ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~Blood School เลือดรัก นักเลงช่าง ~JackBam [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #16 : Sec 16 / Don't try to understand everything

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 58




                                                   



    ผมลงจากรถเฮียแวนก่อนจะเดินเข้ารั้วบ้าน...สวนสวยๆ  ระหว่างทางตั้งแต่รั้วจนถึงตัวบ้านยังคงสวยเหมือนทุกวัน..แต่มันกลับไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่..สปริงเกอร์ก็ยังหมุนส่ายสายน้ำใส่สนามหญ้าเหมือนอย่างที่ผมเคยชอบ เพราะเวลามองหยาดหยดน้ำพรมลงบนหญ้าแล้วให้ความรู้สึกของความชุ่มฉ่ำ....ยิ้มให้ลุงคนสวนที่กำลังตัดกิ่งต้นโมกข์อยู่....ก่อนจะทอดเท้าเดินไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ  ทั้งที่แดดเริ่มร้อนแล้ว....ความรู้สึกมันยังอื้ออึงอยู่ในหัวใจไม่หาย...เดินจนถึงหน้าประตูใหญ่ เงยหน้าขึ้นถึงได้เห็นว่าคุณย่ายืนยิ้มรออยู่....รีบปรับสีหน้าแล้วส่งยิ้มตอบคนที่มายืนมาอยู่...

     

    “ว่ายังไงลูก ทำสีหน้าแปลก ๆ”

     

    “ ไม่เป็นไรครับ แบมแค่นอนไม่หลับ มันแปลกที่”   ใช่ที่ไหนกัน เมื่อคืนหลับสนิทเหมือนคนไม่เคยนอน...เดินไปกอดคุณย่าแล้วกอดเอวเข้าบ้าน ได้กลิ่นอาหารหอม ๆ โชยมา แต่ท้องกลับไม่อยากจะรับอาหารในเวลานี้...

     

    “พี่แจ็คสันเป็นยังไงบ้าง”

     

    “ก็ดีขึ้นแล้วครับ...คุณย่าทานข้าวรึยัง”

     

    “ยังเลย ย่ารอแบมนั่นแหละ”

     

    “ งั้นไปเถอะครับ แบมหิ๊วหิว”  กอดเอวคนสูงวัยเดินไปที่โต๊ะอาหาร ได้กอดย่าแล้วรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด...จากที่คิดว่าไม่สามารถที่จะกินอะไรได้ตอนนี้ กลับทานข้าวต้มได้ถ้วยใหญ่....ตามด้วยของหวานตอนเช้า....

     

    “ คุณย่าครับ...คือ...”

     

    “ มีอะไรก็ว่ามาเถอะลูก ย่าเห็นหน้าแบมแบมตั้งแต่เดินเข้าบ้านแล้ว ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ “

     

    “ ครับ..คือ..” 

     

    “......................”   ย่าเงยหน้ามองผม หลังจากที่วางช้อนขนมหวานลงแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม...ผมกำลังจะทำอะไรกัน...กำลังจะถามอะไรออกไป..มันเป็นสิ่งที่สมควรรึเปล่า...

     

    “..คุณย่าว่า..พวกที่รัก...คือ...เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ”

     

    “ ..มีปัญหาหัวใจล่ะสิ หลานย่าโตเป็นหนุ่มแล้วหนิ...ไม่เป็นไร เห็นว่าคนแก่ไม่เข้าใจ ไม่อยากถามก็ไม่เป็นไร..” 

     

    “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แบมแค่คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่สมควรถาม”  เพราะคุณย่าพูดอย่างนี้ผมจึงรีบออกตัวก่อน....ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบรวมความกล้า...ก็แค่ถาม....

     

    “...ไม่เป็นไรย่าเข้าใจ..เรื่องบางเรื่องมันก็พูดไม่ได้...”

     

    “..คุณย่าว่า...ความรักมันมีคำว่า...ผิด...ไหมครับ..”  กลั้นใจถามออกไปแบบกว้างๆ  ผมจ้องหน้าคนสูงวัยที่วางแก้วน้ำลง แล้วส่งยิ้มอบอุ่นให้ ...

     

    “...คำว่ารัก..ยังไงดีล่ะ...คำว่ารัก มันไม่ผิดหรอก...คนที่ทำให้ผิดคือคนต่างหาก....ความรักมันต้องมีฝ่ายให้และฝ่ายรับ...ทุกอย่างจะลงตัวถ้าฝ่ายรับก็ตอบกลับ...แค่นั้นเอง...ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...มันก็ไม่ผิด..”

     

    “...แล้ว...แบบพวกรัก...”

