คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : Sec 20 / All I need is you
Cr. OPV IJAHTRIPLES.
ผมได้แต่นิ่งอยู่อย่างนั้น มือที่ยกขึ้นหยิบจับยาไปมาชะงัก ก่อนจะหันมองคนที่ยังนอนหลับตาอยู่บนตักผม....มือไม้อ่อนไปหมด หัวใจเต้นแรงจนแทบจะเคลื่อนที่ได้ เข้าใจอารมณ์คนทำผิดแล้วถูกจับได้แบบกะทันหัน...แต่สิ่งที่มันมีมากกว่าสำหรับผมคือ...เสียใจ...ความผิดเริ่มเกาะกินหัวใจทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกไป และทั้งที่อีกคนก็ยังไม่ได้ว่าอะไรผมด้วย....
“ แบมโกหกอะไรครับ”
“........................”
“ เฮีย! ลุกขึ้นมาคุย” เหมือนคนร้อนตัว แต่ก็ยังแสดงเป็นว่าตัวเองไม่ผิด ทั้งที่ร้อนผ่าวไปหมดทั้งหน้า....ผมขยับตัวหนีคนที่หนุนตัก จนหัวของคนที่หลับตากระทบพื้นผ้าใบที่ปูไว้....แต่เฮียแจ็คก็ยังนอนหลับตาอยู่อย่างนั้น....ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าผู้ชายคนนี้ สามารถใช้ความนิ่ง ก่อกวนและหลอนประสาทใครต่อใครได้ง่าย ๆ และตอนนี้ผมก็กำลังโดนอยู่...นั่งทับปลายเท้าตัวเองจ้องคนที่นอนนิ่งอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร...
...ยิ่งอีกคนนิ่ง...ผมยิ่งเหมือนถูกไฟสุมอยู่รอบ ๆ ตัวจนอยู่ไม่ได้...
“ เฮีย...ลุกขึ้นมาคุย...เฮีย!!..”
“ มีอะไรกันวะ แบมแบม เฮียเป็นอะไร!”
“.......................” มาวินวิ่งเข้ามาเพราะได้ยินเสียงผม เสียงตะคอกใส่คนที่นอนอยู่ดังพอให้คนที่อยู่ในรัศมี 6 เมตรได้ยิน…ตอนนี้บอกไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกยังไง แต่แค่ต้องการคุย...
“...มาวินมึงไปเอากุญแจรถกับไอ้กัสมาให้กู... มึงบอกพวกนั้นด้วยว่าซ้อมไปเลย...พรุ่งนี้กูจะกลับมาแต่เช้า...”
“...เฮียจะไปไหน...” ผมถามคนที่ยังอยู่ท่าเดิม แต่ออกปากสั่งไอ้มาวินจนวิ่งแถบจะเป็นถลาไปหาเฮียกัสที่เอารถมาเองเพราะมีแพลนจะเที่ยวต่อกับเฮียนัม......เฮียแจ็คค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันมามองผมที่ลุกขึ้นตาม...
“..นี่ครับเฮีย..”
“ ...เฮีย จะไปไหน..” รู้ตัวว่าตอนนี้ผมสติแตกไปแล้ว...จะทำอะไรเหมือนคนไม่มีเวลาคิดนาน เพียงแค่อีกคนรับกุญแจจากไอ้มาวินก็เดินดุ่ม ๆ ออกจากเตนท์หลังสแตน และผมก็ก้าวตามโดยไม่ต้องสงสัย...ตอนนี้ได้แต่เดินตามหลัง...
“....................”
“...เฮีย!..”
ปึก!
“.................” คนที่ปลดล็อครถและสตาร์ทรถจากรีโมทในมือไม่สนใจผมที่วิ่งไปอีกด้านทันที ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งก่อนที่คนขับจะขึ้นซะอีก ไม่นานรถเก๋งราคาแพงก็วิ่งฉิวออกจากสถาบันเจ้าภาพ...
เหมือนคนขับจะรู้เส้นทางเป็นอย่างดี รถวิ่งออกจากสถาบันการศึกษาขึ้นถนนสายทางหลวง วิ่งไปเรื่อย ๆ โดยไร้คำพูด เมื่ออีกคนไม่ตอบผมก็ไม่ได้ถามอีก...แต่ก็ยังเหลือบมองคนที่ทำหน้านิ่ง ๆ มองทางข้างหน้าเป็นระยะ วิ่งตามทางหลวงเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนจะแยกออกเหมือนถนนทางเลี่ยงเมือง แต่รถกลับวิ่งเยอะ วิ่งไปซักพักถึงรู้ว่ากำลังมุ่งสู่ทะเลด้านหน้า ที่เห็นเหมือนผืนผ้าสีฟ้าฉาบจนจรดท้องฟ้าที่วันนี้ดูสดใส ผิดกับผมที่ยังขุ่นมัวอยู่
“ เฮียจะพูดกับผมได้รึยัง...มันเรื่องอะไร...”
