ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~Blood School เลือดรัก นักเลงช่าง ~JackBam [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #20 : Sec 20 / All I need is you

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.41K
      30
      4 ก.พ. 58



                    


                                                                 Cr. OPV  IJAHTRIPLES.  


    ผมได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น มือที่ยกขึ้นหยิบจับยาไปมาชะงัก ก่อนจะหันมองคนที่ยังนอนหลับตาอยู่บนตักผม....มือไม้อ่อนไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะเคลื่อนที่ได้   เข้าใจอารมณ์คนทำผิดแล้วถูกจับได้แบบกะทันหัน...แต่สิ่งที่มันมีมากกว่าสำหรับผมคือ...เสียใจ...ความผิดเริ่มเกาะกินหัวใจทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไป และทั้งที่อีกคนก็ยังไม่ได้ว่าอะไรผมด้วย....

     

    “ แบมโกหกอะไรครับ”

     

    “........................”

     

    “ เฮีย! ลุกขึ้นมาคุย”   เหมือนคนร้อนตัว แต่ก็ยังแสดงเป็นว่าตัวเองไม่ผิด ทั้งที่ร้อนผ่าวไปหมดทั้งหน้า....ผมขยับตัวหนีคนที่หนุนตัก จนหัวของคนที่หลับตากระทบพื้นผ้าใบที่ปูไว้....แต่เฮียแจ็คก็ยังนอนหลับตาอยู่อย่างนั้น....ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าผู้ชายคนนี้ สามารถใช้ความนิ่ง ก่อกวนและหลอนประสาทใครต่อใครได้ง่าย ๆ และตอนนี้ผมก็กำลังโดนอยู่...นั่งทับปลายเท้าตัวเองจ้องคนที่นอนนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร...

     

    ...ยิ่งอีกคนนิ่ง...ผมยิ่งเหมือนถูกไฟสุมอยู่รอบ ๆ ตัวจนอยู่ไม่ได้...

     

    “ เฮีย...ลุกขึ้นมาคุย...เฮีย!!..”

     

    “ มีอะไรกันวะ แบมแบม เฮียเป็นอะไร!

     

    “.......................”  มาวินวิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงผม  เสียงตะคอกใส่คนที่นอนอยู่ดังพอให้คนที่อยู่ในรัศมี 6 เมตรได้ยินตอนนี้บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกยังไง  แต่แค่ต้องการคุย...

     

    “...มาวินมึงไปเอากุญแจรถกับไอ้กัสมาให้กู... มึงบอกพวกนั้นด้วยว่าซ้อมไปเลย...พรุ่งนี้กูจะกลับมาแต่เช้า...” 

     

    “...เฮียจะไปไหน...”  ผมถามคนที่ยังอยู่ท่าเดิม แต่ออกปากสั่งไอ้มาวินจนวิ่งแถบจะเป็นถลาไปหาเฮียกัสที่เอารถมาเองเพราะมีแพลนจะเที่ยวต่อกับเฮียนัม......เฮียแจ็คค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมามองผมที่ลุกขึ้นตาม...

     

    “..นี่ครับเฮีย..”

     

    “ ...เฮีย จะไปไหน..”  รู้ตัวว่าตอนนี้ผมสติแตกไปแล้ว...จะทำอะไรเหมือนคนไม่มีเวลาคิดนาน เพียงแค่อีกคนรับกุญแจจากไอ้มาวินก็เดินดุ่ม ๆ ออกจากเตนท์หลังสแตน  และผมก็ก้าวตามโดยไม่ต้องสงสัย...ตอนนี้ได้แต่เดินตามหลัง...

     

    “....................”

     

    “...เฮีย!..

     

    ปึก!

     

    “.................”  คนที่ปลดล็อครถและสตาร์ทรถจากรีโมทในมือไม่สนใจผมที่วิ่งไปอีกด้านทันที ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนที่คนขับจะขึ้นซะอีก  ไม่นานรถเก๋งราคาแพงก็วิ่งฉิวออกจากสถาบันเจ้าภาพ...

     

    เหมือนคนขับจะรู้เส้นทางเป็นอย่างดี  รถวิ่งออกจากสถาบันการศึกษาขึ้นถนนสายทางหลวง วิ่งไปเรื่อย ๆ โดยไร้คำพูด เมื่ออีกคนไม่ตอบผมก็ไม่ได้ถามอีก...แต่ก็ยังเหลือบมองคนที่ทำหน้านิ่ง ๆ มองทางข้างหน้าเป็นระยะ  วิ่งตามทางหลวงเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนจะแยกออกเหมือนถนนทางเลี่ยงเมือง  แต่รถกลับวิ่งเยอะ  วิ่งไปซักพักถึงรู้ว่ากำลังมุ่งสู่ทะเลด้านหน้า  ที่เห็นเหมือนผืนผ้าสีฟ้าฉาบจนจรดท้องฟ้าที่วันนี้ดูสดใส ผิดกับผมที่ยังขุ่นมัวอยู่

     

    “ เฮียจะพูดกับผมได้รึยัง...มันเรื่องอะไร...”

