คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : Sec 16 / Don't try to understand everything
ผมลงจากรถเฮียแวนก่อนจะเดินเข้ารั้วบ้าน...สวนสวยๆ ระหว่างทางตั้งแต่รั้วจนถึงตัวบ้านยังคงสวยเหมือนทุกวัน..แต่มันกลับไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่..สปริงเกอร์ก็ยังหมุนส่ายสายน้ำใส่สนามหญ้าเหมือนอย่างที่ผมเคยชอบ เพราะเวลามองหยาดหยดน้ำพรมลงบนหญ้าแล้วให้ความรู้สึกของความชุ่มฉ่ำ....ยิ้มให้ลุงคนสวนที่กำลังตัดกิ่งต้นโมกข์อยู่....ก่อนจะทอดเท้าเดินไปเรื่อย ๆ ช้า ๆ ทั้งที่แดดเริ่มร้อนแล้ว....ความรู้สึกมันยังอื้ออึงอยู่ในหัวใจไม่หาย...เดินจนถึงหน้าประตูใหญ่ เงยหน้าขึ้นถึงได้เห็นว่าคุณย่ายืนยิ้มรออยู่....รีบปรับสีหน้าแล้วส่งยิ้มตอบคนที่มายืนมาอยู่...
“ว่ายังไงลูก ทำสีหน้าแปลก ๆ”
“ ไม่เป็นไรครับ แบมแค่นอนไม่หลับ มันแปลกที่” ใช่ที่ไหนกัน เมื่อคืนหลับสนิทเหมือนคนไม่เคยนอน...เดินไปกอดคุณย่าแล้วกอดเอวเข้าบ้าน ได้กลิ่นอาหารหอม ๆ โชยมา แต่ท้องกลับไม่อยากจะรับอาหารในเวลานี้...
“พี่แจ็คสันเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีขึ้นแล้วครับ...คุณย่าทานข้าวรึยัง”
“ยังเลย ย่ารอแบมนั่นแหละ”
“ งั้นไปเถอะครับ แบมหิ๊วหิว” กอดเอวคนสูงวัยเดินไปที่โต๊ะอาหาร ได้กอดย่าแล้วรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด...จากที่คิดว่าไม่สามารถที่จะกินอะไรได้ตอนนี้ กลับทานข้าวต้มได้ถ้วยใหญ่....ตามด้วยของหวานตอนเช้า....
“ คุณย่าครับ...คือ...”
“ มีอะไรก็ว่ามาเถอะลูก ย่าเห็นหน้าแบมแบมตั้งแต่เดินเข้าบ้านแล้ว ว่าต้องมีอะไรแน่ๆ “
“ ครับ..คือ..”
“......................” ย่าเงยหน้ามองผม หลังจากที่วางช้อนขนมหวานลงแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม...ผมกำลังจะทำอะไรกัน...กำลังจะถามอะไรออกไป..มันเป็นสิ่งที่สมควรรึเปล่า...
“..คุณย่าว่า..พวกที่รัก...คือ...เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ”
“ ..มีปัญหาหัวใจล่ะสิ หลานย่าโตเป็นหนุ่มแล้วหนิ...ไม่เป็นไร เห็นว่าคนแก่ไม่เข้าใจ ไม่อยากถามก็ไม่เป็นไร..”
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ แบมแค่คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่สมควรถาม” เพราะคุณย่าพูดอย่างนี้ผมจึงรีบออกตัวก่อน....ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะรวบรวมความกล้า...ก็แค่ถาม....
“...ไม่เป็นไรย่าเข้าใจ..เรื่องบางเรื่องมันก็พูดไม่ได้...”
“..คุณย่าว่า...ความรักมันมีคำว่า...ผิด...ไหมครับ..” กลั้นใจถามออกไปแบบกว้างๆ ผมจ้องหน้าคนสูงวัยที่วางแก้วน้ำลง แล้วส่งยิ้มอบอุ่นให้ ...
“...คำว่ารัก..ยังไงดีล่ะ...คำว่ารัก มันไม่ผิดหรอก...คนที่ทำให้ผิดคือคนต่างหาก....ความรักมันต้องมีฝ่ายให้และฝ่ายรับ...ทุกอย่างจะลงตัวถ้าฝ่ายรับก็ตอบกลับ...แค่นั้นเอง...ถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...มันก็ไม่ผิด..”
“...แล้ว...แบบพวกรัก...”
“...แบมไม่ต้องถามหรอกว่าแบบไหน...ความรักแบบไหนก็ไม่ผิด...สมัยนี้ย่ารู้ว่ามันไม่ได้มีแค่ ชาย หญิง ที่มีสิทธิในความรักที่ถูกต้อง...อย่ากลัวที่จะรัก แต่จงกลัวที่จะไม่ได้รัก...คนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต คือตัวเราเอง...พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือคนอื่น ๆ คือคนที่เราสมควรจะแคร์และให้เกียรติพวกเขา...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า...เราจะทิ้งทุกอย่างที่ทำให้เรามีความสุขเพื่อเขา...”
