ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ไฟชำระ
คำนำนักเขียน
Theology = Theological หมายความได้ว่า (ศาสนศาสตร์ ,นักศาสนา) เป็นสิ่งที่ทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ควรเรียนรู้เป็นอย่างแรกเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวน้อยๆ พ่อแม่ คุณครู ควรปลูกฝังลงในตัวเด็กโดยการพาไปวัดวา ฟังเทศน์ ฟังธรรม หรือ ไปโบสถ์คริสต์กันทั้งบ้าน ปัจจุบันมีความคิดว่า หาก พอลองไปพูดคุยกับเด็กช่วงวัยรุ่น อาจเจอคำตอบแบบนี้สวนกลับมาได้
"โอ้ย...เดี๋ยวนี้ ใครเค้าสนใจกันพี่ " " นั่นมันวิชาของคริสต์ เราคนไทยนับถือพุทธ เรียนไปทำไม " " ไม่มีใครเค้าเรียนกัน เพราะจบออกมาเป็น บาทหลวง เอาทำมาหากินอะไรได้ ในสมัยนี้ " ผู้คนสมัยนี้ ผมไม่รู้นะว่า ยังมีอคติ ความคิดต่อต้านคริสต์อยู่หรือเปล่านะ แต่ ผมเชื่อใจว่า คนไทยใจกว้าง อ่อนโยน มีเมตตาเปิดรับได้หมด คนเขียนเองก็ยังเป็น " ชาวพุทธ " เช่นกัน
แต่ผมชอบทุกศาสนานะ ไม่มีศาสนาไหนบนโลกใบนี้สอนให้คนเข่นฆ่ากันสักนิดเดียว แถม มีความสนอกสนใจในตัว ศาสนาคริสต์คาทอลิกเป็นพิเศษ ชอบเพราะอะไร? เพราะรากฐานหัวใจของคริสต์ คือ " ความรัก " มีใครไม่เคยมี ความรัก กันบ้างครับ ยกมือขึ้น โดยด่วน เราควรศึกษาศาสนาทุกศาสนาครับ
แต่จงเลือก นับถือศาสนาเพียงหนึ่งเดียว นี่เป็นหลักของทุกศาสนา แล้วกัน อีแบบนี้ ผมจะทำยังไงล่ะเนี่ย เลยเลือกขออยู่ตรงกลาง สายกลางละกัน (ตะวันออก +ตะวันตก ) พระเจ้าน่าจะให้อภัย แม้จะเป็นคนไทย ในบัตรประชาชนเป็นชาวพุทธ แค่ลงเรียนหลักคำสอนทางไปรษณีย์ของชาวคริสต์ แค่ ชาวพุทธคนนึงเรียนรู้หลักของคริสตนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
แต่ พอสัมผัสวิถีชาวคริสต์เข้าไปเรื่อยๆ......พบว่า ชอบมากขึ้นกว่าเดิม แถมชอบแม่พระตะวันตก หรือ พระแม่มาเรีย ด้วย ดูอ่อนโยนมาก ใจดีอีกด้วย แถมชอบแม่พระตะวันออก ,พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม อีกองค์นึง ตายล่ะ! แล้วจะทำยังไงดี
เลยขอเลือกเป็น ลูกครึ่ง(ตะวันออก+ตะวันตก ) ละกัน ชาตินี้คงพบกันครึ่งทาง พระบิดา พระเป็นจ้า ของชาวคริสตชนคงไม่ว่าหรอกครับ เห็นมีหนังสือ 2012 ออกมาเยอะแยะ
ผมเองก็มีความคิดของตัวเองว่าแท้จริงแล้ว 21/12/2012 ไม่ใช่วันหวาดวิตก วันแห่งความสิ้นหวัง อภิมหาวันโชคร้าย แต่แท้จริงแล้ว วันที่ 21/12/2012
น่าจะเป็น " วันอภิมหาศักดิ์สิทธิ์ " เป็นวันที่สะดือจักรวาล สะดือโลก(ตุรกี) แล้วสะดือทะเลนั้น ทอดสะพานยาวเชื่อมต่อเป็นเส้นเดียวกัน ต่างหาก คำว่า " สะดือ " คืออะไร? ลองคิดกันดู เวลาที่เราลืมตาดูโลกหรือคลอดออกมา ตอนเล็กๆ ต่างก็มีสายสะดือเชื่อมต่อกับคุณแม่ ใช่ไหมล่ะครับ ดังนั้น 21/12/2012 คือ
" วันที่ทวยเทพ เทพเจ้าจะประสูติ หรือ กลับมายังสถานที่เรียกว่า โลก นั่นเอง " โดยการกลับมาในครั้งนี้ต้อง แตกต่าง ออกไปจากเดิม พระองค์จะเสด็จมาในรูป กายทิพย์รัศมีเรืองรอง ดั่งทองคำหรือส่องประกายกว่าแสงอาทิตยืที่ร้อนแรง ลำแสงนั้นแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ความรัก ทุกส่วนบนผืนพิภพจะรับรู้ได้ทั้งหมด แถม 21/12/2012 นี่คือความลับเหตุการณ์ในวันนั้นนั่นเอง!!!
ลองแยกออกมาดูนะครับ 2+1/1+2/2+0+1+2/ จะได้ 11 แยกอีกทีนึง 1+1= 1 ต่างหาก ทีนี้มาดูความหมายของ ตัวเลข ในคริสตศาสนากัน " เลขหนึ่ง (One) เป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพ " แน่นอนว่า ทวยเทพทุกศาสนาจะกลับมาช่วยเหลือมนุษย์บนผืนพิภพ หมายความว่า นอกจากเทพเจ้าแล้ว ยังมีพวกจิตชั่วร้ายที่เรียกว่า ฝักใฝ่ในความมืด ในบาป กลับมาเช่นกัน เหล่าผีสางนางไม้เอง ก็จะปรากฏตัวหลอกล่อผู้คน
เอาล่ะซิ ทำไงดีล่ะ แต่ที่แน่ๆในวันนั้น ซาตาน สัตว์ร้ายแห่งกาลก่อน พญามาร ตกลงมาบนโลกเช่นกันดั่งที่พระคัมภีชาวคริสต์ร์ว่าไว้ (เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกเองก็ดูจะรุนแรงขึ้น ทุกขณะ ทุกที ) อย่างแรก อย่าเชื่อในสิ่งที่ผมพิมพ์ อย่าเชื่อถือประโยคเหล่านี้ ไม่ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นจะเป็นยังก็ตาม
" ขอให้ทุกคนตั้งสติสัมปัชชัญญะเป็นอย่างแรก " และอยากให้ทุกคนจากนี้ เรามา ร้อง " สดด " วรรคนี้กันเถอะ
" Enter his gates with a song of thanksgiving. Come into his courtyards with a song of praise. Give thanks to him; praise his name. "
ผมไม่อยากให้ใครต้องไปยัง " นรก " ตกลงไปในไฟนรกนั้นเลย แม้ว่าคนนั้นจะเป็นมนุษย์ใจบาปหนาหยาบช้าก็ตาม
ทีนี้เรามาลองพินิจพิจจราณา ติดตามวิเคราะห์เรื่องราวเหล่านี้กันดูมั้ย อย่าช้ามาอ่านกันเลยเถอะ เริ่มจากของศาสนาคริสต์ก่อนละกัน เพราะเป็นศาสนาที่คนนับถือกันเยอะมากที่สุด
ไฟชำระคืออะไร ?
