คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Sec 10 / Disturbed
Junior Part
ถ้าคน ๆ นึง ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งชีวิตก็คงไม่ต้องดิ้นรนหรือไขว่คว้าหาอะไรที่ยังไม่มีและเป็นไปไม่ได้ แต่ธรรมชาติของคนกลับไม่เคยพอ ไม่เคยยอมรับว่าสิ่งที่ได้รับอยู่มันเพียงพอแล้ว....แต่สำหรับผมการไขว่คว้ากลับเป็นสิ่งที่เจ็บปวด เจ็บเจียนตาย แต่ก็ยอมที่จะเจ็บปวดเพื่อแลกกับความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
“ฉันส่งแกไปเรียนไม่ได้ให้ไปหาเมีย! ถ้าทางนั้นเขาไม่ยอมความ ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
“ก็เอาที่เดิมสิครับ”
“ไอ้มาร์ค!!”
“หยุดซักที ผมรำคาญ เรื่องมันก็จบไปแล้วจะเอายังไงอีก!!”
“แกจะไปไหน ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย!”
“......................” เสียงกร่นด่าด้านล่างทำให้ผมต้องชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวลงบันได เพราะใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ถอนหายใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก...ผู้หญิงมากมาย...เดินเข้าหา เพื่อต้องการเป็นเจ้าของ..เมื่อไม่ได้ก็อ้างสิทธิของการมีเซ็กส์ เสียตัวให้กับผู้ชายที่ไม่เคยที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง...แต่ครั้งนี้มันแรงกว่าทุกครั้ง แต่มันก็จบลงที่เอาเงินฟาด...
...ทำไมต้องอยากได้...ผู้ชายเลว ๆ ที่รักแค่ตัวเอง....คำตอบที่ผมรู้อยู่แก่ใจ....
“..จะไปไหน...”
“ กินข้าว “
“ ยังไม่ต้องกิน!”
“ ไม่ได้นะ!! นี่!!” ผมก้าวขึ้นบันไดตามแรงฉุดของคนที่ผลุนผลันขึ้นมา แรงบีบที่ข้อมือแรงจนเหมือนมันจะหัก กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนเข้าจมูก เป็นอีกครั้งที่ไม่มีโอกาสจะเข้าใจความคิดของคนตรงหน้า
“..อื้ออ..คุณ พ่อ.อยู่.อื้อ...”
“.........................” ทันทีที่ถูกฉุดลากเข้าห้องของลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของบ้าน แผ่นหลังผมก็ถูกดันจนชนประตูห้องก่อนที่ริมฝีปากสีอ่อนจะทาบทับริมฝีปากผมไม่ได้พูดหรือต่อต้านอะไรไปมากกว่านี้...จูบที่เหมือนจะหิวกระหาย แต่ก็พอจะรู้ว่ามาจากอารมณ์ที่ต้องการระบายและปลดปล่อยเรื่องว้าวุ่นในหัวใจ...ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจากความใคร่รู้...สำหรับมาร์คผมคือของเล่น...แต่สำหรับผม..เขาคือคนที่ผมรัก...
เหตุการณ์ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมามันทรมานหัวใจผมไม่น้อย...เกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันจนเป็นเรื่องถึงขั้นจะให้ฝั่งนี้ไปสู่ขอ มาร์คหลบหน้า ไม่พูดคุยกับใคร ไม่กลับบ้านทั้งอาทิตย์ ปล่อยให้ครอบครัวเป็นห่วง ส่วนผมมันทรมานจนชีวิตไม่ปกติ... ยอมรับว่าจุ้นจ้าน แต่เพราะเป็นห่วง จนกระทั่งต้องไปหาที่สถาบันนั่น........พอเจอหน้าจริงๆ กลับไม่กล้าเผชิญหน้า...กลัวโดนว่า...เพราะที่ผ่านมาถ้าอีกคนไม่เข้าหา ผมก็ไม่มีสิทธิจะไปเข้าใกล้..
...ผมทำตัวเหมือนจะเข้มแข็ง...ทั้งที่อ่อนแอจนร้องไห้...
“อยู่นิ่ง ๆ สิครับ คุณหนู”
“..ไม่ได้นะมาร์ค พ่ออยู่...”
