจคุณได้ หรองัย” เค้าตอบเสียงเฉยๆ เหมือนเดิม
“เออจิง ฉันไม่น่าถามโง่ๆ เลย” ฉันกระแทกเสียง พลาง นึกโกรธตัวเอง ที่ไม่น่าถามไรโง่ๆแบบนั้น
“ผมขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจว่าคุณ คนพวกนั้น ผมไม่กล้า ที่จะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากเค้า เพราะส่วนใหญ่ เป็นบุคคลที่ ไม่ค่อยน่าไว้ใจ ความคิดของเค้าที่ผมอ่านได้ มันจะ น่ากลัวเสมอ ผมจึงลังเลว่า ถ้าให้คนพวกนี้ มาช่วยผม บางที เค้าอาจจะ อันตราย กว่า การทีผม จะเจอเรื่องร้าย ก็ได้”
“แล้วทำมัย” ฉันถามต่อ
“แล้วทำมัย ผมถึงขอร้องคุณนะหรอ” เค้า ตอบ ฉันพยักหน้า
“ไม่รู้ทำมัย ผมรู้สึกว่าผมไว้ใจคุณ ผมรู้สึกว่า คุณช่วยผมได้ ผมคิดอย่างนั้น ผมไม่เคยมั่นใจเท่านี้มาก่อน”
ฉันตกใจ แต่อีกใจ ก็แอบดีใจเล็กๆ
“เอ่อ ไม่รู้สิน่ะ คือว่า คุณต้องเข้าใจนะว่าเรื่องของคุณมันเหลือเชื่อเกินไป อีกอย่างฉันก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นเรื่องจริง ฉัน ฉันไม่รู้จะบอกคุณว่างัย ว่าต้องนี้ฉันรู้สึกยังงัย คุณอาจจะเห็นฉันป็นตัวเตลก คิดแกล้งฉันกับพวกยัยโมน่า ก็ได้” อยู่ๆฉันก็นึกถึงยัยสองคนนั่นขึ้นมา เพราะเมื่อกลางวันฉันเห็นเค้าคุยกันอย่างสนิดสนม ซะเหลือเกินไม่ผิดนี่ที่ฉันจะระแวงไว้ก่อน เพราะ ยัยสองคนนั้นก็ไม่ชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่
“แล้วแต่คุณละกัน” เค้าสวนตอบกลับมา สีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
อะไรกัน มาขอความช่วยเหลือ จากฉัน แต่ ดันมาทำให้ฉันรู้สึกผิดสะอีก ถ้าพูดดีๆ กับฉันสะหน่อย ฉันก็จะช่วยหลอก จิงๆ แล้วฉันก็เชื่อ ที่เค้าพูด เลย ห้าสิบเปอร์เซนต์ ด้วยซ้ำ เพราะเหตุการณ์เมื่อเช้า และยังมะตะกี้ อีก
“ฉันถามอะไรคุณอย่างได้มั้ย” ฉันถาม
“เชิญ” เค้าตอบ
“ถ้า
.. ฉันไม่ช่วยคุณ คุณจะเป็นยังงัย”
“ผมคงต้องระวังตัว มากกว่าปกติ หลายเท่า เพราะไม่ว่าจะเดิน นั่ง ยืน นอน ทุกอย่างก้าว มี เหตุร้ายแรง เกิดขึ้นได้เสมอ คุณเข้าใจมั้ยว่า พระเจ้า ให้สิ่งวิเศษ เรามา หนึ่งอย่าง แต่ เรา ต้องแลกกับอะไร บางอย่าง ที่เราไม่อาจรู้ได้แต่ผมไม่ได้ต้องการสิ่งวิเศษ เหล่านั้น เลย ถ้าเลือกได้ “ เค้าก้มหน้า แต่น้ำเสียงเค้าฟังดูเส้าเหลือเกิน
“แล้วทุกครั้งคุณผ่านมันมาได้อย่างไร” ฉันถามต่อ
“ผมอาจจะชินมั้ง รูปแบบ เรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับผม มันไม่ค่อยซ้ำหลอก ผมจะนึกและจะมองเหตุการณ์ ไว้ล่วงหน้า ว่า ถ้าผมขับรถ ผมจะต้องไปทางไหน ดูเส้นทาง ให้อยู่ในทางที่คนส่วนใหญ่พลุกพล่าน พยามไม่ขับรถเร็ว ทุกอย่างสำหรับตัวผมต้องเซฟ ที่สุด ไม่ว่าจะเดิน จะนั่ง หรือจะทำอะไร มีอยู่ครั้งนึง ผมไปซื้อของ ระหว่างทางที่เดินไปซื้อของอยู่นั้น อยู่ๆ ก็มีคนวิ่งราวกระเป๋า วิ่งผ่านผมไป จิงๆตอนนั้น ผมไม่วิ่งตามก็ได้นะ เพราะ ผมรู้ว่า ถ้า ทำแบบนั้น ตอนนั้น ผม อาจตายได้ เพราะผมเพิ่งได้ยิน เสียง ในใจจากผู้ชายคนนึง”
ฉันนิ่งฟัง เค้าพูดไปเรื่อยๆ
“แต่ผม ก็วิ่งไปช่วยเค้า ผมวิ่งตามคนร้ายไป ในซอย ผมต่อสู้กับคนร้าย จากนั้นผมแย่งกระเป๋ามาได้ แต่สิ่งที่ผมกลัวก็เกิดขึ้น คือ คนร้าย ใช้มีดแทงที่กลางหลังผม มีดแทงเข้าไปข้างหลัง เกือบทะลุ ถึงหัวใจผม โชคยังดี ที่ผู้หญิงคนที่โดนวิ่งราวกระเป๋า ตะโกนเรียกคนมาช่วย และพาผมส่งโรงพยาบาลทัน หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินเสียงในใจของใครอีก เหมือนเรื่องร้ายๆ ได้ผ่าน ผมไปได้ ผมรับเคราะ ห์ แลกกับสิ่งวิเศษ ที่ผมได้มา แล้ว”