     

    “....ยังไม่มีอารมณ์...”

     

    “..........................” 

     

    “ แล้วเฮียเป็นเชี่ยไรเนี่ย!

     

    “........................”

     

    “  ก็....มัน...”   สรุปแล้วผมก็เผลอตวาดออกไป ใช้นิสัยเดิม ๆ  จนเฮียหันมอง  อึกอักพูดอะไรไม่ออกต้องลอบกลืนน้ำลาย  ถึงแม้ว่าสายตาจะมองมาอย่างว่างเปล่า ไม่มีแววตำหนิ หรือสงสัยอะไร....

     

    ปึก!

     

    ผมรีบเปิดประตู ก่อนจะปิดแล้ววิ่งตามคนที่ล็อครถหลังจากที่ผมลง   แล้วเดินเข้าไปในป่าสนสูงที่อยู่ริมทะเล....ต้นสนสูงที่ปลูกเว้นรถระห่างๆ  เป็นร่มเงาได้แต่ไม่รกเรื้อนมาก....บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ คงเพราะหาดที่มีโขดหินเยอะ  แต่ความร่มรื่นของต้นสนมันก็ดูสดชื่นและสวยงามไปอีกแบบ...ถอนหายใจ  ก่อนจะเดินไปยืนข้าง ๆ คนที่ยืนกอดอกพิงต้นสน มองดูทะเลตรงหน้านิ่งๆ  กลายเป็นว่าทุก ๆ อย่างตั้งแต่ต้นที่มันร้อนรนอยู่ในใจผมก็เริ่มเย็นลงเหมือนกัน....ค่อย ๆ คลายมือตัวเองออก ซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกำแน่นไปตั้งแต่ตอนไหน...

     

    ...เพียงแค่คลายมือ...ใจผมมันก็รู้สึกคลายความกังวลลงได้....มองแผ่นหลังกว้างที่กว้างกว่าต้นสน ก่อนจะเดินไปพิงต้นเดียวกันแต่คนละฝั่ง...อีกคนหันหน้ามองทะเลที่เหมือนจะสงบ แต่กลับมีทั้งสปีดโบ๊ท ทั้งเจ็ทสกี วิ่งวนไปวนมา...ผมจ้องมองท้องถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ไปมาไม่หยุดหย่อน...จะอยู่ที่ไหน จะมองตรงไหน  ทุกอย่างจะสงบหรือไม่  มันอยู่ที่ใจคนมองทั้งนั้นสินะ......หลับตาลงช้า ๆ ไม่พูดอะไร สูดเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ได้เจอในกรุงเทพฯ เข้าปอดให้สุด ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนออกแล้วลืมตาขึ้น...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...

     

    “ เฮีย...ผมขอโทษ...”

     

    “.................”

     

    “ ขอมือหน่อย”  ยื่นมือขวาตัวเองออกไปข้างลำตัว  เบี่ยงไปด้านหลังเล็กน้อย ให้คนที่พิงต้นสนต้นเดียวกันพอมองเห็น....แต่ก็เจอแต่ความว่างเปล่า...ไม่มีมือคู่อุ่น ๆ เอื้อมมาจับให้อุ่นใจเหมือนทุกครั้ง....

     

    “ เวลากูต้องการมือใครซักคน ที่จะเอื้อมมาจับแล้วเดินไปพร้อม ๆ กัน เวลามันไม่มี มันก็เจ็บเหมือนกัน มึงแกล้งความจำเสื่อมเพื่อหนีกูรึไง”

     

    “........................”  ค่อย ๆ ลดมือตัวเองลงมา....ก่อนที่จะปล่อยให้หยดน้ำตาที่ขึ้นคลอหน่วยทันทีที่อีกคนพูด ผมแค่ต้องการจับมือเฮียเพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่างสื่อสารออกไป แต่ไม่คิดเลยว่า  ผมสร้างบาดแผลไว้ให้อีกคนจนไม่แม้แต่จะจับมือกัน...ผมเข้าใจแล้วว่าเฮียกำลังรู้สึกอ้างว้าง...มือที่เย็นชืดไม่มีใครจับ มันเหน็บหนาวแค่ไหน

     

    “ เฮีย..เจ็บมากไหม...ฮึก...ผมไม่เคยคิดว่าเฮียโง่นะ...”