ไฟชำระคือ คุกเปลวเพลิงที่ดวงวิญญาณเกือบทุกดวงมีอันต้องตกลงไปหลังความตายของตน และรับซึ่งความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ซึ่งความทุกข์ทรมานในไฟชำระนั้นแม้เพียงแค่ 1 นาที กลับมีอันยาวนานราวกับ 1 ศตวรรษเลยทีเดียว นัก บุญ โทมัส อไควนัส ได้กล่าวเอาไว้ว่า
ไฟในชำระเป็นความทุกข์ทรมานที่สามารถเทียบได้กับเปลวไฟในนรกได้เลย และแม้แต่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เบาบางที่สุดของไฟชำระ ก็ยังสาหัสรุนแรงมากยิ่งกว่าความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดบนโลกนี้ นัก บุญ โทมัส อไควนัส ให้ความกระจ่างกับเราว่า ไฟชำระคือสิ่งที่มีไว้เพื่อชำระดวงวิญญาณของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งมลทินจากความผิดบาปที่เราได้กระทำมายามมีชีวิตอยู่ และให้เราเหมาะสมคู่ควรที่
จะได้รับการยอมรับเข้าสู่พระราชัยสวรรค์ได้อย่าง เต็มภาคภูมิ ไฟแห่งการชำระนี้เป็นไฟที่เสียดแทงเผาผลาญดวงวิญญาณของเรา เป็นไฟที่ทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมากกว่าทุกสิ่งที่เราเคยเห็น เคยรับรู้ หรือ เคยสัมผัสมาทั้งหมดยามเรามีชีวิตอยู่ “ถึงแม้ว่าไฟเหล่านี้จะถูกกำหนดมา ไว้สำหรับการชำระล้างดวงวิญญาณเราให้สะอาดบริสุทธิ์”
นักบุญโทมัส อไควนัส เสริม “แต่ความทุกข์ทรมานนั้น ก็มากเกินกว่าอะไรที่เราสามารถทนได้ในโลกนี้” นักบุญ ซิริล แห่ง อเล็คซานเดรีย ไม่ลังเลเลยที่จะกล่าวออกมาว่า “มัน เป็นการดีกว่า ถ้าเราจะรับความทุกข์ทรมานทั้งหลายในโลกนี้ จนกระทั่งวันพิพากษามาถึง เพื่อที่ว่าเราจะได้ผ่านไฟชำระได้ทันทีหลังสิ้นลมหายใจลง” เช่นเดียวกับที่นักบุญท่านอื่น ๆ กล่าวเอาไว้ว่า
“หากเปรียบเทียบไฟในโลกนี้กับไฟในไฟชำระแล้ว ไฟในโลกนี้คงเป็นได้ดังสายลมเย็นที่แสนสดชื่น” เหตุอันใด ไฟในไฟชำระจึงเป็นที่ทุกข์ทรมานมากมายถึงเพียงนี้ ? . ไฟปกติในโลกนี้ ถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้า เพื่อให้เราได้ใช้ประโยชน์จากความร้อน ความอบอุ่นและธรรมชาติของไฟเพื่อความสะดวกสุขสบายของเรา แต่เมื่อนำมาใช้ในการทรมานแล้ว ไฟก็นับได้ว่า เป็นหนึ่งในความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่น่ากลัวที่สุดอย่างหนึ่ง บนโลก
2. ไฟในไฟชำระ ในทางกลับกัน ถูกสร้างขึ้นโดยพระยุติธรรมของพระเจ้า เพื่อชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ดังนั้นจึงไม่อาจเทียบได้เลยกับไฟบนโลก
3. ไฟบนโลกแม้จะเผาผลาญตัวเรา ก็เผาผลาญที่ร่างกายที่มีเนื้อหนังของเรา แต่ไฟในไฟชำระเผาผลาญที่วิญญาณของเรา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า อ่อนไหวต่อความเจ็บปวดมากกว่าร่างเนื้อหนังของเรานัก
4. ไฟบนโลกนี้ ยิ่งไฟโหมเผาผลาญได้รุนแรงเท่าไร มันก็ยิ่งทำให้เหยื่อเสียชีวิตลงเร็วขึ้น และหลุดจากความเจ็บปวดทรมานได้เร็วขึ้นเท่านั้น ต่างกับไฟในไฟชำระที่รุนแรงและเป็นที่มุกข์ทรมานที่สุด แต่ไม่ทำให้ผู้ถูกเผาผลาญเสียชีวิตลง หรือหลุดพ้นจากความเจ็บปวดไปได้ แต่แน่นอนความรุนแรงก็ไม่ได้ลดลงไปด้วย
5. ไม่น่าแปลกใจเลยที่ความทุกข์ทรมานจากไฟในไฟชำระ คือ การพลัดพราก ถูกแยกห่างจากพระเจ้า ยามที่ร่างกายได้ตายสิ้นลมหายใจลง วิญญาณที่เป็นอิสระจากร่างกายแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามธรรมชาติของวิญญาณเอง ดวงวิญญาณเหล่านั้นมีความรู้สึกอยากเข้าไปพบพระเจ้า อยากบินไปหาพระองค์ในทันทีเดี๋ยวนั้นเลย แต่ดวงวิญญาณเหล่านั้นก็มีอันต้องหยุดไว้ก่อน
เมื่อพบว่า ตนไม่สะอาดและไม่คู่ควรพอที่จะเข้าสวรรค์ไปหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ในทันที จึงยอมที่จะรับการชำระตนเองให้สะอาดในไฟชำระเสียก่อน ซึ่งไม่อาจ มีคำใดจะสามารถอธิบายความทุกข์ทรมานที่ความปรารถนาอย่างเปี่ยมล้น พ้นจนไม่อาจบรรยายได้
ต้องมาถูกขัดขวางหยุดไว้ก่อนนี้ได้ และนั่นคือความทรมานของไฟในไฟในไฟชำระนั่นเอง ดังนี้เอง จึงเป็นการฉลาดที่เราจะเฝ้าระวังตัวของเราไว้ให้ดี เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้น
ไม่ ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ตระหนักรับรู้หรือไม่ หรือแม้แต่พูดถึงหรือไม่พูดถึงเรื่องไฟชำระนี้ก็ตาม ความจริงเรื่องไฟชำระก็ยังคงเป็นและดำรงอยู่เช่นนั้น ความทุกข์ทรมานในไฟชำระเป็นอะไรที่เราซึ่งยังอยู่ในโลกนี้ ไม่สามารถที่จะสัมผัสหรือทำความเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ทั้งหมดเป็นอะไร ที่เกินกว่าจินตนการและความคิดของเราที่จะเข้าใจหรือรับรู้ ได้กล่าวโดย นักบุญ โทมัส อไควนัส
2] ทั้งหมดนี้เป็นความจริงหรือ ? เรื่องการมีอยู่จริงของไฟชำระ เป็นเรื่องที่คริสตชนคาทอลิกเชื่อและไม่มีข้อสงสัยมาแต่ช้านานแล้ว เป็นข้อความเชื่อที่พระศาสนจักรสอนสั่ง และคริสตชนคาทอลิกก็พร้อมที่จะเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย ในทุกครั้งที่ได้ยินคำสอน หรือ บทเทศน์เรื่องไฟชำระนี้ ข้อความ เชื่อนี้มีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ก่อนที่ ทางพระศาสนจักรจะหยิบมากำหนดเป็นข้อความเชื่อและสอนสั่งพวกเรามา การไม่ตระหนักถึงการมีอยู่ของไฟชำระ หรือการปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ ก็เหมือนการที่เราปิดตาเดินตรงไปยังเส้นทางข้างหน้า โดยไม่รู้ตัวเลยว่าปากเหวอยู่ห่างจากเราแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สิ่ง ที่เราต้องพึงจดจำเอาไว้คือ การดีที่สุดที่เราจะลดทอนความทุกข์ทรมาน หรือ หลีกเลี่ยงไฟชำระนั้น คือการที่เราต้องทำความเข้าใจกับไฟชำระให้มากที่สุด เข้าใจและคิดในแง่ดีกับไฟชำระ ว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานมาให้เราล่วงรู้ เพื่อที่เราจะได้หลีกเลี่ยงมัน ดังนั้น การไม่คิด หรือไม่ตระหนักถึงเรื่องไฟชำระ จึงเป็นอะไรที่อันตรายยิ่งยวดนัก มันไม่ต่างอะไรกับการเดินทางไปยังไฟชำระที่น่าหวั่นสะพรึง โดยไม่ได้เตรียมตัวอะไรไว้เลย
เจ้าชายแห่งโปแลนด์ เจ้าชายโปแลนด์ ผู้ถูกขับไล่ออกจากประเทศบ้านเกิดจากเหตุผลทางการเมือง ได้ซื้อปราสาทหลังงามไว้เป็นที่ประทับในประเทศฝรั่งเศส แต่ โชคไม่ดีนักที่พระองค์สูญเสียความเชื่อความศรัทธา เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ไปจน หมดสิ้น และใช้เวลา ของพระองค์ไปกับการแต่งหนังสือต่อต้านพระเจ้าและชีวิตในโลกหน้า วัน หนึ่ง ขณะที่พระองค์กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนนั่นเอง พระองค์พบกับหญิงยาจกคนหนึ่งกำลังร้องไห้ด้วยความขมขื่นอยู่
พระองค์จึงถามว่ามีเหตุอันใดทำให้นางต้องทุกข์ใจได้ถึงเพียงนี้ “อ๊า องค์ชาย” หญิงยาจกตอบ“ดิฉัน เป็นภรรยาของ จีน [จอห์น] มารีย์ บริกรประจำพระองค์ ซึ่งได้เสียชีวิตไปเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา เขาเป็นสามีที่ดี และเป็นข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ เขาเจ็บป่วยมานานแล้ว และดิฉันก็ใช้เงินเก็บทั้งหมดไปกับการหาทางรักษาเขา จนบัดนี้ที่เขาตายไปแล้ว ดิฉันก็ไม่เหลือเงินพอที่จะขอมิสซาให้กับดวงวิญญาณของเขาได้เลย”
เจ้าชายรู้สึกมีอารมณ์ร่วมโศกเศร้าไปกับหญิงสาวผู้นี้ และแม้พระองค์จะกล่าวว่าพระองค์ไม่เชื่อในชีวิตโลกหน้าหลังความตาย พระองค์ ก็มอบเหรียญทองจำนวนหนึ่งให้เธอไปขอมิสซาสำหรับดวงวิญญาณของสามีนาง ได้ อีกเย็นวันหนึ่ง ขณะที่เจ้าชายกำลังอ่านหนังสืออยู่นั่นเอง
พระองค์ได้ยินเสียงดังมาจากประตูที่อยู่ใกล้ ๆ และ โดยไม่มีการขออนุญาตเข้าไปก่อน ประตูถูกเปิดออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับปรากฏร่างชายผู้หนึ่ง เดินเข้ามาจากประตู และมาหยุดยืนประจันหน้ากับเจ้าชาย
