คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เพียงความทรงจํา บทที่ 2
นอกจากเรื่องที่เหมือนกันอย่างแปลกประหลาดก็ยังมีสิ่งที่เราต่างกันสุดขั้วอยู่อีกมากมาย เธอชอบสายฝนแต่ผมกลับเกลียดฝนยิ่งกว่าสิ่งใด เธอลายมือเรียบร้อยแบบที่แทบแยกไม่ออกว่าอันไหนตัวพิมพ์อันไหนตัวเขียน ส่วนผมก็ลายมือไก่เขี่ยจนแยกไม่ออกว่าอันไหนตี-เขียนอันไหนมือเขียน เธอเลือกที่จะไล่ตามความฝันอย่างไม่ลังเล แต่ผมกลับไล่ตามความฝันอย่างครึ่งๆกลางๆ จนบางทีก็รู้สึกเหมือนตัวเองใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่มีสิ่งใดที่มันเจริญงอกงามเลยซักอย่าง
แต่ถึงกระนั้น แม้ว่าเราจะแตกต่างกันเท่าไหร่ แม้ว่าเราจะมีซักกี่สิ่งที่มันสวนทาง แต่หน้าแปลกสิ่งนั้นกลับยิ่งทำให้เราเกี่ยวพันกันแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก มันทำให้ผมรู้สึกว่าเราไม่อาจขาดกันได้ ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกเช่นเดียวกับผมรึเปล่า แต่อย่างน้อยผมเองก็รู้สึกเช่นนั้น (ยอมรับว่าหนึ่งในเหตุผลคือผมพอจะนึกภาพออกเลยว่าหากขาดเธอไปผลการเรียนของผมจะเป็นอย่างไร -_-)
และก็แน่นอน ด้วยความที่เราสนิทแบบตัวติดกันซะขนาดนั้น แถมยังคอยแต่จะปลีกวิเวกแยกออกจากสังคมอยู่เป็นเนืองนิจ นั้นทำให้โดยเพื่อนล้อบ้างประปรายเป็นธรรมดา ผมในตอนนั้นไม่อาจตอบได้ว่าความรู้สึกของเราทั้งคู่ที่ดั่งมีด่ายบางๆ มากั้นกลางนั้นคืออะไร มันทำให้ผมแสดงออกต่อสิ่งที่เพื่อนๆทำด้วยการต่อต้าน ผมทนไม่ไหวจนตัดสินใจที่จะเว้นระยะห่างจากเธอด้วยการหันไปจับกลุ่มกับเพื่อนผู้ชายแทนที่จะไปนั่งอ่านหนังสือกับเธอสองคนในห้องสมุดบ้าง ตัดสินใจที่จะหาชมรมเข้าในตอนเย็นเพียงเพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างที่จะปฏิเสธการเดินกลับบ้านกับเธอแบบไม่ให้ตะขิดตะขวดใจบ้าง
ผมทำอยู่เช่นนั้นเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว ซึ่งก็ได้ผล จากที่เพื่อนๆ คอยเอาแต่ล้อผม ก็ค่อยๆ ซาลงไป และนั้นก็ทำให้การพูดคุยของเราน้อยลงไปด้วย เธอค่อยๆ หันกลับไปสนใจบทเรียนของเธอคนเดียวแบบที่เคยเป็น ระยะห่างของเรามันกว้างขึ้นอย่างที่ผมได้ตั้งใจไว้ จากที่เคยเป็นด่ายเพียงเส้นเดียวมันก็ค่อยๆ ห่างขึ้นจนผมไม่อาจเอื่อมมือไปสัมผัส
ผมได้ในสิ่งใหม่ๆ ผมสนิทกลับทุกคนในห้องมากขึ้น ผมสามารถพัฒนาฝีมือบาสจนสามารถเล่นกับทุกๆคนได้อย่างสนุกสนาน ผมบอกตัวเองว่าผมมีความสุขกับมัน ผมบอกตัวเองว่าผมไม่เคยรู้สึกเดียวดาย
แต่ผมคิดผิด แม้ผมจะได้เดินกลับบ้านกับทุกๆคน ได้พูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน แต่ผมกลับไม่เคยได้รับสายตาที่จริงใจจากใครซักคน ผมไม่เคยรู้สึกว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจริงๆซักครั้ง ไม่เคยเลยที่จะมีใครสละเวลาเป็นชั่วโมงๆมาค่อยๆ อธิบายในสิ่งที่ผมไม่เข้าใจทีละขั้นทีละตอนอย่างใจเย็น ไม่เคยเลยที่จะมีใครหยุดเพื่อรอในยามที่ผมพลาดพลั้ง ไม่เคยเลยที่จะมีใครติในสิ่งที่ผมเป็นและคอยบอกให้แก้ไขอย่างไม่รู้จักหยุดจักเบื่อ ไม่เคยเลยที่จะมีใครทําให้ผมรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งที่อยู่ใกล้ ไม่เคยเลยที่จะมีใครให้ในสิ่งที่ผมขาดทั้งๆที่ไม่เคยขอเลยซักนิด
ไม่เคย
. นอกจาก เธอ
