ตอนที่ 1 : Pre-Collection
Model Willis Oh
ท่ามกลางไฟสปอตไลท์สาดส่อง ทางเดินทอดยาวไปข้างหน้าพร้อมกับที่นั่งฟรอนท์โรวขนาบไปทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนดังจากหลากหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็นบรรณาธิการแฟชั่นนิตยสารต่างๆ หรือเซเลบริตี้ระดับเอลิสต์จากทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงลูกค้ากระเป๋าหนักผู้ภักดีต่อแบรนด์
ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ วิลลิสก็รู้ตัวแล้วว่า ไม่มีสถานที่ไหนจะเหมาะกับเขามากไปกว่ารันเวย์แฟชั่นโชว์อีกแล้ว เขานึกขอบคุณความโชคดีทั้งหมดในชีวิตที่ทำให้ตัวเองค้นพบสถานที่ที่เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งเหมือนเขาเกิดมาเพื่อเติมเต็มสถานที่นี้ให้สมบูรณ์แบบ
วิลลิส โอ เป็นลูกครึ่งเกาหลี-ฝรั่งเศส คุณพ่อของเขา โอชินซอง เป็นผู้จัดการทั่วไป (General manager) ของแบรนด์ หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) ในประเทศเกาหลี และคุณแม่ของเขา คาสซานดร้า วาเลอรี่ เป็นอดีตนางแบบและนางฟ้าของวิคตอเรีย ซีเคร็ท แบรนด์ชุดชั้นในระดับโลกที่นางแบบทั่วโลกต่างใฝ่ฝัน
ทั้งคู่เจอกันที่ฝรั่งเศส หลังจากที่พ่อต้องไปดูงานและแม่ต้องไปเดินแบบให้กับหลุยส์ วิตตอง การพบกันที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อกามเทพและพรหมลิขิตต่างตั้งใจทำงานของตัวเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นตัวเขาอย่างเช่นทุกวันนี้
วิลลิสเติบโตขึ้นมาท่ามกลางครอบครัวที่คลุกคลีกับวงการแฟชั่นอย่างแท้จริง มิสเตอร์โอชินซองทำงานให้กับแบรนด์หลุยส์ วิตตอง มาตั้งแต่วิลลิสจำความได้ เด็กอายุไม่กี่ขวบอาจจะเริ่มจดจำสัญลักษณ์ง่ายๆ หรือตัวอักษรภาษาอังกฤษตัว A ได้เป็นตัวแรก แต่สำหรับเด็กชายวิลลิสแล้วนั้น สัญลักษณ์ LV เป็นอย่างแรกที่เขาจดจำได้ขึ้นใจตั้งแต่เขายังไม่รู้ความดีเลยด้วยซ้ำ
มิสซิสคาสซานดร้า วาเลอรี่ โอ มีอิทธิพลต่อวิลลิสมากเกินกว่าใครจะคาดคิด เธอต้องหยุดงานถ่ายแบบและเดินแบบทั้งหมดหลังจากที่ตั้งท้องและอยู่บ้านเลี้ยงลูกจนสามารถมั่นใจได้ว่าวิลลิสสามารถห่างจากอ้อมอกแม่และเดินทางโดยเครื่องบินได้ แต่เธอก็ไม่อยากให้ลูกชายรู้สึกว่าขาดการดูแลจากแม่
ดังนั้นหลังจากที่เธอหยุดงานไปเกือบ 2 ปี เธอก็กลับมาทำงานอีกครั้งพร้อมกับหอบหิ้ววิลลิสไปงานแฟชั่นวีคตามหัวเมืองใหญ่ของโลกอย่างนิวยอร์ก ลอนดอน มิลาน ปารีส บ้างเป็นครั้งคราว และหลังจากที่อายุของเธอสมควรที่จะอำลารันเวย์แฟชั่นแล้ว เธอก็กลับมาอยู่ที่เกาหลีอย่างถาวรพร้อมกับเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับสามี
วิลลิสภูมิใจในชาติกำเนิดที่เป็นเอเชียและยุโรปอย่างละครึ่งของตัวเองเสมอ และถึงแม้ว่าพื้นฐานครอบครัวน่าจะเป็นใบเบิกทางชั้นดีในวงการนายแบบให้กับเขา แต่วิลลิสก็ไม่เคยใช้ประโยชน์จากมันเลยสักครั้ง
เขาไม่เคยเปิดเผยข้อมูลของครอบครัวหากไม่จำเป็น การพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงานหนักเป็นอะไรที่ท้าทายความสามารถมากกว่า วงการแฟชั่นโดยเฉพาะเรื่องการได้รับโอกาสในการเดินแบบให้กับแบรนด์ไฮเอนด์ต่างๆ นั้นมีการแข่งขันที่สูงมาก
การหาเอเจนซี่เพื่อขอเข้าสังกัด ยื่นเรซูเม่ให้กับหลายๆ แบรนด์พร้อมกัน และเข้าร่วมคัดเลือกตามตารางที่ตัวแทนของแบรนด์ต่างๆ ได้กำหนดไว้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนวนลูปไม่มีที่สิ้นสุด ในตอนแรกมันไม่ง่ายเลยสำหรับนายแบบหน้าใหม่ในการต้องฝ่าฟันการแข่งขันกับนายแบบคนอื่นๆ จากทั่วโลกอีกเป็นร้อยเป็นพันคน เพื่อให้ได้รับคัดเลือกให้ร่วมเดินแบบบนรันเวย์แฟชั่นวีค
