ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] My Partner คู่หูไขปมคดีฆาตกรรม[Krisho Lumin Chanbaek]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: จุดเริ่มต้น 100%

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 57


    Chapter 1

    ปูซาน,เกาหลีใต้

    13:50 P.M.

     

    “เฮ้อน่าเบื่อชะมัด

    “ชู่~...คริสอย่าเสียมารยาทสิ

    “ก็มันน่าเบื่ออ่ะ..เรื่องแบบนี้เราก็รู้ๆกันอยู่แล้ว...เฮ้อ~…หัวหน้านะหัวหน้า”

     

    เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาครั้งที่เท่าไหร่จุนมยอนคนนี้ไม่อาจจะนับได้    ตัวเขาเองก็เบื่อเช่นเดียวกันกับคู่หูของเขานั่นแหละ   แต่จะทำอะไรได้หล่ะ

    หลังจากปิดคดี  เจ้าหน้าที่ IDC ที่เมืองคังวอนเสร็จ    ในใจก็นึกว่าจะได้หยุดเพื่อหาเวลาพักผ่อนเหมือนคนอื่นๆ   ที่ไหนได้.......จุนมยอนกับอี้ฟานต้องมาอบรมที่ปูซานในหัวข้อที่สุดแสนจะหน้าเบื่อ  ว่าด้วยเรื่องของ >>> 'คู่หูที่ดีเป็นอย่างไร??'

    และคงไม่ได้ยินเสียงบ่นขนาดนี้หรอก  ถ้าไม่เป็นเพราะปีที่แล้วพวกเขาสองคนก็มาในเรื่อง การฝึกเป็นคู่หู’  มาแล้วอ่ะนะ   อยากจะรู้จริงๆว่าหัวหน้าคิดอะไรอยู่??    เขากับอี้ฟานก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย!! 

     

    นี่..จุน

    เฮ้...บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกแบบนี้น่ะ

    โอเค..โอเค..งั้นซูโฮ

    ว่าไง มีอะไรอีก?

    ถ้าอบรมเสร็จแล้วคืนนี้เราไปเที่ยวกันเถอะ ฉันกับนายไม่ได้เที่ยวกันมานานแล้วนะ

     

                    เป็นเรื่องจริงอย่างที่อี้ฟานว่า  พวกเขาไม่ได้เที่ยวกันนานแล้วซึ้งเป็นเพราะงานที่มี  แม้อาจจะไม่ได้มากมายนัก  แต่ก็หนักเกือบทุกคดีทำให้ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย  พอจะมีวันที่ได้พักเหมือนคนอื่น  ก็แทบจะทุกครั้งที่ต้องมีงานด่วนจากหัวหน้ามาให้ทำดังเช่นครั้งนี้.....

                    อี้ฟานถามจุนมยอน  พร้อมกับจ้องหน้ารอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ    เขาแค่อยากเที่ยวเหมือนคนอื่นบ้าง   พอนึกถึงตรงนี้ก็อดคิดถึงพวกตัวแสบที่องกรไม่ได้   ไม่รู้ว่าไปพูดยังไง   หัวหน้าถึงส่งคู่ของเขามาอบรมรับฟังการบรรยายที่ ปูซานแทนคู่ของจงอินกับเทา  ทันทีที่ปิดคดีเสร็จ     

                   

     

    อืม..ก็ได้แต่ว่าคริส..ฉันเหนื่อยอ่ะ....เอาเป็นว่าถ้าอบรมเสร็จฉันขอกลับไปนอนก่อนได้ป่ะ  ค่อยไปเที่ยวกันน้านะนะคริสน๊า..”      

    นั่นสินะเรายังไม่ได้พักเลยนิ....งั้นถ้าถึงเกสท์เฮ้าส์นายก็พักเลยนะ...ตอนค่ำเราค่อยไปเที่ยวกัน”   ทั้งคู่ยิ้มให้กัน    ก่อนที่อี้ฟานจะหลับ(?)   และจุนมยอนนั่งฟังการบรรยายต่อ

     

     

                    น้อยครั้งนักที่จะเห็นจุนมยอนเหมือนเด็กขี้อ้อนขนาดนี้และน้อยครั้งที่อี้ฟานจะตามใจ     อี้ฟานยังทึ่งๆอยู่เลยที่พวกเขาสามารถคุยกันได้แบบไม่ต้องทะเลาะกัน   อย่างว่าล่ะนะ  ในสายตาคนอื่นคงจะมองว่าพวกเขาไม่สามารถทำงานร่วมกันได้แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า   เวลาทำงานกับเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้  พวกเขาก็เป็นทีมเวิร์คทีมหนึ่ง (รึเปล่า??)

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    น่าเบื่อสุดๆ   นี่เราต้องมาทำอะไรแบบนี้อีกหรอเนี่ย     อี้ฟานตะโกนออกมาอย่างหัวเสีย  ในเมื่อตอนแรกคิดว่าการบรรยายจะมีแค่วันเดียว   ไหงกลายเป็นว่าพวกเขาต้องมาฟังต่ออีกในวันพรุ่งนี้  

    เอาน่า...อย่าบ่นหน่อยเลย    รีบขับไป  ฉันง่วงจะตายอยู่แล้ว     พูดไปพลางบิดตัวไปมองนอกกระจกเห็นท้องฟ้าตั้งเค้าว่าฝนกำลังจะตก  ให้ตายเถอะแบบนี้จะได้ไปเที่ยวไหมเนี่ย

    ฮึ...พวกนั้นอยู่โซลคงกำลังมีความสุขล่ะสิ.....ไอ้พวกตัวแสบ!!!

     

     

     

     

    ..........................................................................................................

     

     

     

     

    โซล,เกาหลีใต้

    International   Detective  Centers; IDC

    15:00 P.M.

                   

                    “โว้ย..ปานนี้คริสกับซูโฮคงจะมีความสุขอยู่ปูซาน..โอ้ย..อิจฉาเว้ย..เพราะมึงเลยเทา เพราะมึงอ่ะ

                    “โว้ย  ก็ใครมันจะไปรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ว่ะ  ก็มึงแหละบอกให้กูทำ

                    “คิคิ..

     

                    เสียงสบถอย่างหัวเสียของชายหนุ่มทั้งสองเรียกเสียงหัวเราะเล็กๆจากแบคฮยอน พร้อมกับอาการส่ายหัวอย่างระอาของลู่หาน   ที่นั่งฟังอยู่นานแล้ว

                   

    หัวเราะอะไรแบคฮยอน...พี่ลู่หานด้วยอย่าทำแบบนี้สิครับ” >>>เทา

                    ก็พวกนายน่ะสิ  สมน้ำหน้า    อยากไปแกล้งพวกนั้นเองทำไม” >>>แบคฮยอน

                    หุบปากนายไปเลยนะแบคฮยอน” >>>เทา

                    อ้าวๆ  ไอ่เทามึงหยุดเลยนะ  อย่าว่าแบคฮยอนดิว่ะ…..แบคอย่าถือสามันเลยนะครับคนดี^^” จงอินพูดขึ้นมาบ้างโดยประโยคแรกหันไปว่าให้เทาคู่หู    ก่อนจะหันไปพูดกับแบคฮยอนด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วขนลุก 

                    “หยุดพูดเถอะครับ  ผมจะอ้วก

                    “เฮ้อ..พอๆ หัวหน้ามาแล้ว  รีบเข้าไปกันเถอะ   เป็นลู่หานอีกเช่นเคยที่ต้องคอยไกล่เกลี่ยห้ามคนพวกนี้ไม่ให้ทะเลาะกัน    ลู่หานเองก็เหนื่อยใจ วันธรรมดาก็ต้องคอยห้ามคริสกับซูโฮ     พอไม่มีสองคนนั้น   ก็ต้องมาห้ามแบคยอนกับเทา    สองคนนี้ชอบทะเลาะกันเหมือนเด็กๆทุกที

                   

     

                    แบคฮยอนเบะปากไปให้สองหนุ่มทีนึงก่อนจะเดินเข้าห้องประชุมไป    ก็สองคนนั้นอยากเห็นแก่ตัวทำไมหล่ะ   ไปพูดให้หัวหน้าส่งซูโฮกับคริสไปทำงานแทน  ส่วนตัวเองก็จะเอาเวลาไปเที่ยวเล่น   หึ ขอบอก   กรรมเดี๋ยวนี้มันตามทันจริงๆ  เพราะหลังจากที่ส่งสองคนนั้นไปแล้ว   ไม่ถึงสองชั่วโมงที่หัวหน้าโทรให้กลับมาเพราะมีคดีด่วน สำหรับแบคฮยอนแล้วมันไม่เป็นปัญหาอะไรเลย  เพราะยึดคติที่ว่า ฆาตกรไม่มีวันหยุด’  ดังนั้น ทุกวันของแบคฮยอนจึงเป็นการทำงานทุกวัน   ลู่หานเป็นคนสอนเขาเอาไว้

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    เอาหล่ะ  ก่อนอื่นผมต้อง

    เอ่อ..ขออนุญาตครับ  ถ้าหัวหน้าจะขอโทษล่ะ  ก็ไม่ต้องนะครับ  ผมชินล่ะ

    ไอ่เทา!/เทา!/เชี้ยเทา!”      สามเสียงประสานกันเรียก  จนเจ้าของชื่อต้องสะดุ้ง   จึงรู้ตัวว่าพูดจาไม่มีมารยาทออกไป   ตัวเขาเองกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะวันหยุดนี้หวังว่าจะกลับบ้านเกิด พอมีคดีก็รีบปิด  มีงานอบรมก็ให้คนอื่นไป แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับบ้านอยู่ดี   ปีใหม่ทั้งทีพวกเขาควรกลับบ้านสิ? 

     หัวหน้าก็เอาแต่พูดคำเดิมๆ สงสัยเทาต้องฝึกอารมณ์ให้ดีกว่านี้แล้วหล่ะ   ไม่งั้นความซวยอาจจะมาเยือนในไม่ช้า

    ขะ..ขอโทษครับหัวหน้า

    ช่างมันเถอะ   ดูแฟ้มหน้าพวกคุณสิ

    ซีวอนพะยักพเยิด ให้ลูกน้องทั้งสี่ดูแฟ้มคดีที่เขารับงานมาจากเขตแดกู    เป็นแฟ้มคดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้

     

    หืม..อะไรเนี่ย  โหดร้ายชะมัด” >> แบคฮยอน

    นี่มันอะไรกันครับ  ศพพวกนี้” >> จงอิน

    ฉันจะอ้วกแล้วนะ” >> เทา

    ฆาตกรต่อเนื่องหรือครับหัวหน้า” >> ลู่หาน

    ใช่..ศพแรกเป็นของ นางสาวคิม แทวอน    ชาวบ้านพบศพอยุ่สวนสาธารณะแดกู  คาดว่าคนร้ายพาศพมาทิ้งไว้    ศพที่สอง นางสาวกึม กีโด  พบชิ้นส่วนต่างๆของศพห้อยอยู่บนต้นไม้  ศพที่สาม  นางสาว คิม จียอน   คนนี้ชิ้นส่วนถูกประดับไว้อยู่พุ่มไม้ของสวนหน้าบ้านคนในหมู่บ้าน ศพทั้งสามถูกทิ้งห่างกันคนละเมือง   สภาพศพเป็นเหมือนกันคือ  ร่างกายถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ  และถูกทำความสะอาดเป็นอย่างดี  จนไม่เหลือร่องรอยที่สาวหาตัวคนร้ายได้เลยและเหยื่อทั้งสามอายุเท่ากันคือ 25 ปี  แต่แตกต่างกันอยู่เรื่องเดียว...คือชิ้นส่วนที่หายไป

    ชิ้นส่วนที่หายไป?

    ใช่ ศพแรกแขนซ้าย   ศพที่สองขาซ้าย และ ศพที่สามแขนขวา

    แล้วร่องรอยการขมขื่นล่ะครับ

    ไม่มี ทั้งรองร่อยขมขื่นหรือแม้แต่รองร่อยของการต่อสู้   และดูนี่”

                   

                    ซีวอนอธิบายไปพร้อมกับเปิดจอโปรเจคเตอร์ฉายสภาพศพที่ถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ  แขน ขา หัว และลำตัวถูกตัดออกจากกันแต่ไม่มีเลือดสักหยดเพราะฆาตกรได้ทำความสะอาดเป็นอย่างดูก่อนจะนำมาจัดว่างเหมือนหุ่นลองเสื้อผ้า     และภาพสุดท้ายเป็นใบหน้าของเหยื่อ

     

                    “ยิ้ม??!!”