“ แล้วทำไม ก็ช่างพ่อสิ” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหู หลังจากที่อีกคนยอมถอนจูบ แต่ก็ยังอยู่ในท่าเดิม....คุณหนู...คำพูดประชดประชันของคนที่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของบ้าน แต่กลับถูกต่อว่าสารพัดเพราะความประพฤติ ครอบครัวที่ย้ายมาจากใต้หวัน เพื่อมาลงทุนและทำกิจการใหญ่โตจนกลายเป็นมหาเศรษฐี ตั้งความหวังจากลูกชายเพียงคนเดียวให้สืบทอดกิจการอสังหาริมทรัพย์ แต่ใครจะรู้ว่าความหัวรั้น ติดเพื่อน ทำให้เลือกที่จะเรียนอาชีวะ
...ส่วนคุณหนูอย่างผม คือเด็กที่สองสามีภรรยา รับมาเลี้ยงเป็นลูกอีกคนเพราะรู้จักกับเจ้าของสถานสงเคราะห์ที่ผมอยู่ตั้งแต่แบเบาะจนอายุได้ 5 ขวบ...ส่งเสียให้เรียน และให้ทุกอย่างไม่ต่างจากลูกชาย ผมจึงพยายามเรียนและทำทุกอย่างที่พวกท่านต้องการ
...ทำตามใจครอบครัวนี้...ทั้งพ่อแม่...และลูกชาย...
“หาอะไรทำแก้เบื่อดีกว่า ฟังพ่อบ่นตั้งเยอะจริงไหม”
“ ไม่!”
“ อยู่นิ่ง ๆ เถอะหน่า” เสียงทุ้มกระซิบแหบพร่า พร้อมริมฝีปากและจมูกที่เริ่มซุกไซร้ที่ซอกคอ หลังใบหู อ้อมแขนแข็งแรงเริ่มกอดรัดผมแน่นและบังคับให้เดินออกมาจากบริเวณประตู..ก่อนที่แผ่นหลังผมจะสัมผัสกับที่นอนนุ่ม...
“.....................”
“...อย่าขัดใจ...ถ้ายังอยากเป็นของเล่นของกู...”
“....................” เจ็บหน่วงในอก เจ็บแปลบจนต้องหลับตาลง เป็นสิ่งที่แสดงให้อีกคนรู้ว่าผมรับรู้ และจำยอม...ยอมเป็นของเล่น ยอมที่จะเจ็บปวดเพราะคนที่ไม่เคยเห็นค่าในตัวและหัวใจ....
0...........................................0
นั่งมองคนที่เข้าในแต่งตัวในห้องผม เพราะเมื่อคืนจู่ ๆ ก็เอาเสื้อสีแดงมาให้ซักให้ ต้องซักมือ แม่บ้านเก็บเสื้อผ้าไปหมดแล้ว แล้วกว่าอีกคนจะนึกได้ว่าต้องซักก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ผมเลยต้องซักและเอาไปอบ เช้าก็ต้องรีดให้แต่เช้า...รู้แค่ว่าวันนี้มีกิจกรรมของเด็กช่างหลายสถาบัน ส่วนผมมีเรียนเช้า จัดการตัวเองเรียบร้อยก่อนที่อีกคนจะตื่นด้วยซ้ำ
“มองอะไร หรืออยากแต่เช้า”
“เปล่า จะกลับมากินข้าวเย็นรึเปล่า”
“เป็นแม่กูรึไง”
“เปล่าแค่ถาม พ่อถามจะได้บอกถูก” ผมกับมาร์คอายุเท่ากัน...แต่ไม่สนิทเพราะความเป็นอยู่และนิสัยของเจ้าตัว..ผมทำใจยอมรับตรงนี้ได้ตั้งนานแล้ว ว่าอีกคนไม่ยอมรับผมเป็นพี่น้อง...
“ ไม่...เลิกเรียนมีธุระกับเพื่อน..”
“มีเรื่องรึไง ถึงต้องพกสนับมือ”
“ เสือก เรื่องของกู แล้วไม่ต้องเสล่อไปฟ้องพ่อล่ะ กูเอามึงตายแน่” ที่เห็นเพราะมาร์คเปิดกระเป๋าเป้ตัวเองเพื่อเอาของเมื่อครู่ สนับมือสีเงินวาวสะท้อนแสงไฟในห้อง...