     

    “...แบมไม่ต้องถามหรอกว่าแบบไหน...ความรักแบบไหนก็ไม่ผิด...สมัยนี้ย่ารู้ว่ามันไม่ได้มีแค่ ชาย หญิง ที่มีสิทธิในความรักที่ถูกต้อง...อย่ากลัวที่จะรัก แต่จงกลัวที่จะไม่ได้รัก...คนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต คือตัวเราเอง...พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือคนอื่น ๆ คือคนที่เราสมควรจะแคร์และให้เกียรติพวกเขา...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...เราจะทิ้งทุกอย่างที่ทำให้เรามีความสุขเพื่อเขา...”

     

    “.... แล้วถ้า...พวกเขารับไม่ได้ล่ะครับ..และก็ไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจ..ไม่อยากทำลายชื่อเสียง หรือหน้าตาทางสังคมที่พวกเขามี.......”

     

    “ ...แบมแบม ฟังย่านะลูก....ถ้าพวกเขาเป็นพ่อแม่ ที่ถือเอาความรักที่มีต่อลูกเป็นหลัก...เขาจะต้องรับได้...ถึงแม้ว่าภายในใจลึกๆ  พวกเขาจะเจ็บปวดแค่ไหน...เขาก็ต้องรับถึงไม่ทั้งหมดก็ตาม...ทีนี้ก็เหลือแค่ว่าตัวเราจะทำให้ชีวิตพวกเขาต่อจากนั้นมีความสุขแค่ไหน...มีความสุขกับคนที่รัก มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งขว้างคนที่อยู่ข้างหลัง....เราทำให้พวกเขามีความสุขไปพร้อม ๆ กับเราได้...พิสูจน์ให้เขารู้ว่า...สิ่งที่เราเป็น ความรักของเราตอนนี้...มันไม่ผิด...ถ้ามันรับไม่ได้แบบหัวชนฝาจริงๆ  นั่นก็เป็นปัญหาอีกปัญหาที่ต้องแก้...แต่ไม่ใช่ว่าจะเลิกรัก...เพราะอย่างที่ย่าบอก...ความรักมันไม่ผิด..”

     

    “.........................”  ผมกลืนน้ำลายลงคอแบบฝืด ๆ  กับคำตอบคุณย่าที่ดูเหมือนว่าจะตรงประเด็น และส่งแววตาให้อบอุ่นหัวใจ เหมือนกับว่าท่านรู้และกำลังตอบคำถามซึ่งเป็นปัญหาของตัวผมเอง...ทั้งที่ยังไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไรปัญหาของใคร...

     

    ถ้ารับไม่ได้แบบหัวชนฝาจริง ๆ มันก็คือปัญหาใหญ่...เราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ โดยที่ไม่ต้องเลิกรัก....แน่นอนถ้าคนสองคนที่รักกันมีหัวใจที่มั่นคง....แม้ว่าตัวจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน...แม้ว่าความรักนั้นคือการไม่ได้ครอบครองร่างกาย...แต่กลับได้หัวใจมาทั้งหมด...มันจะเป็นความรักที่หวานฉ่ำท่ามกลางบรรยากาศฝืน ๆ ....แต่ความรักของผมมันจะเป็นอย่างนั้นได้รึเปล่า...

     

    ...มันจะเป็นไปได้รึเปล่า...

     

     

    “...ถ้าวันนี้ย่าอยากไปเยี่ยมพี่แจ็คสันได้รึยัง...ย่าเป็นห่วงพี่แจ็คสันเหมือนกันนะ..”

     

    ... แบมแบม  ถ้ามึงคิดว่าไอ้เชี่ยแจ็คมันคือของมึง...มันก็คือของมึง..มึงอย่าโง่ให้ใครมาแย่งมันนะ...มันอาจจะเหี้ยในสายตามึง แต่กูยืนยันว่าเพื่อนกูแมร่งแสนดีสัด...และที่สำคัญมันรักมึง...

     

    “...ครับ...เดี๋ยวเราไปกัน..” 

     

    ...มันจะยากอะไร...ก็แค่รัก...และทำให้ดีที่สุด...อย่ากลัวที่จะรักไม่ได้   จงกลัวที่จะไม่ได้รัก....

     

    ...............................

    ...............................

     

    ผมกับคุณย่าแวะที่ร้านขายผลไม้ ซึ่งเป็นร้านขายดอกไม้ด้วย เรียกได้ว่าทำกิจการของเยี่ยมของฝาก ของขวัญครบ คุณย่ายืนเลือกส้มและชมพู่  และตัวผมก็มาสั่งดอกไม้ตามที่คุณย่าบอก เอาดอกไม้ไปเยี่ยมผู้ชายถึก ๆ แบบนั้นมันจะเข้ากันตรงไหน แต่คุณย่าสั่งยังไงก็คงต้องจัด 

     

    “ว่าไงมึง เอาดอกไม้ไปเยี่ยมไอ้แจ็ครึไง”

     

    “อ้าว อืม...แล้วไปไหนมา..”  ผมหันตามแรงสะกิดที่ด้านหลัง ก่อนจะหันไปเจอไอ้กายที่มายืนเท่ห์ ๆ อยู่  ใส่สูทซะเท่เชียว ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงมีอายุอีกคนที่ยืนเลือกดอกไม้อยู่...