“.... แล้วถ้า...พวกเขารับไม่ได้ล่ะครับ..และก็ไม่อยากทำให้พวกเขาเสียใจ..ไม่อยากทำลายชื่อเสียง หรือหน้าตาทางสังคมที่พวกเขามี.......”
“ ...แบมแบม ฟังย่านะลูก....ถ้าพวกเขาเป็นพ่อแม่ ที่ถือเอาความรักที่มีต่อลูกเป็นหลัก...เขาจะต้องรับได้...ถึงแม้ว่าภายในใจลึกๆ พวกเขาจะเจ็บปวดแค่ไหน...เขาก็ต้องรับถึงไม่ทั้งหมดก็ตาม...ทีนี้ก็เหลือแค่ว่าตัวเราจะทำให้ชีวิตพวกเขาต่อจากนั้นมีความสุขแค่ไหน...มีความสุขกับคนที่รัก มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องทิ้งขว้างคนที่อยู่ข้างหลัง....เราทำให้พวกเขามีความสุขไปพร้อม ๆ กับเราได้...พิสูจน์ให้เขารู้ว่า...สิ่งที่เราเป็น ความรักของเราตอนนี้...มันไม่ผิด...ถ้ามันรับไม่ได้แบบหัวชนฝาจริงๆ นั่นก็เป็นปัญหาอีกปัญหาที่ต้องแก้...แต่ไม่ใช่ว่าจะเลิกรัก...เพราะอย่างที่ย่าบอก...ความรักมันไม่ผิด..”
“.........................” ผมกลืนน้ำลายลงคอแบบฝืด ๆ กับคำตอบคุณย่าที่ดูเหมือนว่าจะตรงประเด็น และส่งแววตาให้อบอุ่นหัวใจ เหมือนกับว่าท่านรู้และกำลังตอบคำถามซึ่งเป็นปัญหาของตัวผมเอง...ทั้งที่ยังไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าเรื่องอะไรปัญหาของใคร...
ถ้ารับไม่ได้แบบหัวชนฝาจริง ๆ มันก็คือปัญหาใหญ่...เราสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ โดยที่ไม่ต้องเลิกรัก....แน่นอนถ้าคนสองคนที่รักกันมีหัวใจที่มั่นคง....แม้ว่าตัวจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน...แม้ว่าความรักนั้นคือการไม่ได้ครอบครองร่างกาย...แต่กลับได้หัวใจมาทั้งหมด...มันจะเป็นความรักที่หวานฉ่ำท่ามกลางบรรยากาศฝืน ๆ ....แต่ความรักของผมมันจะเป็นอย่างนั้นได้รึเปล่า...
...มันจะเป็นไปได้รึเปล่า...
“...ถ้าวันนี้ย่าอยากไปเยี่ยมพี่แจ็คสันได้รึยัง...ย่าเป็นห่วงพี่แจ็คสันเหมือนกันนะ..”
... แบมแบม ถ้ามึงคิดว่าไอ้เชี่ยแจ็คมันคือของมึง...มันก็คือของมึง..มึงอย่าโง่ให้ใครมาแย่งมันนะ...มันอาจจะเหี้ยในสายตามึง แต่กูยืนยันว่าเพื่อนกูแมร่งแสนดีสัด...และที่สำคัญมันรักมึง...
“...ครับ...เดี๋ยวเราไปกัน..”
...มันจะยากอะไร...ก็แค่รัก...และทำให้ดีที่สุด...อย่ากลัวที่จะรักไม่ได้ จงกลัวที่จะไม่ได้รัก....
...............................
...............................
ผมกับคุณย่าแวะที่ร้านขายผลไม้ ซึ่งเป็นร้านขายดอกไม้ด้วย เรียกได้ว่าทำกิจการของเยี่ยมของฝาก ของขวัญครบ คุณย่ายืนเลือกส้มและชมพู่ และตัวผมก็มาสั่งดอกไม้ตามที่คุณย่าบอก เอาดอกไม้ไปเยี่ยมผู้ชายถึก ๆ แบบนั้นมันจะเข้ากันตรงไหน แต่คุณย่าสั่งยังไงก็คงต้องจัด
“ว่าไงมึง เอาดอกไม้ไปเยี่ยมไอ้แจ็ครึไง”
“อ้าว อืม...แล้วไปไหนมา..” ผมหันตามแรงสะกิดที่ด้านหลัง ก่อนจะหันไปเจอไอ้กายที่มายืนเท่ห์ ๆ อยู่ ใส่สูทซะเท่เชียว ก่อนจะหันไปมองผู้หญิงมีอายุอีกคนที่ยืนเลือกดอกไม้อยู่...