     

                    “ใช่  ยิ้ม เหยื่อจะต้องมีความสุขก่อนตาย   เราต้องรู้ว่าฆาตกรทำยังไงถึงได้ตัวเหยื่อไปโดยไม่มีการต่อสู้  และเขาลงมือยังไง

                    “หัวหน้าบอกว่าไอ้ฆาตกรคนนี้จะเอาชิ้นส่วนไปด้วยใช่ไหมครับ   ตอนนี้ได้ไปแล้วสาม งั้นก็เหลืออีกสาม หัว ลำตัว กับขาขวา

                    “ยังเหลือเหยื่ออีก  งั้นมันคงยังไม่หยุดแน่

                    และเพราะมันยังไม่หยุด    พวกคุณเลยต้องหยุดมัน.....ขอให้โชคดี” 

     

     

    ...............................................................................................

     

     

     

     

    ปูซาน,เกาหลีใต้

    16:00 PM.

     

    ปูซาน เกสท์เฮ้าส์

                    คริส...ฉันของนอนสักสองชั่วโมงล่ะกัน  อย่าลืมปลุกล่ะ

                    “อือ  รีบนอนไปเลยไปฉันไม่หนีไปคนเดียวหรอก

                    “ใครว่า  คราวก่อนนายยังหนีฉันไปได้เลย

                    “ก็ครั้งนั้น  มันรีบนิ  สัญญาเลย

                   

                    คริสบอกก่อนจะยกนิ้วก้อยขึ้นมายื่นไปตรงหน้า    แต่จุนมยอนกลับเมินไปซะอย่างนั้น  ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง   คริสได้แต่ส่ายหัวพร้อมกับเดินไปที่เตียงของเขาที่ห่างจากจุนมยอนเล็กน้อยพลางมองไปทางจุนมยอนที่คงกำลังจะหลับ ก่อนที่เขาจะ ทิ้งตัวลงนอนมองไปบนเพดานพร้อมกับปิดเปลือกตาลง......

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     ‘มืด

    คงเป็นความรู้สึกแรกที่จุนมยอนรับรู้ได้  หลังลืมตาขึ้นมา   คนตัวเล็กเอื่อมมือไปเปิดโคมไฟ  พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลา 

    18:40  น.

     

    เอาอีกแล้วนะอี้ฟาน!!”    คนตัวเล็กที่เริ่มจะอารมณ์เสียเมื่อดูเวลาและพบว่าบนเตียงอีกหลัง  ก็ไม่ได้มีอะไรที่บ่งบอกได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตขายาวคู่หูของเขาสถิตอยู่

    เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเกิดซ้ำซ้อน  ทำให้คิมจุนมยอนนึกถึงอดีตตอนที่เขาทั้งสองต้องไปทำภารกิจอยู่ประเทศไทย    พอเสร็จสิ้นภารกิจ  อี้ฟานก็หนีไปเที่ยวคนเดียวทั้งๆที่สัญญากันแล้วว่าจะไปด้วยกัน

    จุนมยอนลุกขึ้นไปเปิดไฟ  ให้สว่างทั่งห้อง   เพราะคิดว่าบางที่คริสอาจจะยังอยู่  เพียงแค่ไม่ได้ปลุกเขาเท่านั้นเอง.....ไม่มีจริงๆด้วย   ไม่มีแม้แต่เงา  ไอ้บ้าเอ้ย!!   อิอู๋อย่ากลับมานะมึง    จุนมยอนเดินไปรอบห้องเตะนู้น ยันนี่ไปเรื่อย     จนมาถึงหน้าประตูที่เปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อย

    นี้ออกไปแล้วไม่คิดจะปิดประตูให้กันเลยใช่ไหม?? ได้!!!!”   จุนมยอนยกเท้าขึ้นถีบประตูอย่างแรง  โดยไม่ทันได้มองเห็นว่ามีใครบางคนกำลังจะเดินเข้ามา??

     

     

    ปัง

                    อ้ากกกกก.... ~

     

     ประตูร้องได้ด้วย เจ๋งสัด!”

                    “ประตูพ่อง!!  คนจะเข้าห้องดันถีบมาได้  เป็นบ้าอะไรเนี่ย??...อู้ยยย~”  อ้าว! อี้ฟานยังไม่ไปไหนนิซวยแล้วไง

                    “เปล๊า..ไม่มีอะไรนิ

                    “แล้วถีบประตูทำไม??.........เชี้ย!! เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!”

     

                    อี้ฟานถามคู่หูตัวเล็ก  ที่ถีบประตูอัดหน้าเขาซะเต็มแรง    ก่อนที่จะเดินเข้ามาในห้องแล้วพบกับสภาพห้องที่แทบจะทำให้ช็อค    จุนมยอนมองตามอี้ฟาน  ขนาดที่เจ้าตัวยังต้องตกใจ กระเป๋าเดินทางที่ถูกเตะจนเสื้อผ้ากระจาย   โคมไฟล้มไปอยู่ใต้เตียง   จุนมยอนไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ถึงขนาดนี้   ก็ในตอนนั้นอะไรก็ตามที่อยู่ในรัศมีขาสั้นๆ(?)  มันก็ดูขวางหูขวางตาไปหมดหนิ

                    ทั้งคู่มองหน้ากัน  หน้าของอี้ฟานตอนนี้ออกแนว งงๆและต้องการคำตอบมากกว่า  คิ้วเข้มขมวดพร้อมกับตาที่จ้องไปทางจุนมยอน   คนตัวสูงไม่คิดว่าแค่เขาไปเข้าห้องน้ำแปบเดียว  กลับมาห้องจะกลายเป็นแบบนี้

                    อะ...เอ่อ ฉัน  ฉะ ฉัน”   เกิดอาการติดอ่างไปชั่วขณะ   จุนมยอนกำลังกลัว  เขาไม่อยากให้อี้ฟานรู้ว่าที่ทำไปทั้งหมดก็แค่ไม่พอใจที่คนตัวสูงออกไปเที่ยวก่อน   เพราะเหตุผลมันฟังดูไม่ค่อยจะเป็นผู้ใหญ่  และอี้ฟานก็ชอบว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กๆอยู่ด้วย    ถ้าบอกไป  มีหวังต้องยกเอาเรื่องนี้มาแขวะกันตลอดแน่ๆ

                    ว่าไง??”   มีคนเคยบอกอี้ฟานไหมว่าสายตาของเจ้าตัวมันทำให้จุนมยอนกลัวแค่ไหนในตอนนี้  นี่ถ้าจุนมยอนคนนี้เป็นคนร้ายแล้วล่ะก็  อี้ฟานก็เป็นผู้สอบสวนที่ดีมากๆเลยหล่ะ   จุนมยอนขบริมฝีปากล่างไปมาจนขึ้นสีแดงสด  ตาก็เสไปมองข้างๆแทนที่จะมองอี้ฟาน เหมือนคนที่กำลังใช้ความคิด

                    “……”

                    “….หืม??

                    “ฉันไล่ฆ่าแมลงสาปน่ะ

                    “แมลงสาป??

                    “อืม..แต่ไม่ต้องกลัวนะฉันไล่ไปแล้ว  เนี่ยไล่เตะทั่วห้องเลย”  ไล่เตะแมลงสาปเนี่ยนะ  จุนมยอนเอ่ย  เอาอะไรคิดเนี่ย     คริสมองอย่างไม่ค่อยเชื่อ  แต่ก็ไม่อยากจะเถียงอะไรอีกเพราะต้องนี้เขาเริ่มที่จะเหนื่อยๆ 

                    “งั้นหรอ..แต่ว่าเราต้องบอกป้าลี มาพ่นยานะ

                    “อือๆ เอาดีๆ  ว่าแต่เมื่อกี้นายไปไหนมา”  เปลี่ยนเรื่องคุยมันซะเลย  นี่แหละนิสัยคิมจุนมยอน

                    ไปเข้าห้องน้ำมา   แล้วก็ไปคุยเล่นกับแขกคนอื่นนิดหน่อยที่ห้องนั่งเล่นน่ะ

     

                    สถานที่พักของคู่หูสูงต่ำคู่นี้เป็นเกสท์เฮ้าส์   ดังนั้นการใช้ห้องน้ำ  ห้องนั่งเล่น  ห้องครัว  จึงต้องใช้ร่วมกัน โดยมี ลี โฮจอง หรือที่อี้ฟานเรียก ป้าลี นั้นแหละเป็นเจ้าของ  จุนมยอนชอบแบบนี้มากกว่าโรงแรมเพราะมันดีเป็นมิตรและดูอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

                    อ้าว..แล้วทำไมไม่ปลุกล่ะ  ไม่ไปเที่ยวแล้วหรอ??  เลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว

                    “ก็เห็นนายหลับอยู่  เลยไม่กล้าปลุก  แล้วอีกอย่างข้างนอกฝนก็ตก ฉันก็เลยคิดว่าควรจะปลุกตอนฝนหยุดตกจะดีกว่า

                    “อ๋อ…….” พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ  นี่สรุปว่าจุนมยอนคิดมากไปเองหรอเนี่ย?? ย๊าห์..เจ็บเท้าไปเปล่าๆเลย

                    “’งั้นเราไปรอที่ห้องรับแขกดีกว่า   เดี๋ยวฉันจะบอกป้าลีมาพ่นยา

    .

    .

    .

    .

    .

    อ้าวคุณคริส คุณซูโฮ เป็นอย่างไรบ้างคะห้องพักเรา  ถ้ามีอะไรต้องการบอกฉันได้นะคะ”  

       หญิงสาววัยกลางคนที่เจอระหว่างทางที่จะเดินไปห้องนั่งเล่นเอ่ยทักอย่างเป็นมิตรให้กับทั้งสอง นี่คงเป็น ลี โฮจองที่อี้ฟานบอก   จุนมยอนยิ้มรับตามฉบับ จากนั้นทั้งอี้ฟาน จุนมยอน และป้าลี  ก็พูดคุยกันนิดหน่อยและไม่ลืมที่จะบอกให้ไปพ่นยาที่ห้อง   โฮจองออกจะดูงงๆ ก่อนที่จะขอตัวไปเอาอาหารว่างมาเพิ่ม   จากที่ดูลักษณะภายนอก จุนมยอนว่าโฮจอง  อายุน่าจะยังไม่เกินสี่สิบ   ดูเป็นคนสะอาดสะอ้านเรียบร้อย และดูใจดี     ไม่เห็นจะเหมือน ป้าสักนิด   ไม่รู้ว่าอี้ฟานเอาอะไรมอง   อย่างที่เคยว่าล่ะนะ  อี้ฟานก็ไม่ได้เก่งไปกว่าเขาหรอก  แค่ดูอายุคนยังดูผิดเลย   

    ในห้องนั่งเล่น  มีโซฟาตั้งอยู่หน้าทีวีจอใหญ่  ที่มีเอาไว้เพื่อให้คนในเกสท์เฮ้าท์แห่งนี้  ออกมานั่งเล่น  พูดคุย สังสรรค์กันตามต้องการ  โดยมีลี โฮจองคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง  บางครั้งก็มานั่งพูดคุยด้วย  มันเลยทำให้สถานที่แห่งนี้ดูอบอุ่นและน่าอยู่

    จุนมยอนและคริสเดินคุยกันเรื่อยจนมาถึงห้องนั่งเล่นที่มีอีกหลายชีวิตอาศัยอยู่  เกือบจะทุกคนหันมาทางพวกเขาทั้งสองเหมือนกับให้ความสนใจ   แต่สุดท้ายก็หันกลับไปสนใจในสิ่งที่ตัวเองทำก่อนหน้านั้นกันแทบทุกคน  เฮ้อ....นี่แหละหนาชีวิตคนเมือง    อยู่ใกล้เหมือนอยู่ไกล  ซึ่งมันช่างขัดใจจุนมยอนคนนี้จริง    การที่เราอยู่ด้วยกันเราควรจะให้ความสนใจซึ่งกันและกัน  รักกันให้มากๆ  เพราะจะได้ไม่มาเสียใจภายหลังเมื่อไม่มีโอกาสได้ทำมัน  คนตัวเล็กไม่ยอมแพ้ก้าวออกไปด้านหน้า ก่อนจะแนะนำตัวไปทีละคน  พร้อมกับโค้งให้ทุกคน ของแบบนี้มันต้องมีคนเริ่ม  และจุนมยอนจะเป็นคนเริ่มมันเอง...