ข้างโต๊ะเขียนหนังสือของเจ้าชาย เมื่อ เจ้าชายชำเลืองขึ้นดูแล้ว พระองค์ก็มีอันต้องประหลาดใจถึงขีดสุด เมื่อพบว่าชายผู้นั้นคือ จอห์น มารีย์ บริกรของพระองค์ที่ได้เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง ชายผู้นี้มองจ้องมาที่เจ้าชาย ก่อนจะส่งรอยยิ้มตอบกลับไปให้พระองค์ “เจ้าชาย” เขากล่าว“ผม มาที่นี่เพื่อจะกล่าวขอบคุณพระองค์
ที่ทรงพระราชทานเงินให้ภรรยาของผมไปทำมิสซาอุทิศให้กับผมได้ ขอบคุณยิ่งที่ทำให้พระคริสตเจ้าไม่ต้องหลั่งพระโลหิตเพื่อผม ตอนนี้ผมจะได้ไปสวรรค์แล้ว แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผมกลับมาขอบคุณเจ้าชาย สำหรับความมีน้ำใจของพระองค์” กล่าวได้ดังนี้ เขาก็ยิ้ม และกล่าวเสริมกับเจ้าชายต่อว่า
“เจ้าชาย พระเจ้าทรงมีอยู่จริง เช่นเดียวกับชีวิตในโลกหน้า สวรรค์ และ นรก” กล่าวจบเขาก็หายไปต่อหน้าต่อตาเจ้าชาย เจ้าชายทรุดลงกับพื้นอย่างหมดแรง ตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัว ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเร่าร้อนว่า “Credo” (ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระเป็นเจ้า)
นักบุญแอนโทนิอัส และสหายของท่าน นัก บุญ แอนโทนิอัส อาร์คบิชอปผู้มีชื่อเสียงแห่งฟลอเรนส์ ได้มีสหายของท่านอยู่คนนึง เขาเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และดำรงอยู่ในกิจกรรมคุณงามความดีมีคุณธรรมมาโดยตลอด
วันหนึ่งเขาได้สิ้นชีวิตลง จึงได้มีการขอมิสซา และการสวดอุทิศให้กับวิญญาณของเขามากมาย หลังจากนั้นระยะ หนึ่ง วิญญาณของชายผู้น่าสงสาร คนนั้นปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของท่านแอนโทนิอัส ในสภาพที่อิดโรยด้วยความระทมทุกข์เจ็บปวดทรมานอย่างยิ่งยวด
“โอ้ว ! เพื่อนที่รักเอ๋ย” อาร์คบิชอปกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณยังติดอยู่ในไฟชำระอีกหรือ ? คนที่ดำเนินและอุทิศชีวิตเยี่ยงผู้ศักดิ์สิทธิ์เช่นคุณนะ ?” “ใช่ และผมต้องติดในไฟชำระอีกนานเลยทีเดียว” วิญญาณที่น่าเวทนาตอบกลับ“เพราะยามที่ผมมีชีวิตอยู่ ผมละเลยที่จะสวดอุทิศให้กับวิญญาณในไฟชำระ
(suffarage = การสวดภาวนาและการอุทิศผลบุญของเราให้กับดวงวิญญาณในไฟชำระ) ดังนั้นในตอนนิ้ พระเจ้าจึงยกผลบุญ ผลการสวดอุทิศให้ผม ให้กับดวงวิญญาณที่ผมควรจะสวดให้แต่ไม่ได้สวดอุทิศให้แทน” “
แต่ แน่นอน องค์พระผู้เป็นเจ้าในพระยุติธรรมของพระองค์ จะตอบแทนผลคุณงามความดีนี้ให้กับผม ยามที่ผมได้เข้าสู่สวรรค์ แต่อันดับแรก ผมต้องชดเชยความผิดของผม ที่ละเลยจะให้ความช่วยเหลือต่อคนอื่นก่อน” ทั้งหมดนี้ เป็นดังที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเคยตรัสเอาไว้ว่า
“ท่านตวงเพื่อนพี่น้องของท่านด้วยเครื่องตวงใด เราจะใช้เครื่องตวงเดียวกันนั้น ตวงท่าน” ทั้ง หมดนี้เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับท่านผู้อ่าน ที่จะพึงตระหนักว่า ผู้ที่ดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์มาตลอดเช่นนั้น ก็อาจประสบกับชะตากรรมที่น่าสะพรึงกลัวได้ หากท่านละเลยที่จะให้ความช่วยเหลือวิญญาณผู้อื่น
หรือสวดอุทิศให้กับดวงวิญญาณของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณที่รอความช่วยเหลือจากเราในไฟชำระ 3] ดวงวิญญาณต้องติดในไฟชำระนานแค่ไหน ? ระยะเวลาที่ดวงวิญญาณหนึ่ง ๆ ต้องทนทุกข์ในไฟชำระนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
A) จำนวนความผิดบาปที่ได้กระทำลงไป
B) ความหนัก และ เจตนาความตั้งใจ ในการก่อบาปความผิดนั้น
C) มีความเป็นทุกข์เสียใจต่อบาปที่ได้กระทำลงไปหรือไม่ หรือมีความพึงพอใจที่ได้กระทำบาป
D) มิสซา และ การสวดอุทิศที่ดวงวิญญาณนั้นได้รับหลังเสียชีวิตไปแล้ว และพึงระลึกไว้ว่า เวลาที่ดวงวิญญาณหนึ่ง ๆ ต้องอยู่ในไฟชำระนั้นยาวนานกว่ามาตรวัดเวลาปกติบนโลกนี้มากนัก ต่อจากนี้ไป เราจะขออ้างอิงตัวอย่างชีวิต
และการไขแสดงของบรรดานักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์เกี่ยวกับเรื่องไฟชำระนี้ บิดา ของ นักบุญ หลุยส์ เบอร์แทรนด์
ท่านเป็นแบบอย่างของคริสตชนคนหนึ่งอย่างที่เราสามารถคาดหวังได้ สำหรับท่านที่เป็นถึงบิดาของนักบุญเช่นนี้ ท่านตั้งใจจะบวชเป็นนักบวชของคณะคาร์ทูเซีย จนกระทั่งท่านพบว่านั่นไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าจึงล้มเลิกไปก่อน
ท่าน ได้สิ้นลมหายใจลง หลังตรากตรำทำงานเยี่ยงคริสตชนที่ดีมาตลอด บุตรของท่านได้ตระหนักถึงความเข้มงวดของพระยุติธรรมของพระเป็นเจ้า จึงได้ขอมิสซาหลายต่อหลายมิสซา ร่วมกับการสวดอุทิศให้อย่างเร่าร้อนให้กับดวงวิญญาณที่รักยิ่งของบิดาของ ท่าน แต่แม้กระนั้นแล้ว
ท่านก็ยังได้รับภาพนิมิตของบิดาท่านติดในไฟชำระอยู่ ยังผลให้ท่านทวีความพยายามด้วยการสวดภาวนาอุทิศให้อย่างหนักมากขึ้นกว่าเดิม หลายสิบเท่า ร่วมกับการขอมิสซา และ การถือศีลอด รวมทั้งหมดเป็นเวลาร่วม 8 ปีด้วยกันผ่านพ้นไป บิดาของท่านจึงได้ไปสวรรค์ น้องสาวของ นักบุญ มาลาไค น้อง สาวของนักบุญมาลาไคถูกเหนี่ยวรั้งติดในไฟชำระเป็นเวลานาน ถึงแม้จะมีทั้งมิสซา
การสวดอุทิศ ไปจนถึงการบำเพ็ญทุกขกริยาอย่างมากมายที่นักบุญ มาลาไค อุทิศให้กับน้องสาวของท่าน แม่ชีผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งแพมพลูน่า ผู้ช่วยเหลือดวงวิญญาณของบรรดาแม่ชีแห่งคณะ คาร์เมไลต์ จากไฟชำระ ซึ่งบรรดาแม่ชีส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาในไฟชำระตั้งแต่ 30-60 ปี !!!
ถ้า ขนาดบรรดานักบวชผู้อุทิศตนและแม่ชี ยังต้องใช้เวลาในไฟชำระถึง 60 ปีเช่นนี้แล้ว แล้วชาวเราผู้อ่อนแอ ที่อยู่ท่ามกลางสิ่งประจญล่อลวงในโลกทุกวันนี้กันเล่า จะใช้เวลาในไฟชำระมากเพียงไรกันเชียว…? นักบุญ วินเซนต์ เฟอร์เรอร์ หลังจากน้องสาวของนักบุญ วินเซนต์ เฟอร์เรอร์ ได้สิ้นชีวิตลง ท่านก็ได้สวดอุทิศ พร้อมกับขอมิสซาให้กับน้องสาวของท่านเป็นพิเศษ
โดยหวังว่าดวงวิญญาณของน้องสาวท่านจะได้รอดพ้นจากไฟชำระได้ในเร็ววัน จน กระทั่งวันหนึ่ง น้องสาวของท่านได้มาปรากฏตัวต่อหน้าท่าน พลางกล่าวบอกว่า หากไม่ได้เขาช่วยอุทิศให้อย่างตั้งใจเช่นนี้แล้ว
เธอคงต้องติดอยู่ในไฟชำระเป็นเวลานานราวกับช่วยกัปชั่วกัลป์เลยทีเดียว ใน ธรรมเนียมของทางโดมินิกัน มีกฎให้สวดอุทิศให้กับคณาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้วในวันครบรอบของแต่ละท่าน ซึ่งบรรดาคณาจารย์ทั้งหลายส่วนมากจะล่วงลับไปเป็นร้อย ๆ ปีมาแล้ว
ซึ่งแต่ละท่านล้วนเป็นผู้ปราดเปรื่องและดำเนินชีวิตเยี่ยงผู้ศักดิ์สิทธิ์มา ทั้งนั้น แต่กระนั้นก็ดี กฎข้อนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากทางศาสนจักร และไม่ได้เป็นข้อบังคับที่ต้องทำ
เราไม่ได้กำลังจะบอกว่า ดวงวิญญาณทุกดวงต้องมารับทุกข์ทรมานในไฟชำระเป็นเวลานานแสนนานเช่นนี้กันหมด มีดวงวิญญาณมากมายที่กระทำบาปความผิดแต่เพียงเล็กน้อย ซ้ำยังเป็นทุกข์เสียใจอย่างจริงจังและจริงใจด้วย
ดวงวิญญาญเช่นนั้นจะรับทุกข์ทรมานในไฟชำระแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ ตัวอย่างที่เรายกมาข้างต้นก็ตรงประเด็นที่ว่า มีผู้คนมากมายที่ได้เห็นแบบอย่างที่ดีงามของนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์มากมายใน ชีวิต
(ถึงขนาดเป็นคนใกล้ชิดกับนักบุญแต่ละท่านขนาดนั้น) และยังได้รับการสวดอุทิศ และการขอมิสซาออุทิศให้อย่างมากมาย
แต่ดวงวิญญาณเหล่านั้นก็ยังต้องทนทุกข์ในไฟชำระอย่างแสนสาหัสเป็นเวลานานแสน นาน แล้วกับชาวเราหลาย ๆ คน ที่ห่างไกลต่อสิ่งเหล่านี้และสิทธิ์พิเศษเหล่านี้เล่า จะต้องประสบกับอะไรกันแน่เบื้องหลังความตาย ? ทำไมระยะเวลา การชดเชยบาปในไฟชำระถึงยาวนานเช่นนี้ ?