“ แล้วไม่กลัวตายบ้างรึไง”
“ ....อยากมีเรื่องเหรอคุณหนู...กุพกไปงั้นแต่ไม่ใช้ ไม่ได้รึไง... “
“.............................”
“....อ้อถ้าไอ้นัมมันเล่าอะไรให้มึงฟังเยอะไป กูจะเย็บปากมัน..”
“........................” ผมเลือกที่จะเงียบ เพราะอีกคนปั้นหน้ายักษ์ใส่ ผมรู้ว่ามาร์คไม่ชอบให้ผมหรือใครยุ่งเรื่องส่วนตัว แต่เพราะความห่วงใยที่มีอยู่ในหัวใจ ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าต้องตายเพราะรนหาที่ ธรรมชาติของเด็กช่าง ที่ทั้งสถาบันจะมีผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีเรื่องกระทบกระทั่งกัน ถึงขั้นลงไม้ลงมือกลายเป็นเรื่องธรรมดา คนในแกงค์เพการ์ผมก็รู้จักบ้าง แต่ไม่หมด ที่รู้จักก็เป็นรุ่นใหญ่ไม่กี่คน...ผมสนิทกับมินัม เพื่อสมัยมัธยม เพราะบ้านเปิดอู่รถยนต์ เจ้าตัวจึงเลือกที่จะเรียนช่างยนต์ ทั้งที่ที่บ้านไม่ได้บังคับอะไร มันผิดกับหน้าตาเพื่อนผมพอสมควร...มินัม เป็นหนึ่งในรุ่นใหญ่ของแกงค์เพการ์ เวลามีเรื่องที่อยากรู้หรือต้องการที่ปรึกษา มินัมคือคนแรกที่ผมคิดถึง และเจ้าตัวก็คือคนแรกที่เข้าหาผมเสมอ...โดยไม่เคยรังเกียจที่ผมเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง..มันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผม...
“มาร์ค”
“อะไร”
“..เปล่า...อย่าตายนะ..”
“ อะไรกันคุณหนู...กูไม่ตายง่ายๆ หรอก ถึงมึงจะแช่งกูก็เถอะ..”
“...อืมม...” ดันหน้าอกคนที่จู่ ๆ ก็เดินเข้ามาก่อนจะพูดใส่หน้าผม ริมฝีปากประทับจูบอย่างเอาแต่ใจทุกครั้ง แต่ผมก็ยอมตามใจ...กลิ่นหอมจากน้ำหอมราคาแพง บวกกับรูปร่างหน้าตา ทำให้ผมหลงใหลได้ไม่ยาก...และอีกคนก็รู้จุดอ่อนตรงนี้เป็นอย่างดี...
“ ...กูจะอยู่กับคุณหนูไปอีกนานครับ..”
“ ...จะถือว่านี่เป็นคำสัญญา... “
“ ไม่ใช่...มันเป็นแค่สิ่งที่กูอยากพูด..”
ประตูปิดลง พร้อมกับร่างที่ก้าวออกจากห้องไป...ถึงแม้สำหรับมาร์คนั่นเป็นเพียงลมปาก แต่สำหรับผม อยากจะคิดว่ามันคือสิ่งที่จะยึดผมไว้กับเขาอีกนานแสนนาน ตราบใดที่ไม่ผลักไส ตราบใดที่เขายังต้องการผม...ก็พร้อม...พร้อมที่จะอยู่ที่เดิมเสมอ...แม้ว่าจะต้องยืนอยู่ท่ามกลางหนามแหลมคมที่คอยทิ่มตำหัวใจผมอยู่ตลอดก็ตาม...
0........................................0
BamBam Part
หลังจากที่พวกเราก้าวลงจากรถทัวร์ที่เข้ามาจอดส่งนักศึกษาบริเวณหน้าตึกอำนวยการ นักศึกษาเสื้อแดงแตกฮือออกจากรถแบบไร้ระเบียบรวมทั้งพวกผมด้วย รีบเข้าไปที่ห้องฝ่ายกิจกรรมเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ทุกคนดูแฮปปี้ตรงที่กลับมาแล้วไม่ได้เรียน ให้แยกย้ายกลับบ้านได้ แต่สำหรับผมมันยังมีสิ่งที่ค้างคาใจ จนไม่สามารถจะกลับได้แบบสบายใจ
“อะไรของมึงแบม”
“พวกรุ่นใหญ่ล่ะ”
“กูไม่รู้อ่ะ”
“......................” ไม่น่าเลย...ผมอุตส่าห์รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเมื่อครู่ยังเห็นพวกเฮียนั่งกันอยู่ข้างตึกอำนวยการวิ่งออกมาอีกทีก็เห็นแค่พวกเพื่อนผมสี่คนนั่งอยู่..