     

     

     

    SUHO   PART.

     

     

    ก็เหมือนที่อริสโตเติลว่าล่ะครับ มนุษย์เป็นสัตว์สังคมเพราะหลังจากที่เริ่มแนะนำตัวกัน เกือบจะ ทุกคนคนก็เริ่มที่จะสนุก พูดคุยเฮฮา  แค่เกือบเท่านั้นนะ  ผมสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง  โอ้โห...ถ้ายังไม่แก่เนี่ย..ผู้ชายคงจะหลงหัวปักหัวปำ       แต่สายตาที่มองมาทางผมมันดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรเลยอ่ะ

     

    เกสท์เฮ้าส์ที่เราอยู่มีสองชั้นครับ   ไม่ใหญ่มากและแขกที่มีทั้งหมดก็อยู่ที่ห้องนั่งเล่นหมดแล้วเท่าที่ผมจำชื่อได้ก็มีไม่กี่คน  นั่นก็คือ ยัยป้าที่จ้องผม ชื่อฮโยริน  แล้วก็ คู่รักวัยรุ่น คู่นี้น่ารักมากครับผู้หญิงอายุมากกว่าผู้ชายด้วย ถ้าจำไม่ผิดผู้หญิงน่าจะชื่อ  โชรง  ส่วนผู้ชายชื่อ แบมแบม  เป็นคนไทยด้วย  ประเทศที่ผมอยากไปเที่ยวแต่ไอ้คริสดันหนีไปเที่ยวคนเดียวหน่ะแหละ  คิดแล้วก็แค้น

     

    ใครอีกนะ....ผู้หญิงที่นั่งอ่านหนังสือตลอดเวลาคนนั้น อืม  โบรา ใช่แล้ว  แล้วก็แฟนของเธอ ยองแจ คู่นี้ค่อนข้างจะแปลกนะ   ไอ้ผู้ชายน่ะพูดมาก  ส่วนผู้หญิงหนิ นิ่งๆ เงียบๆ     ไม่รุ้ว่าไปขอกันเป็นแฟนยังไง คริสมันบอกว่า  ไอ้ผู้ชายคงพูดเองเออเองหมด  ส่วนผู้หญิงก็คงงงๆ เงียบๆ แบบว่า เราเป็นแฟนกันนะ...ไม่ตอบแปลว่าตกลง’  อะไรประมาณเนี่ย!!     เออ!! อีกคนนะที่ผมจำได้  คิมแจบอม  จำได้ดีเลยหล่ะ  เพราะพูดจาไม่ค่อยเข้าหูผมสักเท่าไหร่  ปากหมาแถมนิสัยแย่

    พวกเราพูดคุยกันอยู่นานครับอย่าใช่คำว่าพวกเราเลย  อันที่จริง  มันมีแค่  ผม อี้ฟาน  โชรง แบมแบม แล้วก็ยองแจ มากกว่าครับ  คุณโฮจอง ก็เสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟขนมอยู่ตลอด  บ้างครั้งบ้างคราวก็เข้ามาร่วมวงด้วย  ถึงได้รู้ว่าคุณฮโยรินสุดสวยที่จ้องผม  เป็นเพื่อนสนิทกับคุณโฮจอง   มีปัญหาเดือดร้อนนิดหน่อยเลยมาอยู่ที่นี้  ส่วนคนปากหมาแจบอม   กับคู่รักทั้งสองอยู่มานานแล้ว    คุยเพลิน จนผมเกือบลืมว่าต้องไปเที่ยว  ถ้าอี้ฟานไม่สะกิดกัน  ให้ดูนาฬิกาว่า สองทุ่มกว่าและ ฝนก็หยุดตกแล้ว สงสัยผมต้องขอตัวแล้วล่ะ

     

    วันนี้สนุกจริงๆนะฮะ  แต่ว่าตอนนี้ผมกับอี้ฟานคงต้องขอตัวก่อน

    อ้าว!!  พี่สองคนไม่อยู่ทานข้าวกับพวกเราหรอครับ       เด็กน้อยแบมแบมแฟนแก่ถามขึ้นมา  อันที่จริงก็ไม่เด็กนะ แบมแบมอายุ 19 แล้ว   ส่วนโชรงก็เพิ่งจะ 21  ห่างกันไม่กี่ปีเอง

    นั่นสิคะ    วันนี้น้าโฮจองสั่งปลาดิบมากินกันเลยนะ”        โชรงพูดเสร็จก็หันไปพยักหน้าเออออกับแฟนตัวเอง  ผมบอกแล้วสองคนนี้มันน่ารัก

                    “พวกแกจะไปรู้อะไร  พี่อี้ฟานเขาก็อยากพา แฟน ไปกินข้าวด้วยกันแค่สองคน.....

     

                    อะไรนะเมื่อกี้  ไอ้ยองแจแกพูดว่าอะไรนะ!!

     

                    “…….ใช่มั้ยครับ?”       ^^ พูดจบหันหน้า เอียงคอ  ทำหน้าตาหน้ารักล้อเลียนกะจะแซวให้ผมเขิน   รู้สึกว่าผมไม่ขำ

     

     “หึ..น้องไม่เคยตายสินะ??

     

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .        

              หลังจากที่ผม ชี้แจงแล้วว่าไม่ได้เป็นแฟนกับคริสเพราะดูท่าว่าทุกคนก็คิดแบบนั้น  พอรู้เรื่องคุณฮโยรินเริ่มจะสนอกสนใจคริสเป็นพิเศษ  เข้ามาจับนู้นแตะนี่    งั้นแสดงว่าไอ้ที่จ้องผมตลอดก็คงคิดว่าผมเป็นแฟนกับมันหล่ะสินะ

                   

    ยองแจมันบอกว่า  เห็นคนแบบเรามาเยอะ    แบบไหนน่ะหรอ??   ก็แบบที่ผู้ชายสองคนมาด้วยกัน    อีกคนหนึ่งหล่อสูงมาดแม่น   อีกคนหนึ่งก็จะเป็นแบบตัวเล็กน่ารัก  ตอนแรกมันก็ทักว่าเป็นเพื่อน  แต่ก็ทุกครั้งที่คนพวกนั้นจะบอกเป็นแฟนกันไม่ใช่เพื่อน    มันเลยรู้สึกว่าหน้าแตก!!    ครั้งนี้มันเห็นผมกับคริส  มันก็เลยตีไปว่าเป็นแฟนกัน....หึ  ผมกับคริสเนี่ยนะ!!!

    END. SUHO  PART

    .

    .

    .

    .

    .

    โซล,เกาหลีใต้

    International   Detective  Centers; IDC

    19:40 .

                   

                    “มีความคืบหน้าอะไรมั้ยแบคฮยอน??”  ลู่หานถามคู่หูตัวเองที่กำลังหาข้อมูลและประวัติของผู้ตายโดยละเอียด

                    ฮะ..แต่ยังไม่มากเท่าไร    ผู้ตายทั้งสามไม่มีอะไรที่เชื่อมโยงกันเลยครับ    ทั้งอาชีพและไลฟ์สไตล์ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน....

                    “แสดงว่าฆาตกรไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกับเหยื่อ…..แล้วทำไม่ต้องตัดชิ้นส่วนไปหล่ะ”  >> จงอิน

                    “แต่มีอีกอย่างครับพี่ลู่หาน พี่จงอิน....ผู้ตายทั้งหมดนอกจากจะอายุเพียงแค่ 25 แล้วพวกเขายังมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันครับ        แบคฮยอนพูดพร้อมกับกดโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ตัวเองให้ไปฉายอยู่หน้าจอใหญ่   ปรากฏภายผู้ตายที่เป็นภาพในบัตรประจำตัวประชาชน  พร้อมกับประวัติ

                    “ผู้หญิงผมดำหยักศก...หน้ารูปไข่...ผิวเข้ม?.....คนพวกนี้ดูเหมือนพี่น้องกันเลย”>> เทา

                    “ใช่...และฉันคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ฆาตกรจะสุ่มลงมือกับเหยื่อแล้วเจอคนที่คล้ายกันขนาดนี้

                    “’งั้นแสดงว่าฆาตกรจะเลือกเหยื่อที่มีลักษณะแบบนี้..แล้วทำยังไงไม่ให้เกิดการต่อสู้ได้??

                    “ตอนนี้เรายังสรุปอะไรแน่ชัดไม่ได้   ต้องรอผลจากห้องชันสูตรด้วย...แต่ว่านะ...เทา!!  นายประสานงานกับตำรวจของแดกูให้แจ้งเตือนประชาชนโดยเฉพาะผู้หญิง  ผมดำหยักศก ผิวเข้ม ส่วนสูงประมาณ 160 ถึง 165 เซนติเมตร  อายุประมาณ 25 ปี เพราะป็นลักษณะที่ฆาตกรต้องการ

    ส่วนนายจงอิน ช่วยไปเร่งงานฝ่ายนิติเวชที   แบคฮยอนหาข้อมูลเพิ่มเติม และติดต่อคริสกับซูโฮให้กลับมาได้แล้ว

    ลู่หานสั่งรุ่นน้อง  ก่อนที่ทั้งสามคนจะตอบรับและแยกกันไปตามที่ได้รับคำสั่ง    ทุกครั้งที่ทำงานคริสจะได้เป็นผู้นำ    แต่คราวนี้คริสไม่อยู่    และลู่หานเองจึงต้องรับหน้าที่นี้

    ลู่หานยังคิดไม่ตก   ฆาตกรเป็นใคร?  มีอุบายอะไรที่ทำให้เหยื่อไม่ต่อสู้?     คิดแล้วก็คิดไม่ออก  คงต้องรอผลชันสูตรจากแผนกนิติเวชมาประกอบก่อน   งานนี้ไม่ง่ายเลย

     

     

    แผนกนิติเวช, IDC

    20:00 น.

                    ติ๊ง!!’

     

                    เสียงเตือนของลิฟต์  บ่งบอกผู้ที่อยู่ภายในว่าได้มาถึงชั้นที่ต้องการแล้ว  ร่างสูงผิวเข้มสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ     เพื่อเรียกขวัญกำลังใจตัวเอง  ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมทุกทีที่ลงมาแผนกนี้ เขาต้องกลัวจนเหงื่อตก    ทั้งๆที่แผนกนี้เปิดแอร์แรงกว่าแผนกอื่น

                    อ้าว...คุณจงอิน”    เสียงทักสดใสของยูนอาแผนกสืบสวนอีกคนหนึ่ง   แต่อยู่กันคนละหน่วยกับจงอิน  เป็นปรกติที่จะเห็นคนจากฝ่ายสืบสวนมาที่แผนกนิติเวชเพราะต้องมาเอาหลักฐาน  หรือแม้แต่มาดูศพของคนตายเพื่อไปประกอบการสืบสวน     ส่วนยูนอาสงสัยคงจะมาเอาหลักฐานเพราะในมือถือถุงซิปพลาสติกที่ใส่หัวกระสุนอยู่             จงอินยิ้มรับอีกฝ่าย   พร้อมถามหาเจ้าหน้าที่นิติเวชที่ประจำอยู่หน่วยของเขา

                    หลังจากได้รับคำตอบว่าคนที่ถามหาคงอยู่ที่ห้องชันสูตร   จงอินก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปในแผนกนิติเวช  แผนกนี้แยกกันเป็นห้องๆได้อย่างชัดเจน   หนึ่งห้องต่อหนึ่งหน่วย    แผนกสืบสวนหน่วยของจงอิน  ต้องเดินเข้าไปที่ห้องหมายเลข  1803    จงอินสแกนลายนิ้วมือทั้งห้า  พร้อมบอกรหัสประจำตัวเจ้าหน้าที่เพื่อเป็นรหัสผ่านเข้าไปด้านใน     

                    จะมองผมอีกนานมั้ยครับ....เจ้าหน้าที่คิมจงอิน

     

    เพราะจงอินมัวแต่มองคุณหมอตัวเล็กที่กำลังง้วนอยู่กับชิ้นส่วนของศพทั้งสามศพอยู่นานนั้นแหละ  ทำให้คนที่ถูกมองต้องเอ่ยทักขึ้นมา    โดยไม่เงยหน้ามามองคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่

     

    แฮ่ๆ   ครับหมอโด  ขอโทษที่เสียมารยาทครับ

    ขอโทษแล้วก็จำด้วยสิ...ถ้าจะมาเรื่องคดีล่ะก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า   คงต้องรอผลตรวจจากเลือดก่อน................มีอะไรอีกมั้ย??