เหตุผลของคำถามนี้ง่ายมาก
1. ผลความผิดของบาปนั้นหนักมาก แม้ แต่บาปความผิดที่ชาวเราอาจมองเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สลักสำคัญ แต่แท้จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ผิดมหันต์ต่อพระคุณความดีงามของพระเป็นเจ้า นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่าน ถึงกับหลั่งน้ำตาคร่ำครวญต่อความผิดบาปทั้งหลาย มนุษย์เรานั้น อ่อนแอ นั่นเป็นความจริง
แต่พระเจ้าก็ทรงประทานพระเมตตามากมายให้กับเรา มากพอที่จะให้เราเข้มแข็งยืนหยัดขจัดความอ่อนแอเหล่านั้นไปได้ พระองค์ประทานแสงสว่างให้เราสัมผัสได้ถึงความหนักของความผิดบาปของเรา และแน่นอน ประทานพระหรราษทานมากมายที่พอเพียงจะให้เราชนะการประจญทั้งหลายได้
ถึงกระนั้นแล้วหากเรายังเลือกที่จะจมปลักกับความอ่อนแอของตนเองอยู่ เมื่อนั้นความผิดย่อมตกที่ตัวเรา เพราะเราไม่ยอมใช้แสงสว่างและพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงประทานให้เปล่า ให้เกิดประโยชน์อันใดเลย หากเราไม่สวดภาวนา หรือรับศีลศักดิ์สิทธือย่างที่ควรรับแล้ว ก็เป็นเราที่เลือกที่จะผิดเอง
2. นักเทววิทยาได้แสดงความเห็นไว้ว่า หาก บาปหนักที่ทำให้ถึงตาย (Mortal Sin) บาปหนึ่ง จะทำให้ดวงวิญญาณดวงหนึ่งต้องถูกจองจำในนรกชั่วกัลปวสานได้ ก็ไม่น่าแปลกใจเลย ที่บาปเบา (Venial Sin)
จำนวนนับไม่ถ้วน จะมากพอให้ดวงวิญญาณดวงนั้น ๆ จมปลักในไฟชำระเป็นเวลานานแสนนานได้ ตอนที่ใครคนหนึ่งกระทำบาป ตัวเค้าเองนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าที่กระทำนั้นเป็นบาปเบาหรือบาปหนัก ทั้งนั้นตัวเค้าคนนั้นก็อาจไม่ได้เป็นทุกข์เสียใจต่อสิ่งที่กระทำลงไปอย่าง จริงใจก็ได้ บาปอาจถูกอภัยยกให้ได้ แต่ความผิดที่จะต้องชดใช้นั้นยังคงอยู่ในไฟชำระ
องค์พระเยซูเจ้า ตรัสสอนเราว่า เราต้องรับผิดชอบทุกคำพูดและการกระทำที่เราได้ทำลงไปในโลกนี้ และพระองค์ยังตรัสอีกว่า เราจะไม่ได้ออกจากคุกจนกว่าเราจะชดใช้เศษเหรียญเงินสุดท้ายที่ติดหนี้จนครบ (มัทธิว 5:26) บรรดานักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังพลาดพลั้งกระทำ บาปอยู่เช่นเดียวกัน แต่แม้แต่บาปที่เล้กน้อยที่สุดทั้งหลาย
ท่านก็ยังคร่ำครวญเสียใจเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างถึงที่สุด และกระทำกิจใช้โทษบาปอย่างตั้งใจเต็มที่ กับชาวเราที่มักจะกระทำบาปทั้งหลายเป็นประจำ และแทบจะไม่เป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาป หรือ กระทำกิจใช้โทษบาปเลยละ…. บาปเบา (Venial Sins) บาปที่อภัยให้ได้ มันเป็นการยากที่จะนับจำนวนบาปเบาที่แน่นอนที่เราได้กระทำลงไป ด้วยว่า
a) มีความผิดจำนวนนับไม่ถ้วนที่เกิดจากความรักตัวเอง เห็นแก่ตัว ทั้งจากทาง กาย วาจา และ ใจ มี ความผิดมากมายเกิดจากทางเนื้อหนังได้หลายร้อยรูปแบบ รวมถึงความผิดอกุศลต่าง ๆ ทั้งทางกายและทางใจ คำพูดและการกระทำ ความเกียจคร้าย ความทระนงตน ความริษยา การละเลย และความผิดอีกนับไม่ถ้วนเกินกว่าที่จะกล่าวได้
b) บาปแห่งการละเลย ละเว้น เป็นสิ่งที่เราให้ความสนใจน้อยมาก ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าจืดจางมาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พระองค์รักเราสุดล้นพ้นที่จะกล่าวพรรณนาออกมาได้ แต่เรากลับตอนแทนความรักของพระองค์ด้วยความเฉยชาทางจิตวิญญาณ ด้วยหัวใจที่ด้านชาและไม่แยแส โดยไม่สำนึกและตอบแทนความรักที่พระองค์มีให้เรา
พระองค์ได้ทรงสิ้น พระชนม์เพื่อพวกเราทุกคน แค่เรื่องนี้ เราเคยขอบพระคุณพระองค์ หรือ ตอบแทนพระองค์อย่างที่เราควรจะกระทำกันไหม ? ตลอดวันตลอดคืนที่พระองค์ประทับอยู่ ณ แท่นบูชา เฝ้ารอคอยเราไปเยี่ยมเยียนหาพระองค์
และเฝ้ากังวลรอเราจะเรียกหาพระองค์ ร้องเรียกหาและขอความช่วยเหลือจากระองค์ แต่เราก็ยังบ่ายเบี่ยงที่จะพบพระองค์ พระองค์อยากเสด็จเข้าไปในใจของเราผ่านศีลมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์ แต่เราหลายคนก็ปฏิเสธพระองค์
พระองค์เฝ้ารอเราอยู่ทุกวี่ทุกวันในพิธีบูชามิสซา โดยพร้อมจะประทานมหาสมุทรแห่งพระกรุณาอันล้นพ้นให้กับชาวเรา
แต่เราจำนวนไม่น้อยก็เกียจคร้านเกินกว่าจะไปพบพระองค์ หรือคิดถึงพระองค์ และนั่นเป็นความผิดแห่งการละเลย
ละเว้น ไม่แยแสต่อพระเมตตาของพระเจ้า
c) หัวใจของเรานั้นแข็งกระด้าง
เต็มไปด้วยความรักที่มีแต่ต่อตนเอง คือ ความเห็นแก่ตัว เรา มีบ้านที่แสนสบาย อาหารที่ล้นเหลือ เสื้อผ้าที่อบอุ่น และสิ่งสารพันดี ๆ มากมายอย่างเหลือเฟือ ขณะที่คนอื่น ๆ รอบตัวเราอาจกำลังอดอยาก มีชีวิตอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ระทม
แต่เราก็ยากที่จะใส่ใจคนเหล่านั้น สิ่งที่เราให้คนอื่นเราให้แต่เพียงเล็กน้อย ขณะที่สิ่งที่เราให้ตนเอง เราให้อย่างฟุ่มเฟือย สะลุ่ยสุร่าย d) เป้าหมายในชีวิตของเราคือการรับใช้พระเจ้า และเพื่อดวงวิญญาณของเราเองด้วย แต่ คริสตชนจำนวนไม่น้อยให้เวลา 5 นาทีกับพระเจ้าในการสวดภาวนาตอนเช้า และ 5 นาทีในการสวดภาวนาก่อนนอน ขณะที่เวลา 24 ชม.
ในแต่ละวันของเราหมดไปกับการทำงาน การพักผ่อน และการแสวงหาความสุขให้ตนเอง 10 นาที เราให้กับพระเจ้า และให้กับวิญญาณของเราเอง และ 23 ชั่วโมง 50 นาที เราให้กับชีวิตอันไม่ถาวรของเรานี้ นี่ยุติธรรมกับพระเจ้าแล้วหรือ ?
เราอาจแก้ตัวได้ว่า หน้าที่การงาน การพักผ่อน และกิจการทั้งหลายที่เราทำ เราก็ทำเพื่อพระเจ้านะ แต่ ความเป็นจริงคือ น้อยคนนักที่จะหวนระลึกถึงพระเจ้าระหว่างใช้ชีวิตในแต่ละวัน สิ่งเดียวที่เรามักจะนึกถึงคือ
ตัวเราเองมาเป็นอันดับแรก และกระทำแต่สิ่งที่ตอบสนองความพึงพอใจของตนเองเป็นหลัก พระเจ้ามีที่ประทับน้อยมากในแต่ละวันของเรา และในจิตใจของเรา ต่างกันสิ้นเชิงกับพระองค์ที่ทรงคิดถึงเราตลอดเวลา… บาปหนัก (Mortal Sins) บาปที่ทำให้ถึงตาย
e ) เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่มีคริสตชนจำนวนไม่น้อย ที่กระทำบาปหนักในระหว่างชีวิตของตน และคิดแต่เพรยงว่า “แค่เพียงสารภาพบาปไปก็จบแล้ว” ให้เราลองพิจรณาดูคำกล่าวจากท่านเหล่านี้อีกทีเถิด เบด ผู้น่าเคารพ ได้กล่าวไว้ว่า ผู้ ที่กระทำบาปหนักมหันต์มาชั่วชีวิต และได้สารภาพบาปก่อนจะสิ้นชีวิตบนเตียงของตนนั้น บาปนั้นจะได้รับการอภัย
หากแต่เขาต้องชดใช้ความผิดของตนในไฟชำระ จวบจนกระทั่งวันพิพากษาจะมาถึง นัก บุญเยอร์ทรู๊ด ได้รับการไขแสดงมาว่า ผู้ใดที่กระทำบาปหนักมาเป็นจำนวนมาก และไม่ได้เป็นทุกข์เสียใจต่อบาปที่ได้กระทำลงไปจริง จะไม่ได้รับผลกุศลของการสวดภาวนาในโบสถ์เลยเป็นเวลานานแสนนาน !