“อย่ายุ่งเลยมึง ตะกี้เฮียแวนก็กำชับพวกกูว่าอย่าเสือกตาม”
“ ทำไมวะ สาเหตุมันมาจากกูนะ”
“มึงจะขัดคำสั่งเฮียเหรอวะ!”
“...พวกเฮียนัดเคลียร์ที่ไหน...”
“ไม่รู้อ่ะ” พวกมันยังยืนยันคำเดิมว่าไม่รู้ว่านัดเคลียร์ทีไหน แต่ทำไมผมถึงคิดว่าพวกมันรู้ อย่างน้อย ๆ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินจริง ๆ ต้องมีคนตามไปมันต้องมีคนรู้ และคนที่น่าจะรู้ที่สุดคือ...ยองแจ...
“ มึงจะอยากไปทำไม ถ้าเฮียรู้ว่ามึงตามไป เฮียเอามึงตายแน่”
“ มึงไม่ห่วงพวกเฮียรึไง “
“ เรารอที่นี่เหอะแบมแบม เพราะพวกเฮียบอกว่าจะกลับเข้ามาตอนเย็นทั้งหมด”
“มึงกังวลอะไร คงไม่แค่รู้สึกผิดหรอกมั้ง เป็นห่วงเฮียแจ็ครึไง แกคงดีใจนะ”
“............................” ผมไม่ตอบยอมที่จะเดินไปนั่งลงข้างพวกมัน ไม่รู้สิ ผมก็ตอบไม่ถูก ถึงจะพยายามคิดว่าที่กระวนกระวายอยู่อย่างนี้เพราะตัวเองเป็นตัวต้นเหตุ แต่มันก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้จิตใจไม่สงบ...ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะนั่งเงียบๆ ....พวกที่พูดเป็นต่อยหอยก็เงียบเหมือนกัน ผมลืมสังเกตว่านอกเหนือจากพวกผม บริเวณโต๊ะที่พวกผมนั่งอยู่มีแกงค์เพการ์คนอื่น ๆ นั่งอยู่จนเต็มหมดทุกโต๊ะ...
“ไปไหนกันวะ!”
“..กูว่ามันแปลก ๆ อ่ะ..”
“........................” ผมหันมองตามสายตาไอ้มาวินกับยูคยอมที่มองกลุ่มเด็กช่างยนต์กว่ายี่สิบคน ที่ผมจำได้ว่าอยู่ ปวส.1 แกงค์เพการ์ ที่ตอนนี้กำลังขึ้นรถยนต์สามคันที่มาจอดเทียบรับ...กลืนน้ำลายลงคอเมื่อคิดไปว่ามันเกิดอะไรกันแน่...
“ พี่ ๆ! จะไปไหน!”
“ ก็ไอ้พวกเซนธอร์แมร่งมีแกงค์ในโรงเรียนมันมาสมทบ เกือบห้าสิบคน แต่เพการ์ที่มีอยู่ตอนนี้แค่กลุ่มรุ่นใหญ่สิบกว่าคนเอง”
“ไหงพวกมันเล่นงั้น!” ตอนนี้พวกผมเริ่มนั่งไม่ติด จำนวนที่ไปเมื่อกี้มันก็ยังไม่เท่าพวกมันด้วยซ้ำ....ผมพอจะเดาออกมาวิธีนักเลงช่างจริง ๆ คงมีแค่ที่นี่รึเปล่า ถ้าแกงค์ของเซนท์โซเทียร์มันจะช่วยกันรุม...
...จากคนที่ไม่สนใจจะเข้าแกงค์ เกลียดหัวหน้าแกงค์ กลายเป็นผมที่ดูเหมือนจะร้อนใจสุด ๆ...ไม่เข้าใจหรอกว่าเพราะอะไร และยังไม่อยากหาเหตุผล...