     

    “ เจ็บสิ...แต่กูทนได้  กูบอกแล้วไง มึงต้องการอะไรกูให้หมด”

     

    “ เฮียรู้เมื่อไหร่  ว่าผมโกหก”   ถามออกไปทั้งที่พวกเรายังนิ่งกันอยู่ท่าเดิม หัวผมเอนพิงต้นสนพยายามเก็บน้ำตาที่ไหลหยด กลืนกลับเข้าไปให้หมด ไม่อยากอ่อนแอมากไปกว่านี้แล้ว

     

    “ตั้งแต่วันแรกที่มึงย้ายห้องที่โรงพยาบาล  อืม...ช่างมันเถอะ มันไม่สำคัญหรอก”

     

    “ ผมไม่ได้แกล้ง เพราะต้องการหนีเฮีย แค่ยังไม่แน่ใจ”

     

    “ ไม่แน่ใจว่ามึงรักกูรึเปล่าใช่ไหม”

     

    “ เฮียว่าไงล่ะ”  ดันตัวเองออกจากต้นสน ก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าคนที่ยังพิงอยู่อีกด้าน ใบหน้าหล่อนิ่งสนิท ตาคมจับจ้องหน้าผมตั้งแต่ที่เดินเข้าไป...สัมผัสความเจ็บปวดจากคำพูดอีกคนได้อย่างชัดเจน...ทำไมผมจะไม่รู้  ว่าการไม่ได้รับความรักจากคนที่เรารัก มันปวดร้าวแค่ไหน...แค่คิดว่าวันนึงผมจะต้องเสียคน ๆ นี้ไป ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะใช้ชีวิตต่อไปได้แบบปกติรึเปล่า..

     

    “ ไม่รู้สิ  ตัวมึงย่อมรู้ดีว่าไม่แน่ใจอะไร”

     

    “ เฮีย “

     

    “..................”  ร่างหนาขยับเล็กน้อยเมื่อผมเลือกที่จะเดินเข้าไปชิดจนตัวเราห่างกันไม่ถึงคืบ  ยกแขนขึ้นกอดรอบเอวคนที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ ทำให้แขนผมสัมผัสกับความสากของต้นสนที่เฮียพิง  ซบหน้าลงกับอกกว้างที่ทั้งอุ่นและมีกลิ่นไอที่ผมคุ้นเคยและโหยหา...

     

    ...ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกลียดจนไม่อยากจะมองหน้า  แต่พอรู้ว่ารัก  กลับรักซะจนไม่อยากจะห่างไปไหน...

     

    “ ผมอยากรู้  อยากรู้ว่าเฮียจะยังรักผมไหม ถ้าผมไม่เหมือนเดิม...ผมกลัว  กลัวว่าเฮียจะไม่ปล่อยผมถ้าถึงเวลาที่เฮียต้องไป  และผมไม่แน่ใจ...ฮึก...ว่าเราจะ รัก กัน ต่อไป..ฮึก...ได้นานแค่ไหน..ฮึก..ถ้าผมยังแสดง ว่ารักเฮียมาก ฮึก ถ้าถึงวันนึงที่เฮียต้อง ไป ผมจะเจ็บปวดมาก..ฮึก ฮืออ...”  น้ำตาที่พยายามทำให้สงบ ตอนนี้กลับไหลออกมา และผมหยุดมันไม่ได้...กำลังมัวเมากับความเสียใจที่เกิดขึ้น..กำลังอยู่กับวังวนของความคิดที่ว่ากำลังจะสูญเสีย..

     

    “...ถ้ามึงแกล้งจำอะไรไม่ได้ แล้วถึงเวลาที่กูไป มึงจะรู้สึกดีกว่างั้นเหรอแบมแบม..”

     

    “ ไม่ ฮึก ฮืออ...ไม่...จะเป็น แบบ ไหน..ฮึก ก็ เจ็บ เหมือนกัน ฮืออ..”