     

    “แม่จะพาออกงาน ก่อนจะส่งไปเรียนเมืองนอก”

     

    “หล่อหนิ”  ยิ้มให้คนที่ยืนทำหน้าเซ็งๆ  เห็นพวกมันทำตัวอย่างนี้ก็มีแต่ลูกผู้ดีมีตังค์  กายในชุดสูทหล่อจนตอนแรกผมจำไม่ได้ แต่เห็นรอยยิ้มกวนๆ  ของมันก็มีอยู่คนเดียว...จำได้ติดตาเพราะมันชอบยิ้มแบบนี้ก่อนมีเรื่องกับผม...

     

    “ กูรู้ตัวว่ะ ว่าแต่แต่งชุดธรรมดาก็น่ารักนะมึง มากับใคร”

     

    “มากับย่า เลือกผลไม้อยู่ท่างนู้น...ไปเรียนต่อที่ไหน”

     

    “อังกฤษ ไปแบบโง่ๆ  อ่ะ แต่แม่อยากให้ไปก็ไป”

     

    “ไหนบอกเรียนเก่ง”

     

    “เก่งบ้านเราจะไปเท่าเก่งบ้านเขาได้ไงวะ”

     

    “ เฮ้ย มึงทำได้เชื่อกู สู้ๆ”

     

    “...................”  ไอ้กายยกยิ้มขำ ๆ แล้วมองหน้าผม หลังจากที่พูดให้กำลังใจโดยการชูกำปั้นขึ้นให้มันสู้กับการเรียนแสนโหดที่จะเจอ นี่อาจจะเป็นการสั่งสอนนักเลงไปในตัวของครอบครัวมันก็ได้...

     

    “ ยังหรอก กูมีเวลาทำใจอีกสามเดือน ช่วงนี้คงต้องทำตัวดี ๆ อ่ะ กลัวถูกลอยแพ”

     

    “ ดีแล้วล่ะ อย่างน้อย ๆ คนที่รักเราจริงๆ เขาจะได้หายห่วง”

     

    “ งั้นเหรอ...อืม..แบมแบม กูขอเบอร์มึงหน่อยสิ”

     

    “อืม แป๊บ”   ผมจัดการยิงเข้าเครื่องไอ้กาย เพราะจำเบอร์ตัวเองไม่ค่อยได้ ไม่นานไลน์ก็เด้งทันที พนักงานเอาช่อดอกไม้มาให้ผม จังหวะเดียวกับที่แม่ไอ้กายเลือกดอกไม้เสร็จพอดี...ส่วนย่ายังรอให้เจ้าของร้านทำกระเช้าผลไม้ให้อยู่...

     

    กูไปนะ”

     

    “อืม โชคดี”

     

    “แบมแบม”

     

    “...................”  กำลังถือช่อดอกไม้ที่แซมดอกไม้หลากหลายไปหาคุณย่า แต่ก็ต้องหันมองคนที่บอกจะไปแต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม และเรียกผมไว้..

     

    “ขอบใจนะ บางที มันอาจจะดีขึ้นเพราะมึง”

     

    “...เพราะตัวมึงต่างหาก ไปนะ...”  ผมยิ้มและพูดกับคนที่ยังยืนนิ่ง...ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินไปหาคุณย่าที่กำลังจ่ายเงินทั้งค่าผลไม้และค่าดอกไม้...หันมองอีกทีไอ้กายก็ขึ้นรถไปกับแม่มันแล้ว...

     

    ....ไม่ว่าอะไร..ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้น...

     

    ผมกับคุณย่ามาถึงโรงพยาบาลตอนบ่ายกว่าๆ  ผมถือตะกร้าผลไม้ ส่วนคุณย่าถือช่อดอกไม้ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าห้องคนไข้วีวีไอพี ซึ่งเป็นห้องของหลานชายคนโปรดของคนที่ยืนข้างๆ  ผม  ตัดสินใจเคาะประตู ก่อนจะเปิดเข้าไป..

     

    “ แบมแบม ว่าไงลูก แล้ว..”

     

    “สวัสดีครับ คุณลุง คุณป้า คือคุณย่าผมจะมาเยี่ยมเฮียแจ็คด้วยครับ”  ผมยกมือไหว้คนมีอายุสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ห้องรับแขกด้านนอก ทั้งสองรับไหว้แล้วพร้อมใจกันหันมองคุณย่าที่ยืนยิ้มอยู่...