“....ยังไม่มีอารมณ์...”
“..........................”
“ แล้วเฮียเป็นเชี่ยไรเนี่ย!”
“........................”
“ ก็....มัน...” สรุปแล้วผมก็เผลอตวาดออกไป ใช้นิสัยเดิม ๆ จนเฮียหันมอง อึกอักพูดอะไรไม่ออกต้องลอบกลืนน้ำลาย ถึงแม้ว่าสายตาจะมองมาอย่างว่างเปล่า ไม่มีแววตำหนิ หรือสงสัยอะไร....
ปึก!
ผมรีบเปิดประตู ก่อนจะปิดแล้ววิ่งตามคนที่ล็อครถหลังจากที่ผมลง แล้วเดินเข้าไปในป่าสนสูงที่อยู่ริมทะเล....ต้นสนสูงที่ปลูกเว้นรถระห่างๆ เป็นร่มเงาได้แต่ไม่รกเรื้อนมาก....บริเวณนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ คงเพราะหาดที่มีโขดหินเยอะ แต่ความร่มรื่นของต้นสนมันก็ดูสดชื่นและสวยงามไปอีกแบบ...ถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปยืนข้าง ๆ คนที่ยืนกอดอกพิงต้นสน มองดูทะเลตรงหน้านิ่งๆ กลายเป็นว่าทุก ๆ อย่างตั้งแต่ต้นที่มันร้อนรนอยู่ในใจผมก็เริ่มเย็นลงเหมือนกัน....ค่อย ๆ คลายมือตัวเองออก ซึ่งไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอกำแน่นไปตั้งแต่ตอนไหน...
...เพียงแค่คลายมือ...ใจผมมันก็รู้สึกคลายความกังวลลงได้....มองแผ่นหลังกว้างที่กว้างกว่าต้นสน ก่อนจะเดินไปพิงต้นเดียวกันแต่คนละฝั่ง...อีกคนหันหน้ามองทะเลที่เหมือนจะสงบ แต่กลับมีทั้งสปีดโบ๊ท ทั้งเจ็ทสกี วิ่งวนไปวนมา...ผมจ้องมองท้องถนนที่มีรถวิ่งขวักไขว่ไปมาไม่หยุดหย่อน...จะอยู่ที่ไหน จะมองตรงไหน ทุกอย่างจะสงบหรือไม่ มันอยู่ที่ใจคนมองทั้งนั้นสินะ......หลับตาลงช้า ๆ ไม่พูดอะไร สูดเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ได้เจอในกรุงเทพฯ เข้าปอดให้สุด ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนออกแล้วลืมตาขึ้น...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...
“ เฮีย...ผมขอโทษ...”
“.................”
“ ขอมือหน่อย” ยื่นมือขวาตัวเองออกไปข้างลำตัว เบี่ยงไปด้านหลังเล็กน้อย ให้คนที่พิงต้นสนต้นเดียวกันพอมองเห็น....แต่ก็เจอแต่ความว่างเปล่า...ไม่มีมือคู่อุ่น ๆ เอื้อมมาจับให้อุ่นใจเหมือนทุกครั้ง....
“ เวลากูต้องการมือใครซักคน ที่จะเอื้อมมาจับแล้วเดินไปพร้อม ๆ กัน เวลามันไม่มี มันก็เจ็บเหมือนกัน มึงแกล้งความจำเสื่อมเพื่อหนีกูรึไง”
“........................” ค่อย ๆ ลดมือตัวเองลงมา....ก่อนที่จะปล่อยให้หยดน้ำตาที่ขึ้นคลอหน่วยทันทีที่อีกคนพูด ผมแค่ต้องการจับมือเฮียเพื่อที่จะพูดอะไรบางอย่างสื่อสารออกไป แต่ไม่คิดเลยว่า ผมสร้างบาดแผลไว้ให้อีกคนจนไม่แม้แต่จะจับมือกัน...ผมเข้าใจแล้วว่าเฮียกำลังรู้สึกอ้างว้าง...มือที่เย็นชืดไม่มีใครจับ มันเหน็บหนาวแค่ไหน
“ เฮีย..เจ็บมากไหม...ฮึก...ผมไม่เคยคิดว่าเฮียโง่นะ...”