“แม่จะพาออกงาน ก่อนจะส่งไปเรียนเมืองนอก”
“หล่อหนิ” ยิ้มให้คนที่ยืนทำหน้าเซ็งๆ เห็นพวกมันทำตัวอย่างนี้ก็มีแต่ลูกผู้ดีมีตังค์ กายในชุดสูทหล่อจนตอนแรกผมจำไม่ได้ แต่เห็นรอยยิ้มกวนๆ ของมันก็มีอยู่คนเดียว...จำได้ติดตาเพราะมันชอบยิ้มแบบนี้ก่อนมีเรื่องกับผม...
“ กูรู้ตัวว่ะ ว่าแต่แต่งชุดธรรมดาก็น่ารักนะมึง มากับใคร”
“มากับย่า เลือกผลไม้อยู่ท่างนู้น...ไปเรียนต่อที่ไหน”
“อังกฤษ ไปแบบโง่ๆ อ่ะ แต่แม่อยากให้ไปก็ไป”
“ไหนบอกเรียนเก่ง”
“เก่งบ้านเราจะไปเท่าเก่งบ้านเขาได้ไงวะ”
“ เฮ้ย มึงทำได้เชื่อกู สู้ๆ”
“...................” ไอ้กายยกยิ้มขำ ๆ แล้วมองหน้าผม หลังจากที่พูดให้กำลังใจโดยการชูกำปั้นขึ้นให้มันสู้กับการเรียนแสนโหดที่จะเจอ นี่อาจจะเป็นการสั่งสอนนักเลงไปในตัวของครอบครัวมันก็ได้...
“ ยังหรอก กูมีเวลาทำใจอีกสามเดือน ช่วงนี้คงต้องทำตัวดี ๆ อ่ะ กลัวถูกลอยแพ”
“ ดีแล้วล่ะ อย่างน้อย ๆ คนที่รักเราจริงๆ เขาจะได้หายห่วง”
“ งั้นเหรอ...อืม..แบมแบม กูขอเบอร์มึงหน่อยสิ”
“อืม แป๊บ” ผมจัดการยิงเข้าเครื่องไอ้กาย เพราะจำเบอร์ตัวเองไม่ค่อยได้ ไม่นานไลน์ก็เด้งทันที พนักงานเอาช่อดอกไม้มาให้ผม จังหวะเดียวกับที่แม่ไอ้กายเลือกดอกไม้เสร็จพอดี...ส่วนย่ายังรอให้เจ้าของร้านทำกระเช้าผลไม้ให้อยู่...
“กูไปนะ”
“อืม โชคดี”
“แบมแบม”
“...................” กำลังถือช่อดอกไม้ที่แซมดอกไม้หลากหลายไปหาคุณย่า แต่ก็ต้องหันมองคนที่บอกจะไปแต่ก็ยังยืนอยู่ที่เดิม และเรียกผมไว้..
“ขอบใจนะ บางที มันอาจจะดีขึ้นเพราะมึง”
“...เพราะตัวมึงต่างหาก ไปนะ...” ผมยิ้มและพูดกับคนที่ยังยืนนิ่ง...ก่อนจะหันหลังให้แล้วเดินไปหาคุณย่าที่กำลังจ่ายเงินทั้งค่าผลไม้และค่าดอกไม้...หันมองอีกทีไอ้กายก็ขึ้นรถไปกับแม่มันแล้ว...
....ไม่ว่าอะไร..ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับตัวเองทั้งนั้น...
ผมกับคุณย่ามาถึงโรงพยาบาลตอนบ่ายกว่าๆ ผมถือตะกร้าผลไม้ ส่วนคุณย่าถือช่อดอกไม้ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าห้องคนไข้วีวีไอพี ซึ่งเป็นห้องของหลานชายคนโปรดของคนที่ยืนข้างๆ ผม ตัดสินใจเคาะประตู ก่อนจะเปิดเข้าไป..
“ แบมแบม ว่าไงลูก แล้ว..”
“สวัสดีครับ คุณลุง คุณป้า คือคุณย่าผมจะมาเยี่ยมเฮียแจ็คด้วยครับ” ผมยกมือไหว้คนมีอายุสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ห้องรับแขกด้านนอก ทั้งสองรับไหว้แล้วพร้อมใจกันหันมองคุณย่าที่ยืนยิ้มอยู่...