     

    คยองซูเงยหน้าจากศพทันทีที่จบประโยคที่ออกแนวไล่กรายๆ    นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้จงอินไม่กล้าที่จะลงมาแผนกนิติเวช    ไม่ใช่เพราะแอร์เย็น  ไม่ใช่เพราะศพเน่า    แต่คงเป็นเพราะคนตรงหน้าที่มองมาที่สายตานิ่งเฉยยากที่จะคาดเดา  ว่าในใจคิดอะไรอยู่กันแน่      คนอย่างคิมจงอินทำไมต้องมากลัวกะอิแค่หมอตัวเล็ก  ที่ถือแต่มีดผ่าศพนะ!!!

    .

    .

    .

    ........................................50% ..................................................


     

    ปูซาน,เกาหลีใต้

    22:10  PM.

     

    ย่านนัมโพดง

     

     

                ตอนนี้คู่หูสูงต่ำทั้งสองคนกำลังอยู่ที่ย่านนัมโพดง    แหล่งช้อปปิ้งมอลขนาดใหญ่อย่างที่คู่หูต่างไซน์ชอบ หลังจากที่เถียงกันอยู่นานว่าจะทานข้าวร้านไหน     สุดท้ายก็เลยแยกกันทาน สบายใจดีทั้งสองฝ่าย^^   จุนมยอนเลือกทานอาหารญี่ปุ่น  ส่วนคริสก็เข้าร้านอาหารจีน      หลังจัดการปากท้องเรียบร้อยทั้งสองคนก็เดินช้อปต่อด้วยกัน     จะว่าไปแล้วมาฟังการบรรยายคราวนี้มันก็ไม่เลวร้ายอะไรนะ     เพราะทั้งคู่แทบจะไม่ทะเลาะกันเลย  ยกเว้นเรื่องกินเมื่อกี้

                    นี่คริส  ฉันว่าเราน่าจะกลับได้แล้วนะ   ไม่ได้เอาโทรศัพท์มาแบบเนี่ย...ฉันรู้สึกแปลกๆ จุนมยอนเริ่มกังวลเพราะปกติเขาต้องพกโทรศัพท์ติดตัวไว้เสมอ   คริสก็เห็นด้วย  เพราะทั้งสองคนลืมโทรศัพท์เอาไว้ที่เกสท์เฮ้าส์ด้วยกันเลยทั้งคู่

                    อืม..ก็ได้  แต่ว่าเข้าร้านรองเท้าร้านนั้นก่อนได้ป่ะ”  คริสชี้มือไปยังร้านที่อยู่ด้านจุนมยอน   มันเป็นร้านรองเท้ายี่ห้อดังที่มีรุ่นหายากที่คนตัวสูงต้องการพอดี   จุนมยอนพยักหน้าก่อนจะได้ยินเสียง

      

    กรี้ดดดดดด  ดดดดดดดดดดด ช่วยด้วย  คนขโมยกระเป๋า

      

     ตามสัญชาตญาณของคนดี   ทั้งสองรีบมองหาต้นเสียงก่อนจุนมยอนจะตั้งท่าวิ่ง     แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละ  เพราะเมื่อเห็นจุนมยอนจะวิ่งอี้ฟานก็ดึงแขนคนตัวเล็กไว้    แล้วเอาทุกอย่างที่ตัวเองถือมาทิ้งไว้ที่คู่หูตัวจิ๋ว  ก่อนที่จะพูดประโยคที่มันทำให้คู่หูคิ้วกระตุก

    นายอยู่นี้แหละ   เดี๋ยวฉันกลับมา   งานนี้เขาต้องการพระเอกไม่ใช่ตัวประกอบ”      พูดจบก็ยักคิ้วให้พร้อมกับกระตุกมุมปากข้างหนึ่ง     ก่อนจะออกวิ่งตามขโมยไปเรียกเสียงกรี้ดจากสาวๆแถวนั้นได้มาก   แต่ว่านะ มะ..เมี่อกี้ไอ้อี้ฟานมันว่าอะไรนะ

                   

    งานนี้เขาต้องการพระเอกไม่ใช่ตัวประกอบ

     งานนี้เขาต้องการพระเอกไม่ใช่ตัวประกอบ

    งานนี้เขาต้องการพระเอกไม่ใช่ตัวประกอบ

     

    ย๊าห์!!!  อี้ฟานฉันก็พระเอกนะเว้ยยยยยย!!”   ทันทีที่รู้ตัวว่าโดนหลอกด่า   จุนมยอนก็รีบวิ่งตามไปแต่ว่าก็ไม่ทันแล้ว   มองไปทางไหนก็มีแต่คนพลุกพล่านไปหมด ไม่เห็นอี้ฟานเลย   และด้วยคงเพราะของที่ถือกับจำนวนคนที่เดินมันเยอะมากจนเบียดให้เขาเข้าไปในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง..

    จุนมยอนมองไปรอบๆ  สุดตรอกนี้มันก็คือนัมโพดงอีกฝั่ง   กำลังคิดอยู่ว่าจะเดินผ่านไปดีมั้ย  เพราะมันทั้งมืดแถมแฉะอีกต่างหาก    แต่ว่าคงต้องเปลี่ยนใจเมื่อมองไปรอบๆเพราะตรอกนี้ท่าทางจะมีของดีเยอะ(?)     ของดีที่ว่าก็พวกหนุ่มสาววัยรุ่นไง    เพราะมันมืดและลับตาคน  พวกเขาถึงเลือกมาพลอดรักกันอยู่นี่      หืมห์..คู่นี้จูบ...คู่นั้นไซร้คอ...และก็ยังมีอีกหลายคู่ที่มองไม่เห็น 

    ตึก...ตัก...ตึก...ตัก...

     

    หันหลังเดินกลับไม่ทันไรก็ต้องหันกลับไปอีกเพราะได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้   ทันทีที่เจ้าตัวหันกลับมาดูก็ต้องตกใจเพราะมีชายปริศนาที่ไม่มองเห็นหน้าเพราะเขาใส่หมวกและค่อนข้างมืด   เข้ามาจับไหล่ทั้งสองข้างของจุนมยอนเอาไว้ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ.....

    แฮ่ก....แฮ..ชะ..ช่วยผมด้วย....คุณต้องช่วยผมนะ..แฮ่ก..ช่วย..ฮะแฮ่ก.”    ชายปริศนาพูดด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ว่าเขาเหนื่อยเหลือเกิน

    ห๊ะ??...ชะ..ช่วย?  ช่วยอะไรครับ”     ชายคนนั้นหันกลับไปยังทางที่เขาวิ่งมา  จุนมยอนก็มองด้วยมีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่หยุดอยู่ปากทาง    มีส่วนหนึ่งวิ่งไปข้างหน้า และอีกส่วนกำลังวิ่งมาทางที่จุนมยอนและชายปริศนาชุดดำคนนี้อยู่

    คุณ...อะอื้อออ~”   ยังไม่ได้ถามให้จบประโยค ชายหนุ่มตรงหน้าก็ประกบปากเข้ากับปากนุ่มของจุนมยอนทันที     กลีบปากสีชมพูถูกดูดซับจนเกิดเสียงน่าอาย     คนตัวเล็กรับรู้ถึงความรู้สึกตื่นกลัวของคนตรงหน้าได้ตั้งแต่สัมผัสกัน  ชายหนุ่มหัวใจเต้นแรงและเร็วอาจเป็นเพราะผลพวงมาจากการวิ่ง    ลมหายใจที่ร้อนและแรงเป่ารดมายังใบหน้าน่ารักจนรู้สึกได้     จูบที่รวดเร็วรุนแรงและเอาแต่ใจส่งผลให้มือไม้ที่ถือถุงใส่ของอยู่อ่อนไปหมด      จุนมยอนเผลอปล่อยของทั้งหมดที่ถืออยู่ก่อนจะยกแขนขึ้นไปโอบรอบคอและเปิดปากรับคนที่กำลังมอบจูบให้เขาอย่างไม่รู้ตัว..............

    .

    .

    ถ้าพรหมลิขิตมีจริง...หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ

    จุนมยอนไม่รู้เลยว่านานเท่าไรแล้วที่เสียงฝีเท้าของชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นจากไป       มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ชายคนนั้นถอนจูบออก  และกล่าวลา   ในขณะที่จุนมยอนกำลังมึนงงกับตัวเอง   พอได้สติผู้ชายคนนั้นก็จากไปแล้ว   จุนมยอนได้แต่กร่นด่าในใจ   คนอะไรอยู่เฉยก็มาขโมยจูบคนอื่น   แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คงเป็นจุนมยอนเองที่ยอม   คิดแล้วก็รู้สึกร้อนๆที่หน้า  แถมยังหน่วงๆที่อก จับดูถึงได้รู้ว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงอย่างที่เจ้าตัวยังนึกอาย

     

    ย๊าห์!!!   แล้วทำไมหัวใจฉันมันต้องเต้นแรงขนาดนี้เนี่ย!!!!”

    .

    .

    .

    .

    .

                    หลังจากที่ตามหาอี้ฟานอยู่นานก็ไม่มีท่าทีจะพบ   จุนมยอนเลยกลับไปที่ที่แยกกัน   ก็เลยได้เห็นคู่หูตัวสูงยืนรออยู่ด้วยท่าท่างที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

     

                    “หายไปไหนมา??  ฉันบอกให้นายรออยู่นี้ไม่ใช่รึไง!!”

                    “ก็มาแล้วนี่ไง...ฉันก็ไปตามนายนั้นหล่ะ..อยู่ๆก็วิ่งออกไป   ทิ้งฉันไว้เหมือนทุกที”    ตอนแรกก็กะจะว่าเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง   แต่อี้ฟานกลับตะคอกเสียงใส่กันทำเหมือนเขาเป็นเด็กๆ   จุนมยอนโตแล้วนะ เรียนจบแล้วด้วย ทำงานหาเงินกินเองสบาย อี้ฟานทำอย่างกับเป็นพ่อเขา

                    เฮ้อ..ขอโทษล่ะกัน  ฉันแค่เป็นห่วงน่ะ  เราสองคนไม่มีโทรศัพท์ฉันเลยกลัวว่านายจะเป็นอะไรไป.....นี้อย่าทำหน้าแบบนี้สิ   เอาของมาจะถือให้พูดจบก็มาแย่งเอาถุงทั้งหมดก่อนที่จะเปลี่ยนมือมาจับจุนมยอนและลากไปด้วยกัน

    อี้ฟานพูดตามสิ่งที่เขาคิด   ก่อนหน้านี้เข้าวิ่งไล่โจรวิ่งราวจนเหนื่อยกลับมาไม่เห็นคู่หูตัวจ้อยที่จุดที่เจอล่าสุด  เลยคิดว่าตัวเองมาผิดจุด   ได้แต่เดินตามหาไปทั่วก็ไม่เจอ  ทั้งห่วง ทั้งโกรธที่คนตัวเล็กไม่ฟังกัน    เลยพูดใส่อารมณ์ไปหน่อย  แต่พอเห็นสีหน้าน้อยใจของคู่หูก็อดรู้สึกผิดไม่ได้...

    .

    .

    .

    .

                   

     

    ปูซาน เกสท์เฮ้าส์

    00:50 AM.