ข้อสรุป บาป ไม่ว่าจะเบา หรือ หนัก เป็นดังการเก็บสะสมเพิ่มเวลาสำหรับเราในไฟชำระ ไม่ว่าจะ 20 30 40 60 ปี หรือมากไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบาปที่เล็กน้อยเสียเท่าไหร่
ทุก ๆ บาป ที่เราได้กระทำลงไป จะต้องได้รับการชดใช้หลังความตายของเรา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุอันใดจึงมีดวงวิญญาณติดในไฟชำระมากมาย และ ยาวนานกันขนาดนี้ 4] เหตุใด จึงสมควรภาวนาให้กับดวงวิญญาณที่น่าเวทนาด้วย ? บัญญัติ หลักข้อหนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า
คือ ให้เรารักกันและกันอย่างจริงจังและจริงใจ รักเพื่อนบ้านของเราเสมือนประดุจหนึ่งเรารักตัวของเราเอง บัญญัตินี้เป็นบัญญัติหลักที่เป็นรองจากบัญญัติเอก คือ ให้เรารักพระเจ้าสิ้นสุดหัวใจวิญญาณและความคิดของเรา
สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่พระองค์หวังหรือปรารถนาแต่เพียงเท่านั้น หากแต่เป็นบทบัญญัติแห่งความรักที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติขึ้นมา
เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุดและเป็นหัวใจหลักสำคัญที่สุดของกฎบัญญัติทั้ง หมดของพระองค์ เราปฏิบัติให้ความสำคัญต่อตัวเราเองเช่นไร เราก็ควรให้ความสำคัญและปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านเฉกเช่นนั้น และแน่นอนการปฏิเสธตัวเราก็เท่ากับเราปฏิเสธเพื่อนบ้านของเราด้วย จากพระวรสารนักบุญมัทธิว บทที่ 25
ข้อ 34-46 พระเยซูได้ทรงตรัสสอนเราเกี่ยวกับวันเรื่องนี้เอาไว้มากมายดังนี้ 25:34 ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า
`ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักรซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรก สร้างโลกเป็นมรดก
25:35 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ
ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้
25:36 เราเปลือยกาย ท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วย ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในคุก ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา'
25:37 เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลพระองค์ว่า `พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร หรือทรงกระหายน้ำ และได้ถวายให้พระองค์ดื่มแต่เมื่อไร
25:38 ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์ไว้แต่เมื่อไร หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 25:39 ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในคุก และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร'
25:40 แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสตอบเขาว่า `เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียง ไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย'
25:41 แล้วพระองค์จะตรัสกับบรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายพระหัตถ์ด้วยว่า `ท่านทั้งหลาย ผู้ต้องสาปแช่ง จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพญามารและสมุนของมันนั้น
25:42 เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านก็มิได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็มิได้ให้เราดื่ม
25:43 เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องจำอยู่ในคุก ท่านไม่ได้เยี่ยมเรา
' 25:44 เขาทั้งหลายจะทูลพระองค์ด้วยว่า `พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยพระกาย หรือประชวร หรือต้องจำอยู่ในคุก
และข้าพระองค์มิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร' 25:45 เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสตอบเขาว่า `เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านมิได้กระทำแก่ผู้ต่ำต้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนท่านมิได้กระทำแก่เรา
' 25:46 และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่เป็นนิตย์ แต่ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์" คริสต์ ศาสนิกชนบางคนอาจคิดว่า
คำสอนเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ชะงักงันล้าสมัยไปแล้วในสังคมปัจจุบันที่เต็ม ไปด้วยความเห็นแก่ตัว เห็นแต่กับประโยชน์ส่วนตน และการเพิ่มพูนทรัพย์สมบัติและอำนาจของตนมาก่อนสิ่งใด
“มันไร้ประโยชน์ที่จะผลักดันกฎแห่งความรักในโลกทุกวันนี้” พวกเขากล่าว “ทุกคนมีแต่ต้องยกยอตัวเองและหาประโยชน์ใส่ตัวเอง มิฉะนั้น
ตนเองนั่นแหละที่จะถูกเอาเปรียบกดขี่โดยคนอื่น” ทั้งหมดนี้เป็นความคิดที่ผิด !!!
พระบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์จนถึงทุกวันนี้ และแน่นอนยิ่งในยุคที่ดูเหมือนจะสับสนวุ่นวายเช่นนี้ กฎ พระบัญญัติแห่งความรักยิ่งสำคัญยิ่งเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งนี้เป็นหน้าที่
ที่เราต้องพึงกระทำ และ จะต้องเป็นมากกว่า “ความสนใจที่จะทำ”
เป็นข้อผูกมัด ที่เราต้องสวดให้กับวิญญาณในไฟชำระ เรา ถูกผูกมัด ด้วยความรักที่มีต่อกันและกัน ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ยิ่งเพื่อนบ้านของเราต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนมากเท่าใด
ก็ยิ่งเป็นข้อผูกมัดที่เราต้องให้ความช่วยเหลือมากขึ้นเท่านั้น มันไม่ ได้ขึ้นกับความพึงพอใจของเราที่จะเลือกว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างไร
หากแต่เป็นหน้าที่ที่เราสมควรต้องทำต่อเพื่อนบ้าน เพื่อนมนุษย์ ด้วยการช่วยเหลือกันและกัน และรักซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่อง ร้ายกาจมาก ถ้าเราจะปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนยากจน หรือปล่อยให้ผู้หิวโหยอดตายไปเสียอย่างนั้น มันเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจถ้าเราจะเมินเฉยต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างเร่งด่วนเป็นที่สุด เหมือนดั่งการที่เราเดินผ่านคนที่กำลังจะจมน้ำตายที่เราสามารถช่วยชีวิตเค้า ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทำ มันไม่ใช่ว่าเราจะช่วยคนอื่นเมื่อเราพร้อม หรือ สะดวกสบายอยู่อย่างครบครัน
แต่นั่นหมายรวมถึง การที่เราต้องพยายามถึงขั้นเสียสละสิ่งที่เรามีหรือสามารถทำได้ให้กับผู้ อื่นที่ต้องการเป็นพิเศษด้วย จากที่กล่าวมานี่เอง หากเราควรช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่กำลังเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือเป็น พิเศษแล้ว
จะมีเพื่อนบ้านใดที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเป็น พิเศษ เทียบเท่ากับเพื่อนพี่น้องของเราในไฟชำระเล่า ?
สำหรับเพื่อนพี่น้องที่กำลังทุกข์ยากลำบาก หิวโหยและต้องการความช่วยเหลือก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความทุกข์ทรมานที่เกิด ขึ้นในไฟชำระ ไม่มีผู้ป่วย ผู้ทุกข์ยาก หรือ ผู้หิวโหยรายใดเลย จะต้องการความช่วยเหลืออย่างหิวกระหายเท่ากับดวงวิญญาณที่น่าเวทนาในไฟ ชำระเหล่านั้นอีกแล้ว รู้เช่นนี้แล้ว เรายังจะมัวมาใส่ใจกับการแสวงหาความสุขให้แต่ลำพังตัวเราได้หรือ ?
พระเจ้า ทรงปรารถนาอยากให้เราช่วยพวกเค้า ไม่ ว่าจะในเหตุการณ์ หรือ สถานการณ์ใดก็ตาม เพื่อนพี่น้องในไฟชำระก็เป็นสหายที่รักยิ่งของพระเจ้าอยู่เสมอ และแน่นอน พระเจ้าทรงประสงค์อยากช่วยเหลือพวกเค้า
อยากช่วยให้พวกเค้าทุกคนได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทรมาน สามารถเข้าสู่พระราชัยสวรรค์ของพระองค์ได้โดยเร็ว โดยที่ในสวรรค์นั้น ชาวเราจะไม่ทำอะไรผิดต่อพระองค์อีกแล้ว นอกจากจะได้เสวยสุขในชีวิตนิรันดรกับพระองค์ไปชั่วกาลนาน นั่น เป็นสิ่งที่น่าวิเศษ แต่ก็เป็นความจริงอีกว่า
พระยุติธรรมของพระเจ้า ปรารถนาให้เราชดใช้ความผิดบาปที่เราได้กระทำผิดต่อพระองค์ แต่โดยอาศัยพระเมตตาและการไขแสดงของพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงหยิบยื่นโอกาสในการให้ความช่วยเหลือดวงวิญญาณที่น่าเวทนาเหล่านี้
ให้กับชาวเราที่ยังมีชีวิตอยู่ พระองค์ทรงประทานพระหรรษทานให้ชาวเราในโลกนี้ สามารถให้ความช่วยเหลือ บรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ที่อยู่ในไฟชำระหรือแม้แต่ช่วยปลดปล่อยพวกเค้า ได้
ซึ่งสิ่งนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ยิ่งนัก ที่จะได้เห็นเราช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องของเราเองในไฟชำระ และผลคุณความดีงามที่เราได้ทำต่อเพื่อนพี่น้องของเรานี่เอง พระองค์จะยิ่งทรงพอพระทัยประดุจหนึ่งเราได้ทำให้กับพระองค์เลยทีเดียว
แม่พระก็ปรารถนาอยากให้เราช่วยพวกเค้า ไม่มีมารดาคนใดในโลกนี้จะรักและเป็นห่วงเป็นใยบุตรธิดาของตนได้เท่ากับแม่พระของชาวเราอีกแล้ว แม่ พระเป็นห่วงชาวเราที่เป็นลูกของพระนางทุกคน เมื่อเราเจ็บ
เมื่อเราทนทุกข์ พระนางก็เป็นทุกข์ไปกับเราไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความทนทุกข์ทรมานในไฟชำระ ที่พระนางเฝ้าคิดคำนึงถึงชาวเราในไฟชำระเป็นพิเศษ เสด็จมาเยี่ยม ปลอมประโลม และให้กำลังใจจนกว่าจะถึงวันที่ชาวเราได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ร่วมกับพระนาง
ดังนี้เอง จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทุกครั้งที่เราสวดหรืออุทิศสิ่งใดก็ตามให้กับดวงวิญญาณในไฟชำระ พระนางจะเปี่ยมด้วยความสุขล้นยินดีมากเหนือคณานับ วิญญาณของผู้ศักดิ์สิทธิ์จักตอบแทนเรากลับ ร้อยเท่า พันทวี เรา จะบรรยายความรู้สึกของเราออกมาอย่างไร หากเราเป็นดวงวิญญาณในไฟชำระเหล่านั้น ?