“คุณแม่! มายังไงคะ”
“ก็มาเยี่ยมหลานชายฉันน่ะสิ ไม่เห็นหน้าคร่าตากันเลยนะ ว่าไงคุณเหว่ย”
“สวัสดีครับคุณแม่ ช่วงนี้งานยุ่งมาก ขนาดกับกษินต์ผมก็ไม่ค่อยได้เจอ เชิญคุณแม่นั่งก่อนครับ” ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก เมื่อพ่อเฮียแจ็ค มาพยุงคุณย่าไปนั่งที่โซฟา ผมเลยเดินไปนั่งข้าง ๆ ท่านก่อนคุณแม่เฮียแจ็คจะเดินมานั่งข้างคุณย่าอีกคน...
“งั้นแบมแบมก็”
“แบมแบมเป็นลูกชายกษินต์ กับเพียงใจ พ่อเขารับแบมแบมมาเลี้ยง แม่ก็เลยไม่เหงา” คุณย่าพูดและยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมกับหันมองหน้าผม...คุณลุงมองผมนิ่งๆ ส่วนคุณป้าก็พยักหน้าเข้าใจ...
“จุดไต้ตำตอจังเลยค่ะ แล้วแบมแบมก็ยังเป็นเพื่อนสนิทตาแจ็คด้วย เห็นเจ้าตัวบอกสนิทกันมากเลย”
“..คุณเหว่ยกับคุณพ่อเราเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่มาช่วงหลัง ๆ ต่างคนต่างจับธุรกิจก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน...ความจริงย่ารู้แล้วล่ะว่าพี่แจ็คเป็นใคร เพราะพ่อเราเจอคราวที่แล้วแล้วจำได้..”
“ ครับคุณย่า “ ผมตอบรับคุณย่าที่หันมาอธิบายกับผมเพราะเห็นว่านั่งฟังมาได้ซักพัก...สังเกตได้ว่าคุณลุงเงียบไปเลย ดวงหน้าคมคร้ามแบบผู้ใหญ่ ถึงจะสงบนิ่ง แต่ผมแอบเห็นแววกังวลอยู่ในที คุณลุงเป็นเพื่อนสนิทคุณพ่อ ทำไมเฮียแจ็คไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผม...
หลังจากนั้นผมกับคุณย่าก็เข้าไปเยี่ยมเฮียแจ็ค...คนที่นอนอยู่บนเตียงดูเหมือนจะดีใจที่เห็นคุณย่า ถึงแม้ว่ามินอี้จะนั่งอยู่ด้วย แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ แค่ส่งยิ้มให้ปกติ....สองย่าหลานคนโปรด พูดคุยกันถูกคอเหมือนเดิม...คุณย่าชวนมินอี้คุยแต่เธอก็พูดน้อยและขอตัวออกไปด้านนอก...
“ กินข้าวรึยัง”
“กินแล้วครับ แล้วเฮียล่ะ” ตอบคำถามคนที่นอนมองผมหลังจากที่คุณย่าขอตัวออกไปหาคุณลุงกับคุณป้าที่นั่งอยูด้านนอก ผมกำลังจัดดอกไม้ใส่แจกันที่มีอยู่บนหัวเตียง ซึ่งมีอยู่แล้วแจกันนึงที่ปักกุหลาบแดงไว้...
“ อืม แต่ไม่อร่อย”
“ พ่อผมกับพ่อเฮียรู้จักกัน เฮียรู้ไหมครับ คุณย่าพึ่งบอกวันนี้ตอนเจอคุณลุงกับคุณป้า”
“ อืม “ หันมองคนที่ตอบรับในลำคอ แทงดอกกุหลาบขาวลงในโอเอซิสเป็นดอกสุดท้าย ก่อนจะเลือกเอาไปตั้งตรงมุมห้องที่มีเคาท์เตอร์วางอยู่...
“เอาไว้ข้างเตียงกูนี่แหละ”
“ แต่มันมีอยู่แล้วนะครับ”
“ก็เอาวางไว้ข้าง ๆ กันนั่นแหละ” ผมมองแจกันดอกกุหลาบแดงสีสด ที่ดูโดดเด่นและสวยงามกว่าของผมอีกซึ่งรู้ดีว่าแจกันอันนั้นของใคร...แค่ฝีมือการจัดก็คนละระดับแล้ว จะกล้าเอาไปตั้งคู่ทำไม...
“ แต่ตรงนี้ มันน่าจะมีแค่แจกันเดียวนะครับ ผมจะเอาไปวางมุมห้องละกัน”
“ แบมแบม..เอาของมึงมาวางนี่ ถ้ามันเหมาะที่จะวางแค่อันเดียว อันนั้นก็ต้องเป็นของมึง”
“...................” ผมจ้องตากับคนที่พูดด้วยน้ำเสียงมั่นคง แต่แปลกที่ทำให้ผมยกยิ้มได้ ก่อนจะเดินเอาแจกันดอกไม้ไปวางไว้ข้างเตียงเฮียแจ็ค แล้วเลื่อนแจกันดอกไม้สีแดงสด ไปไว้อีกข้าง...