     

                   

                    “นายว่าพวกเขาจะหลับหมดรึยัง”   จุนมยอนถามขึ้นมาเมื่อมองดูนาฬิกาที่บอกเอาไว้ว่าจะเลยเลยเที่ยงคืนแล้ว

                    หลับแล้วหล่ะ  ดึกขนาดนี้ เรารีบไปนอนเถอะพรุ่งนี้ต้องฟังบรรยายอีก”   อี้ฟานตอบแต่เมื่อเข้ามาในบ้านก็ต้องพบกับทุกคนที่ยังไม่นอน    แถมยังมานั่งรวมตัวกันที่ห้องรับแขกด้วยท่าทางตื่นตระหนก  สร้างความฉงนให้กับทั้งสองอย่างมาก

     

                    “อ้าว..ยังไม่นอนกันอีกหรอครับ....แหม่ ! นอนดึกกันจังเลย  อี้ฟานแกล้งแซว   แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเล่นด้วยก็ถูกจุนมยอนตีเพราะเสียมารยาท    ดูแบบนี้ก็รู้ว่าต้องมีใครสักคนกำลังเสียใจ  ก่อนจะถาม

                    “เกิดอะไรขึ้นหรอครับคุณโฮจอง?? ”     จุนมยอนเลือกถามเจ้าของเพราะคิดว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นก็คงจะเป็นคุณโฮจองที่รู้เรื่องก่อน

                    คือเมื่อตอนที่เราทานอาหารค่ำกันอยู่    อยู่เฉยๆคุณฮโยรินก็เกิดอาการแปลกๆเธอบอกชาไปทั้งตัวแถมขยับตัวไม่ได้อีก  แล้วเริ่มหมดสติ  เราเลยพาเธอไปส่งโรงพยาบาล   แล้วเมื่อครู่ทางโรงพยาบาลก็โทรมาบอกว่าเธอเสียชีวิตแล้วค่ะ”    อะไรนะ ยัยป้าที่จ้องจุนมยอนเนี่ยนะ   ถึงจะรู้สึกไม่ชอบแต่ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ที่มาตายไปแบบนี้

                    แล้วหมอว่ายังไงบ้างครับ >> อี้ฟาน

                    “หมอบอกว่าเธอโดนพิษเทโทรโดท็อกซินค่ะ ” >>โฮจอง

                    “พิษปลาปักเป้า??!” >> จุนมยอน

                    “ใช่ค่ะ..เพราะตอนทานอาหารค่ำกันเราทานปลาดิบที่มีปลาปักเป้าอยู่ด้วย....ตอนนี้ทุกคนเลยกังวลมากเพราะก็ทานกันไปเยอะเหมือนกัน” >>โฮจอง

                    พวกคุณทานอาหารกันตอนไหนครับ” >> อี้ฟาน

                    “แล้วก่อนหน้านั้น คุณโฮจองได้ทานอะไรหรือทำอะไรรึเปล่า??” >> จุนมยอน

                   

                    เมื่อได้กลิ่นตะหงิดๆ    ทั้งคู่ก็ไม่รอช้ารีบสวมวิณญาณนักสืบทันทีเพราะจากที่เล่ามามันมีอะไรที่ฟังแปลกๆ

                    เราเริ่มทานอาหารประมาณ 3 ทุ่มค่ะ   จากนั้นพอทานได้ไม่นานคุณโฮจองก็เริ่มมีอาการ     ส่วนก่อนหน้านั้นเธอก็ไม่ได้ทำอะไรค่ะ   จะมีก็นั่งเล่นและทานอาหารว่างด้วยกันที่ห้องนั่งเล่นล่ะมั้งค่ะ”    ขณะที่โฮจองพูดไปจุนมยอนก็สังเกตท่าทางแต่ละคนไปด้วย

     

                    หึ..พวกแกจะมานั่งกลัวอ่ะไรว่ะ    ยัยนั้นไม่ได้ตายเพราะปลาแต่ตายเพราะมีคนทำต่างหากล่ะ     ระวังตัวพวกแกให้ดีล่ะกัน   ก่อนที่มันจะให้พวกแกเป็นรายต่อไป ฮ่าฮ่าฮ่ะฮ่า~”  

    พูดจบคนปากร้ายคิมแจบอมก็เดินเข้าห้องตัวเองไป  ที่เขาพูดหมายความว่าไง    มีฆาตกรอยู่ในนี้อย่างที่จุนมยอนและอี้ฟานคิดใช่มั้ย??    เขาเห็นคนร้ายหรอ??  แล้วทำไมไม่บอกว่าเป็นใคร  รึว่าคนร้ายจะเป็นเขาเอง???   จุนมยอนดูปฏิกิริยาทุกคนก่อนจะขอตัวพร้อมกับดึงอี้ฟานให้เข้าห้อง

    .

    .

    .

    .

    ห้องพัก

     

                    เฮ้อ..ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนโคนันขึ้นไปทุกที...ไปที่ไหนก็มีแต่คนตาย    อี้ฟานพูดพลางล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยความอ่อนล้า

                    นายก็คิดว่ามันแปลกๆใช่มั้ยคริส

                    “อืม..ถ้าพิษมันมาจากปลาจริงน่าจะออกฤทธิ์หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว  ไม่น่าจะมาเป็นกลางโต๊ะ”      เพราะปกติแล้วพิษเทโทรโดท็อกซินนี้จะออกฤทธิ์ประมาณ 1 ชั่งโมง และออกฤทธิ์สูงสุดที่ 4-6 ชั่วโมง   ถ้าเป็นเพราะปลาจริง  คนอื่นๆก็น่าจะมีอาการฮโยรินคงไม่ดวงซวยขนาดนั้นที่จะโดนคนเดียว

                    งั้นก็ต้องเป็นเพราะอาหารว่างก่อนหน้านั้น

                    “แต่เราทุกคนก็ทานด้วยกันนะ

                    “ไม่ๆ ไม่  มีอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือน....เครื่องดื่มไงหล่ะ  บ้างทีฆาตกรอาจใส่ยาพิษลงในนั้นก็ได้     ฉันจะไปถามโฮจองดูว่าฮโยรินดื่มอะไร  ”     

     

    เดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว  จุนมยอนก็ต้องชะงักจนอี้ฟานสงสัย  ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนหนังตาหนักอึ่ง   แทบจะไม่สามารถลืมขึ้นได้  อี้ฟานก็เช่นกัน มองไปที่ประตูและรอบๆห้องมีควันสีขาวลอยอยู่   ก็รู้ทันทีว่าโดนรมยา  อี้ฟานรีบพาตัวเองไปประคองคู่หูตัวเล็กที่กลัวจะหัวฟาดพื้น    ก่อนที่จะพากันไปที่ประตูแต่ดูเหมือนว่ายาที่ได้จะหนักเอาการ   เพราะเมื่อประคองคู่หูได้แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องล้มลงกันทั้งคู่   ใครกันนะเป็นทำเรื่องแบบนี้............

     

     

     

    คุณรู้ได้ไงว่าฮโยรินไม่ได้ตายเพราะปลา

    เพราะฉันเก่งไงหล่ะ

    บางทีคนเก่งๆ ก็ไม่สมควรมีชีวิตอยู่นะ    ว่ามั้ย?

    ‘……???….’

    ‘……………’

    อร๊ากกกกกกกกกกกกก..กกกกกกกก

    ขอโทษนะ....ฉันก็ไม่ได้อยากทำ

     

     

     

    02:30 AM.

     

                    “ตื่น..ตื่นได้แล้ว....คริส!!”

                    “อืม..ขออีกห้านาที

                    “ห้านาทีไม่ได้นะ....ตัวฉันจะแบนอยู่แล้ว  ลุกไปเลยนะตัวก็หนักยังมาทับคนอื่นอีก

                    “อ่า...ก็ได้ๆลุกแล้วๆ”     นั่งงงอยู่สักพักก่อนจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น  โดยไม่ได้สนใจคนที่ตัวเองเคยนอนทับอยู่ว่าตอนนี้หน้าแดงแค่ไหน   เพราะตอนตื่นมาตัวอี้ฟานก็ทับแถมหน้าก็อยู่ห่างกันไม่ถึงนิ้ว  ทำเอาจุนมยอนตกใจแทบแย่      วันนี้มันวันอะไรทำไมหัวใจเขาถึงได้ทำงานหนักขนาดนี้

                    จำได้ล่าสุดคือ  จุนมยอนกำลังจะออกไปข้างนอก  แล้วก็มีควันรอบตัว ....ควัน?...ใช่แล้ว!! ล่าสุดเขาทั้งสองโดนรมยาในห้อง

                    ถ้าเราโดนรมยา...แล้วคนอื่นหล่ะ??”    อี้ฟานรีบวิ่งออกไปโดยไม่ลืมที่จะดึงคู่หูที่ไม่รู้เป็นอะไรเอาแต่ก้มหน้าอยู่ได้  ซึ่งดูแล้วขัดใจพิกล

                   แยกกันไปดู  นายไปดูห้องของแบมแบมกับโชรงแล้วก็แจบอม    ฉันจะไปดูห้องของโบรากับยองแจและคุณโฮจองเอง”        

                   

                   

                     พยักหน้ารับคนสั่งคู่หูก่อนจะรีบวิ่งขึ้นไปชั้นสอง  เนื่องจากห้องบุคคลทั้งสามที่จุนมยอนต้องไปตรวจสอบต่างอยู่ชั้นสอง    นักสืบตัวเล็กเร่งรุดไปที่ห้องของคู่ของแบมแบมและโชรงก่อน

                    โชคดีที่ห้องไม่ได้ล็อก   จุนมยอนจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเนื่องจากเคาะเรียกอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีใครมาเปิด   อาจจะเป็นเพราะโดนยาเช่นเดียวกัน  จุนมยอนคิดแบบนั้น     เมื่อเข้าไปในห้องก็เป็นแบบที่คิดทั้งสองคนนอนสลบอยู่บนเตียง

                    เรียกไปก็เขย่าตัวไป   จนคู่รักตื่นมาด้วยท่าทางงัวเงีย    พอถามก็ได้ความว่าทั้งสองแถมไม่รู้เรื่องอะไรเลย

                                   

                   

                    ผมไม่รู้อะไรเลยฮะ    จำได้ครั้งสุดท้ายก็ตอนพี่โชรงเข้าห้องน้ำ   จากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลยจนพี่มาปลุกนี่แหละฮะ   >>แบมแบม

                    โชรงก็ไม่รู้อะไรเลยค่ะ    ออกมาจากห้องน้ำก็เห็นแบมหลับอยู่จากนั้นว่าจะเข้าไปหาก็ไม่รู้อะไรอีกเลย >>โชรง

     

                   

     

     

     

     

     

                    ท่าทางที่ทั้งสองแสดงออกมาทำให้จุนมยอนคิดว่าทั้งสองคงไม่รู้เรื่องอะไรจริงๆถ้าไม่   ก็คงแสดงละครได้เก่งมาก     จุนมยอนชวนทั้งสองให้ไปห้องของคิมแจบอมด้วยกัน   แต่เมื่อไปถึงห้องกลับล็อคอยู่แถมเรียกแล้วไม่มีใครมาเปิดอีก          จึงตัดสินใจไปรวมตัวกันกับคริสที่อยู่ข้างล่างก่อน      แล้วถึงจะไปขอกุญแจเปิดห้องกับคุณโฮจอง

     

     

                    แต่เมื่อมาถึงข้างล่างก็เห็นคริส  โบราและยองแจยืนอยู่ที่หน้าห้องของโฮจอง

     

                   

     

     

                    “คริส..ห้องของแจบอมล็อคเอาไว้   ฉันเรียกแล้วยังไม่ออกมาเลย

                    “ห้องของคุณโฮจองก็ล็อคเหมือนกัน    นายลองดูทีประตูตรงระเบียงรึยัง??”    เพราะคริสเองก็ไปดูที่หน้าต่างห้องของโฮจองแล้วมันเป็นกระจก   เพียงแต่ว่ามีผ้าม่านปิดไว้จึงไม่เห็นอะไร

                    งั้นเราลองไปดูกันไหมครับ??   ห้องของผมมีระเบียงติดกับห้องของคุณแจบอมพอดี    เราลองข้ามกันไปดูก็ได้นะครับ” 

                   

                      

     

                    แบมแบมออกความคิดเห็นเพราะจำได้ว่าเคยยืนคุยกับแจบอมมาก่อนแม้ไม่บ่อยมากก็เถอะ  เผื่อบางทีห้องของแจบอมอาจจะไม่ได้ล็อคประตูทางระเบียง        ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะพากันไปชั้นสอง      และใช้ห้องของแบมแบมเป็นทางผ่านไปยังระเบียงห้องของแจบอม  

     

     

                        ในตอนแรกจุนมยอนและคริสจะเป็นคนไปดู     คริสข้ามไปได้อย่างสบายอาจเป็นเพราะเป็นคนขายาว   และไม่กลัวความสูงแต่จุนมยอนน่ะสิมันช่างตรงข้ามกับคริสซะเหลือเกิน    คริสยังแปลกใจที่จุนมยอนผ่านบททดสอบกระโดดร่มมาได้อย่างไร       สุดท้ายแล้วคริสจึงต้องเป็นคนข้ามไปคนเดียว   ส่วนคนอื่นๆก็รออยู่หน้าห้อง

     

                   

     

     

     

                    นายนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ    ยังดีนะที่นายมีฉันน่ะ

     

     

                    “แหม่....ได้ทีเลยนะ

                    “ฮ่าฮ่า..โอ๊ะ!!  ประตูไม่ได้ล็อคด้วย   แปลกจัง”  

                    เร็วๆอย่าพูดมาก   เข้าไปดูเร็วๆ   ไม่รู้สลบแล้วหัวไปฟาดพื้นรึเปล่า”    พูดเร่งอีกคนในขณะที่ตนเองรออยู่ระเบียงอีกห้องหนึ่ง

                   

                   

                    “เฮ้ย!!”