“ก็มีคนปล่อยข่าว ว่าเด็กเอ็กซ์โซคลัสไปพ่นสีใส่กำแพงเซนท์โซเทียร์แบบดูถูก พวกมันเลยกลายเป็นยกมากันหมด”
“แต่มันไม่ใช่เรื่องของเพการ์แกงค์เดียว แล้วคนทำไม่รู้ว่าใครอ่ะ” ไอ้หมากคุยกับรุ่นพี่ที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋า
“ไม่รู้เว้ย...พร้อมยังพวกมึง...”
“พี่พวกผมไปด้วย!”
“ไม่ต้องเสือก พวกมึงอยู่นี่แหละ รู้กฎกันดูอยู่แล้วหนิ” รุ่นพี่ ปวส.1 ที่เตรียมตัวจะวิ่งไปขึ้นรถที่พึ่งวนกลับมา ปฏิเสธคำพูดผม หลังจากที่หันไปถามพวกรุ่นเดียวกันที่เตรียมตัวอยู่...
“ผมแค่ไปอยู่แถวนั้นก็ได้พี่! นะ ผมเป็นห่วงพวกเฮีย!”
“อะไรของพวกมึงวะ! จะไปก็ขึ้นรถ แต่อย่าเสือกเสล่อไปยืนรวมแกงค์นะมึง!”
“ครับ!”
“เฮ้ย แบมแบม! เอาจริงเหรอ!”
“ ไม่ไปก็อยู่นี่”
รถกระบะคันใหญ่ที่บรรจุคนจนเต็ม กำลังวิ่งออกฉิวบนท้องถนน สุดท้ายพวกกลุ่มผมก็มากันหมด ถึงแม้สีหน้าพวกมันจะดูหวาด ๆ เพราะกำลังผิดกฎแกงค์ แต่ก็เชื่อว่ามันก็ห่วงพวกในแกงค์เหมือนกัน...ไม่นานก็ถึงสวนสาธารณะพื้นที่กว้าง มีกำแพงล้อมรอบ...เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ แดดร้อนพอสมควรแม้จะเป็นหน้าหนาว สวนเลยโล่งเพราะยังไม่มีใครมาเดินตากแดดตอนนี้
“ เฮ้ย!..พวกมันลงมือกันแล้วว่ะ!! เร็ว!! วิ่ง!!”
“.........................” กลายเป็นว่าไม่มีใครสนใจใคร วิ่งตามคนนำกันตัวปลิว พวกผมห้าคนกระโดดลงจากรถก็วิ่งตามพวก รุ่นพี่ไป ไม่นานก็ได้ยินเสียงเอะ อะอยู่ตรงหน้า สีแดงกับสีฟ้ากำลังกระจายสลับกันอยู่...เสียงสบถเสียงร้องเพราะความเจ็บทำให้ผมรีบเพ่งสายตามอง...พื้นที่สนามฟุตบอลเล็ก ๆ ในสวนกลายเป็นสนามรบไปแล้ว...หัวใจเต้นแรงเมื่อมองการต่อสู้ตรงหน้า หัวใจตกวูบทุกครั้งที่ได้ยินสบถร้องเพราะความเจ็บปวด....
“พวกมึงไม่ต้องเสือกตาม ไปอยู่หลังห้องน้ำนู่น!!!”
“..แต่...”
“ ไปเซ่!!”
“.....อย่าดื้อแบม เราจะเป็นตัวถ่วงพวกนั้นเปล่า ๆ........” พวกผมต้องรีบวิ่งไปหลบตามที่รุ่นพี่บอกก่อนจะเข้าไปหลบหลังห้องน้ำ เพราะนาทีนี้มันคงจะแยกกันที่สีเสื้อแน่ ๆ ถ้าพวกมันเห็นผมคงจะไม่รอด...เพราะดูตัวแต่ละคนคงคัดมาแล้วทั้งนั้น...
“ พวกมึงมาทำอะไรที่นี่!!”
“ เฮียนัม!”
“ใครบอกให้พวกมึงมา! วันนี้มันอะไรนักหนามีแต่พวกไม่ได้รับเชิญ!” หันมองตามเสียงที่ตวาดดังขึ้น เห็นคงที่ยืนจังก้าทำเอาไอ้มาวินอุทานเสียงดังก่อนจะยกมือไหว้กันท่วมหัว.....เฮียนัมคงไม่ได้หมายถึงพวกผมแค่นั้น เพราะข้าง ๆ พี่แกตอนนี้มีบางคนที่ผมคุ้นหน้า และจำได้ในที่สุด..