“ เจ็บสิ...แต่กูทนได้ กูบอกแล้วไง มึงต้องการอะไรกูให้หมด”
“ เฮียรู้เมื่อไหร่ ว่าผมโกหก” ถามออกไปทั้งที่พวกเรายังนิ่งกันอยู่ท่าเดิม หัวผมเอนพิงต้นสนพยายามเก็บน้ำตาที่ไหลหยด กลืนกลับเข้าไปให้หมด ไม่อยากอ่อนแอมากไปกว่านี้แล้ว
“ตั้งแต่วันแรกที่มึงย้ายห้องที่โรงพยาบาล อืม...ช่างมันเถอะ มันไม่สำคัญหรอก”
“ ผมไม่ได้แกล้ง เพราะต้องการหนีเฮีย แค่ยังไม่แน่ใจ”
“ ไม่แน่ใจว่ามึงรักกูรึเปล่าใช่ไหม”
“ เฮียว่าไงล่ะ” ดันตัวเองออกจากต้นสน ก่อนจะเดินมายืนตรงหน้าคนที่ยังพิงอยู่อีกด้าน ใบหน้าหล่อนิ่งสนิท ตาคมจับจ้องหน้าผมตั้งแต่ที่เดินเข้าไป...สัมผัสความเจ็บปวดจากคำพูดอีกคนได้อย่างชัดเจน...ทำไมผมจะไม่รู้ ว่าการไม่ได้รับความรักจากคนที่เรารัก มันปวดร้าวแค่ไหน...แค่คิดว่าวันนึงผมจะต้องเสียคน ๆ นี้ไป ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะใช้ชีวิตต่อไปได้แบบปกติรึเปล่า..
“ ไม่รู้สิ ตัวมึงย่อมรู้ดีว่าไม่แน่ใจอะไร”
“ เฮีย “
“..................” ร่างหนาขยับเล็กน้อยเมื่อผมเลือกที่จะเดินเข้าไปชิดจนตัวเราห่างกันไม่ถึงคืบ ยกแขนขึ้นกอดรอบเอวคนที่ยืนพิงต้นไม้อยู่ ทำให้แขนผมสัมผัสกับความสากของต้นสนที่เฮียพิง ซบหน้าลงกับอกกว้างที่ทั้งอุ่นและมีกลิ่นไอที่ผมคุ้นเคยและโหยหา...
...ทั้งที่ก่อนหน้านี้เกลียดจนไม่อยากจะมองหน้า แต่พอรู้ว่ารัก กลับรักซะจนไม่อยากจะห่างไปไหน...
“ ผมอยากรู้ อยากรู้ว่าเฮียจะยังรักผมไหม ถ้าผมไม่เหมือนเดิม...ผมกลัว กลัวว่าเฮียจะไม่ปล่อยผมถ้าถึงเวลาที่เฮียต้องไป และผมไม่แน่ใจ...ฮึก...ว่าเราจะ รัก กัน ต่อไป..ฮึก...ได้นานแค่ไหน..ฮึก..ถ้าผมยังแสดง ว่ารักเฮียมาก ฮึก ถ้าถึงวันนึงที่เฮียต้อง ไป ผมจะเจ็บปวดมาก..ฮึก ฮืออ...” น้ำตาที่พยายามทำให้สงบ ตอนนี้กลับไหลออกมา และผมหยุดมันไม่ได้...กำลังมัวเมากับความเสียใจที่เกิดขึ้น..กำลังอยู่กับวังวนของความคิดที่ว่ากำลังจะสูญเสีย..
“...ถ้ามึงแกล้งจำอะไรไม่ได้ แล้วถึงเวลาที่กูไป มึงจะรู้สึกดีกว่างั้นเหรอแบมแบม..”
“ ไม่ ฮึก ฮืออ...ไม่...จะเป็น แบบ ไหน..ฮึก ก็ เจ็บ เหมือนกัน ฮืออ..”