                    “อะไรว่ะ...คริส!!”     ทันทีที่หลังของอี้ฟานหายเข้าไปในห้อง    จุนมยอนก็ได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นตกใจของคู่หู    มันทำให้เขาอดเป็นห่วงไม่ได้       ไม่นานหลังจากได้ยินเสียงร้องอี้ฟานก็วิ่งออกมาจากห้องด้วยหน้าตาตื่นตระหนก

                    อะไร??..เกิดอะไรขึ้น??”      ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกิดเรื่องเพราะสีหน้าท่าทางของคริสมันช่างบ่งบอกเหลือเกินว่ามันดูเคร่งเครียดกว่าปกติ  

                    แจบอมตายแล้ว   โดนฆ่าด้วย”    

                    “ห๊ะ!!    โดนฆ่า??

                    “ใช่..นายรีบไปโทรบอกตำรวจ ส่วนฉันจะไปคุมทุกคนไม่ให้วุ่นวายเอง

                    “อืมๆ ได้”    เมื่อรับคำสั่งตัวจุนมยอนก็รีบวิ่งไปที่ห้องตนเองที่อยู่ชั้นแรกเพราะโทรศัพท์ของเขาอยู่ในห้อง       เมื่อเปิดโทรศัพท์ก็ได้พบกับข้อความและสายที่ไม่ได้รับจากแบคฮยอนมากมาย    จุนมยอนเลยเปิดข้อวามดูเพราะดูจากเวลาแล้วตีสองจะตีสามแล้วไม่น่าใช่เวลาที่จะโทรไปรบกวน     เมื่อได้อ่านข้อความก็ต้องถอนหายใจอออกมา       

     

     

     

    พี่ลู่หานบอกให้กลับมา ด่วน

     

     

    มีคดีมาใหม่

    ถ้าได้รับข้อความแล้ว    รีบกลับมาให้เร็วที่สุดเลยนะ

     

                                                                                                                                    แบคฮยอน

                                                                                                                                    22:00 AM.

     

     

    โซล,เกาหลีใต้

    International   Detective  Centers; IDC

     00:40 AM.

     

     

                   

                    “ติดต่อคริสกับซูโฮไม่ได้เลยอ่า....ได้แต่ฝากข้อความเอาไว้”    เสียงบ่นของแบคฮยอนที่ฟังทีไรมันให้ความรู้สึกเหมือนหมาน้อยงอนเจ้านาย   ทำให้คิมจงอินอดยิ้มไม่ได้

     

                    ไม่เป็นไรหรอกมั้งแบคฮยอน     พวกนั้นอาจจะไปเที่ยวอยู่ก็ได้”    เมื่อเห็นสีหน้ารู้สึกแย่ของแบคฮยอน ตัวเขาก็อดจะพูดปลอบไม่ได้

     

                    อะไรกันพวกนี้  เที่ยงคืนกว่าแล้วนะ

                    “เอาเถอะน่า    พรุ่งนี้เดี๋ยวก็เจอ  เชื่อสิ  กลับบ้านเถอะดึกแล้ว  พี่ไปส่งนะ”    พูดเสร็จก็เดินไปเก็บข้าวของช่วยคนตัวเล็ก

                    “ไม่เป็นไรฮะพี่จงอิน   พี่ลู่หานจะไปส่งผมฮะ  ไม่ต้องลำบากหรอกฮะ

                    “อ่า~  อะไรอ่า  พี่ช้ากว่าไอ้ลู่อีกแล้วหรอเนี่ย  ฮ่าฮ่า    อุตส่าห์จะชวนไปทานอาหาร เฮ้อ~”

                    “ไม่เห็นเป็นไรเลยครับ   พี่ก็ไปชวนคุณหมอคยองสิครับ    ยังไม่กลับหรอกครับ

                    “ไม่เอาอ่ะ   ถ้าจะไปชวนคุณหมอล่ะนะ   สู้พี่ไปชวนพวกแผนกเอกสารดีกว่า”    ก็แผนกเอกสารส่วนมากเป็นพวกอายุที่เลย 50 ปีกันทั้งนั้น   แต่จงอินก็ขอเลือกทางนี้ดีกว่าไม่ไหวหรอก  ถ้าเขาจะต้องไปนั่งทานข้าวกับคนที่นิ่งยังกะศพขนาดนั้น

     

                    งั้นหรอครับ อิอิ......หืม.....ครับ....พี่จงอินครับผมกลับก่อนนะ  พี่ลู่หานรออยู่ข้างล่างแล้ว

                    “อ่า..งั้นโชคดีนะ”    ล่ำลากันเสร็จ    จงอินก็หันไปเก็บข้าวของตัวเอง   ไอ้คู่หูสุดกวนของเขาก็กลับไปแล้วเมื่อชั่วโมงที่แล้ว    วันนี้คงจะต้องกลับบ้านคนเดียวอีกแล้ว

     

    .

    .

    .

    .

    .

                    จงอิน  ต้องลงไปเอารถอยู่ชั้นใต้ดิน   จึงต้องอาศัยลิฟต์ลงไปชั้นล่างสุด    แต่เมื่อพอลิฟต์มา   คนที่อยู่ในนั้น  กลับเป็นคนเดียวกันที่ทำให้เค้ากลัวจนเหงือออกมือ   โด  คยองซู

                   

                    การเดินทางแค่ไม่กี่นาที  แต่จงอินกลับรู้สึกว่ามันนานแสนนาน   ไม่มีใครพูดอะไรกัน   แน่นอนอยู่แล้วว่าคยองซูนั้นไม่ใช่คนพูดมาก   บางครั้งก็ชอบทำหน้านิ่งๆ   ซึ่งนั้นมันทำให้จงอินกลัวแบบไม่รู้ตัว

     

                    แต่ด้วยเพราะทำงานหน่วยเดียวกัน มันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องทำงานร่วมกัน   อาจเป็นเพราะคยองซูเพิ่งย้ายมาใหม่   จงอินคิดในแง่ดี  คิดได้อย่างนั้นก็เลยทำในสิ่งที่ตนปฏิเสธไปเมื่อไม่ถึงยี่สิบนาทีที่แล้ว

     

                    หมอโดครับ   

                    “........”  เหลือบตามามองนิดนึ่งเป็นเชิงว่ารับรู้

     

                    ไปทานอาหารกันไหมครับ??

     

                    .

                    .

                    .

                    .

    KAI  PART.

     

                    อร้ากกกกก~     เมื่อครึ่งชั่งโมงที่แล้วกูพูดอะไรออกไป     มันเหมือนกับการฆ่าตัวตายชัดๆ

    คิดดูสิครับ     ตอนนี้เราอยู่ร้านสเต็กร้านดังในโซล

                    สภาพตอนนี้มันไม่ต่างจากการกินข้าวกับศพดีๆนี้เอง     อือ....กูอยากตาย    เวลาหมอจับมีดมาหั่นสเต็กนะ   ผมอดคิดถึงตอนที่หมอหั่นศพไม่ได้   คนเชี้ยอะไรหั่นสเต็กเป็นการผ่าตัดรูปตัววายที่ใช้ในการผ่าตัดชันสูตร

                    ผมว่าหมอเริ่มไม่ไหวล่ะ.......และผมก็เริ่มจะไม่ไหวเหมือนกัน  ผมกินต่อไปแทบไม่ได้  เหงื่อผมไหลแทบจะตลอด  ทั้งๆในนี้ก็เปิดเครื่องปรับอากาศนะ

     

                    ผมจะไม่ลืมประสบการณ์ครั้งนี้เลยครับ

     

     

     

    ......................................................................

     

     

    ............................

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    KRIS  PART.

     

     

     

     

     

    วันนี้มันวันซวยวันอะไรของผมกันนะ??

     

     

                   

     

                    หลังจากที่จุนมยอนลงไปโทรศัพท์ข้างล่าง     ผมก็เดินกลับมาในห้องแน่นอนว่าคนข้างนอกยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแจบอม     

     

     

                     ผมเดินไปดูศพใกล้ๆ      สภาพศพคือนอนคว่ำหน้าอยู่   ผมพยายามไม่แตะต้องศพเพราะมันอาจทำให้หลักฐานบางอย่างหายไป  จากที่ดูคราวสาเหตุการตายน่าจะมาจากการขาดอาการหายใจ  เพราะว่าบนคอมีรอยคล้ายเชือก     คนร้ายคงจะรัดคอแจบอมจนตาย 

                    ผมตัดสินใจเดินไปเปิดประตูข้างหน้าเพื่อบอกข่าวกับทุกคนโดยไม่ลืมที่จะใช้ผ้าเช็ดหน้าเป็นตัวจับลูกบิดประตู     ผมคงต้องเตรียมใจเอาไว้ด้วย  เพราะทุกคนคงจะตื่นตกใจ และอาจโวยวาย  ผมจะต้องทำให้พวกเขาสงบ      ผมไม่ค่อยถนัดงานแบบนี้เท่าไร   ส่วนมากจะเป็นจุนมยอนมากกว่า

     

                   

     

     

                    ห๊ะ!!~  อะไรนะฮะ   หมายความว่าไง

                    “งั้นแสดงว่ามีคนฆ่าเขา  แล้วใครล่ะ

                    “โอ้ย~อะไรกันเนี่ย      มีคนตายตั้งสองคนไม่น่าอยู่แล้ว

                    “อือ  นั่นสิยองแจ   เราย้ายออกกันเถอะฉันกลัวอ่า~”

                    “แบมเราก็ย้ายกันเหอะนะ...ไปบอกคุณโฮจองกัน

                                                    ฯลฯ

     

                   

     

     

     

                    เห็นมั้ยล่ะ??  ผมบอกแล้วมันต้องมีคนโวยวาย    มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ  มีคนตายใครๆกลัวกันทั้งนั้น     ผมยืนมองพวกเขาโวยวายกัน     จนจุนมยอนวิ่งมาหาแล้วบอกว่าเราต้องกลับกันตอนเช้า   ทาง IDC มีคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง     ส่วนทางตำรวจกำลังเดินทางมาแต่อาจจะล่าช้าหน่อยเพราะถนนที่ใช้เป็นทางมาได้ทางเดียวมันเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้   ทำให้ต้องรอให้ทางนั้นจัดการเรียบร้อยก่อนเพราะทางดับเพลิงปิดถนน  

     

     

                    ให้ตายเถอะ!!!!    นี้มันอะไรเนี่ย   ผมคงต้องให้ตำรวจทางนี้เป็นฝ่ายจัดการแล้วหล่ะ      แต่ดูจากหน้าของคู่หูผม  เหมือนว่าเขาไม่อยากให้ปล่อยคดีนี้ไปเพราะมีอะไรน่าสงสัยหลายอย่าง     เฮ้อ....