     

    “..เจ็บ แล้วทำทำไม เด็กโง่..”  สุดท้ายผมก็ได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่  อ้อมกอดของคนที่ผมกอดอยู่  เฮียแจ็ควาดแขนกอดตอบผม  กอดแน่น แต่กลับไม่รู้สึกอึดอัด  อยากให้กอดให้แน่นขึ้นอีก  ไม่อยากให้เฮียปล่อยผมไปไหน  ยิ่งอบอุ่นน้ำตายิ่งไหลออกมา  รับรู้แรงกดและสัมผัสเบา ๆ ที่หัวตัวเอง...เสียงพูดคำว่า เด็กโง่ มันก้องอยู่ในหัวจนหยุดร้องไห้ไม่ได้...มันเหมือนคำต่อว่า แต่กลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ เหมือนผมเป็นเด็กโง่ๆ  ที่อีกคนพร้อมจะปกป้องเสมอ....

     

    “ เฮีย อย่าโกรธ ผม ฮึก นะ ฮืออ”

     

    “ กูโกรธไปแล้วมีอะไรดี “

     

    “.......................”  ผมส่ายหัวไปมาในอ้อมอกของคนที่ยังกอดแน่น...กลิ่นน้ำหอมติดปลายจมูกจนอดที่สูดเข้าไปพร้อมกับน้ำหูน้ำตาไม่ได้ มือหนาลูบหัวผมเบา ๆ และโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบให้หยุดร้อง...

     

    ...เวลาคนแข็งกระด้าง ห่ามๆ  ทำอะไรอ่อนโยนแล้วมันทำให้ผมร้องไห้หนักจริงๆ ....

     

    “ ไอ้ขี้แย หยุดร้องได้รึยัง”

     

    “ ไม่ได้ อึก ขี้แย”  เงยหน้าออกจากอกกว้าง ทั้งที่แขนเฮียยังคล้องเอวผมอยู่...นิ้วเรียวยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผม พร้อมกับแววตาล้อเลียน...ทำให้ต้องทุบมือที่บ่ากว้างนั่นแรง ๆ ทีนึง...

     

    “..กูจะมาสงบใจนะเนี่ย แต่ต้องมาปลอบเด็กขี้แย...”

     

    “ เฮีย ”

     

    “ ว่า ”

     

    “ ผมจะไปกับเฮีย

     

    “.......................”

     

    “ ผมจะไปกับเฮีย วันที่คุยเรื่องงานหมั้น  ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างเฮีย ”

     

    “..เชี่ย...มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิวะ...มัน  ต้อง เป็นอย่าง นั้น..”   เฮียแจ็คดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบ ได้ยินเสียงหัวใจเฮียเต้นแรง และเสียงสั่นเครือตอนท้ายนั่นบ่งบอกว่าอีกคนกำลังหวั่นไหว จนเกือบร้องไห้....ผมกอดตอบและซึมซับความรู้สึกต่างๆ  เข้าไปทำให้จิตใจเข้มแข็งให้ได้ เมื่ออีกคนจะเดินต่อ  ผมก็จะเดินจับมือไปด้วยกัน  แม้สุดท้ายจะต้องต่างคนต่างเดิน  แต่เราก็จะเดินไปในทางเดียวกัน แล้วท้ายที่สุด เราจะกลับมาบรรจบกันอีกรอบ..

     

     

     

    ความเย็นจากท้องทะเลทำให้ผมซุกตัวเข้าหาคนที่โอบกอดอยู่ด้านหลัง  บังกะโลหลังเล็ก ๆ แต่ราคาแพงเพราะโลเคชั่นค่อนข้างดี  ระเบียงเล็ก ๆ หน้าบ้านทอดลงหาคลื่นทะเลที่ซัดเลียอยู่ตรงบริเวณบันได...ตอนนี้น้ำขึ้นเต็มที่แล้ว ให้บรรยากาศเหมือนนอนอยู่บ้านพักกลางทะเล..พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าตัดกับท้องฟ้าสีเทา ๆ แล้วมันดูสวยจนผมต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้หลายรูป...คนที่จิบเบียร์เย็นๆ  แข่งกับอากาศเย็นๆ  ก็ยอมนั่งพื้นพิงผนังแล้วให้ผมนั่งหว่างขาเอนหลังพิงอกกว้างแทนโซฟา...

     

    “ เอาไหม “

     

    “ ไม่อ่ะ เฮียก็อย่าเยอะพรุ่งนี้แข่ง “   ยังให้ความสนใจพระจันทร์ตรงหน้า ยกมือถือขึ้นส่องแล้วส่องอีก แขนแข็งแรงโอบรอบเอวผมแล้วดึงเข้าไปจนชิด  ลดโทรศัพท์ลงแล้วยอมพิงอกกว้างนั่นเต็มๆ  เหยียดขาออกไปด้านหน้าขนานกับขาเฮีย กลิ่นเบียร์ฉุนเข้าจมูกชัดเจนเพราะวันนี้ไม่ได้ดื่มเป็นเพื่อนเฮีย...