“..เจ็บ แล้วทำทำไม เด็กโง่..” สุดท้ายผมก็ได้รับความอบอุ่นอย่างเต็มที่ อ้อมกอดของคนที่ผมกอดอยู่ เฮียแจ็ควาดแขนกอดตอบผม กอดแน่น แต่กลับไม่รู้สึกอึดอัด อยากให้กอดให้แน่นขึ้นอีก ไม่อยากให้เฮียปล่อยผมไปไหน ยิ่งอบอุ่นน้ำตายิ่งไหลออกมา รับรู้แรงกดและสัมผัสเบา ๆ ที่หัวตัวเอง...เสียงพูดคำว่า เด็กโง่ มันก้องอยู่ในหัวจนหยุดร้องไห้ไม่ได้...มันเหมือนคำต่อว่า แต่กลับทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ เหมือนผมเป็นเด็กโง่ๆ ที่อีกคนพร้อมจะปกป้องเสมอ....
“ เฮีย อย่าโกรธ ผม ฮึก นะ ฮืออ”
“ กูโกรธไปแล้วมีอะไรดี “
“.......................” ผมส่ายหัวไปมาในอ้อมอกของคนที่ยังกอดแน่น...กลิ่นน้ำหอมติดปลายจมูกจนอดที่สูดเข้าไปพร้อมกับน้ำหูน้ำตาไม่ได้ มือหนาลูบหัวผมเบา ๆ และโยกตัวไปมาเหมือนกำลังปลอบให้หยุดร้อง...
...เวลาคนแข็งกระด้าง ห่ามๆ ทำอะไรอ่อนโยนแล้วมันทำให้ผมร้องไห้หนักจริงๆ ....
“ ไอ้ขี้แย หยุดร้องได้รึยัง”
“ ไม่ได้ อึก ขี้แย” เงยหน้าออกจากอกกว้าง ทั้งที่แขนเฮียยังคล้องเอวผมอยู่...นิ้วเรียวยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ผม พร้อมกับแววตาล้อเลียน...ทำให้ต้องทุบมือที่บ่ากว้างนั่นแรง ๆ ทีนึง...
“..กูจะมาสงบใจนะเนี่ย แต่ต้องมาปลอบเด็กขี้แย...”
“ เฮีย ”
“ ว่า ”
“ ผมจะไปกับเฮีย ”
“.......................”
“ ผมจะไปกับเฮีย วันที่คุยเรื่องงานหมั้น ไม่ว่าผลจะเป็นยังไง ผมก็จะอยู่ข้างเฮีย ”
“..เชี่ย...มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิวะ...มัน ต้อง เป็นอย่าง นั้น..” เฮียแจ็คดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบ ได้ยินเสียงหัวใจเฮียเต้นแรง และเสียงสั่นเครือตอนท้ายนั่นบ่งบอกว่าอีกคนกำลังหวั่นไหว จนเกือบร้องไห้....ผมกอดตอบและซึมซับความรู้สึกต่างๆ เข้าไปทำให้จิตใจเข้มแข็งให้ได้ เมื่ออีกคนจะเดินต่อ ผมก็จะเดินจับมือไปด้วยกัน แม้สุดท้ายจะต้องต่างคนต่างเดิน แต่เราก็จะเดินไปในทางเดียวกัน แล้วท้ายที่สุด เราจะกลับมาบรรจบกันอีกรอบ..
ความเย็นจากท้องทะเลทำให้ผมซุกตัวเข้าหาคนที่โอบกอดอยู่ด้านหลัง บังกะโลหลังเล็ก ๆ แต่ราคาแพงเพราะโลเคชั่นค่อนข้างดี ระเบียงเล็ก ๆ หน้าบ้านทอดลงหาคลื่นทะเลที่ซัดเลียอยู่ตรงบริเวณบันได...ตอนนี้น้ำขึ้นเต็มที่แล้ว ให้บรรยากาศเหมือนนอนอยู่บ้านพักกลางทะเล..พระจันทร์ดวงใหญ่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าตัดกับท้องฟ้าสีเทา ๆ แล้วมันดูสวยจนผมต้องยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้หลายรูป...คนที่จิบเบียร์เย็นๆ แข่งกับอากาศเย็นๆ ก็ยอมนั่งพื้นพิงผนังแล้วให้ผมนั่งหว่างขาเอนหลังพิงอกกว้างแทนโซฟา...
“ เอาไหม “
“ ไม่อ่ะ เฮียก็อย่าเยอะพรุ่งนี้แข่ง “ ยังให้ความสนใจพระจันทร์ตรงหน้า ยกมือถือขึ้นส่องแล้วส่องอีก แขนแข็งแรงโอบรอบเอวผมแล้วดึงเข้าไปจนชิด ลดโทรศัพท์ลงแล้วยอมพิงอกกว้างนั่นเต็มๆ เหยียดขาออกไปด้านหน้าขนานกับขาเฮีย กลิ่นเบียร์ฉุนเข้าจมูกชัดเจนเพราะวันนี้ไม่ได้ดื่มเป็นเพื่อนเฮีย...