“พี่จูเนียร์สวัสดีครับ”
“..สวัสดีครับ...” พวกนั้นก็ยกมือไหว้ตามผม ก่อนที่เฮียนัมกับพี่จูเนียร์จะนั่งลงสมทบ โดยใช้ซุ้มกลุ่มต้นเทียนทองหนา ๆ สูงท่วมหัวที่อยู่หลังห้องน้ำเป็นกำบังจากศึกนั่น...
“ ก็ได้ยินว่าสถานการณ์ไม่ดีอ่ะเฮีย แล้วเฮียทำไมมาอยู่นี่อ่ะ!..”
“ ก็ไอ้เหี้ยกัสไง! กูโดนรถเฉี่ยวมาจะเป็นเดือน เชี่ยมันไม่ให้กูเข้าร่วม กูเลยต้องมานั่งหลบ ๆ ซ่อน ๆ กับพวกมึงนี่ไง!”
“...ทำไมไม่เรียกคนมาอีก แกงค์เรายังอยู่เต็มเลยพี่...”
“..พวกมันไม่เอา...มึงแหกตาดูดี ๆ ว่าสีแดงมันก็พอ ๆ กับสีฟ้าแล้ว.”
“........................” พวกผมหันมองตามที่เฮียนัมบอก....จริงๆ ด้วย...จำนวนเสื้อสีแดงกับสีฟ้าพอ ๆ กัน...แต่เท่าที่นับจำนวนมามันยังน้อยอยู่ แต่ยิ่งมองผมก็ยิ่งเข้าใจว่า..มันไม่ได้มีแค่แกงค์เพการ์
“นั่นมันพวกยูนิคนิเฮีย!! อะไรวะ”
“... ฝั่งละสองแกงค์ไง กูก็ไม่รู้หรอก รู้แค่ว่าพวกไอ้เจบีมันตามมาสมทบ...กูถึงไม่ค่อยเป็นกังวลอะไรไง ไม่งั้นต่อให้พ่อไอ้กัสมาห้ามกูก็โดดใส่พวกมันไปแล้ว..”
“ แล้วพวกไหนพี่ที่ไปพ่นกำแพง”
“ ไม่รู้ พวกกูกำลังให้คนสืบ”
“........................” ผมมองฝ่ากลุ่มคนที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่....มันไม่เห็นจะน่าเบาใจอย่างเฮียกัสว่า...เสื้อสีฟ้าบางคนมีคราบเลือดติด ส่วนสีแดงถึงจะมองไม่เห็นเพราะกลมกลืนไปกับเสื้อ แต่บนหน้ามีรอยช้ำ รอยเลือดเพราะปากแตก คิ้วแตก...
“ ไม่ใช้อาวุธ?”
“ใช่ เป็นข้อตกลงว่า ไม่ใช้อาวุธ ตัวเปล่า ๆ กับหัวใจ หมัดใหญ่ ๆ กับตีนล้วน ๆ”
“.......................” อย่างน้อยก็ไม่ถึงตาย....สายตาผมสะดุดกับผู้ชายเสื้อแดงสองคนที่ตอนนี้หันหลังพิงกัน เพราะกำลังถูกล้อม ถึงจำนวนคนจะสูสี แต่เหตุการณ์อย่างนี้แสดงให้เห็นว่าฝ่ายเราน้อยกว่าจริงๆ
..แจ็คสัน...กับ..เจบี...
“เป็นภาพที่หาดูยากนะมึง หัวหน้าแกงค์ เพกาซัส กับ ยูนิค ร่วมมือกัน”
ผมเผลอกำมือแน่น เพราะพวกที่รุมกระโจนเข้าหาสองคนที่ยืนหันหลังพิงกันอยู่ พวกมันเข้าไปพร้อมกันก่อนจะเหวี่ยงหมัดใส่ แต่ทั้งสองคนก็ย่อตัว และเหวี่ยงตัวหลบไปทางใครทางมัน...ไวมาก...ไวจนสามารถที่จะถีบหลังพวกที่รุมได้ทันทีที่หนีออกมาจากวงล้อม...ก่อนที่จะประเคนหมัด และลูกเตะเข้าจนพวกนั้นล้มลงนอนจุก...เพ่งมองรอยบนหน้าเฮียแจ็คสัน ยังมีแค่รอยช้ำที่ผมเห็นวันก่อน...ไม่มีรอยเพิ่ม...ส่วนเฮียเจบี หน้ายังไม่มีรอยช้ำอะไรให้เห็นเลย....