แต่วิลลิสก็ไม่เคยย่อท้อ เขารักงานนี้ และมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาคิดว่าการทุ่มเทเวลาศึกษาไลน์แฟชั่นของแต่ละแบรนด์ และทำการบ้านไปก่อนทุกครั้ง ต้องให้ผลตอบรับที่ดีกลับมา แน่นอนว่าครั้งแรกๆ มันอาจจะล้มเหลว แต่วิลลิสไม่มีเวลาที่จะมามัวนั่งเสียใจหรือเสียดาย ชีวิตต้องก้าวต่อไปเสมอพร้อมกับความพยายามที่มากขึ้นกว่าเดิมในทุกครั้ง
หลังจากหลายปีที่คร่ำหวอดในวงการนายแบบ ปัจจุบันนี้วิลลิสก็ก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าด้วยการเป็นท็อปโมเดลที่หลายๆ แบรนด์ต้องการตัว ด้วยใบหน้าหล่อคมเข้มแบบลูกครึ่ง ผมสีดำตัดสั้น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางได้รูป รวมไปถึงร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ รูปร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้าง อกผายไหล่ผึ่ง และการพรีเซนต์จุดเด่นของแบรนด์ที่เขารับงานมาได้อย่างดี ทำให้เขาทำเงินได้มากมายมหาศาลทั้งจากการเดินแบบและถ่ายแบบ และเป็นคนเลือกแบรนด์ที่เขาอยากจะไปร่วมงานด้วยได้แล้ว แน่นอนว่าหลุยส์ วิตตอง ยังคงเป็นแบรนด์โปรดอันดับหนึ่งของเขาเสมอ
หลังจากการฉลองปีใหม่กับที่บ้านและเพื่อนฝูง ก็ได้เวลาที่วิลลิสต้องบินมาทำงานที่ปารีส เมืองซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขา แฟชั่นวีคที่ปารีสให้ความรู้สึกน่าตื่นตาตื่นใจเสมอ และเขาก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ต้องมาทำงานที่นี่
“OK guys! This is a final round, Let’s go! go! go! go!” เสียงตะโกนหลังสเตจของคนคุมคิวเวทีพร้อมกับวาดมือโบกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ปลุกให้วิลลิสตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาสูดหายใจลึก เตรียมพร้อมเป็นคนแรกที่จะนำขบวนทีมนายแบบออกไปเพื่อเดินรอบสุดท้าย เป็นการสิ้นสุดการนำเสนอคอลเลคชันฤดูใบไม้ร่วงของหลุยส์ วิตตอง อย่างเป็นทางการ
;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;;
Columnist Aries Lu
การเดินรอบสุดท้ายของเหล่านายแบบในการพรีเซนต์เสื้อผ้าคอลเลคชั่นสำหรับผู้ชายล่าสุดของหลุยส์ วิตตอง ณ ปารีสแฟชั่นวีคจบลงไปแล้ว ท่ามกลางนายแบบหลากหลายเชื้อชาติ ลู่หานมองเห็นนายแบบคนนั้น ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างชาวเอเชียและยุโรป โดดเด่นออกมาจากเหล่านายแบบคนอื่นอย่างสิ้นเชิง เขาเป็นคนแรกที่ผ่านเข้ามาในกรอบสายตา แล้วลู่หานก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้อีกเลย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลู่หานได้เห็นนายแบบนามว่าวิลลิส โอ การทำงานในสายแฟชั่นอย่างการเป็นคอลัมนิสต์ให้กับโว้กโคเรีย ทำให้เขามีโอกาสเดินทางไปชมแฟชั่นโชว์ตามรันเวย์แฟชั่นวีคอยู่หลายครั้ง และหนึ่งในนายแบบที่ร่วมเดินแบบให้หลายๆ แบรนด์ไฮเอนด์ก็คือนายแบบลูกครึ่งเกาหลี-ฝรั่งเศสคนนี้นั่นเอง
ลู่หานไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว แต่ด้วยความสูงกว่า 184 เซนติเมตร และรูปร่างที่ผ่านการดูแลและออกกำลังกายมาอย่างดี อีกทั้งออร่าที่ลู่หานคิดว่ามันช่างดึงดูดสายตา ทำให้ทุกรันเวย์แฟชั่นวีคที่เขาไปร่วมชม สายตาต้องจับจ้องที่วิลลิสอยู่เสมอ เรียกได้ว่าไม่รู้จักก็เหมือนรู้จัก และแน่นอนว่าการเดินแบบในครั้งนี้ของนายแบบระดับท็อปโมเดลก็ยังคงน่าประทับใจเช่นเดิม
ลู่หานรักงานนี้พอๆ กับเสื้อผ้าแบรนด์เนม และแอคเซสเซอรี่ต่างๆ ความใฝ่ฝันของเขาตั้งแต่ช่วงเรียนมัธยมก็คือการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโลกของแฟชั่น แต่การอาศัยอยู่ในประเทศจีนนั้น สาขาที่เขาอยากเรียนดูจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าไรนัก แล้วการไปท่องเที่ยวยังประเทศเกาหลีใต้ก็เปิดโลกทัศน์ของลู่หานในแบบที่ทำให้เขาแน่วแน่กับทางเดินชีวิตของตัวเองในที่สุด