“ เบียร์แค่นี้ไม่สะเทือนกูหรอก”
“จริงดิ”
“จริง “
“ ถ่ายรูปกัน”
“......................” เป็นครั้งแรกที่จะมีรูปคู่เราสองคนในโทรศัพท์ผม ยกมือถือเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าก่อนอีกคนจะโน้มหน้าลงมาแก้มแนบกัน แสงจากหลอดไฟหน้าบ้านทำให้ได้รูปที่สลัวหน่อย ๆ แต่ก็ยังชัดเจนได้อยู่....
“ เอาขึ้นหน้าจอดิ”
“มันมีดอ่ะ” พูดแล้วขยับตัวพิงเฮียให้ได้ท่าที่สบายที่สุด ก่อนจะกางแขนออก หลับตาลง เฮียหยิบผ้าเช็ดตัวที่เอาออกมาด้วย คลี่ออกคลุมช่วงตัวให้ผม
“ไม่เห็นจะหนาวเลย”
“ หนังหนารึไง”
“ ไม่ใช่”
“ ..............”
“ เพราะอยู่แบบนี้ ผมไม่หนาวหรอก” พูดแล้วเอื้อมมือไปจับมือเฮียก่อนจะเอามาแนบหน้าตัวเองทั้งสองข้าง ได้ยินเสียงเฮียหัวเราะในลำคอก่อนฝ่ามือนั่นจะลูบแก้มผมเบาๆ ไปมา...
...ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผมอยากมีความสุขที่สุด...ไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...
“ง่วงแล้วว่ะ”
“ เฮีย! เดี๋ยวตก” ผมตกใจจนต้องเกาะคอคนที่จู่ ๆ ก็ช้อนอุ้มตัวผมขึ้น กำลังนอนแผ่สบายๆ แท้ ๆ รีบผวาเกาะคอคนอุ้มเพราะกลัวตก...เฮียแจ็คเดินเข้าห้องปิดกระตู ก่อนจะวางผมบนเตียง...ก่อนจะอีกคนจะขึ้นคล่อมผมไว้...
“ ไม่เห็นน่ากลัว”
“ อย่ามาเนียน ง่วงก็นอนไปสิ ”
“........................”
“......................” เมื่ออีกคนทำเป็นไม่สนใจในสิ่งที่ผมพูด ความเงียบก็บังเกิด กลายเป็นเราสองคนจ้องตากันอยู่...มือหนาเกลี่ยปอยผมที่ระใบหน้าผมออกไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผาก...
“สัญญากับกูสิ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์มันจะเหี้ยแค่ไหน..มึงจะไม่ปล่อยมือกู...”
“ ครับ สัญญา และถึงแม้ตัวเฮียจะเชี่ยแค่ไหน ผมจะถามก่อน ว่าอยากให้ผมปล่อยรึเปล่า ถ้าเฮียไม่ให้ปล่อย ผมก็จะยอมเจ็บจนตายไปข้างๆ เฮียนั่นแหละ”
“ ไม่ต้องถามหรอก เพราะถึงมึงจะปล่อยกูก็ไม่ยอมหรอก......แบมแบม.....”
“ ครับ “
“ รักนะ...”
“..ครับ....ก่อนหน้านี้...ผมไม่มั่นใจกับคำ ๆ นี้...แต่ตอนนี้...ผมพูดได้เต็มปาก”
“..................”
“...ว่า ผมรักเฮีย....”
“ อืม...” แววตาส่องประกายความสุขจากคนที่คล่อมอยู่ ก่อนใบหน้านั่นจะเคลื่อนต่ำลงมาแล้วบดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของผม...มันทั้งหวานและร้อนแรงอยู่ในที จนแทบจะหลอมละลายไปกับรสจูบ...
“..มึงเป็นของกูแบมแบม..”