     

                    คริส   นายอย่าเหม่อดิ      เออว่ะ....  จุนมยอนทักผมเพราะเห็นผมเริ่มเหม่อลอย  ผมกำลังคิดว่าคนร้ายเข้ามาในห้องของแจบอมได้ยังไง    มันแทบจะไม่มีการต่อสู้   อ่อ..ตอนนี้ผมให้ทุกคนลงไปรอข้างล่างทุกคนก็เชื่อฟัง    เพราะผมแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษ     ในตอนนี้จึงมีแค่ผมกับจุนมยอนแค่สองคนที่ตรวจดูที่เกิดเหตุ     

     

     

                    สภาพศพคือถูกรัดคอจนตาย      ในห้องไม่มีการต่อสู้    แสดงว่าคนร้ายรู้จักกับแจบอม  ตัดเรื่องโจรจากข้างนอกได้เลย   เพราะในห้องไม่มีของมีค่าอะไรหายไป   แสดงว่าคนร้ายก็คือใครสักคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้    

                    แล้วใครล่ะ???   ใครกันคนพวกนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจนต้องฆ่าต้องแกงกัน  แบมแบม? โชรง?   โบรา? ยองแจ?  โฮจอง?   เออ..นี่ผมยังไม่เห็นคุณโฮจองเลยหนิ   เขาออกมาจากห้องรึยังนะ?

                   

                    ซูโฮ  คุณโฮจองเขาออกมารึยัง??

                    “เห้ย!   ลืมไปเลยนะเนี่ย    เดี๋ยวฉันลงไปดูเอง”          คู่หูของผมพูดก่อนจะวิ่งลงไป    นี้จงใจจะให้ผมอยู่กับศพคนเดียวงั้นสินะ .......

     

                   

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    เพล้งงงงงงงงงงงงงง!!!!!’

     

     

     

                    ‘กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

     

     

     

                    “อะไรอีกว่ะ??”     ไม่นานมากที่คู่หูผมลงไปก่อนจะได้ยินเสียงเหมือนกระจกแตกและเสียงกรีดร้องของสาวๆ          ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่ทำให้เกิดเสียงน่ะ  ก็คือจุนมยอนแต่ว่า   มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ???

     

     

     

                   

     

     

                    และเมื่อผมลงมาสมทบกับคนอื่น   ผมแทบช็อค!  คุณโฮจองในสภาพขาที่ลอยอยู่เหนือพื้น      ที่คอมีบ่วงเชือกผูกติดกับเพดาน   นี่มันอะไรกัน!!ในเวลาห่างกันไม่กี่ชั่วโมงมีคนตายไปแล้ว 3 คน    ใครกันที่ทำเรื่องแบบนี้...

                   

     

                    ผมบอกให้ทุกคนอยู่ในความสงบ  ก่อนที่เรื่องจะวุ่นวาย   เพราะทุกคนดูจะเริ่มสติแตก     ตอนนี้ ตีสามกว่าๆ   ผมมีเวลาอีกประมาณ  2  ชั่วโมงในการหาตัวคนร้าย   เพื่อให้ทันเที่ยวบินไปโซลในวันนี้

     

     

                    “เอาล่ะครับ.....ตอนนี้เรายังไม่รู้อะไรมาก    แต่ผมขอสอบถามอะไรบ้างอย่างเป็นรายบุคคลนะครับ”      เพราะหากเป็นคนในเป็นคนร้ายมันจะต้องมีข้อมูลหรืออะไรก็ตามที่สามารถเชื่อมโยงกับผู้ตายพวกนี้ได้

     

     

     

     

     

    ยองแจ: 19ปี

     

     

     

     

    ไม่ต้องกังวลนะครับ   ตอบตามความจริง  และให้ข้อมูลที่มากที่สุดก็พอ

     

     

                                                                   

    คะ..ครับ

     

    คุณแจบอมเข้ามาพักอยู่ที่นี้ได้ยังไงครับ

     

     

     

    ผมเข้ามาเรียนครับ   แล้วแฟนผมเธอก็แนะนำที่นี้เพราะราคาถูก

     

     

     

    คุณโบราหรอครับ.....เธออยู่ที่นี้มานานแล้วหรอครับ

     

     

     

    ตั้งแต่เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันครับ   เธออยู่มาสองปีแล้ว  ส่วนผมก็อยู่มาได้5 เดือนครับ

     

     

     

    ขอโทษนะครับถ้าจะถามว่าคุณกับโบรารู้จักกันได้ยังไง??

     

     

     

    เออ..แล้วมันเกี่ยวกับคดีด้วยหรอครับ??

     

     

     

    เกี่ยวสิครับ   ข้อมูลมากๆยิ่งดีครับ

     

     

     

    อ๋อ..ครับ   คือเราเจอกันที่ห้องสมุดของโรงเรียนครับ  จากนั้นโบราก็เข้ามาจีบผม  ไม่นานเราก็เป็นแฟนกันครับ

     

     

     

     

     

                   

     

     

                   

    โกหก!!   ที่ว่าโกหกไม่ใช่ไอ้หนุ่มยองแจนะครับ   แต่เป็นคู่หูตัวเล็กของผมเองที่บอกว่ามันเกี่ยวกับคดี   เพราะอันที่จริงนายแค่อยากรู้เรื่องของพวกเขาเฉยๆใช่มั้ยหล่ะจุนมยอน??    ก็เพราะคู่นี้มันดูต่างกันจนไม่น่าจะเข้ากันได้

                    แต่ว่านะผมล่ะคิดว่า  ไอ้หมอนี้เป็นคนไปจีบโบราก่อนซะอีกนะ   ที่ไหนได้  เห็นดูเงียบๆไม่นึกว่าจะใจกล้าไปจีบผู้ชายก่อนนะเนี่ย....

     

     

     

     

     

    แล้วคุณฮโยรินและคุณแจบอม  อยู่ที่นี้นานแค่ไหนแล้วครับ

     

     

     

    อืมมมม....คุณแจบอมผมไม่ทราบนะครับพอผมย้ายเข้ามา  เขาก็อยู่อยู่แล้ว   ส่วนคุณฮโยรินประมาณ 3เดือนครับ    เห็นบอกว่าเป็นเพื่อนกันกับคุณโฮจอง

     

     

     

    แล้วทั้งสามคนเคยมีปากเสียงกับใครบ้างรึเปล่าครับ

     

     

     

    คงมีแค่แจบอมครับ  ผมเคยเห็นเขาทะเลาะกับแบม

     

     

     

    ..................

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โชรง : 21 ปี

     

     

     

     

    คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนครับ

     

     

     

    ฉันเพิ่งมาอยู่ได้แค่เดือนเดียวเองค่ะ   แบมเพิ่งปิดเทอมฉันเลยชวนมาเที่ยวปูซานด้วยกัน

     

     

     

    แปลกจังนะครับ    คู่รักส่วนมากจะพากันไปที่โซล  แต่คู่ของคุณกลับไม่

     

     

     

    แบมไม่ค่อยชอบเท่าไร   ฉันเลยคิดว่ามาปูซานน่าจะโอเคกว่า

     

     

     

    แล้วคุณอยู่ที่นี่   เคยเห็นผู้ตายทั้งสามมีปากเสียงกับใครรึเปล่าครับ?

     

     

     

    ถ้าเป็นคุณโฮจองไม่น่าจะมีนะคะ    แต่คุณฮโยรินชอบทะเลาะกับโบราบ่อยๆ

     

     

     

    เรื่องอะไร   พอจะทราบมั้ยครับ

     

     

     

    น่าจะเป็นเรื่องที่ฮโยรินชอบไปหว่านเสน่ห์แฟนโบราเค้ามั้งคะ

     

     

     

    แล้วแจบอมล่ะครับ

     

     

     

    หมอนั่น..ทำไมคะ??

     

     

     

    ได้ข่าวว่าแฟนของคุณเคยมีเรื่องกับเขา  ไม่ทราบว่าเรื่องอะไรหรอครับ??

     

     

     

    มันก็สมควรแล้ว   หมอนั่นแอบติดกล้องไว้ในห้องน้ำของห้องฉัน  โรคจิต!!’

     

     

     

    .....................

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    แบมแบม: 19 ปี

     

     

     

     

     

     

    เก่งจังเลยนะครับ   เป็นเด็กอายุแค่ 19 เอง   มาต่างประเทศคนเดียวได้ด้วย

     

     

     

    ไม่เก่งหรอกครับ    ผมอยู่กับพ่อก็เหมือนอยู่คนเดียวพ่อมีแต่งาน ทำให้เราไม่ค่อยได้เจอกัน  พอผม  ปิดเทอมพี่โชรงอยากให้ผมมา     ผมเลยมาได้ง่ายๆ  เพราะพ่อผมค่อนข้างจะไม่สนใจ

     

     

     

    คุณกับโชรงรู้จักกันได้ยังไงครับ   แล้วนานแค่ไหนแล้ว

     

     

     

    ผ่านทางอินเทอร์เน็ตครับ  เรารู้จักกันได้ประมาณสองเดือนครับเธอบอกว่าเห็นผมแล้วคิดถึงน้องชายตัวเอง   จากนั้นเราก็เริ่มคุยกัน

     

     

     

    อ่อ..โอเคครับ   แล้วช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาก่อนที่คุณฮโยรินจะเข้าโรงพยาบาล   มีอะไรแปลกบ้างมั้ยครับ?

     

     

     

    ไม่มีนะครับ  เรานั่งทานอาหารว่างที่ห้องนั่งเล่นเป็นปกติ

     

     

     

    แล้วเครื่องดื่มล่ะครับ   พอจะจำได้บ้างรึป่าวว่าใครดื่มอะไรบ้าง

     

     

     

    อืมมม...พวกเราเกือบทุกคนดื่มน้ำส้มกันนะครับ    จะมีแค่พี่โชรงกับคุณฮโยรินที่ดื่มกาแฟ

     

     

     

    มีแค่สองคนหรือครับ?

     

     

     

    ครับ..แต่คุณฮโยรินจะกินแบบเข้มๆ   ไม่ใส่น้ำตาล  ไม่ใส่ครีม   แต่พี่โชรงเขาใส่ครับเขาบอกว่าเดี๋ยวมันจะขม    ผมยังแปลกใจอยู่นะครับปกติพี่เขาแทบจะไม่ดื่มกาแฟ

     

     

     

    ....................

     

     

     

     

     

    โบรา: 18 ปี

     

     

    ในช่วงเวลาประมาณ  ตี 1 ถึงตี 2 คุณหลับอยู่ในห้องคนเดียวใช่ไหมครับ

     

     

     

    ค่ะ

     

     

     

    คุณจำอะไรก่อนหน้านั้นได้รึเปล่าครับ

     

     

     

    ฉันจำได้แค่ว่า   พอแจบอมมาส่งฉันที่ห้อง   ฉันก็เข้าไปอาบน้ำก่อนจะมาทาครีมที่เตียง  จากนั้นก็ไม่รู้อะไรอีกเลยจนคุณคริสมาเคาะเรียกอยู่หน้าห้องค่ะ

     

     

     

     

     

    คุณกับคุณฮโยรินไม่ค่อยถูกกันรึเปล่าครับ??

     

     

     

    ไม่นะคะ  เราสนิทกันดี  เอ่อ...อาจมีทะเลาะบ้าง   แต่ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าเธอนะ

     

     

     

    อ่า..แปลกจังเลยนะครับ   เรายังไม่ได้บอกคุณเลยว่าคุณฮโยรินเธอถูกฆาตกรรม

     

     

     

    ‘............’