     

    “คุณแม่! มายังไงคะ”

     

    “ก็มาเยี่ยมหลานชายฉันน่ะสิ ไม่เห็นหน้าคร่าตากันเลยนะ ว่าไงคุณเหว่ย”

     

    “สวัสดีครับคุณแม่ ช่วงนี้งานยุ่งมาก ขนาดกับกษินต์ผมก็ไม่ค่อยได้เจอ เชิญคุณแม่นั่งก่อนครับ” ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อพ่อเฮียแจ็ค มาพยุงคุณย่าไปนั่งที่โซฟา ผมเลยเดินไปนั่งข้าง ๆ ท่านก่อนคุณแม่เฮียแจ็คจะเดินมานั่งข้างคุณย่าอีกคน...

     

    “งั้นแบมแบมก็”

     

    “แบมแบมเป็นลูกชายกษินต์ กับเพียงใจ พ่อเขารับแบมแบมมาเลี้ยง แม่ก็เลยไม่เหงา”  คุณย่าพูดและยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมกับหันมองหน้าผม...คุณลุงมองผมนิ่งๆ  ส่วนคุณป้าก็พยักหน้าเข้าใจ...

     

    “จุดไต้ตำตอจังเลยค่ะ แล้วแบมแบมก็ยังเป็นเพื่อนสนิทตาแจ็คด้วย เห็นเจ้าตัวบอกสนิทกันมากเลย”

     

    “..คุณเหว่ยกับคุณพ่อเราเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่มาช่วงหลัง ๆ ต่างคนต่างจับธุรกิจก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน...ความจริงย่ารู้แล้วล่ะว่าพี่แจ็คเป็นใคร เพราะพ่อเราเจอคราวที่แล้วแล้วจำได้..”

     

    “ ครับคุณย่า “   ผมตอบรับคุณย่าที่หันมาอธิบายกับผมเพราะเห็นว่านั่งฟังมาได้ซักพัก...สังเกตได้ว่าคุณลุงเงียบไปเลย ดวงหน้าคมคร้ามแบบผู้ใหญ่ ถึงจะสงบนิ่ง แต่ผมแอบเห็นแววกังวลอยู่ในที คุณลุงเป็นเพื่อนสนิทคุณพ่อ ทำไมเฮียแจ็คไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผม...

     

    หลังจากนั้นผมกับคุณย่าก็เข้าไปเยี่ยมเฮียแจ็ค...คนที่นอนอยู่บนเตียงดูเหมือนจะดีใจที่เห็นคุณย่า ถึงแม้ว่ามินอี้จะนั่งอยู่ด้วย แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ แค่ส่งยิ้มให้ปกติ....สองย่าหลานคนโปรด พูดคุยกันถูกคอเหมือนเดิม...คุณย่าชวนมินอี้คุยแต่เธอก็พูดน้อยและขอตัวออกไปด้านนอก...

     

    “ กินข้าวรึยัง”

     

    “กินแล้วครับ แล้วเฮียล่ะ”  ตอบคำถามคนที่นอนมองผมหลังจากที่คุณย่าขอตัวออกไปหาคุณลุงกับคุณป้าที่นั่งอยูด้านนอก ผมกำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันที่มีอยู่บนหัวเตียง ซึ่งมีอยู่แล้วแจกันนึงที่ปักกุหลาบแดงไว้...

     

    “ อืม แต่ไม่อร่อย”

     

    “ พ่อผมกับพ่อเฮียรู้จักกัน เฮียรู้ไหมครับ คุณย่าพึ่งบอกวันนี้ตอนเจอคุณลุงกับคุณป้า”

     

    “ อืม “   หันมองคนที่ตอบรับในลำคอ แทงดอกกุหลาบขาวลงในโอเอซิสเป็นดอกสุดท้าย ก่อนจะเลือกเอาไปตั้งตรงมุมห้องที่มีเคาท์เตอร์วางอยู่...

     

    “เอาไว้ข้างเตียงกูนี่แหละ”

     

    “ แต่มันมีอยู่แล้วนะครับ”

     

    “ก็เอาวางไว้ข้าง ๆ กันนั่นแหละ”  ผมมองแจกันดอกกุหลาบแดงสีสด ที่ดูโดดเด่นและสวยงามกว่าของผมอีกซึ่งรู้ดีว่าแจกันอันนั้นของใคร...แค่ฝีมือการจัดก็คนละระดับแล้ว จะกล้าเอาไปตั้งคู่ทำไม...

     

    “ แต่ตรงนี้ มันน่าจะมีแค่แจกันเดียวนะครับ ผมจะเอาไปวางมุมห้องละกัน”

     

    “ แบมแบม..เอาของมึงมาวางนี่ ถ้ามันเหมาะที่จะวางแค่อันเดียว อันนั้นก็ต้องเป็นของมึง”

     

    “...................”  ผมจ้องตากับคนที่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง แต่แปลกที่ทำให้ผมยกยิ้มได้ ก่อนจะเดินเอาแจกันดอกไม้ไปวางไว้ข้างเตียงเฮียแจ็ค แล้วเลื่อนแจกันดอกไม้สีแดงสด ไปไว้อีกข้าง...