แม้กระทั่งในนาทีนี้ คำหวานหูก็ยังไม่มี แต่กลับไม่ทำให้ขวางหูอะไรอะไรเลย...ผมพยักหน้ารับ ก่อนริมฝีปากเราจะบดเบียดกันอีกรอบ...ความวาบไหวเกิดขึ้นทุกครั้งที่ริมฝีปากและลิ้นร้อนนั้นลากผ่าน ความแน่นขนัดของกล้ามเนื้อเผยให้เห็นและได้สัมผัสในทุก ๆ ส่วน ร่างกายแนบชิดจนไม่มีช่องว่าง ความหนาวหายไป เหงื่อกาฬผุดขึ้นเพราะความเร่าร้อน ความเสียวกระสันทำให้ต้องปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามกลไกของร่างกาย รอยจูบและคิสมาร์คที่อีกคนจงใจสร้าง มันดูสวยงามไร้ที่ติ...สองมือที่ปรนเปรอให้แก่กันจนสุขสมในรอบแรก เปลี่ยนเป็นสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดกว่าหลายเท่า แต่กลับสุขสมกว่าเช่นกัน ร่างกายที่ไม่คุ้นชินทั้งที่คุ้นเคยทำให้ผมร้องไห้ออกมาจนได้...แต่สุดท้ายคนที่คุมเกมส์ก็เปลี่ยนทุกอย่างให้เกิดความสมดุล และจบลงอย่างอิ่มเอม...
...........................
.........................
ตอนนี้ภายในโรงแรมดูกำลังวุ่นวายเพราะทุกคนกำลังเตรียมตัวเพื่อไปงานเปิดกีฬากระชับมิตรของสถาบันอาชีวะภาคตะวันออกและภาคกลาง ผมกับเฮียแจ็คกลับมาถึงโรงแรมตอนตีห้าครึ่ง ต้องยอมรับว่าร่างกายผมไม่พร้อมเลย แต่มันก็ไม่ได้แย่เหมือนครั้งแรก แค่เวลาเดินมันไม่มั่นใจเหมือนปกติ เพราะมันเจ็บแปลบที่สะโพกอยู่...อดที่จะค้อนให้คนที่เบิ้ลสอง ซ้ำท้ายสามตอนเช้าไม่ได้...ทั้งที่ผมเตือนแล้วว่าต้องลงแข่งบาส แต่สุดท้ายคนที่ผมห่วงกลับเดินสบาย หน้าตาสดชื่นเหมือนไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร...
“ เชี่ยแจ็ค ลูกเขาเป็นอะไรไปนี่มึงตายหยังเขียดแน่”
“ตายเชี่ยไร กูรับผิดชอบโว้ย”
“หยุดพูดเลย” ผมปาหมอนไปโตโดนหัวเฮียแจ็คแม่นเหมือนจับวาง ถ้าตัวเองไม่อายก็คิดมั่งเหอะว่าผมจะอาย ดีที่เมื่อคืนห้ามคนที่จะทำรอยคิสมาร์คที่ต้นคอไว้ทัน ไม่งั้นวันนี้คงต้องปิดพาสเตอร์ไปแน่ ๆ
“ ถ้าไม่ไหวก็นอนอยู่นี่ ให้ไอ้หมากหอมอยู่เป็นเพื่อน”
“ ไม่สบายเหรอมึง” ไอ้หมากหอมที่พึ่งถูกเฮียมาร์ค ใช้เท้าถีบให้ตื่นสะลึมสะลือเมาขี้ตามาถามผม มันตื่นสายที่สุดละทั้งที่คนอื่นเขาอาบน้ำแต่งตัวกันหมดแล้ว
“ ไม่เป็นไร ผมจะไปด้วย”
“ มึงไปอาบน้ำดิหมากหรือจะเดินไป เขาเสร็จกันหมดแล้ว”
“ รอด้วย ๆ” พี่คนอื่น ๆ ก็ช่วยกันเก็บที่นอนเก็บของตัวเองเข้ากระเป๋า คนที่มีหน้าที่เก็บของมีค่าและสะพายกระเป๋าเป้ที่บรรจุบรรดาโทรศัพท์ กระเป๋าตังค์พวกรุ่นใหญ่เวลาลงแข่งคือยูคยอม มันรับหน้าที่นี้มาสองปี และของก็ไม่เคยหาย....ส่วนของเฮียแจ็คแยกออกมาอยู่ในเป้ที่ผมสะพายอยู่...