     

    “ เบียร์แค่นี้ไม่สะเทือนกูหรอก”

     

    “จริงดิ”

     

    “จริง “

     

    “ ถ่ายรูปกัน”

     

    “......................”  เป็นครั้งแรกที่จะมีรูปคู่เราสองคนในโทรศัพท์ผม  ยกมือถือเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าก่อนอีกคนจะโน้มหน้าลงมาแก้มแนบกัน  แสงจากหลอดไฟหน้าบ้านทำให้ได้รูปที่สลัวหน่อย ๆ แต่ก็ยังชัดเจนได้อยู่....

     

    “ เอาขึ้นหน้าจอดิ”

     

    “มันมีดอ่ะ”  พูดแล้วขยับตัวพิงเฮียให้ได้ท่าที่สบายที่สุด  ก่อนจะกางแขนออก หลับตาลง  เฮียหยิบผ้าเช็ดตัวที่เอาออกมาด้วย คลี่ออกคลุมช่วงตัวให้ผม

     

    “ไม่เห็นจะหนาวเลย”

     

    “ หนังหนารึไง”

     

    “ ไม่ใช่”

     

    “ ..............”

     

    “ เพราะอยู่แบบนี้ ผมไม่หนาวหรอก”  พูดแล้วเอื้อมมือไปจับมือเฮียก่อนจะเอามาแนบหน้าตัวเองทั้งสองข้าง  ได้ยินเสียงเฮียหัวเราะในลำคอก่อนฝ่ามือนั่นจะลูบแก้มผมเบาๆ  ไปมา...

     

    ...ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผมอยากมีความสุขที่สุด...ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...

     

    “ง่วงแล้วว่ะ”

     

    “ เฮีย! เดี๋ยวตก”  ผมตกใจจนต้องเกาะคอคนที่จู่ ๆ ก็ช้อนอุ้มตัวผมขึ้น กำลังนอนแผ่สบายๆ  แท้ ๆ รีบผวาเกาะคอคนอุ้มเพราะกลัวตก...เฮียแจ็คเดินเข้าห้องปิดกระตู ก่อนจะวางผมบนเตียง...ก่อนจะอีกคนจะขึ้นคล่อมผมไว้...

     

    “ ไม่เห็นน่ากลัว”

     

    “ อย่ามาเนียน ง่วงก็นอนไปสิ ”

     

    “........................”

     

    “......................”    เมื่ออีกคนทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูด ความเงียบก็บังเกิด กลายเป็นเราสองคนจ้องตากันอยู่...มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ระใบหน้าผมออกไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผาก...

     

    “สัญญากับกูสิ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์มันจะเหี้ยแค่ไหน..มึงจะไม่ปล่อยมือกู...”

     

    “ ครับ สัญญา  และถึงแม้ตัวเฮียจะเชี่ยแค่ไหน ผมจะถามก่อน ว่าอยากให้ผมปล่อยรึเปล่า ถ้าเฮียไม่ให้ปล่อย ผมก็จะยอมเจ็บจนตายไปข้างๆ  เฮียนั่นแหละ”

     

    “ ไม่ต้องถามหรอก  เพราะถึงมึงจะปล่อยกูก็ไม่ยอมหรอก......แบมแบม.....”

     

    “ ครับ “

     

    “ รักนะ...”

     

    “..ครับ....ก่อนหน้านี้...ผมไม่มั่นใจกับคำ ๆ นี้...แต่ตอนนี้...ผมพูดได้เต็มปาก”

     

    “..................”

     

     

    “...ว่า  ผมรักเฮีย....” 

     

    “ อืม...”    แววตาส่องประกายความสุขจากคนที่คล่อมอยู่  ก่อนใบหน้านั่นจะเคลื่อนต่ำลงมาแล้วบดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของผม...มันทั้งหวานและร้อนแรงอยู่ในที  จนแทบจะหลอมละลายไปกับรสจูบ...

     

    “..มึงเป็นของกูแบมแบม..”