     

    “ แน่นอนครับ...มันต้องเป็นของผมที่จะอยู่ข้างเฮีย...”

     

    “..ร้ายเนอะ..”

     

    “ ก็ไม่นะ “  ไหวไหล่เบา ๆ ให้คนที่เหมือนจะชม แต่ความจริงก็เข้าใจแหละว่าหมายถึงอะไร แต่ทำไมคนที่ว่าผมร้ายจะต้องทำหน้าภูมิใจอะไรขนาดนั้น ถึงกับยิ้มไม่หุบ...ผมไปทำอะไรให้ต่อมอารมณ์เฮียแกเจิดขนาดนั้น...

     

    “ ก็ดี แมนแมนตีแบดดี...อยากกินส้ม”

     

    “ อืม แป๊บครับ”  แมนแมนเตะบอลรึเปล่า หรือผมมันไม่เข้ากับกีฬาชนิดนั้น...เดินไปแหวกซีนใสก่อนจะหยิบส้มลูกโตหน้าตาน่าทานออกมา ความจริงของเยี่ยมในห้องเต็มไปด้วยผลไม้อยู่แล้ว แต่ยังไงซะย่าก็อุตส่าห์เป็นคนเลือก เอาของตัวเองนี่แหละ

     

    “ไม่ต้องใส่จาน แกะแล้วก็เดินมาหากูนี่”

     

    “...อยากให้ป้อน...”

     

    “..ไม่ได้โง่หนิ...”

     

    “..นี่ครับ...”  แกะเปลือกออกแค่ครึ่งเดียว เหลือรองมือครึ่งนึง ก่อนจะเดินไปยืนข้าง ๆเตียงคนป่วย สีหน้าเฮียแจ็คดีขึ้นมากจนเกือบปกติ ทั้งที่เมื่อวานซีดเหมือนคนตาย...

     

    “..แบมแบม..”

     

    “ ครับ”  ชะงักมือที่ถูกเฮียแจ็คจับไว้ ก่อนตาคมจะจ้องผม....ริมฝีปากหนายกยิ้มบางๆ....ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก...พอเปิดใจแล้วผมก็เหมือนจมดิ่งไปกับความรู้สึกที่อีกคนมอบให้...

     

    “ มึงรู้ใช่ไหมว่ากูดีใจ ที่มึงเปิดใจ....กูบอกแล้วว่าจะทำให้มึงรักกูให้ได้..”

     

    “ แล้วเฮียคิดว่าทำสำเร็จรึไง”

     

    “ สำเร็จ”

     

    “.....................”  ได้แต่เบนปากใส่คนที่มั่นใจสุดโต่งอย่างหมั่นไส้ รู้สึกเขินสายตาที่มองมาจนต้องก้มมองมือตัวเองที่ยังถูกจับไว้อยู่....หัวใจดันเต้นแรงขึ้นมาซะงั้น...ใบหน้าหล่อยกยิ้มเท่ ๆ ก็ยิ่งหล่อ...ถ้าผมเป็นหญิงก็คงจะเขินม้วนไปกับสายตาที่จ้องมาไม่หยุด...

     

    “..อยากกินว่ะ...”

     

    “ นี่ไงครับ”  ฝืนมือตัวเองออกก่อนจะยื่นเอาส้มที่ถือไว้ไปยัดปากคนที่บอกว่าอยากกิน แต่ตามองหน้าผมไม่ได้มองส้ม มิหนำซ้ำยังใช้นิ้วโป้งเกลี่ยมือผมไปมาเบาๆ  อีก...ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าอีกคนหมายถึงอะไร...

     

    “..พวกนั้นมาแน่เลย...”

     

    “ ......................”  ผมขยับตัวออกนิดหน่อย ก่อนจะหันไปมองพวกที่ส่งเสียงทักทายคนด้านนอกแล้วกำลังเคลื่อนพลเข้ามา...รุ่นใหญ่มาทุกคนยกเว้นเฮียแวน เพราะมาเมื่อเช้าแล้ว...ส่วนเพื่อนผมก็มากันหมดเหมือนกัน...

     

    “ เป็นไงมั่งมึง”

     

    “ไม่เป็นไง”  ผมกับเพื่อน ๆ ออกมานั่งที่ระเบียงหลังจากที่ปล่อยให้พวกรุ่นใหญ่ได้คุยกัน....ผมรู้ว่ายูคยอมหมายถึงเรื่องอะไร เพราะมันเข้ามาก็ต้องเห็นมินอี้นั่งอยู่แน่ ๆ

     

    “ไม่เป็นไรใช่ไหม กูไม่อยากบอกมึงอ่ะ กลัวมึงคิดมาก”

     

    “กูไม่เป็นไรหรอก....ว่าแต่...ยองแจ”

     

    “ว่าไง”  ผมไม่ได้ลืมเรื่องเพื่อนผม...ตอนนี้ก็อยู่กันครบห้าคน...พวกเราไม่เคยมีความลับต่อกัน ผมคิดว่าถ้าถามแล้วเพื่อนไม่พูด ผมก็จะไม่ถามอีก....