มันจะเป็นความรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดจนมิอาจบรรยายออกมาได้ จากบุญคุณที่ได้รับมา เช่นเดียวกับความรู้สึกสำนึกบุญคุณจนอยากจะตอบแทนบุญคุณนั้นกลับอย่างล้นพ้น พวกเค้าจะตอบแทนกลับด้วยความปรารถนาดีอย่างล้นพ้น อย่างเข้มข้น อย่างรุนแรง และอย่างสุดกำลังความสามารถ เป็นความรู้สึกที่เร่าร้อนรุนแรงจนพระเจ้ามิอาจปฏิเสธคำขอของพวกเค้าไปได้
นักบุญ แคทเธอรีน แห่ง โบล็อกนา ได้กล่าวเอาไว้ว่า “ฉันได้รับการอำนวยพรมากมายจากบรรดานักบุญ แต่ได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีกจากบรรดาวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์”
ใน คราที่บรรดาดวงวิญญาณได้หลุดพ้นจากไฟชำระ และได้เสวยสุขในพระอาณาจักรสวรรค์ พวกเค้าก็ยากที่จะลืมเพื่อนพี่น้องบนโลกที่ได้ช่วยเหลือเค้ามา และความรู้สึกสำนึกบุญคุณนี้ก็มากเสียจนไม่มีขอบเขต พวกเค้าจะหมอบราบ
เบื้องหน้าบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่หยุดยั้งที่จะสวดภาวนาให้กับผู้ที่เคยช่วยเหลือพวกตน และโดยอาศัยคำภาวนาของบรรดาดวงวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์นี่เอง
คำภาวนาเหล่านี้จะเป็นดั่งโล่ที่คุ้มภัยอันตราย และปกป้องพิทักษ์จากการคุกคามของปีศาจ พวกเค้าจะสวดภาวนาอยู่ ร่ำไป ไม่หยุดยั้งจนกว่าจะได้เห็นผู้อุปถัมภ์ผู้มีบุญคุณต่อตนได้เข้าสู่สวรรค์ อย่างปลอดภัย และในเวลาเดียวกันในสรวงสวรรค์
พวกเค้าก็จะเป็นสหายที่จริงใจและที่รักที่สุดของชาวเรา ดังนั้น เมื่อชาวเราคริสต์ศาสนิกชนรู้ว่ามีผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังเช่นนี้แล้ว ชาวเราก็ไม่ควรที่จะละเลยที่จะสวดภาวนาให้กับดวงวิญญาณในไฟชำระ อันเป็นเพื่อนพี่น้องของชาวเราด้วยกันเองดวงวิญญาณของผู้ศักดิ์สิทธิ์จะช่วยให้ไฟชำระบรรเทาลง
อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเค้าสามารถตอบแทนผู้อุปถัมภ์ตนได้ คือ ช่วยบรรเทาและช่วยร่นระยะเวลาของชาวเราในไฟชำระลง หรือถ้าหากเป็นไปได้ ก็อาจช่วยให้เราได้รับการอภัยโทษบาปอย่างสมบูรณ์โดยไม่ต้องผ่านไฟชำระได้เลย
! นักบุญ จอห์น แมซเซียส สาธุคุณคณะโดมินิกัน เป็น ผู้อุทิศพิเศษให้กับดวงวิญญาณในไฟชำระ ท่านได้สวดอุทิศเป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการสวดสายประคำของท่าน และผลของการสวดอุทิศของท่านมาโดยตลอด
ทำให้ท่านได้ช่วยปลดปล่อยวิญญาณจากไฟชำระถึง 1 ล้าน 4 แสน ดวง ด้วยกัน !!! และ เพื่อเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจของท่านนี้เอง ท่านได้รับพระพรและความเมตตาอย่างลึกซึ้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามอันเป็นวาระสุดท้ายของท่าน ท่านได้รับพระพร ความช่วยเหลือ การปลอบประโลม ร่วมกับการนำทางเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ สิ่งนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้น
ได้รับการยอมรับจากทางโบสถ์ และประกาศให้ทราบทั่วกันต่อสาธรณชน พระคาร์ดินัล บาโรเนียส ผู้คงแก่เรียน ได้ประสบเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน
ท่าน ได้ถูกเรียกตัวไปให้ความช่วยเหลือแก่สุภาพบุรุษที่กำลังใกล้ตายคนหนึ่ง ทันใดนั้นเอง กลุ่มดวงวิญญาณของผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏกายขึ้นที่ห้องใต้หลังของชายผู้ นั้น
ดวงวิญญาณเข้ามาปกป้องและปลอบประโลมผู้ตาย และขับไล่ปีศาจจิตชั่วร้ายที่หมายจะมาประจญเขาเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อท่านถามดวงวิญญาณเหล่านั้นว่าเป็นใคร
พวกเค้าตอบว่า พวกตนคือดวงวิญญาณจำนวน 8,000 ดวง ที่ ได้รับการปลดปล่อยจากไฟชำระด้วยคำภาวนาและผลฤทธิ์กุศลที่ชายผู้นี้ได้ทำมา โดยตลอด พวกเค้าถูกส่งมาโดยพระเจ้าเพื่อนำชายผู้นี้เข้าสู่สวรรค์ โดยไม่ต้องผ่านแม้ซะเสี้ยววินาทีเดียวในไฟชำระ
นักบุญ เยอร์ทรู๊ด ท่าน ได้ถูกประจญล่อลวงอย่างแสนสาหัสจากบรรดาปีศาจและจิตชั่วร้าย ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิตท่าน บรรดาจิตชั่วร้ายมาประจญล่อลวง มาพรากความสงบสันติไปจากท่าน
ด้วยการหลอกท่านว่า ท่านจะต้องพบกับไฟชำระที่แสนจะทุกข์ทรมานและเลวร้ายที่สุดเป็นเวลานานแสนนาน ซึ่งตลอดชีวิตของท่านนั้น ท่านได้สวดอุทิศให้กับดวงวิญญาณในไฟชำระทั้งหลายเสมอมา
แต่แทนที่ดวงวิญญาณในไฟชำระนับพันดวง หรือ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมาช่วยเหลือท่านในยามนาทีวิกฤตสุดท้ายของชีวิตท่าน
เช่นนี้ กลับเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ที่ทรงเสด็จมาขับไล่บรรดาปีศาจและจิตชั่วร้ายด้วยพระองค์เอง
ก่อนจะปลอบประโลมท่านด้วยพระเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ องค์พระ ผู้เป็นเจ้าตรัสบอกนักบุญ เยอร์ทรู๊ดว่า เพื่อเป็นการตอบแทนที่ท่านได้อุทิศให้กับบรรดาวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ในไฟ ชำระเสมอมา
พระองค์จะทรงนำท่านเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์โดยตรงในทันที และตอบแทนผลบุญที่ท่านได้กระทำมากลับเป็นร้อยเท่าพันทวี เฮนรี่ ซูโซ ผู้มีบุญ แห่ง คณะโดมินิกัน ได้ร่วมทำสัญญากับสหายที่รักของท่านว่า
เมื่อใครคนใดคนหนึ่งเสียชีวิตลง อีกคนที่ยังเหลืออยู่ ต้องขอมิสซาให้ 2 มิสซาในทุก ๆ อาทิตย์ เพื่อดวงวิญญาณของอีกคน ร่วมกับการสวดภาวนาอุทิศให้ด้วย ผลที่เกิดขึ้น คือ สหายของท่านได้เสียชีวิตลงก่อน และท่านเฮนรี่ก็ไม่รีรอที่จะทำตามที่ให้สัญญาไว้ คือ ขอมิสซา และ สวดอุทิศให้กับสหายของท่านเป็นเวลานาน
จนเมื่อแน่ใจว่าดวงวิญญาณของสหายท่านได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว ท่านจึงหยุดขอมิสซาให้แต่เพียงเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ดวงวิญญาณของสหายที่ล่วงลับไปแล้วของท่าน ปรากฏกายขึ้นในสภาพอันน่าเวทนาและน่าอกสั่นขวัญหนี ดวงวิญญาณอันน่าเวทนาที่ทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสนั้นกล่าวตำหนิท่านเฮนรี่
ที่ไม่ยอมขอมิสซาให้กับเขาตามที่ได้สัญญาเอาไว้ ท่านเฮนรี่ กล่าวตอบด้วยความเสียใจว่า ท่านหยุดขอมิสซาให้เพราะเชื่อว่าเขาน่าจะได้เสวยสุขในสวรรค์แล้ว แต่ท่านก็เสริมว่าท่านยังระลึกถึงเขาเสมอในทุกคำภาวนาของท่าน “โอ สหายเฮนรี่ ที่รัก โปรดขอมิสซาให้กับเราด้วย ด้วยว่าพระโลหิตอันประเสริฐยิ่งของพระเยซูคริสต์คือสิ่งที่เราต้องการมากที่ สุด
” ดวงวิญญาณดังกล่าวคร่ำครวญออกมา ท่านเฮนรีได้ฟังดังนี้ก็ เริ่มต้นใหม่อีกครั้งในการทำตามสัญญาเป็นทวีคูณมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม คือ ขอมิสซาและสวดอุทิศให้อย่างเร่าร้อนมากยิ่งขึ้น
จวบจนกระทั่งท่านแน่ใจโดยปราศจากข้อกังขาว่าสหายของท่านนั้นได้เข้าสู่ สวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้น ก็เป็นคราวของท่านเอง ที่ได้รับพรและความเมตตาจากสหายที่รักของท่านที่ท่านได้ช่วยเหลือให้รอดพ้น จากไฟชำระ
โดยท่านได้รับการตอบแทนกลับหลายร้อยเท่า เกินกว่าที่ท่านได้คาดหวังเอาไว้…
จากเด็กน้อยผู้น่าเวทนา กลับกลายเป็นบิชอป คาร์ดินัล และพระสันตะปาปา ได้อย่างไร ?