ไม่นานพวกเราก็มาถึงสถาบันเจ้าภาพ ที่ตอนนี้เริ่มตั้งขบวนกันแล้ว...กองเชียร์ต้องขึ้นสแตนทันทีหลังจากที่พวกพี่ ๆ แจกข้าวกล่องให้น้องกินบนรถแล้ว ให้เวลาเข้าห้องน้ำสิบนาที ดูเหมือนว่ากองเชียร์จะพร้อมแล้วเลยถูกต้อนขึ้นสแตนนั่งประจำที่ ถุงมือ อุปกรณ์เชียร์ถูกแจกขึ้นไป พร้อมเพจที่ต้องถือ สแตนของสถาบันก็กำลังทำอย่างนี้เหมือนกัน เพราะกองเชียร์ต้องพร้อมในระหว่างพิธีเปิด ต้องมีการแปลอักษรเวลาที่ขบวนนักกีฬาจากสถาบันต่างๆ เดินเข้ามาในสนาม...ซึ่งสถาบันผมจะเป็นสถาบันที่ 9 จากสิบสถาบัน และสถาบันเจ้าภาพจะเป็นสถาบันสุดท้าย...
“ ถือแค่นี้พอแบมแบม หน้าเธอซีดมากเลย”
“ เราไหว”
“ เถอะหน่า เรามีเหน่งอีก “ ตอนนี้ผม ถูกดันมาช่วยฝ่ายพยาบาล ส่วนพวกเพื่อนที่เหลือไปช่วยที่สแตน นักกีฬาสถาบันผมกำลังตั้งขบวน เพราะตอนนี้ในสนามมีเข้าไปแล้ว 6 สถาบัน เหน่งเด็กช่างไฟ กำลังสะพายกระเป๋าพยาบาล หญิง เด็กการตลาด สะพายกระเป๋าพยาบาลเหมือนกับเหน่งแต่เล็กกว่า พร้อมน้ำสองขวดของพวกเรา ส่วนของกองเชียร์มีอีกหน่วยที่คอยซับพอร์ตอยู่ ส่วนผมได้ถือแค่กล่องพยาบาลกล่องเท่าเธอเพราะเธอแย่งน้ำไปถือแล้ว...
นักกีฬาทุกคนอยู่ในชุดกีฬาแต่ละประเภท ความสงบไม่มีเหมือนเมื่อวาน เพราะวันนี้เปิดให้คนภายนอกเข้ามาชมได้ ทั้งที่ทุกปีไม่มี และตำรวจ และ อาสา ก็เดินกันแน่นขนัดเหมือนกัน มีการตรวจกระเป๋า และสแกนร่างกายก่อนเข้างานที่เปิดไว้เพียงประตูเดียว ตรวจโลหะ ตรวจอาวุธสงครามและของผิดกฎหมาย...ซึ่งปีนี้ถ้าใครมีเรื่องมีการคาดโทษไว้สูงพอสมควร...แต่ผมว่าไม่มีในนี้ถ้ามันเขม่นกันจริงๆ ที่ ๆ ให้มีเรื่องมีเยอะแยะ...เพราะเป็นงานเปิดทำให้ตอนนี้อัฒจรรย์ที่ไม่ใช่อัฒจรรย์กองเชียร์ของแต่ละสถาบัน เต็มไปบุคคลภายนอก แทบไม่มีที่นั่ง...
“ ไปเถอะ”
“.....................” เสียงรัวกลองดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจากวงดนตรีสถาบันพวกผม ดรัมเมเยอร์ หรีด และคนถือป้าย เดินนำทัพนักกีฬาเข้าสู่สนาม เสียงกรี๊ดจากคนบนอัฒจรรย์ฝั่งผู้ชมดังขึ้นจนกลบเสียงกลอง เห็นว่ามีการบันทึกภาพการแข่งขันด้วย...
“ กูหิวน้ำ!”
“....................” เหลือบตามองคนที่ตะโกนออกมาจากในแถว หลังจากที่มายืนประจำที่แล้ว ทำให้ผมที่ยืนอยู่ข้างๆ แต่นอกแถวต้องเดินไปเอาน้ำกับพวกข้างหลังที่กำลังเตรียมกันอยู่แล้ว...แต่ยังไม่แจกเพราะมันพึ่งเริ่ม...
“ นี่ครับ”
“อยู่นี่แหละ”
“ได้ยังไง เดี๋ยวก็โดนว่า” ผมขยับหนีคนที่เอาแขนมาวางบนบ่าผม...เริ่มแน่ใจว่าหิวน้ำไม่จริง และตอนนี้ผมก็เริ่มปวดเอวขึ้นมาแล้วด้วย...แต่อีกคนไม่สนใจดึงแขนผมไว้หน้าตาเฉย...