     

    “ มึงกับเฮียเจบีมีอะไรรึเปล่า กูเห็นมึงอยู่ในห้องวันนั้น”

     

    “ห๊ะ!

     

    “ ชู่วว!....ไม่มีใครเห็นหรอก แค่กูกับพี่จูเนียร์ แค่บังเอิญกูจะเข้าไปเยี่ยมเฮียแก อย่างน้อย ๆ ก็เคยช่วยเรา แล้วเจอ..”

     

    “..คือ..กู”  ยองแจทำหน้าช็อคที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมา ผมส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือที่พร้อมจะแหกปากเงียบลง เพราะแค่นี้หน้ายองแจก็ทั้งซีดทั้งเกร็งแล้ว...

     

    “ ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร...แค่อยากบอกว่า มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว เพราะช่วงนี้ มึงทำหน้าเหมือนคนไม่สบายใจ...พวกกูเป็นห่วง..”

     

    “ อืม กูรู้...ขอบใจนะ...แต่รอกูพร้อมได้ไหม..”  ยองแจพูดเสียงเรียบๆ  แววตาดูมีแววหม่นๆ  ออกมา...ผมดีใจที่อย่างน้อยมันก็รับรู้ความหวังดีของพวกเรา...

     

    “ได้เสมอ มันไม่ได้ทำอะไรมึงใช่ไหม”

     

    “ ปะ เปล่า ไม่ได้ทำ...พวกมึงสัญญากับกูได้ไหมว่าจะไม่บอกพวกรุ่นใหญ่หรือใคร”  พวกผมพยักหน้ารับ ยองแจเงยหน้าขึ้นมอง ตาเรียวมีแววกังวลฉายชัด ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนไอ้มาวินต้องลุกขึ้นไปกอดเบาๆ 

     

    ...ผมว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ ถ้ายองแจไม่ยอมบอก...ผมก็จะไปถามจากเฮียเจบีเอง...อย่างน้อย ๆ สีหน้าของเพื่อนผมมันก็ไม่ได้ทำให้คิดว่ามันไม่มีอะไร...ผมคิดไว้ว่ายอมที่จะโดนเพื่อนโกรธหาว่าก้าวก่าย ดีกว่ายอมให้เพื่อนโดนทำร้าย...แค่ผมรู้คนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อย ๆ มีอะไรจะได้ช่วยได้ทัน...

     

     

    “เฮียผมต้องกลับแล้ว คุณย่าจะได้ไปพักผ่อน”

     

    “ให้คุณย่ากลับไปก่อนไม่ได้รึไง”

     

    “ไม่ได้”  ผมเก็บเศษเปลือกส้ม และถุงขนมของพวกเพื่อนและรุ่นใหญ่ที่ก่อนหน้านี้นอนกันเกลื่อนกราดอยู่ในห้องพัก แต่ตอนนี้สลายตัวไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้แค่ร่องรอยอารยธรรมเถื่อน ๆ จนเกลื่อนห้อง...ลำบากผมต้องมานั่งเก็บกวาดให้อีก...

     

    “ พี่แจ็คคะ ได้เวลาทานยาแล้วค่ะ”

     

    “ อืม...เดี๋ยวให้แบมเอามาให้พี่ละกัน..”  ชะงักมือที่กำลังจะหยิบเศษถุงขนมก่อนจะหันมองคนที่เดินเข้ามาพร้อมถาดยา...เธอยิ้มน้อย ๆ เหมือนเดิม แต่ไม่ได้เอาถาดให้ผมเหมือนกับที่เฮียแจ็คบอก...ผมเลยเก็บเศษขยะต่ออีกนิดหน่อยก็เสร็จ...ก่อนจะเดินไปหยิบไอแพดที่เอามาด้วยใส่กระเป๋า แล้วยกสะพายหลังไว้...

     

    “ไม่ได้ยินรึไง กูบอกให้เอายาให้กูกิน”

     

    “พี่แจ็คคะ..ให้มินอี้ อะ..”