วัฒนธรรมป็อปที่นั่นดูจะเป็นจุดเด่นที่รัฐบาลสนับสนุน วงการเพลงขับเคลื่อนไปพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่หลากหลายซึ่งหมายถึงการต้องใช้สไตล์ลิสต์มากมาย หรือแม้แต่คนเดินถนนธรรมดาก็ยังมีสไตล์การแต่งตัวที่เดินตามแฟชั่นอยู่เสมอ ยังไม่นับรวมการมีงานแฟชั่นโชว์เป็นของตัวเองอย่างโซลแฟชั่นวีคซึ่งอัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ ทุกปี นั่นอีก
เมื่อเดินทางกลับบ้านไป ลู่หานวางแผนจะมาเรียนภาษาและเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในสายแฟชั่นที่เกาหลีใต้ ในตอนแรก ครอบครัวซึ่งแสนจะเคร่งครัดและหัวอนุรักษ์นิยมของเขาก็คัดค้าน เพราะอยากให้เขาเรียนสายบริหารเพื่อรับช่วงต่อธุรกิจไอทีที่บ้านเพื่อช่วยพี่ชาย แต่ด้วยความที่เขาร้องขอและขอผัดผ่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่เขารู้สึกพร้อมจะแบกความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขาอยากใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือกเองดูสักครั้ง
การอาศัยในประเทศเกาหลีใต้ซึ่งไม่ใช้บ้านเกิดเมืองนอนนั้นลำบากพอสมควร ทั้งอุปสรรคในเรื่องของภาษา อาหาร วัฒนธรรม แต่ด้วยความตั้งใจที่เป็นแรงขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิต ก่อนจบการศึกษาปริญญาตรีอย่างเป็นทางการ ลู่หานก็ชอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทในสาขา Fashion and Luxury Goods ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสได้สำเร็จ
ลู่หานต้องปรับตัวขนานใหญ่อีกครั้งกับการไปใช้ชีวิตในต่างแดน โชคดีหน่อยที่หลักสูตรที่เขาลงเรียนเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งเป็นภาษาที่เขาพอคุ้นเคยและใช้สื่อสารได้แบบไม่ขัดเขิน ทำให้ไม่ลำบากในการดำเนินชีวิตประจำวันมากนัก สิ่งที่หนักหนาสาหัสที่สุดสำหรับลู่หานก็คือช่วงเวลาแห่งการทำธีสิส ซึ่งทำให้เขาแทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะต้องเร่งทำให้เสร็จตามกำหนดเวลา
และก่อนที่เขาจะได้ฉลองความสำเร็จในด้านการศึกษาเป็นครั้งที่สอง ข่าวดีก็เดินทางมาถึงเขาโดยไม่ทันตั้งตัว โว้กโคเรียที่มีตำแหน่งคอลัมนิสต์ว่างในสายงานที่ลู่หานกำลังจะจบการศึกษา ได้ตอบรับการสมัครงานของเขา และนี่คือจุดเริ่มต้นของนามปากกา “แอรีส ลู่” คอลัมนิสต์ผู้อัพเดทเทรนด์แฟชั่นตลอดปีจากรันเวย์แฟชั่นวีคทั่วโลกแห่งโว้กโคเรีย
การนำเสนอคอลเลคชันฤดูใบไม้ร่วงของหลุยส์ วิตตอง ณ ปารีสแฟชั่นวีคจบลงแล้ว แต่งานของลู่หานไม่เคยจบ หลังจากนี้เขายังต้องกลับไปเขียนคอลัมน์อัพเดทเทรนด์เพื่อให้ทันส่งต้นฉบับของเดือนถัดไป แฟชั่นไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ลู่หานก็รู้สึกแฮปปี้และไม่เคยเหนื่อยที่จะต้องใช้ชีวิตวิ่งไล่ตามในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบเลยสักนิด
...To be continued…
แนะนำพี่วิลลิสและน้องแอรีสพอหอมปากหอมคอ
จะได้รู้ช่วงเวลาชีวิตก่อนที่จะมาเป็นปัจจุบัน
เนื้อเรื่องก็จะดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากนี้ค่ะ
เอาใจช่วยคุณนายแบบกับคุณคอลัมนิสต์กันด้วย
ขอบคุณทุกการอ่าน คอมเมนต์ และกำลังใจค่ะ
เจอกันใหม่ Collection -1- ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่าสนใจมากค่ะ คุณนายแบบกับคุณคอลัมนิสต์ เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามเลย
น่าอ่านมากมากกกกกก รอติดตามเลยค่ะ