เค้าพูดไป สายตาฉันก้อมอง ที่แขน และมือ เค้า คงจะจิง อย่างที่เค้า พูด ทั้งแขน และมือ มีล่องรอยแผลเป็น พอสมควร ซึ่ง แผลนั้น อาจจะเกิดจากการปกป้องตัวเค้าเอง จากเหตุการณ์ร้ายๆ ก็เป็นได้
อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกสงสารผู้ชายคนนี้ ถ้า เราต้องอยู่ อย่างระวังตลอดเวลา ต้องคอยระวังตัว ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แล้วก็ไม่รู้ล่วงหน้าได้เลยว่า เราจะต้องเจออะไร ฉันคงจะประสาทเสีย เผลอๆ อาจจะ ฆ่าตัวเองตายไปให้พ้นๆ กับไอ้สิ่งที่เกิดขึ้น กับฉัน
ฉันมองหน้าเค้าและพูดต่อไป “คุณจะให้ฉันช่วยยังงัย”
เค้ามองหน้าฉัน และยิ้ม ครั้งแรกที่ฉันเห็นเค้ายิ้มอย่างเปิดเผย จิงใจ เค้าหล่อจัง ฉันเผลอคิด เค้ามองหน้าฉัน และหน้าเค้าแดงกล่ำ ตายแล้ว ! ฉันลืมไป เค้าอ่านใจฉันได้นี่ โอ๊ยย แย่แล้วยัยเบล อายจัง
“คุณต้องผ่านเรื่องร้ายๆกับผม เราต้องผ่านมันไปด้วยกัน เพราะใจเรา สื่อถึงกัน เมื่อคุณและผมผ่านเรื่องร้ายๆที่จะเจอได้ ผมจะไม่ต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้อีก เพราะเหมือนใจเรารวมกันเป็นหนึ่งกับคนที่เราอ่านใจเค้าได้และเรารวมใจกันผ่านพ้น สิ่งเรานี้ แร่ะ ที่ช่วยให้ผม ต้องได้ยินเสียงใครต่อใครอีก”
“ได้ ฉันจะช่วยคุณ ว่าแต่ ฉันจะรู้ได้งัยว่าคุณจะพบเจอเหตุการณ์อะไร ตอนไหนเวลาไหนบ้าง เพราะเราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอด นี่นา” ฉันถามอย่างสงสัย
“ผมมีทางออก” เขายิ้มกวนๆ “ผมจะย้ายมาอยู่กับคุณ คุณอยู่คนเดียวไม่ใช่หรอ” เค้าพูดพลางมองหน้าฉัน
“นี่นอกจากคุณจะอ่านใจฉันได้ คุณยังรู้ความเป็นอยู่ของชีวิตรฉันอีกน่ะ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ค่อยพอใจนัก
“ตกลงตามนี้นะคับ อ่อ เรียกผม จา เฉยๆน่ะ เบล” เค้ายิ้ม “แล้วคืนนี้ผมจะไปหาคุณที่บ้าน” เค้าลุกขึ้นยืน ปล่อยให้ฉันนั่งนิ่ง หน้าบื้อ แบบนั้น
แล้ว เค้าก็หันมา “ผมสัญญานะเบล ผมจะไม่ให้คุณเป็นอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะรับผิดชอบในชีวิตคุณ ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่เราคิด และมันต้องแลกด้วยชีวิต ผม จะแลกมันด้วยชีวิตผมเอง” เค้าพูดน้ำเสียงจิงจัง และก้มหน้า เข้ามาใกล้หน้าฉัน และเอามือแต่ะไหล่ฉันเบาๆ จากนั้นก็เดินจากไป
นานร่วมสิบห้านาทีได้ ที่ฉันนั่งนิ่งๆ อยุ่ตรงนั้น ทบทวนเรื่องราวตั้งแต่เช้า ตั้งแต่เจอหน้าเข้า ตอนเที่ยงที่ฉันเกือบจะเดินถอยหลังเหยีบเท้าเค้า และเมื่อกี้ นี้ ที่เค้ามาขอความช่วยเหลือจากเรื่องเหลือเชื่อ ที่เค้า ประสบพบอยู่ อะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้น พระเจ้า ช่วยฉันที และฉันก็ตอบ ตกลงไปแล้ว ด้วย และอีกไม่กี่ชั่วโมงนี้จะมี ผู้ชาย ที่ฉันเพิ่งรู้จักวันนี้ มาอยู่บ้านกับฉัน โอ่ย ยิ่งคิดยิ่ง ปวดหัว แต่เอาหวะ บอกเค้าไปแล้วนี่ แล้วอีกอย่าง เราเป็นคนที่รักษาคำพูด บอกว่าจะช่วยก็ต้องช่วย จากนั้นฉันก็ลุกขึ้นเดิน พร้อมกับถามตัวเองในใจว่าฉันพร้อมที่จะช่วยเค้าจิงๆหรอ และฉันทำมัยต้องช่วยเค้าด้วย แล้วเรื่องที่ค้า เป็นเรื่องจริง จิงๆ หรอ ฉันมีคำถามต่างๆเกิดขึ้นในใจ คิดไปเรื่อย ระหว่างเดินกลับบ้าน
ความคิดเห็น