     

    แม้กระทั่งในนาทีนี้ คำหวานหูก็ยังไม่มี แต่กลับไม่ทำให้ขวางหูอะไรอะไรเลย...ผมพยักหน้ารับ ก่อนริมฝีปากเราจะบดเบียดกันอีกรอบ...ความวาบไหวเกิดขึ้นทุกครั้งที่ริมฝีปากและลิ้นร้อนนั้นลากผ่าน  ความแน่นขนัดของกล้ามเนื้อเผยให้เห็นและได้สัมผัสในทุก ๆ ส่วน  ร่างกายแนบชิดจนไม่มีช่องว่าง  ความหนาวหายไป  เหงื่อกาฬผุดขึ้นเพราะความเร่าร้อน  ความเสียวกระสันทำให้ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามกลไกของร่างกาย  รอยจูบและคิสมาร์คที่อีกคนจงใจสร้าง มันดูสวยงามไร้ที่ติ...สองมือที่ปรนเปรอให้แก่กันจนสุขสมในรอบแรก เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดกว่าหลายเท่า  แต่กลับสุขสมกว่าเช่นกัน  ร่างกายที่ไม่คุ้นชินทั้งที่คุ้นเคยทำให้ผมร้องไห้ออกมาจนได้...แต่สุดท้ายคนที่คุมเกมส์ก็เปลี่ยนทุกอย่างให้เกิดความสมดุล และจบลงอย่างอิ่มเอม...

     

    ...........................

     

    .........................

     

    ตอนนี้ภายในโรงแรมดูกำลังวุ่นวายเพราะทุกคนกำลังเตรียมตัวเพื่อไปงานเปิดกีฬากระชับมิตรของสถาบันอาชีวะภาคตะวันออกและภาคกลาง ผมกับเฮียแจ็คกลับมาถึงโรงแรมตอนตีห้าครึ่ง  ต้องยอมรับว่าร่างกายผมไม่พร้อมเลย แต่มันก็ไม่ได้แย่เหมือนครั้งแรก แค่เวลาเดินมันไม่มั่นใจเหมือนปกติ  เพราะมันเจ็บแปลบที่สะโพกอยู่...อดที่จะค้อนให้คนที่เบิ้ลสอง ซ้ำท้ายสามตอนเช้าไม่ได้...ทั้งที่ผมเตือนแล้วว่าต้องลงแข่งบาส  แต่สุดท้ายคนที่ผมห่วงกลับเดินสบาย หน้าตาสดชื่นเหมือนไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร...

     

    “ เชี่ยแจ็ค ลูกเขาเป็นอะไรไปนี่มึงตายหยังเขียดแน่”

     

    “ตายเชี่ยไร กูรับผิดชอบโว้ย”

     

    “หยุดพูดเลย”  ผมปาหมอนไปโตโดนหัวเฮียแจ็คแม่นเหมือนจับวาง  ถ้าตัวเองไม่อายก็คิดมั่งเหอะว่าผมจะอาย  ดีที่เมื่อคืนห้ามคนที่จะทำรอยคิสมาร์คที่ต้นคอไว้ทัน ไม่งั้นวันนี้คงต้องปิดพาสเตอร์ไปแน่ ๆ

     

    “ ถ้าไม่ไหวก็นอนอยู่นี่ ให้ไอ้หมากหอมอยู่เป็นเพื่อน”

     

    “ ไม่สบายเหรอมึง”  ไอ้หมากหอมที่พึ่งถูกเฮียมาร์ค ใช้เท้าถีบให้ตื่นสะลึมสะลือเมาขี้ตามาถามผม  มันตื่นสายที่สุดละทั้งที่คนอื่นเขาอาบน้ำแต่งตัวกันหมดแล้ว 

     

    “ ไม่เป็นไร ผมจะไปด้วย”

     

    “ มึงไปอาบน้ำดิหมากหรือจะเดินไป เขาเสร็จกันหมดแล้ว”

     

    “ รอด้วย ๆ”  พี่คนอื่น ๆ ก็ช่วยกันเก็บที่นอนเก็บของตัวเองเข้ากระเป๋า  คนที่มีหน้าที่เก็บของมีค่าและสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุบรรดาโทรศัพท์ กระเป๋าตังค์พวกรุ่นใหญ่เวลาลงแข่งคือยูคยอม  มันรับหน้าที่นี้มาสองปี และของก็ไม่เคยหาย....ส่วนของเฮียแจ็คแยกออกมาอยู่ในเป้ที่ผมสะพายอยู่...

     

     

    ไม่นานพวกเราก็มาถึงสถาบันเจ้าภาพ ที่ตอนนี้เริ่มตั้งขบวนกันแล้ว...กองเชียร์ต้องขึ้นสแตนทันทีหลังจากที่พวกพี่ ๆ แจกข้าวกล่องให้น้องกินบนรถแล้ว  ให้เวลาเข้าห้องน้ำสิบนาที  ดูเหมือนว่ากองเชียร์จะพร้อมแล้วเลยถูกต้อนขึ้นสแตนนั่งประจำที่ ถุงมือ อุปกรณ์เชียร์ถูกแจกขึ้นไป พร้อมเพจที่ต้องถือ  สแตนของสถาบันก็กำลังทำอย่างนี้เหมือนกัน  เพราะกองเชียร์ต้องพร้อมในระหว่างพิธีเปิด  ต้องมีการแปลอักษรเวลาที่ขบวนนักกีฬาจากสถาบันต่างๆ  เดินเข้ามาในสนาม...ซึ่งสถาบันผมจะเป็นสถาบันที่ 9 จากสิบสถาบัน และสถาบันเจ้าภาพจะเป็นสถาบันสุดท้าย...