“ไอ้โง่!! ไม่ระวังตัว สมควรตายนะมึง!!”
“จะไปไหนเฮียนัม!!”
“ไอ้โง่กัส!”
“อย่าไป นั่นไง..เฮียแกแค่พลาด..” เฮียนัมยอมนั่งลงเมื่อเฮียกัสที่พลาดล้มลง สปริงตัวขึ้นอย่างเร็วก่อนจะถีบคนที่จะเข้ามาซ้ำจนหงายหลังไป....ผมหันมองคนที่เงียบมาตลอด พี่จูเนียร์...ตากลมจ้องมองเฮียมาร์คไม่กระพริบ มือเรียวกำแน่น...เหตุการณ์ชุลมุนอยู่พักใหญ่จนรู้สึกว่าเสื้อฟ้าเริ่มบางตา เพราะองศาที่พวกผมอยู่ทำให้เห็นเหตุการณ์แค่ในวงแคบๆ
“ ตีกรุงแตกแล้วว่ะ “
“..........................” ผมเข้าใจความหมายทันที จากที่เห็นกลุ่มคนเสื้อสีฟ้าล้มลุกคุกคานออกจากบริเวณนั้นก่อนจะพยุงตัวเอง วิ่งหนีออกจากเหตุการณ์....โดยมีคนตะโกนบอกให้ถอยเป็นระยะ ๆ...
“ ใจแมร่งไม่สู้เลยพวกเหี้ย!! แล้วอย่างนี้จะมาท้ารบ! หนีหางจุกตูดเลย..”
“ พวกมันสู้ แต่คนนำมันบอกให้ถอย หัวหน้าแกงค์ไม่ใช่สักแต่จะเป็นแล้วพาลุย...ไม่ใช่เอาแค่ชนะ...มึงต้องดูกำลังคนในแกงค์ด้วย..ไอ้เปรูกับหัวหน้าอีกแกงค์มันคงดูแล้วว่าเอาชนะไม่ได้ เลยให้คนของมันถอย...เหตุการณ์อย่างนี้ ไม่ได้เรียกว่าหนี...แต่แค่กลับไปตั้งหลัก..”
“.......................” เสื้อสีฟ้าที่กระจายตัววิ่งออกจากบริเวณนั้นอย่างเร็ว...สะบักสะบอมกันไม่น้อย ดูเหมือนจะมีบางคนที่ไม่ถอย แต่สุดท้ายเมื่อจำนวนพวกตัวเองน้อย ก็ต้องถอยเหมือนกัน....
“ทำไมวันนี้ทางสะดวกวะพี่”
“พวกมันบล็อกตำรวจไว้หมดแล้วไง” ก็ว่าเสียงเอะอะโวยวายขนาดนี้ ถึงสวนสาธารณะจะมีกำลังแพงล้อมรอบ แต่ก็ต้องมีคนรู้เห็นบ้าง...หันกลับไปมองพวกร่วมสถาบันที่ตอนนี้ทิ้งตัวกันลงนอนแผ่หลาเต็มสนามบอล....พวกผมหันมองซ้ายขวา ไม่มีพวกเสื้อฟ้า หลงเหลือแล้ว เห็นหลังไว ๆ ที่ทางออกสวน...พากันลุกแล้วเดินออกจากที่ซ่อน...
“เฮียนัม แล้วพวกผมจะไม่โดนด่าเหรอ”
“มากับกูไง ไป ให้มันมาด่ากูนี่”
“....................” พอเฮียนัมคอนเฟริม พวกผมรีบวิ่งออกไปหาพวกที่ทั้งนั่งทั้งนอนเต็มสนามบอล เสียงด่าและทักทายดังขึ้นทันที...เหมือนมีแรงดึงดูดที่ทำให้ผมตรงไปหาสองคนที่นอนแผ่ หายใจหอบ อยู่ข้างกัน จนพวกนั้นลุกขึ้นมานั่ง...