นักบุญ ปีเตอร์ ดาเมี่ยน สูญเสียบิดาและมารดาของท่านไม่นานหลังจากท่านเกิด พี่ ชายคนหนึ่งของพวกเขารับปีเตอร์มาอุปการะต่อ หากแต่เลี้ยงเขาอย่างหยาบ ๆ และไม่ให้ความเอาใจใส่อะไรมากนัก
นอกจากนี้ยังได้บังคับให้เขาตรากตรำทำงานอย่างหนัก แต่ตอบแทนให้เพียงอาหารเหลือ ๆ และเสื้อผ้าขาด ๆ เก่า ๆ เท่านั้น
วัน หนึ่งปีเตอร์พบเศษแร่เงิน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องโชคดีมากสำหรับเขา เพื่อนของเขาบอกว่า เขาเก็บมันไว้ใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองก็ได้ เพราะเจ้าของคงหามันไม่เจอหรอก และนี่
เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับปีเตอร์ คือ การตัดสินใจว่าเขาต้องการอะไรมากที่สุดกันแน่ ด้วยว่าสิ่งที่เขาขาดแคลนและต้องการนั้นมีมากมายเสียเหลือเกิน
ขณะ ที่เด็กตัวน้อย ๆ คนนี้กำลังตัดสินใจอยู่นี่เอง เขาก็มีความคิดแว่บเข้ามาว่า เขาอาจจะใช้เศษเงินนี้ทำสิ่งที่ดีกว่า คือ การใช้เงินนี้ขอมิสซาอุทิศให้กับดวงวิญญาณในไฟชำระ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับดวงวิญญาณของพ่อแม่ของเขาที่จากเขาไปก่อน ด้วยการเสียสละนี่เอง เขาก็ทำความคิดนั้นให้เป็นความจริงโดยการนำเงินนั้นไปใช้ขอมิสซาตามที่ ตั้งใจเอาไว้
และดวงวิญญาณของผู้ศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ตอบแทนเขากลับด้วยความกรุณาเป็นที่สุดตั้งแต่วันนั้นมา ชีวิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
พี่ชายของพี่ที่เลี้ยงปีเตอร์ได้มาเยี่ยมปีเตอร์ ก่อนจะพบว่าปีเตอร์ช่างถูกกระทำอย่างเลวร้าย และมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงไร เขาจึงขอปีเตอร์ไปดูแลต่อเอง ซึ่งเขาก็ได้ให้การดูแลปีเตอร์เป็นอย่างดีด้วยความเอาใจใส่ราวกับเป็นลูกของ เขาเลย เขาได้ให้การศึกษากับปีเตอร์ ให้การดูแล
และเหนือสิ่งอื่นใด มอบความรักให้กับเขา พรอันประเสริฐเช่นนี้ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พรสวรรค์ต่าง ๆ ของปีเตอร์ฉายแววออกมา และในเวลาไม่นานนัก
เขาก็ได้เข้าสู่วิถีของสมณเพศ ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระสังฆราช และในที่สุด พระคาร์ดินัล ปาฏิหาริย์มากมายเกิดขึ้นเป็นเครื่องหมายรับรองความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
ด้วยเหตุนี้เอง หลังท่านเสียชีวิตไปไม่นาน ท่านก็ได้รับการประกาศเป็นนักบุญ และได้รับการแต่งตั้งเป็นนักปราชญ์แห่งคริสตจักรเรื่องอันน่าอัศจรรย์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับท่าน
ภายหลังมิสซาที่ท่านได้อุทิศให้กับวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ การผจญภัยในเทือกเขา อาเพนไนส์ มี พระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง ถูกเรียกตัวไปที่โรมเพื่อจัดการธุระเกี่ยวกับเรื่องสุสาน
พวกเขามีเอกสารที่สำคัญหลายต่อหลายชิ้นติดตัวมา ร่วมกับเงินอีกจำนวนมาก ซึ่งของทั้งหมดนี้ถูกมอบหมายให้พวกเขานำไปมอบให้กับพระสันตะปาปาที่โรม แต่ ด้วยตระหนักว่าเขตเทือกเขา อาเพนไนส์ เป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย
พระสงฆ์กลุ่มนี้จึงให้คนขับรถเลือกใช้เส้นทางที่ปลอดภัยกว่าไว้ก่อน ภูเขาแถบนี้ไม่มีอุโมงค์สำหรับลอดผ่านภูเขา และในยุคสมัยนั้นก็ยังไม่มีทางรถไฟสำหรับใช้สัญจรด้วย ใน ระหว่างการเดินทาง พวกเขามอบการเดินทางในครั้งนี้ไว้ภายใต้การคุ้มครองของพระจิตเจ้า และกล่าวคำว่า De Profundis (แห่งความล้ำลึก) ในทุก ๆ ชั่วโมง
ขณะ ที่พวกเขาเดินทางไปถึงกลางภูเขาในจุดที่อันตรายที่สุดนี่เอง คนขับรถให้สัญญาณ ก่อนจะตะบึงห้อรถม้าไปด้วยความเร็วสูง ซึ่งเมื่อกลุ่มพระสงฆ์มองไปรอบ ๆ ก็พบว่าพวกตนถูกกลุ่มโจรที่มีท่าทางแลดูดุร้ายเข้าล้อมไว้เสียแล้ว โจรแต่ละคนถือปืนไรเฟิลไว้ในมือ เล็ง และพร้อมจะเหนี่ยวไกได้ในทันที
แต่เป็นที่น่าแปลกประหลาดใจยิ่งที่ไม่มีโจรซักคนตัดสินใจเหนี่ยวไกยิงปืนเลย พวกขายืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่อย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่จ่อปืนเล็งอยู่อย่างนั้น รถ ของพวกเขาสามารถผ่านใจกลางภูเขาไปได้โดยไม่ได้รับอันตราย
หรือมีแม้กระสุนปืนซะนัดยิงมาเลย หลังเคลื่อนรถผ่านมาได้ร่วมชม. และแน่ใจว่าปลอดภัยแน่ ๆ แล้วคนขับรถหยุดหันกลับไปมองกลุ่มพระสงฆ์ ก่อนจะถามว่า “กระผมไม่เข้าใจเลยว่าพวกเราหนีรอดมาได้อย่างไร
ตามปกติแล้ว พวกนอกกฎหมายพวกนั้นไม่เคยไว้ชีวิตผู้ใดเลย” ซึ่ง
บรรดาพระสงฆ์ในคณะต่างก็เชื่อว่าพวกตนเป็นหนี้บุญคุณพระจิตเจ้า ที่ได้ช่วยให้พวกตนรอดชีวิตมาอย่างปลอดภัย ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงที่ได้รับการยืนยันให้ปราศจากข้อสงสัยในภายหลังหลัง เสร็จสิ้นกิจธุระในโรมแล้ว
พระคนหนึ่งในคณะของพวกเค้ายังคงถูกเหนี่ยวรั้งให้อยู่ต่อ จนกระทั่งวันหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้น
เขาได้ถูกเชิญไปเจิมนักโทษในคุก เป็นนักโทษฉกรรจ์ที่ถูกจับตัวได้จากอิตาลี และได้ก่อคดีฆาตกรรมอุกอาจมาอย่างร้ายกาจ
และบัดนี้ถูกคุมขังเพื่อรอการประหารชีวิตอยู่ในคุกเพื่อ เป็นการหนุนให้กำลังใจนักโทษผู้นี้มากขึ้น
พระผู้นั้นจึงเริ่มเล่าเรื่องราวการผจญภัยทั้งหลายในชีวิตของท่าน จนกระทั่งถึงเรื่องล่าสุด คือ การหนีกองโจรที่เขตเทือกเขา อาเพนไนส์ ซึ่งนักโทษผู้นั้นก็ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
จนกระทั่งเรื่องเล่าเรื่องนี้จบลงนักโทษผู้นั้นก็โพล่งออกมาทันทีว่า “ข้า อยู่ที่นั่น ตอนนั้น ข้าคือหัวหน้ากองโจรกลุ่มนั้นเอง
ในตอนนั้นพวกข้าเห็นว่าพวกท่านท่าทางจะพกเงินมามาก เราจึงวางแผนจะปล้นและฆ่าพวกท่านทิ้ง เราจะลงมือยิง แต่มีพลังที่มองไม่เห็นทำให้เราไม่สามารถยิงปืนใส่พวกท่านได้ ซึ่งแน่ใจได้เลยว่าตอนนั้นถ้าทำได้ เราก็คงทำไปแล้ว”
พระ สงฆ์ได้ฟังดังนั้นจึงบอกกับนักโทษว่า ตอนนั้นพวกท่านได้ถวายความปลอดภัยของพวกตนไว้ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของพระ จิตเจ้า ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็ลงความเห็นว่า ตอนนั้นคณะพระสงฆ์ได้รับความช่วยเหลือให้รอดจากพระจิตเจ้าเป็นแน่แท้ นัก โทษคนนั้นไม่ลังเลเลยที่จะยอมรับและเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายเขาก็เสียชีวิตลงอย่างสงบ ภายหลังจากการเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างยิ่งยวดแล้ว พระสันตะปาปา ปิอัส ที่ 9 เยียวยาความทรงจำอันเลวร้าย พระ สันตะปาปา ปิอัส ที่ 9 ได้แต่งตั้งมอบศาสนานามให้กับ ปาเดอร์ โทมาโซ่ ให้เป็นบิชอปประจำสังฆมณฑล เขาได้ตระหนักดีถึงภาระหน้าที่มากมายที่เขาต้องแบกรับ
เขาจึงอ้อนวอนอย่างจริงจังว่าให้ปลดเขาจากหน้าที่นั้นด้วย หากแต่คำขอร้องของเขาไร้ผล เพราะพระสันตะปาปาทรงทราบถึงคุณงามความดีของเขาดีด้วยความมุ่ง หวังอยากให้เปลี่ยนความตั้งใจให้ได้ เ
ขาขอนัดพบกับพระสันตะปาปาอีกครั้ง และวิงวอนเรียกร้องต่อองค์พระสันตะปาปาอีกครั้งหนึ่งเพื่อขอสละตำแหน่งได้ รับมา หากแต่พระสันตะปาปาก็หาหวั่นไหวเปลี่ยนพระทัยไม่ด้วย ความพยายามดิ้นรนสุดท้าย ปาเดอร์ โทมาโซ่ กล่าวกับพระสันตะปาปาว่า
เขามีประสบการณ์ความทรงจำที่เลวร้ายมา และสิ่งนี้เป็นอุปสรรคข้อขัดขวางอันใหญ่หลวงสำหรับการปฏิบัติงานตามภาระ หน้าที่ที่เขาได้รับมานี้ พระสันตะปาปา ปิอัสที่ 9 ทรงตอบเขาพร้อมพระสรวลว่า “เขต สังฆมณฑลของท่าน จัดว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับพระศาสนจักรสากลที่เราได้แบกไว้บนบ่าของเรา