“ งั้นก็กลับไปอยู่หลังอัฒจรรย์ไม่ต้องเสือกมายืนแถวนี้”
“ แต่ผมต้องช่วยงานเพื่อนนะเฮีย” รับขวดน้ำคืนมา ก่อนจะส่งต่อให้ไอ้ยูคที่ยื่นมือมาขอ คนอื่นๆ เขาไม่เห็นเรื่องมากเหมือนพวกนี้เลย...แล้วเรื่องอะไรมาให้ผมไปงอมืองอเท้าอยู่หลังสแตน
“ ใครเอามึงมาเนี่ย กูจะฆ่ามัน”
“ ร้อนแล้วหงุดหงิดรึไง” ผมถามคนที่ทำหน้าตาหงุดหงิด
“ กูหวง ”
“ อย่ามาแสดง ผมไม่ใช่สาวน้อยน่ารัก ที่ใครจะมาฉุดมาดึงได้นะ ไปละ” ต้องรีบออกเมื่อรับขวดน้ำคืน และทางขบวนเข้าภาพเดินมาประจำที่เสร็จแล้ว...
“ แบมแบม มึงไปรับจูเนียร์ที่หน้าโรงเรียนหน่อย แมร่ง กว่าจะมาได้ต้องให้กูโทรตามกี่รอบ”
“ แล้วเมื่อวานมึงไม่เอาเขามาด้วย”
“ ติดเรียน กูบอกให้โดดก็ไม่โดด หงุดหงิดไม่หาย”
“สรุปว่าไงเฮีย แล้วพี่จูเนียร์มาถึงยัง”
“ถึงแล้ว อยู่หน้าโรงเรียน ไปรับแล้วพวกมึงสองคนก็อยู่หลังสแตนนั่นแหละไม่ต้องเสล่อเดินออกมา”
“ เข้าใจ๊!”
“................” ทำหน้ายี้ใส่เฮียแจ็คที่พูด เข้าใจเสียงสูงสนับสนุนคำพูดเพื่อนตัวเอง พร้อมกับเอามือมาวางบนหัวผม ใช่สิ เพื่อนกันแมร่งนิสัยก็เหมือนกันจริงๆ พี่จูเนียร์คงถูกโทรตามจิกให้มาแน่ ๆ พวกชอบใช้กำลัง และคำสั่งบังคับ....
ผมเดินออกมาบริเวณหน้าสถาบัน ก่อนจะมองซ้ายขวาหาคนที่ยืนรออยู่ ซักพักพี่จูเนียร์ก็เดินเข้ามาหา คนมองพี่แกเต็มเลย เพราะพี่จูเนียร์เป็นผู้ชายที่จะว่าหล่อก็หล่อ จะว่าน่ารักก็ใช่...ทักทายกันก่อนจะเดินผ่านด่านตรวจหน้าโรงเรียนเข้ามา...
“ ดีจังครับ เผื่อได้เที่ยวกัน”
“ นี่พี่โดดเรียนมานะ ดีที่วันศุกร์มีเรียนแค่วิชาเดียว แล้วยังไม่เคยขาด” พี่จูเนียร์กับผมเดินถือน้ำโค้กคนละแก้วที่แวะซื้อ และไม่ลืมพาตรงไปสแตนอย่างที่สองเฮียนั่นสั่ง...
“ ผมว่าถ้าพี่ไม่มา เฮียมาร์คขับรถกลับไปรับแน่ ๆ”
“ ก็ขู่งั้นแหละ เลยต้องมา”
“ พี่ยอมเฮียแกตลอดเลยนะครับ”
“ แค่บางเรื่องเท่านั้นแหละ แต่เรื่องบางเรื่องถึงเขาจะบังคับแต่มันก็อาจจะตรงกับสิ่งที่เราต้องการก็ได้” พี่จูเนียร์ยิ้มให้ผมหลังจากตอบคำถาม ก็เข้าใจนะ เพราะยังไงถ้าคนเรารักกัน...มันก็ต้องอยากอยู่ใกล้กัน อยากเห็นหน้า อยากรู้ว่าทำอะไรอยู่...เรื่องของความรักบางครั้งมันก็ดูยิ่งใหญ่กว่าทุก ๆ อย่าง...ทั้งที่บางสถาณการณ์มันกลับถูกบีบบังคับให้หดเล็กลง และดูไม่มีความสำคัญ...
“แบมแบมใช่ไหม..แบมแบมจริงๆ ด้วย..”
“...................” ผมหันมองกลับหลังเพื่อหาต้นเสียง และคนที่เห็นก็ทำให้หัวใจผมเกิดความรู้สึกแปลบขึ้นมาอย่างไม่ตั้งตัว....
...มินอี้....
Talk: สกรีมฟิค #Ficbloodsch Twitter : Namtal1a
ความคิดเห็น