     

    “ก็จะมาอยู่นี่ไง ใจร้อนขนาดนี้เมื่อเช้าไม่ได้ขี้รึไง”  ผมเดินไปขวางคนที่กำลังจะยกถาดยาจากเคาท์เตอร์ข้างเตียงไปหาคนที่นอนอยู่...มือฉวยถาดที่เธอยกขึ้นก่อนจะเดินไปหาพ่อคนป่วยที่ยังกร่างไม่หาย...แอบเหลือบมองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ผ่านจอทีวีจอใหญ่ที่ตอนนี้ยังเป็นสีดำสนิทสะท้อนเงาด้านหลังผม รู้แค่ว่ามินอี้จ้องผมอยู่...แอบเห็นมือสวยกำแน่น แต่สีหน้ายังเหมือนคนไม่ถือสาอะไร...อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ผมก็รู้ว่ามินอี้ไม่พอใจมากแค่ไหน...ไม่รู้ว่าเธอจะพอรู้รึเปล่าว่าผมกับเฮียมีความสัมพันธ์มันมากว่าเพื่อนสนิท....แต่เธอเก่งมากที่เก็บอาการได้ลึกจนแทบจะมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร...ผมจงใจพูดถ้อยคำไม่เสนาะหูกับเฮีย...ส่วนนึงก็แค่อยากให้บางคนรู้ว่า...การเป็นผู้หญิงแสนดี บางครั้งมันก็เป็นการแสดงที่ผิดพลาด...

     

    ....เด็กช่างอย่างผม มารยาไม่เป็นหรอก...ก็แค่พูดแล้วก็ทำอย่างที่ควรทำแค่นั้นเอง...และเด็กช่างอย่างเฮีย...ก็ย่อมเข้าใจว่าที่ผมทำ ผมกำลังคิดอะไรอยู่...

     

    “ เย็นนี้มานอนเฝ้าด้วยนะ”

     

    “ ที่บ้านไม่รักเหรอ ถึงให้คนอื่นมานอนเฝ้า”

     

    “ ปากดีนะมึง...เอาไว้กูหายก่อน..จะอ้าปากไม่ออก”

     

    “ครับ ผมจะรอ...งั้นกลับก่อนนะ แล้วเย็นนี้ค่อยว่ากัน ผมจะโทรหา..อย่าเสือกนอกใจผมล่ะ..”

     

    “..ร้ายนะมึง...”  เฮียแจ็คพูดพึมพำกับผม ที่ตั้งใจก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ  หูเฮียให้ได้ยินกันสองคน ทั้งที่อีกคนยังยืนอยู่...ยิ้มรับคำพูดเฮียก่อนจะหันมาหามินอี้ที่ยืนอยู่...

     

    “ ไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่”

     

    “ ค่ะ ให้มินอี้เดินลงไปส่งไหม”

     

    “ ไม่เป็นไรครับ ผมไปกับย่าได้....ไปนะเฮีย...”   เรื่องอะไรจะให้ไปส่ง ผมไม่อยากคุยกับเธอ รีบเดินออกจากห้องไปหาคุณย่าที่ยืนรออยู่ ตอนนี้เหลือแค่คุณป้า เพราะคุณลุงหายไป ร่ำลากันเสร็จก็ออกจากห้อง...

     

    “แบมแบม มินอี้มีเรื่องจะคุยด้วย”

     

    “ คุณย่ารอแป๊บนะครับ”

     

    “ได้งั้นย่าลงไปรอที่รถนะ”

     

    “ครับ”  จนได้สินะ อุตส่าห์เลี่ยงที่จะไม่ให้ตามไปส่ง ก็ยังออกมาหาจนได้...แอบถอนหายใจเล็ก ๆ เอาจริงๆ  ผมก็ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับผู้หญิงเท่าไหร่...มันดูเหมือนผมกำลังรังแกคนที่อ่อนแอกว่า...แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่น...ถ้ายังคิดที่จะอยากจะยืนข้าง ๆ คนที่นอนอยู่ในห้องนั่น...ผมกับมินอี้เดินไปหยุดยืนตรงหน้าบันได เพราะเธอเป็นคนเดินนำไป...

     

    “ แบมรู้ใช่ไหมว่าเราจะคุยอะไรกับแบม”

     

    “ เรื่องเฮียแจ็ค”  ผมกับมินอี้อายุเท่ากันแต่เธอไปเรียนเมืองนอก ไม่รู้จบอะไรมาแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ มาช่วยธุรกิจของครอบครัวเฮีย

     

    “ แบมสนิทกับพี่แจ็คมากไหม”

     

    “มากครับ”  ผมทำสีหน้าและตอบคำถามแบบปกติ...เธอก็ยังนิ่งและทำสีหน้าเหมือนพูดคุยปกติเหมือนกัน ผมยิ้มตอบรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มินอี้ส่งมา  ไม่รู้จริงๆ  ว่าเธอตั้งใจจะพูดอะไร...แอบตื่นเต้นและกระดาก..ถ้าจะต้องมาถกเถียงกับผู้หญิงเพราะแย่งผู้ชาย...แต่ก็จำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร..

     

    “ มินอี้กำลังจะหมั้นกับพี่แจ็คค่ะ คือที่เรียกไว้อยากจะเชิญด้วย น่าจะเดือนหน้า เห็นว่าแบมแบมสนิทเลยอยากคุยส่วนตัว เผื่อจะได้มาช่วยพี่แจ็คจัดการตัวเองด้วย..”