     

     

     

                   

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    หลังจากที่เราสองคนสอบปากคำทุกคนเสร็จ   โดนจุนมยอนเป็นคนถามส่วนผมก็แค่ดูและฟัง      หลากหลายคำถามที่ได้ฟังคำตอบจากแต่ละคน      แต่ที่ทำให้ผมคิดมีไม่กี่คำถาม   ผมกับจุนมยอนเข้าไปดูในห้องพักของผู้ตายแต่ละคน

     

     

                   

     

     

     

    ห้องฮโยริน

     

     

     

     

     

                    ห้องของฮโยริน   ก็เหมือนห้องพักของผู้หญิงรักสวยรักงามทั่วไป  เครื่องสำอาง  เสื้อผ้า  นิตยสารผู้หญิง    แล้วก็อะไรสักอย่างที่เหมือนอัลบั้มรูปถ่าย   โห่..เยอะเป็นบ้า

     

     

                   

     

                    “อะไรเนี่ย  มีรูปคุณฮโยรินกับผู้ชายเต็มไปหมดเลย”>> จุนมยอน

     

     

                    “เหมือนแฟนกันเลย   สงสัยเป็นอัลบั้มสะสมแฟน ” >> อี้ฟาน

                    “โห่  เสน่ห์แรงเหมือนกันนะเนี่ย.....เอ๊ะ!!  ผู้ชายคนนี้ทำไมหน้าคุ้นจังเลยนะ  เหมือนเคยเจอที่ไหน”          จุนมยอนชี้รูปรูปหนึ่งที่เขาเห็น   ผมจึงเข้าไปดูบ้าง   แต่เพราะเขาถืออยู่ผมจึงมองไม่เห็น   เลยต้องยืนซ้อนหลังแล้วก็ยกอัลบั้มขึ้นมาดู    มันเลยเหมือนกับว่าตอนนี้ผมกอดเขาจากด้านหลัง   แต่ผมไม่ได้ตั้งใจนะ    ก็ผมไม่เห็นรูปจริงๆอ่ะ

                   

                   

                    เฮ้!!  คริส   นายถอยออกไปเลยนะ

                    ก็ฉันมองไม่เห็นหนิ   ก็นายเล่นเอาไว้ดูแค่คนเดียว

                    “บอกก็ได้หนิ   ไม่เห็นต้องมายืนซ้อนเลย”        คู่หูผมเบ้ปากก่อนจะเดินออกจากห้องฮโยรินแล้วไปดูที่ห้องแจบอมต่อ

     

     

     

     

     

    .....................

     

     

                   

                   

    ห้องแจบอม

                   

                    ศพนี่  โดนรัดคอมาจากด้านหลังหนิ     ดูสิรอยไขว้กันของเชือกมันอยู่ด้านหลัง

                    “นั่นสินะ    ถ้าคนร้ายเข้าห้องมาได้ก็คงเพราะแจบอมเปิดประตูให้เข้ามาเนื่องจากไม่มีร่องรอยการงัดแงะ  แสดงว่าคนร้ายอาจเป็นคนที่น่าไว้ใจจนกล้าที่จะหันหลังคุย”   

                    แล้วใครล่ะ    แจบอมมีเรื่องกับแทบทุกคน

                    “เฮ้อ~ แล้วใครกันว่ะที่แจบอมมันไว้ใจ     ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลือเลยคนร้ายรอบคอบ  หรืออาจทำร่วมกันเป็นทีมก็ได้นะ

                    “จริงสินะ   ถ้าแจบอมเป็นคนที่ไม่เคยไว้ใจใคร   คงไม่กล้าที่จะหันหลังคุยกับคนอื่นแบบนั้น   เขาน่าจะระวังตัวกว่านี้   

     

     

     

    ................................

     

     

     

     

     

     

     

    ห้องโฮจอง

     

     

     

     

     

                    คริส...ดูนี่”    จุนมยอนยืนกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม   มันเป็นจดหมาย???   คู่หูผมเจอที่ใต้หนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานส่วนตัวของคุณโฮจอง     

     

     

                    จดหมาย???....อย่าบอกว่าเป็นจดหมายลาตายน่ะ”          ไม่ใช่เพราะผมปากหมาหรืออะไรนะ    เพราะส่วนมากศพผูกคอตายแล้วมีจดหมายหนิมันมักจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่านะ.......ถ้าไม่ใช่ฆาตกรรมอำพรางน่ะ

     

     

     

     

     

     

     

    ใครก็ตามที่ได้อ่านจดหมายนี้   ในตอนนั้นฉันคงได้ตายไปแล้ว

     

     

    อย่าเสียใจ  อย่าคร่ำครวญเลย     ความตาย   มันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะได้รับ

    เรื่องของฮโยริน   ฉันเป็นคนฆ่าเธอเอง

    ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพื่อนฉัน    เหตุผลก็เป็นเพราะว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว

    ในการที่มันมาพึ่งพาฉันอยู่ได้    ฉันเลยพลาดพลั่งเพราะทำอะไรไม่ทันคิด

    นั่นคือสิ่งที่ผิดพลาด   ฉันไม่ตั้งใจ

     

    พอรู้ว่าเขาตาย   ฉันก็เสียใจ   ฉันกะจะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ

    แต่แจบอมก็ทำเหมือนรู้   ฉันเลยต้องฆ่าเขาอีกคน  ฉันขอเข้าไปในห้องแล้วก็รัดคอของเขา

    หลังจากที่ฉันวางยานอนหลับทุกๆคนแล้ว

     

    ฉันผิดจริงๆ  ฉันไม่สมควรมีชีวิตอยู่

    นี้มันคือบทเรียนที่สาสมแล้วสำหรับฉัน

     

                                                                                                   

    ลี โฮจอง

                   

     

                   

     

     

     

                    “หาอย่าบอกนะว่าที่เราทำไปทั้งหมดคือ...

     

     

                    “ไม่ใช่หรอกซูโฮ    นายไม่ว่ามันดูแปลกๆหรอ?   นิสัยโฮจองน่ะใจดีจะตายไป  เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะเก็บเอาไปคิด  ”        ตอนนี้เหมือนมืดแปดด้านปกติแล้วถ้ามีอะไรแบบนี้   ผมคงส่งจดหมายนี้ให้นักวิเคราะห์ลายมือ     แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่สามารถทำแบบนั้นได้   และถ้าเราปิดคดีนี้ไม่ทัน     ตำรวจในพื้นที่จะเข้ามาทำงานแทน   

                    แล้วพวกเขาคงจะสรุปว่า เหคุการณ์ทั้งหมดเป็นฝีมือโฮจอง     แล้วคนร้ายตัวจริงอาจจะลอยนวลไป

                   

     

                    “เดี๋ยวนะ!!  ดูในจดหมายสิ  ”       จุนมยอนดึงกระดาษในมือผมออกไปก่อนจะเอาไปทาบดูกับสมุดเล่มหนึ่ง    ก่อนจะทำหน้ายุ่งที่ผมมองว่ามันดูไม่เหมาะกับเขาเท่าไร   แต่ยังไงเขาก็ยังชอบทำมัน

     

     

                    มีอะไรรึเปล่า

                    “อือ    ฉันลองเทียบลายมือในไดอารีกับจดหมายดู  มันก็ตรงกันนะ......เอ๊ะ!!  ดูดิสมุดไดอารีมันเหมือนถูกฉีกเลยอ่ะ ..............เหมือนจะหายไปหนึ่งเดือนกว่าๆ”        

                    หนึ่งเดือนกว่า    จะฉีกทิ้งทำไม?......เป็นไปได้มั้ยว่ากระดาษที่หายไปอาจจะเป็นหลักฐานสาวหาตัวจริงได้   บางทีกระดาษอาจถูกคนร้ายฉีกไปก็ได้”      

                   

                   

                    จุนมยอนพยักหน้าตามผมอย่างเห็นด้วยก่อนที่เขาจะ     เดินดูของในห้องต่อเผื่อจะมีอะไรที่เป็นหลักฐานได้บ้าง

                    ผมเดินรอบห้องไปเรื่อยๆเผื่อคิดอะไรได้    ห้องนี้ถูกทำให้เป็นห้องปิดตาย  ดังนั้นฆาตกรจงใจที่จะให้เราเข้าใจว่าโฮจองเป็นคนที่ทำเรื่องราวทั้งหมด       แล้วสุดท้ายจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง

                    แต่ว่าจดหมายนั้น โฮจองเป็นคนเขียนเอง  หรือฆาตกรบังคับโฮจองให้เขียน    ผมเดินไปที่ลิ้นชักอันหนึ่งที่อยู่ริมหน้าต่าง   ลองเปิดหาเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง

     

                   

     

     

                    ปืน

     

                   

     

     

                    ในลิ้นชักของโฮจองมีปืน   แล้วทำไมไม่เอาออกมาป้องกันตัวถ้าตัวเองถูกบังคับ        หรือว่าฆาตกรจะมีสิ่งที่ใช้บังคับโฮจอง   อาจจะเป็นสิ่งของหรือคนสำคัญ

                    แต่เท่าที่เคยคุยกัน  คุณโฮจองก็บอกว่าไม่มีญาติเหลือแล้ว    ที่จะมีก็มีแค่เกสท์เฮ้าส์แห่งนี้ที่เดียวที่สำคัญ

                     

     

                    ‘รูปถ่าย

     

     

                   

     

     

     

                    ในชั้นที่ใส่ปืนมีภาพถ่ายด้วย  1 ใบ  เป็นรูปเด็ก   แต่เพราะเป็นรูปถ่ายเด็กผมเลยไม่รู้ว่าเด็กในภาพเป็นหญิงหรือชาย     ด้านหลังเขียนด้วยภาษาเกาหลี   ว่า  ลูกรัก 1 ขวบ  

     

    1995’

                    ลูก??  ลูกใคร  คุณโฮจองมีลูกด้วยหรอ???  หรือเป็นลูกรับเลี้ยง   ไหนบอกว่าไม่มีญาติที่ไหนแล้ว   

     

                   

     

                    สร้อยคอ

     

     

     

                    ผมเปิดชั้นต่อมาก็เจอกล่องกำมะยีสีน้ำเงินอย่างดี   ข้างในเป็นสร้อยคอสีเงิน   มีจี้เป็นวงแหวน   แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น   แต่อยู่ตรงที่รอยแกะสลักบนแหวน   ที่เป็นภาษาที่ผมเคยคุ้นตามาก่อน   เหมือนเคยเห็นแต่จำไม่ได้   สงสัยต้องใช้ตัวช่วย.....

     

     

     

                    ซูโฮอ่า...นายรู้มั้ยนี้มันภาษาอะไร”     ผมหันไปถามคู่หูตัวเล็กของผม   แต่เขาไม่ชอบให้ผมเรียกว่าตัวเล็กนะไม่รู้ทำไม

     

     

     

                    ไหนๆ......เฮ้ย!!  นี่มัน..........

     

     

     

                    “...............O_O.........อะไร  ภาษาอะไร

     

     

                   

                    “ฮ่าฮ่า คริส    ฉันพอจะรู้แล้วแหละว่าใครคือฆาตกร

     

                    “ว่าไงนะ??

     

     

     

                    “อืม..ฉันรู้แล้วว่าใคร   แต่เราต้องพิสูจน์บางอย่าง  ว่าทริคที่ฆาตกรใช้มันคืออะไร”     นี้จุนมยอนรู้แล้วหรอ??  ตกลงว่าแหวงวงนี้มันมีภาษาอะไรสลักอยู่กันแน่   ภาษานี่.....มัน.....คุ้นมาก

     

     

    คุ้น...เหมือนเคยเห็นแต่นานมาแล้ว   อืมมมม....!!!!

     

                    “ย๊าห์~~   ซูโฮย่า  ฉันนึกออกแล้ว  ฮ่าฮ่า  ฉันรู้แล้ว!!!”

     

     

     

     END  KRIS PART.

     






    Talk::

    หายไปนานเลย….T^T  พอดีไรท์ติดสอบค่ะ

    พอสอบเสร็จก็รีบมาเขียนต่อเลยนะ

    ตอนนี้เอาไปก่อน ครึ่งหนึ่ง    ส่วนอีกครึ่งถ้าเขียนเสร็จวันนี้จะรีบเอามาลงค่า....^^

     

    ขอบคุณทุกคอมเม้นนะคะ    ยังไงช่วยติดตามต่อด้วยนะคะ
     

    Talk 2:

     

    มีปัญหากับฟอนต์   เพราะย้ายเครื่องลง

     

    เป็นไงบ้างน้อ   คดีแรก  มีอะไรแนะนำช่วยบอกไรท์ด้วยนะ ไรท์เพิ่งเขียนเรื่องแรก

    จะได้เอาไปแก้  ไปปรับปรุงตัว

     

    หลายคนคงจะเดาได้แล้วว่าฆาตกรเป็นใคร  

    ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ติด #ฟิคคู่หู

     

     

    Heaven & Hell
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×