“ แน่นอนครับ...มันต้องเป็นของผมที่จะอยู่ข้างเฮีย...”
“..ร้ายเนอะ..”
“ ก็ไม่นะ “ ไหวไหล่เบา ๆ ให้คนที่เหมือนจะชม แต่ความจริงก็เข้าใจแหละว่าหมายถึงอะไร แต่ทำไมคนที่ว่าผมร้ายจะต้องทำหน้าภูมิใจอะไรขนาดนั้น ถึงกับยิ้มไม่หุบ...ผมไปทำอะไรให้ต่อมอารมณ์เฮียแกเจิดขนาดนั้น...
“ ก็ดี แมนแมนตีแบดดี...อยากกินส้ม”
“ อืม แป๊บครับ” แมนแมนเตะบอลรึเปล่า หรือผมมันไม่เข้ากับกีฬาชนิดนั้น...เดินไปแหวกซีนใสก่อนจะหยิบส้มลูกโตหน้าตาน่าทานออกมา ความจริงของเยี่ยมในห้องเต็มไปด้วยผลไม้อยู่แล้ว แต่ยังไงซะย่าก็อุตส่าห์เป็นคนเลือก เอาของตัวเองนี่แหละ
“ไม่ต้องใส่จาน แกะแล้วก็เดินมาหากูนี่”
“...อยากให้ป้อน...”
“..ไม่ได้โง่หนิ...”
“..นี่ครับ...” แกะเปลือกออกแค่ครึ่งเดียว เหลือรองมือครึ่งนึง ก่อนจะเดินไปยืนข้าง ๆเตียงคนป่วย สีหน้าเฮียแจ็คดีขึ้นมากจนเกือบปกติ ทั้งที่เมื่อวานซีดเหมือนคนตาย...
“..แบมแบม..”
“ ครับ” ชะงักมือที่ถูกเฮียแจ็คจับไว้ ก่อนตาคมจะจ้องผม....ริมฝีปากหนายกยิ้มบางๆ....ทำให้ผมยิ้มตามได้ไม่ยาก...พอเปิดใจแล้วผมก็เหมือนจมดิ่งไปกับความรู้สึกที่อีกคนมอบให้...
“ มึงรู้ใช่ไหมว่ากูดีใจ ที่มึงเปิดใจ....กูบอกแล้วว่าจะทำให้มึงรักกูให้ได้..”
“ แล้วเฮียคิดว่าทำสำเร็จรึไง”
“ สำเร็จ”
“.....................” ได้แต่เบนปากใส่คนที่มั่นใจสุดโต่งอย่างหมั่นไส้ รู้สึกเขินสายตาที่มองมาจนต้องก้มมองมือตัวเองที่ยังถูกจับไว้อยู่....หัวใจดันเต้นแรงขึ้นมาซะงั้น...ใบหน้าหล่อยกยิ้มเท่ ๆ ก็ยิ่งหล่อ...ถ้าผมเป็นหญิงก็คงจะเขินม้วนไปกับสายตาที่จ้องมาไม่หยุด...
“..อยากกินว่ะ...”
“ นี่ไงครับ” ฝืนมือตัวเองออกก่อนจะยื่นเอาส้มที่ถือไว้ไปยัดปากคนที่บอกว่าอยากกิน แต่ตามองหน้าผมไม่ได้มองส้ม มิหนำซ้ำยังใช้นิ้วโป้งเกลี่ยมือผมไปมาเบาๆ อีก...ไม่ได้โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าอีกคนหมายถึงอะไร...
“..พวกนั้นมาแน่เลย...”
“ ......................” ผมขยับตัวออกนิดหน่อย ก่อนจะหันไปมองพวกที่ส่งเสียงทักทายคนด้านนอกแล้วกำลังเคลื่อนพลเข้ามา...รุ่นใหญ่มาทุกคนยกเว้นเฮียแวน เพราะมาเมื่อเช้าแล้ว...ส่วนเพื่อนผมก็มากันหมดเหมือนกัน...
“ เป็นไงมั่งมึง”
“ไม่เป็นไง” ผมกับเพื่อน ๆ ออกมานั่งที่ระเบียงหลังจากที่ปล่อยให้พวกรุ่นใหญ่ได้คุยกัน....ผมรู้ว่ายูคยอมหมายถึงเรื่องอะไร เพราะมันเข้ามาก็ต้องเห็นมินอี้นั่งอยู่แน่ ๆ
“ไม่เป็นไรใช่ไหม กูไม่อยากบอกมึงอ่ะ กลัวมึงคิดมาก”
“กูไม่เป็นไรหรอก....ว่าแต่...ยองแจ”
“ว่าไง” ผมไม่ได้ลืมเรื่องเพื่อนผม...ตอนนี้ก็อยู่กันครบห้าคน...พวกเราไม่เคยมีความลับต่อกัน ผมคิดว่าถ้าถามแล้วเพื่อนไม่พูด ผมก็จะไม่ถามอีก....