     

    “..ครับ..”  มาเหนือกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมสั่นนิด ๆ ได้เหมือนกัน....หมั้นเดือนหน้า...ยิ้มกว้างให้เหมือนกับไม่ได้รู้สึกอะไร...เลิกคิ้วเหมือนกับเซอร์ไพรส์สิ่งที่ได้รับรู้...

     

    “ พี่แจ็คไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอคะ”

     

    “ ไม่นะครับ เพราะเวลาอยู่กับเพื่อนเฮียแกจะไม่สนใจอย่างอื่นเลย...พูดง่าย ๆ ก็เหมือนคนติดเพื่อนจนลืมทุกอย่างล่ะครับ” เธอยังยิ้มปกติ  พร้อมกับพยักหน้ารับรู้

     

    ...ตอนนี้ผมเหมือนคนที่กำลังฝืนรับความจริง ที่รับไม่ได้ แต่ก็ทำเป็นปากดีไปงั้น...ลอบกลืนน้ำลายแผ่วเบาพร้อมกับพยายามกำหนดลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด..เหมือนคนที่เหมือนจะเหนือกว่าคนอื่น แต่จริงๆ  แล้วไม่ใช่เลย...

     

    “ เหรอคะ...แค่อยากบอกแบมไว้ล่วงหน้าค่ะ...งั้นไว้เจอกันนะคะ..อ๊ะ!!

     

    “ มินระวัง!! อ๊ะ!!!”  ร่างกายบอบบางของคนที่บอกลา กำลังจะเดินกลับ แต่ต้องเซเพราะรองเท้าเธอพลิก ทำให้ผมถลาจะเข้าไปจับ แต่มันพลาดตรงที่เอียงทิ้งน้ำหนักมาหาผมมากไป ทั้งที่มือเธอเกี่ยวราวบันไดไว้ 

     

    “แบมแบม!!

     

    “ ไม่!..”   ร่างกายผมกำลังถลาลงบันไดที่มองจากตรงนี้สูงพอสมควร.....พยายามจะคว้าราวบันไดไว้แต่แขนไม่ถึงและเสียหลักไปแล้ว...

     

    พรืดด!!!ตุ๊บ!!ตุ๊บ!!

     

    “ โอ้ย!!! อั๊ก!! อืออ!!..

     

    “แบมแบม!!! แบมแบม เป็นอะไรไหม!! ช่วยด้วยค่ะมีคนตกบันได!!

     

    “...................”  ผมนอนแน่นิ่งอยู่กับที่ เพราะปวดร้าวที่ท่อนขา...เจ็บจนต้องร้องออกมา...ร่างกายกระแทกลงกับบันไดหลายขั้นก่อนจะลงมานอนอยู่บนชั้นพักของบันไดโรงพยาบาล...ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเจ็บตรงไหนบ้าง..เพราะมันเจ็บไปหมด..

     

    “อย่าขยับนะครับ อย่าขยับ!

     

    “..เจ็บ..อือ...”  หัวสมองเบลอ มึน งงไปหมด มองไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใคร...หัวสมองปวดหนึบจนลืมตาไม่ขึ้น...ได้ยินเสียงคนวิ่งกันวุ่นวาย...เสียงวุ่นวายจริงๆ  หนวกหูมาก...

     

    “ พี่แจ็ค! ออกมาทำไมคะ!

     

    “ แบมแบม! แบมแบม! ได้ยินกูไหม”

     

    “ เปลกำลังมา อย่าขยับตัวเพื่อนค่ะ ถอยค่ะ!

     

    “แบมแบม!”  สัมผัสอุ่น ๆ แค่ที่มือ และน้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้พยายามจะหันมองทั้งที่หัวสมองยังเบลอ ๆ  และสัมผัสชื้นแฉะที่หัว ก่อนของเหลวนั่นจะไหลมาใกล้ๆ  หางตาผม...กลิ่นเลือด...

     

    “..เฮีย...”

     

    “ใช่เฮียเอง แบมแบม ไม่เป็นไรนะ!

     

    “ ถอย ๆ ครับ ถอย!

     

    “..เฮีย...”  ผมพูดได้แค่นั้นจริงๆ  เพราะความชาหนึบของร่างกายผสมกับความเจ็บร้าวหลังจากถูกยกขึ้นเปล ก่อนจะสัมผัสกับเตียงนุ่มๆ  ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา...เริ่มเจ็บและปวดไปหมด หลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายร่างกายขึ้น ๆ ลงๆ ....

     

    ...เสียงดังวุ่นวายเข้าหูและสมอง...ได้ยินเสียงย่าด้วย...ย่าร้องไห้...ได้ยินเสียงอีกหลายคน...ตาผมหรี่ลงและไม่รับรู้ทุกสิ่งรอบกายในที่สุด...

     

    Talk :  สกรีมฟิค #Ficbloodsch  Twitter: Namtal1a

    © themy�butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×