     

    “ ถือแค่นี้พอแบมแบม หน้าเธอซีดมากเลย”

     

    “ เราไหว”

     

    “ เถอะหน่า เรามีเหน่งอีก “  ตอนนี้ผม ถูกดันมาช่วยฝ่ายพยาบาล ส่วนพวกเพื่อนที่เหลือไปช่วยที่สแตน นักกีฬาสถาบันผมกำลังตั้งขบวน เพราะตอนนี้ในสนามมีเข้าไปแล้ว 6 สถาบัน  เหน่งเด็กช่างไฟ กำลังสะพายกระเป๋าพยาบาล  หญิง เด็กการตลาด สะพายกระเป๋าพยาบาลเหมือนกับเหน่งแต่เล็กกว่า  พร้อมน้ำสองขวดของพวกเรา  ส่วนของกองเชียร์มีอีกหน่วยที่คอยซับพอร์ตอยู่ ส่วนผมได้ถือแค่กล่องพยาบาลกล่องเท่าเธอเพราะเธอแย่งน้ำไปถือแล้ว...

     

    นักกีฬาทุกคนอยู่ในชุดกีฬาแต่ละประเภท ความสงบไม่มีเหมือนเมื่อวาน เพราะวันนี้เปิดให้คนภายนอกเข้ามาชมได้ ทั้งที่ทุกปีไม่มี และตำรวจ และ อาสา  ก็เดินกันแน่นขนัดเหมือนกัน มีการตรวจกระเป๋า และสแกนร่างกายก่อนเข้างานที่เปิดไว้เพียงประตูเดียว  ตรวจโลหะ ตรวจอาวุธสงครามและของผิดกฎหมาย...ซึ่งปีนี้ถ้าใครมีเรื่องมีการคาดโทษไว้สูงพอสมควร...แต่ผมว่าไม่มีในนี้ถ้ามันเขม่นกันจริงๆ  ที่ ๆ ให้มีเรื่องมีเยอะแยะ...เพราะเป็นงานเปิดทำให้ตอนนี้อัฒจรรย์ที่ไม่ใช่อัฒจรรย์กองเชียร์ของแต่ละสถาบัน เต็มไปบุคคลภายนอก แทบไม่มีที่นั่ง...

     

    “ ไปเถอะ”

     

    “.....................”  เสียงรัวกลองดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวงดนตรีสถาบันพวกผม ดรัมเมเยอร์ หรีด และคนถือป้าย เดินนำทัพนักกีฬาเข้าสู่สนาม เสียงกรี๊ดจากคนบนอัฒจรรย์ฝั่งผู้ชมดังขึ้นจนกลบเสียงกลอง  เห็นว่ามีการบันทึกภาพการแข่งขันด้วย...

     

    “ กูหิวน้ำ!

     

    “....................”  เหลือบตามองคนที่ตะโกนออกมาจากในแถว หลังจากที่มายืนประจำที่แล้ว ทำให้ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ  แต่นอกแถวต้องเดินไปเอาน้ำกับพวกข้างหลังที่กำลังเตรียมกันอยู่แล้ว...แต่ยังไม่แจกเพราะมันพึ่งเริ่ม...

     

    “ นี่ครับ”

     

    “อยู่นี่แหละ”

     

    “ได้ยังไง เดี๋ยวก็โดนว่า”  ผมขยับหนีคนที่เอาแขนมาวางบนบ่าผม...เริ่มแน่ใจว่าหิวน้ำไม่จริง  และตอนนี้ผมก็เริ่มปวดเอวขึ้นมาแล้วด้วย...แต่อีกคนไม่สนใจดึงแขนผมไว้หน้าตาเฉย...