“ มึงกับเฮียเจบีมีอะไรรึเปล่า กูเห็นมึงอยู่ในห้องวันนั้น”
“ห๊ะ! “
“ ชู่วว!....ไม่มีใครเห็นหรอก แค่กูกับพี่จูเนียร์ แค่บังเอิญกูจะเข้าไปเยี่ยมเฮียแก อย่างน้อย ๆ ก็เคยช่วยเรา แล้วเจอ..”
“..คือ..กู…” ยองแจทำหน้าช็อคที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมา ผมส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือที่พร้อมจะแหกปากเงียบลง เพราะแค่นี้หน้ายองแจก็ทั้งซีดทั้งเกร็งแล้ว...
“ ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร...แค่อยากบอกว่า มีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียว เพราะช่วงนี้ มึงทำหน้าเหมือนคนไม่สบายใจ...พวกกูเป็นห่วง..”
“ อืม กูรู้...ขอบใจนะ...แต่รอกูพร้อมได้ไหม..” ยองแจพูดเสียงเรียบๆ แววตาดูมีแววหม่นๆ ออกมา...ผมดีใจที่อย่างน้อยมันก็รับรู้ความหวังดีของพวกเรา...
“ได้เสมอ มันไม่ได้ทำอะไรมึงใช่ไหม”
“ ปะ เปล่า ไม่ได้ทำ...พวกมึงสัญญากับกูได้ไหมว่าจะไม่บอกพวกรุ่นใหญ่หรือใคร” พวกผมพยักหน้ารับ ยองแจเงยหน้าขึ้นมอง ตาเรียวมีแววกังวลฉายชัด ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้จนไอ้มาวินต้องลุกขึ้นไปกอดเบาๆ
...ผมว่าต้องมีอะไรแน่ ๆ ถ้ายองแจไม่ยอมบอก...ผมก็จะไปถามจากเฮียเจบีเอง...อย่างน้อย ๆ สีหน้าของเพื่อนผมมันก็ไม่ได้ทำให้คิดว่ามันไม่มีอะไร...ผมคิดไว้ว่ายอมที่จะโดนเพื่อนโกรธหาว่าก้าวก่าย ดีกว่ายอมให้เพื่อนโดนทำร้าย...แค่ผมรู้คนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อย ๆ มีอะไรจะได้ช่วยได้ทัน...
“เฮียผมต้องกลับแล้ว คุณย่าจะได้ไปพักผ่อน”
“ให้คุณย่ากลับไปก่อนไม่ได้รึไง”
“ไม่ได้” ผมเก็บเศษเปลือกส้ม และถุงขนมของพวกเพื่อนและรุ่นใหญ่ที่ก่อนหน้านี้นอนกันเกลื่อนกราดอยู่ในห้องพัก แต่ตอนนี้สลายตัวไปเรียบร้อยแล้ว ทิ้งไว้แค่ร่องรอยอารยธรรมเถื่อน ๆ จนเกลื่อนห้อง...ลำบากผมต้องมานั่งเก็บกวาดให้อีก...
“ พี่แจ็คคะ ได้เวลาทานยาแล้วค่ะ”
“ อืม...เดี๋ยวให้แบมเอามาให้พี่ละกัน..” ชะงักมือที่กำลังจะหยิบเศษถุงขนมก่อนจะหันมองคนที่เดินเข้ามาพร้อมถาดยา...เธอยิ้มน้อย ๆ เหมือนเดิม แต่ไม่ได้เอาถาดให้ผมเหมือนกับที่เฮียแจ็คบอก...ผมเลยเก็บเศษขยะต่ออีกนิดหน่อยก็เสร็จ...ก่อนจะเดินไปหยิบไอแพดที่เอามาด้วยใส่กระเป๋า แล้วยกสะพายหลังไว้...
“ไม่ได้ยินรึไง กูบอกให้เอายาให้กูกิน”
“พี่แจ็คคะ..ให้มินอี้ อะ..”