“ เสือกมาทำไม”
“ อยากมา “ ผมตอบคำถามเฮียแจ็คแบบนิ่ง ๆ ก่อนจะเพ่งมองใบหน้าหล่อที่มีเหงื่อชโลมเต็มหน้า ก่อนจะหันมองอีกคนที่ไม่ต่างกัน แววตายังแข็งแกร่งทั้งคู่....เป็นเฮียเจบีที่ลุกขึ้นก่อน ทำให้อีกหลายสิบคนลุกขึ้นด้วย...ให้ทายก็คงเป็นพวกแกงค์ยูนิค...
“ ทางใครทางมัน”
“ หึ...ขอบใจ...”
“...กูไม่รับ..ศักดิ์ศรีของสถาบัน ไม่ใช่ของแกงค์ กูก็ทำเพื่อตัวกูเอง...”
“..เคลียร์...” เฮียแจ็คสันลุกขึ้นยืนเผชิญหน้ากับคนที่ลุกขึ้นก่อน ก่อนจะยกยิ้มมุมปากพูดออกไปแค่คำเดียว....ผมไม่เข้าใจ แต่ดูเหมือนว่าหัวหน้าแกงค์ยูนิคจะเข้าใจพร้อมกับเลิกคิ้วให้คนพูดแบบชิวๆ ตาคมมองผ่านมาหาผมที่ยืนมองอยู่....ผมจ้องกลับและไม่หลบสายตา แค่ต้องการส่งคำขอบคุณผ่านสายตาที่จ้องไปให้....
“มองกันพอรึยัง กูถือว่าวันนี้เหนื่อยกันมากพอแล้ว เลยไม่ถือสา”
“....ตอนนี้พอแล้วว่ะ...แต่.....หึ ๆ...” เฮียเจบีพูดไม่จบ ยกยิ้มกวนๆ ส่งให้เฮียแจ็คที่ยืนหน้านิ่งอยู่....ก่อนจะถอยหลังแล้วกลับหลังหันเดินออกไป แกงค์ยูนิคเดินตามหัวหน้าแกงค์ตัวเอง... จำนวนเกือบครึ่งของจำนวนทั้งหมดที่มารวมแกงค์....
“...ส่วนพวกมึง...กลับไปเคลียร์ที่วิทลัย..”
“.......................” พวกสี่ตัวหันมองกันเลิ่กลักเพราะถูกสายตาคาดโทษจากเฮียแวน ส่วนพี่จูเนียร์ยังยืนจ้องเฮียมาร์คอยู่ ไม่กล้าเข้าไปใกล้ เพราะอีกคนดูหัวเสียพอสมควรที่เห็นคนที่มาโดยไม่ได้รับเชิญที่นี่...
“ยืนทำซากอะไรมาพยุงกูเซ่!!”
“ ผมเหรอเฮีย!”
“เสือก!!” เสียงทุ้มของเฮียมาร์คตวาดไอ้ยูคยอมที่เสนอนหน้าเข้าไป...ก่อนสายตาจะจ้องคนที่ยืนอยู่...พี่จูเนียร์ดูเหมือนจะตกใจนิดหน่อยแต่ก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเดินไปพยุงคนเสียงดังให้ลุกขึ้น..
“พวกมึงพาน้องกลับ ส่วนมึงมากับกู”
“เดี๋ยว!! นี่ปล่อย!!”
“.........................”
“ ผมเดินเองได้” พูดกับคนที่ฉุดแขนผมให้เดินตาม ก่อนที่จะเบรกตัวเองจนคนที่ดึงต้องหันมามองทำหน้านิ่งๆ ใส่ ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร แค่ไม่อยากจะถูกทำอย่างนี้อีก...ไม่ได้คิดจะขัดขืน เลยบอกสิ่งที่ผมต้องการออกไป...อีกคนไม่พูดหรือต่อความอะไรนอกจากเดินนำผมออกจากบริเวณนั้น..
...ทำไมถึงต้องอยากบังคับให้ทำตาม....ทำไมไม่ทำให้ผมรู้สึกว่า..อยากจะทำตาม...
Talk : สรีมฟิค #Ficbloodsch Twitter: @Namtal1a ใคนยังไม่ได้ตอนที่ 8 รอหน่อยน้า หาแฟรชไดร์แพร่บบบ มันหายไป
ความคิดเห็น