     

    “ งั้นก็กลับไปอยู่หลังอัฒจรรย์ไม่ต้องเสือกมายืนแถวนี้”

     

    “ แต่ผมต้องช่วยงานเพื่อนนะเฮีย”  รับขวดน้ำคืนมา ก่อนจะส่งต่อให้ไอ้ยูคที่ยื่นมือมาขอ  คนอื่นๆ  เขาไม่เห็นเรื่องมากเหมือนพวกนี้เลย...แล้วเรื่องอะไรมาให้ผมไปงอมืองอเท้าอยู่หลังสแตน

     

    “ ใครเอามึงมาเนี่ย กูจะฆ่ามัน”

     

    “ ร้อนแล้วหงุดหงิดรึไง”  ผมถามคนที่ทำหน้าตาหงุดหงิด

     

    “ กูหวง ”

     

    “ อย่ามาแสดง  ผมไม่ใช่สาวน้อยน่ารัก ที่ใครจะมาฉุดมาดึงได้นะ ไปละ”  ต้องรีบออกเมื่อรับขวดน้ำคืน และทางขบวนเข้าภาพเดินมาประจำที่เสร็จแล้ว...

     

    “ แบมแบม มึงไปรับจูเนียร์ที่หน้าโรงเรียนหน่อย แมร่ง กว่าจะมาได้ต้องให้กูโทรตามกี่รอบ”

     

    “ แล้วเมื่อวานมึงไม่เอาเขามาด้วย”

     

    “ ติดเรียน กูบอกให้โดดก็ไม่โดด หงุดหงิดไม่หาย”

     

    “สรุปว่าไงเฮีย  แล้วพี่จูเนียร์มาถึงยัง”

     

    “ถึงแล้ว อยู่หน้าโรงเรียน ไปรับแล้วพวกมึงสองคนก็อยู่หลังสแตนนั่นแหละไม่ต้องเสล่อเดินออกมา”

     

    “ เข้าใจ๊!

     

    “................”  ทำหน้ายี้ใส่เฮียแจ็คที่พูด เข้าใจเสียงสูงสนับสนุนคำพูดเพื่อนตัวเอง  พร้อมกับเอามือมาวางบนหัวผม ใช่สิ เพื่อนกันแมร่งนิสัยก็เหมือนกันจริงๆ  พี่จูเนียร์คงถูกโทรตามจิกให้มาแน่ ๆ  พวกชอบใช้กำลัง และคำสั่งบังคับ....

     

    ผมเดินออกมาบริเวณหน้าสถาบัน ก่อนจะมองซ้ายขวาหาคนที่ยืนรออยู่  ซักพักพี่จูเนียร์ก็เดินเข้ามาหา คนมองพี่แกเต็มเลย เพราะพี่จูเนียร์เป็นผู้ชายที่จะว่าหล่อก็หล่อ จะว่าน่ารักก็ใช่...ทักทายกันก่อนจะเดินผ่านด่านตรวจหน้าโรงเรียนเข้ามา...

     

    “ ดีจังครับ เผื่อได้เที่ยวกัน”

     

    “ นี่พี่โดดเรียนมานะ ดีที่วันศุกร์มีเรียนแค่วิชาเดียว แล้วยังไม่เคยขาด”  พี่จูเนียร์กับผมเดินถือน้ำโค้กคนละแก้วที่แวะซื้อ  และไม่ลืมพาตรงไปสแตนอย่างที่สองเฮียนั่นสั่ง...

     

    “ ผมว่าถ้าพี่ไม่มา เฮียมาร์คขับรถกลับไปรับแน่ ๆ”

     

    “ ก็ขู่งั้นแหละ เลยต้องมา”

     

    “ พี่ยอมเฮียแกตลอดเลยนะครับ”

     

    “ แค่บางเรื่องเท่านั้นแหละ แต่เรื่องบางเรื่องถึงเขาจะบังคับแต่มันก็อาจจะตรงกับสิ่งที่เราต้องการก็ได้”  พี่จูเนียร์ยิ้มให้ผมหลังจากตอบคำถาม  ก็เข้าใจนะ  เพราะยังไงถ้าคนเรารักกัน...มันก็ต้องอยากอยู่ใกล้กัน อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าทำอะไรอยู่...เรื่องของความรักบางครั้งมันก็ดูยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ อย่าง...ทั้งที่บางสถาณการณ์มันกลับถูกบีบบังคับให้หดเล็กลง และดูไม่มีความสำคัญ...

     

    “แบมแบมใช่ไหม..แบมแบมจริงๆ  ด้วย..”

     

    “...................”   ผมหันมองกลับหลังเพื่อหาต้นเสียง  และคนที่เห็นก็ทำให้หัวใจผมเกิดความรู้สึกแปลบขึ้นมาอย่างไม่ตั้งตัว....

     

    ...มินอี้....

     

    Talk: สกรีมฟิค #Ficbloodsch   Twitter : Namtal1a


                       


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×