“ก็จะมาอยู่นี่ไง ใจร้อนขนาดนี้เมื่อเช้าไม่ได้ขี้รึไง” ผมเดินไปขวางคนที่กำลังจะยกถาดยาจากเคาท์เตอร์ข้างเตียงไปหาคนที่นอนอยู่...มือฉวยถาดที่เธอยกขึ้นก่อนจะเดินไปหาพ่อคนป่วยที่ยังกร่างไม่หาย...แอบเหลือบมองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ผ่านจอทีวีจอใหญ่ที่ตอนนี้ยังเป็นสีดำสนิทสะท้อนเงาด้านหลังผม รู้แค่ว่ามินอี้จ้องผมอยู่...แอบเห็นมือสวยกำแน่น แต่สีหน้ายังเหมือนคนไม่ถือสาอะไร...อย่างน้อย ๆ ตอนนี้ผมก็รู้ว่ามินอี้ไม่พอใจมากแค่ไหน...ไม่รู้ว่าเธอจะพอรู้รึเปล่าว่าผมกับเฮียมีความสัมพันธ์มันมากว่าเพื่อนสนิท....แต่เธอเก่งมากที่เก็บอาการได้ลึกจนแทบจะมองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร...ผมจงใจพูดถ้อยคำไม่เสนาะหูกับเฮีย...ส่วนนึงก็แค่อยากให้บางคนรู้ว่า...การเป็นผู้หญิงแสนดี บางครั้งมันก็เป็นการแสดงที่ผิดพลาด...
....เด็กช่างอย่างผม มารยาไม่เป็นหรอก...ก็แค่พูดแล้วก็ทำอย่างที่ควรทำแค่นั้นเอง...และเด็กช่างอย่างเฮีย...ก็ย่อมเข้าใจว่าที่ผมทำ ผมกำลังคิดอะไรอยู่...
“ เย็นนี้มานอนเฝ้าด้วยนะ”
“ ที่บ้านไม่รักเหรอ ถึงให้คนอื่นมานอนเฝ้า”
“ ปากดีนะมึง...เอาไว้กูหายก่อน..จะอ้าปากไม่ออก”
“ครับ ผมจะรอ...งั้นกลับก่อนนะ แล้วเย็นนี้ค่อยว่ากัน ผมจะโทรหา..อย่าเสือกนอกใจผมล่ะ..”
“..ร้ายนะมึง...” เฮียแจ็คพูดพึมพำกับผม ที่ตั้งใจก้มหน้าลงไปพูดใกล้ๆ หูเฮียให้ได้ยินกันสองคน ทั้งที่อีกคนยังยืนอยู่...ยิ้มรับคำพูดเฮียก่อนจะหันมาหามินอี้ที่ยืนอยู่...
“ ไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันใหม่”
“ ค่ะ ให้มินอี้เดินลงไปส่งไหม”
“ ไม่เป็นไรครับ ผมไปกับย่าได้....ไปนะเฮีย...” เรื่องอะไรจะให้ไปส่ง ผมไม่อยากคุยกับเธอ รีบเดินออกจากห้องไปหาคุณย่าที่ยืนรออยู่ ตอนนี้เหลือแค่คุณป้า เพราะคุณลุงหายไป ร่ำลากันเสร็จก็ออกจากห้อง...
“แบมแบม มินอี้มีเรื่องจะคุยด้วย”
“ คุณย่ารอแป๊บนะครับ”
“ได้งั้นย่าลงไปรอที่รถนะ”
“ครับ” จนได้สินะ อุตส่าห์เลี่ยงที่จะไม่ให้ตามไปส่ง ก็ยังออกมาหาจนได้...แอบถอนหายใจเล็ก ๆ เอาจริงๆ ผมก็ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับผู้หญิงเท่าไหร่...มันดูเหมือนผมกำลังรังแกคนที่อ่อนแอกว่า...แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่น...ถ้ายังคิดที่จะอยากจะยืนข้าง ๆ คนที่นอนอยู่ในห้องนั่น...ผมกับมินอี้เดินไปหยุดยืนตรงหน้าบันได เพราะเธอเป็นคนเดินนำไป...
“ แบมรู้ใช่ไหมว่าเราจะคุยอะไรกับแบม”
“ เรื่องเฮียแจ็ค” ผมกับมินอี้อายุเท่ากันแต่เธอไปเรียนเมืองนอก ไม่รู้จบอะไรมาแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ มาช่วยธุรกิจของครอบครัวเฮีย
“ แบมสนิทกับพี่แจ็คมากไหม”
“มากครับ” ผมทำสีหน้าและตอบคำถามแบบปกติ...เธอก็ยังนิ่งและทำสีหน้าเหมือนพูดคุยปกติเหมือนกัน ผมยิ้มตอบรอยยิ้มน้อย ๆ ที่มินอี้ส่งมา ไม่รู้จริงๆ ว่าเธอตั้งใจจะพูดอะไร...แอบตื่นเต้นและกระดาก..ถ้าจะต้องมาถกเถียงกับผู้หญิงเพราะแย่งผู้ชาย...แต่ก็จำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไร..
“ มินอี้กำลังจะหมั้นกับพี่แจ็คค่ะ คือที่เรียกไว้อยากจะเชิญด้วย น่าจะเดือนหน้า เห็นว่าแบมแบมสนิทเลยอยากคุยส่วนตัว เผื่อจะได้มาช่วยพี่แจ็คจัดการตัวเองด้วย..”