ผมรู้ว่าผมปฏิเสธตัวเองมาตลอด ผมรู้ว่าตอนนั้นผมไม่มีความเข้าใจพอที่จะรับรู้ได้ว่าความรู้สึกข้างในของผมเป็นอย่างไร ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมสูญเสียไปมันยิ่งใหญ่และสำคัญมากกว่าสิ่งที่ผมได้รับมามากแค่ไหน ผมรู้ว่าผมไม่อาจหนีความอ้างว้างในใจได้แม้ว่าจะย้ำกับตัวเองซักกี่ครั้งว่าผมไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายก็ตาม
ทันทีที่ผมตัดสินใจที่จะเปิดประตูที่กักขังผมมาตลอด ทันทีที่ผมตัดสินใจที่จะลบตัวตนที่คอยหลอกหลอนและตอกย้ำถึงตัวตนจริงๆที่ผมเคยเป็น ทันใดนั้น ภาพต่างที่ผมเคยร่วมกับเธอก็คอยผุดขึ้น เหมือนนํ้าพุที่อยู่ๆก็ผุดขึ้นมาจากแผ่นดินที่แตกระแหง ภาพเหล่านั้นเหมือนจะคอยตอกย้ำกับผมว่าตลอดมานั้นผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยวแค่ไหน ภาพเหล่านั้นเหมือนจะคอยปัดเป่าความสับสนและไม่แน่นอนในใจผมให้หมดไป
ผมขอสาบานว่าผมไม่เคยร้องไห้เพราะหนังเรื่องใดมาก่อน แม้ว่าหนังเรื่องนั้นจะได้รางวัลออสก้าสาขาเรียกน้ำตาจากผู้คนไปได้มากมายขนาดไหน แต่ในวันนั้นผมร้องไห้ออกมา น้ำตาที่ไม่เคยหลั่งรินไหลออกมาไม่หยุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่วันที่ผมออกมาจากท้องแม่
ในวันนั้นผมเดินเข้าไปในห้องสมุดโดนไม่สนสายตาของคนรอบข้างเลยซักนิดว่าพวกเค้าจะคิดยังไงกับภาพที่เห็น ผมนั่งลงตรงเก้าอี้เบื่องหน้าของเธอที่มันยังคงเว้นว่างเหมือนเดิม เหมือนกับวันแรกที่ผมได้เจอเธออย่างไม่ผิดเพี้ยน ผมมองสบตาเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ พวกเรานั่งเงียบเช่นนั้นอยู่ซักพักหนึ่ง
“ขอโทษ” นั้นเป็นคำพูดแรกที่ผมพูดออกมา
“ขอโทษเรื่องอะไรหร่ะ เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย”
ในตอนนั้นผมไม่อาจดูออกได้เลยว่าในแววตาของเธอมีสิ่งใด ผมไม่รู้ว่าเธอรู้สึกเช่นไรในสิ่งที่ผมทำไป ผมรู้ว่าผมทรยศเธอ ผมรู้ว่าผมทอดทิ้งเธอ ผมปล่อยให้เธอเผชิญอยู่กับปัญหาทุกอย่าง โดยที่ตัวเองได้แต่หลบหนีและทิ้งเธอไว้เพียงลำพัง ผมได้แต่ขอโทดซ้ำไปซ้ำมาและด่าทอตัวตนของตนเองที่ขี้ขลาดแม้กับสิ่งที่รู้ว่าสำคัญกับตัวเองมากแค่ไหน ผมร้องไห้ออกมาอีกครั้ง ไม่อาจอดกลั้นน้ำตาที่เอาแต่หลั่งรินออกมาอย่างไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ตอนนั้นเธอตกใจกับผมที่อยู่ดีๆ ก็ร้องไห้ดั่งเขื่อนแตก เธอจะรู้ไม้นะว่าเธอสำคัญกับผมมากแค่ไหน เธอเคยรู้หรือไม้ว่าทุกช่วงเวลาที่ขาดเธอไปผมไม่อาจที่จะหลีกหนีความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเดียวดายไปได้
“นี้อย่าร้องไห้สิ อายเค้านะ”
เธอส่งทิชชู่ที่พกอยู่ในกระเป๋าสตางค์ให้ผม หลังจากที่ผมเช็ดน้ำตาออกจนหมดจนเหลือแต่ดวงตาที่แดงก่ำเธอก็พูดขึ้น
“ดาริน เนี้ยก็ขี้ แงเหมือนกันน้า”
เธอยิ้มออกมา หลังจากที่ได้เห็นภาพรอยยิ้มของเธออีกครั้ง มันทำให้ผมตัดสินใจแน่วแน่
“ชั้นจะไม่มีวันทิ้งเธอไปอีก”
“จ้า ถ้างั้นฉันก็เหมือนกัน”
“สัญญานะ”
“อืม สัญญา”
“ใครผิดสัญญาให้กลืนเข็มพันเล่มเลย เอ้า”
“อุบ 555+ ดารินเนี้ยตลกจัง คำสาบานโบราณพันนั้นเนี้ยไม่มีใครเค้าใช้แล้วหร่ะ”
“อ่ะ หรอ” ผมเกาหัวอย่างไม่ได้ใส่ใจ
ตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวอีก ในตอนนั้นผมเรียกมันว่าอย่างนั้น ความอ่อนเยาว์ทำให้ผมไม่อาจเข้าใจต่อความรู้สึกอันซับซ้อนนั้นได้
ยังคงเป็นเช่นนั้น จนแม้วันสุดท้าย ก็ยังคงเป็นเช่น และเมื่อวันสุดท้ายของเรามาถึง คำพูดของผม ความรู้สึกที่แท้จริงของผม ความรู้สึกที่ในวันนั้นผมไม่อาจเข้าใจ ในวันสุดท้ายนั้น ผมก็ไม่อาจที่จะสื่อสิ่งใดกับเธอได้อีก
ตลอดกาล
ความคิดเห็น