“..ครับ..” มาเหนือกว่าที่คิดไว้นิดหน่อย แต่แค่นั้นมันก็ทำให้ผมสั่นนิด ๆ ได้เหมือนกัน....หมั้นเดือนหน้า...ยิ้มกว้างให้เหมือนกับไม่ได้รู้สึกอะไร...เลิกคิ้วเหมือนกับเซอร์ไพรส์สิ่งที่ได้รับรู้...
“ พี่แจ็คไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอคะ”
“ ไม่นะครับ เพราะเวลาอยู่กับเพื่อนเฮียแกจะไม่สนใจอย่างอื่นเลย...พูดง่าย ๆ ก็เหมือนคนติดเพื่อนจนลืมทุกอย่างล่ะครับ” เธอยังยิ้มปกติ พร้อมกับพยักหน้ารับรู้
...ตอนนี้ผมเหมือนคนที่กำลังฝืนรับความจริง ที่รับไม่ได้ แต่ก็ทำเป็นปากดีไปงั้น...ลอบกลืนน้ำลายแผ่วเบาพร้อมกับพยายามกำหนดลมหายใจให้เป็นปกติที่สุด..เหมือนคนที่เหมือนจะเหนือกว่าคนอื่น แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย...
“ เหรอคะ...แค่อยากบอกแบมไว้ล่วงหน้าค่ะ...งั้นไว้เจอกันนะคะ..อ๊ะ!!”
“ มินระวัง!! อ๊ะ!!!” ร่างกายบอบบางของคนที่บอกลา กำลังจะเดินกลับ แต่ต้องเซเพราะรองเท้าเธอพลิก ทำให้ผมถลาจะเข้าไปจับ แต่มันพลาดตรงที่เอียงทิ้งน้ำหนักมาหาผมมากไป ทั้งที่มือเธอเกี่ยวราวบันไดไว้
“แบมแบม!!”
“ ไม่!..” ร่างกายผมกำลังถลาลงบันไดที่มองจากตรงนี้สูงพอสมควร.....พยายามจะคว้าราวบันไดไว้แต่แขนไม่ถึงและเสียหลักไปแล้ว...
พรืดด!!!ตุ๊บ!!ตุ๊บ!!
“ โอ้ย!!! อั๊ก!! อืออ!!..”
“แบมแบม!!! แบมแบม เป็นอะไรไหม!! ช่วยด้วยค่ะมีคนตกบันได!!”
“...................” ผมนอนแน่นิ่งอยู่กับที่ เพราะปวดร้าวที่ท่อนขา...เจ็บจนต้องร้องออกมา...ร่างกายกระแทกลงกับบันไดหลายขั้นก่อนจะลงมานอนอยู่บนชั้นพักของบันไดโรงพยาบาล...ตอนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเจ็บตรงไหนบ้าง..เพราะมันเจ็บไปหมด..
“อย่าขยับนะครับ อย่าขยับ!”
“..เจ็บ..อือ...” หัวสมองเบลอ มึน งงไปหมด มองไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใคร...หัวสมองปวดหนึบจนลืมตาไม่ขึ้น...ได้ยินเสียงคนวิ่งกันวุ่นวาย...เสียงวุ่นวายจริงๆ หนวกหูมาก...
“ พี่แจ็ค! ออกมาทำไมคะ!”
“ แบมแบม! แบมแบม! ได้ยินกูไหม”
“ เปลกำลังมา อย่าขยับตัวเพื่อนค่ะ ถอยค่ะ!”
“แบมแบม!” สัมผัสอุ่น ๆ แค่ที่มือ และน้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้พยายามจะหันมองทั้งที่หัวสมองยังเบลอ ๆ และสัมผัสชื้นแฉะที่หัว ก่อนของเหลวนั่นจะไหลมาใกล้ๆ หางตาผม...กลิ่นเลือด...
“..เฮีย...”
“ใช่เฮียเอง แบมแบม ไม่เป็นไรนะ!”
“ ถอย ๆ ครับ ถอย!”
“..เฮีย...” ผมพูดได้แค่นั้นจริงๆ เพราะความชาหนึบของร่างกายผสมกับความเจ็บร้าวหลังจากถูกยกขึ้นเปล ก่อนจะสัมผัสกับเตียงนุ่มๆ ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา...เริ่มเจ็บและปวดไปหมด หลังจากที่ถูกเคลื่อนย้ายร่างกายขึ้น ๆ ลงๆ ....
...เสียงดังวุ่นวายเข้าหูและสมอง...ได้ยินเสียงย่าด้วย...ย่าร้องไห้...ได้ยินเสียงอีกหลายคน...ตาผมหรี่ลงและไม่รับรู้ทุกสิ่งรอบกายในที่สุด...
Talk : สกรีมฟิค #Ficbloodsch Twitter: Namtal1a
ความคิดเห็น