กิจธุรการเอาใจใส่ของท่านก็ยังนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับของเรา เราเอง เช่นเดียวกับท่าน ประสบทุกข์ทรมานจากจุดด่างพลอยของความทรงจำในครั้งอดีต
แต่ เราก็สัญญาที่จะสวดภาวนาอย่างเร่าร้อนให้กับบรรดาดวงวิญญาณของผู้ ศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระในทุก ๆ วัน ซึ่งพวกเค้าก็ตอบแทนเรากลับมาในรูปแบบของความทรงจำและประสบการณ์ดี ๆ และลูกเองก็เช่นเดียวกัน
ที่สามารถมีเหตุแห่งความชื่นชมยินดีเช่นนี้ได้”ยิ่งเราให้ไปมากเท่าไหร่ เรายิ้งได้กลับมามากเท่านั้น มี นักธุรกิจคนหนึ่งในบอสตัน ได้เข้าร่วมกับกลุ่มวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์
(Association of the Holy Souls) และคอยบริจาคเงินจำนวนมาก อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปี อุทิศให้กับดวงวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ ผ่านคำภาวนาและการขอมิสซา อธิบดีขององค์กรรู้สึกแปลกประหลาดใจ กับความใจกว้างของนักธุรกิจผู้นี้เป็นอย่างมาก ด้วยเขารู้ว่า
นักธุรกิจผู้นี้ก็ไม่ใช่คนที่ร่ำรวยอะไรมากนัก ด้วยเหตุนี้เอง วันหนึ่ง เขาจึงตัดสินใจถามนักธุรกิจผู้นี้ว่า เงินที่เค้าได้บริจาคมาในแต่ละครั้ง มาจากทรัพย์สินของตัวเค้าเอง หรือมาจากเงินบริจาคที่เค้าเก็บรวบรวมขอมาจากคนอื่น
“คุณพ่อที่รัก สำหรับทานทุกทานที่ผมได้บริจาคให้นั้น” สุภาพบุรุษคนนั้นตอบ
“มาจากทรัพย์สินเงินทองของตัวผมเอง โปรดอย่าแปลกใจไปเลย ผมไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร และคุณพ่ออาจจะคิดว่า ผมบริจาคเงินมากเกินกว่าผมจะรับได้ไหวแต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย แทนที่ผมจะสูญเสียรายได้ทั้งหมดไปกับการกุศลเช่นนี้
ผม กลับได้รายได้มากกลับมาเรื่อย ๆ มากกว่าที่ผมได้บริจาคทานไปยิ่งนัก ราวกับว่าวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเห็น และได้ตอบแทนผมกลับมา สำหรับเรื่องของการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แล้ว ไม่สามารถเป็นที่ 2 รองจากเรื่องอะไรได้หรอกครับ”
เครื่องพิมพิ์แห่งโคโลญ มี การจัดการฉลองเครื่องพิมพิ์ที่โคโลญ และ วิลเลี่ยม เฟรย์ซเซ็น ได้เปิดเผยเรื่องราว ว่า เขา ภรรยา และ ลูก กลับมามีสุขภาพดีจากความช่วยเหลือของวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
วิลเลี่ยม เฟรย์ซเซ็น ได้รับคำสั่งให้พิมพิ์งานเขียนในหนังสือเกี่ยวกับเรื่องไฟชำระ
และในขณะที่เขากำลังรวบรวมข้อมูลหลักฐานอยู่นี่เอง ความสนใจของเขาพุ่งเป้าไปเรื่องบทบรรยายเกี่ยวกับไฟชำระในหนังสือ เรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ที่วิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระสามารถทำอะไรให้ ได้บ้าง หลังจากนั้น บุตรชายของเขาได้ล้มป่วยลง และในเวลาไม่นานอาการก็ทรุดลงอย่างน่าใจหาย
ด้วยความตระหนักถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ที่เค้าได้เคยอ่านถึง เฟรย์เซ็นตั้งใจทันทีที่จะสั่งพิมพิ์หนังสือเพิ่มเป็นจำนวน 100 ก็อปปี้ด้วยเงินค่าใช้จ่ายของเค้าเอง
และเพื่อให้คำมั่นสัญญาของเขามีความเคร่งครัดเป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้น เขามุ่งหน้าไปที่โบสถ์และกล่าวสัตย์บันให้คำมั่นสัญญาทันที ในทันทีที่เขากล่าวจบ เ
ขาสัมผัสได้ทันทีถึงความสงบ และความเชื่อมั่น เอ่อล้นขึ้นมาเต็มเปี่ยมวิญญาณของเขา และเมื่อเขากลับไปที่บ้าน บุตรชายของเขาที่ไม่สามารถแม้แต่จะดื่มน้ำซะหยด บัดนี้กลับร้องขออาหารได้แล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนนั้นเอง
เฟรย์เซ็นได้สั่งพิมพิ์หนังสือเรื่องไฟชำระ 100 เล่ม เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกไปให้กับผู้คน ด้วยความเชื่อมั่นว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการให้ความช่วยเหลือดวง วิญญาณในไฟชำระ การให้คนนับ สำหรับคน 100 คนที่ได้รับรู้เรื่องราว
และได้รับรู้ถึงความทรมานที่ดวงวิญญาณในไฟชำระประสบเช่นนี้ คงไม่มีใครที่จะปฏิเสธที่จะสวดภาวนาให้พวกเค้าได้ เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป
และโศกนาฏกรรมครั้งใหม่ได้มาเยือนเฟรย์เซ็นอีกครั้งหนึ่ง ครั้ง นี้มันเกิดขึ้นกับภรรยาของเขา ภรรยาของเขาล้มป่วยลงอย่างหนัก แม้เขาจะให้การดูแลเธอมากเพียงไร แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นเลย มีแต่ทรุดหนักลงในทุก ๆ วัน หลังจากนั้นไม่นาน
เธอก็หมดสติไม่รู้สึกตัว และร่างกายเป็นอัมพาตไปอย่างสัมบูรณ์แบบ แม้แต่แพทย์เองก็หมดหวังที่จะหาทางช่วยเธอ เฟรย์เซ็นหวนระลึก ถึงสิ่งอันน่าอัศจรรย์ที่บรรดาวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้เคยกระทำกับบุตรชาย ของเขามา จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาวิ่งไปที่โบสถ์และกล่าวคำมั่นสัญญาว่า
เค้ายินดีจะพิมพิ์หนังสือเรื่องไฟชำระเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกเป็นจำนวน 200 เล่ม ร้องขอแลกเปลี่ยนกับการช่วยเหลือภรรยาของเขา
เป็นอีกครั้ง หนึ่งที่อัศจรรย์เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขา
ภรรยาของเขากลับมาได้สติเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง แขนขาหรือลิ้นที่เคยเป็นอัมพาตก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้งหนึ่ง และในเวลาไม่นาน
เธอก็กลับมามีสุขภาพแข็งแรงดังเดิม การรักษาโรคมะเร็ง ดี โจอานา เดอร์ เมเนเซส ได้เล่าเรื่องการได้รับการรักษาให้เราฟัง เธอ ประสบทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งเป็นเวลาหลายปี เนื้อร้ายนี้โตขึ้นในขาของเธอ และทำให้เธอต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดนี้มาก ด้วยความที่เคยได้ยินเรื่องอัศจรรย์ของวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์มา
เธอจึงตัดสินใจมอบความไว้วางใจทั้งหมดของเธอไว้กับวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ และได้ขอมิสซาอุทิศให้เป็นจำนวน 9 มิสซา นอกจากนี้เธอยังสัญญาต่ออีกว่า จะนำเรื่องราวของเธอไปประกาศให้บุคคลทั่วไปได้รับรู้ หากเธอหายจากอาการเจ็บป่วยนี้
การหลบหนีจากกลุ่มกองโจร คุณ พ่อ หลุยส์ มานาซี เป็นมิชชั่นนารีผู้ขยันขันแข็งในการแพร่ธรรม และการอุทิศให้กับวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระ ครั้งหนึ่งท่านจำเป็นต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่อันตราย แต่ท่านก็ไว้วางใจ ให้วิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ในไฟชำระช่วยปกป้องท่านจากอันตรายที่อานต้องประสบ
เส้นทางที่ท่านต้องฝ่าไปเป็นเส้นทางรกร้างผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เต็มไปด้วยกลุ่มกองโจร ขณะ ที่ท่านกำลังดำเนินผ่านเส้นทางที่แสนอันตรายนี้ไปอย่างช้า ๆ นั้น ท่านก็สวดสายประคำอุทิศให้กับดวงวิญญาณไฟชำระไปด้วย
ทันใดนั้นเอง ท่านพบว่าถูกห้อมล้อมด้วยกลุ่มคนที่ไม่รู้จักเป็นจำนวนมาก และกลุ่มคนกลุ่มนี้ก็ทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดผู้พิทักษ์ให้กับคุณพ่อท่านนี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นไป
คุณพ่อก็พบเหตุผลของสถานการณ์ในครั้งนั้น ในตอนนั้นเองคุณพ่อถูกกลุ่มกองโจรมาล้อมเอาไว้แล้ว แต่บรรดาวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏขึ้น และช่วยปกป้องท่านเอาไว้จากกลุ่มกองโจรที่หมายจะเอาชีวิตท่านในตอนนั้น
บรรดาวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ละทิ้งท่านเลย จนกระทั่งท่านสู่จุดหมายโดยปลอดภัยกลับมามีชีวิตใหม่ อธิการแห่งเซอร์ฟอนเทนส์ เล่าเรื่องราวนี้ให้เล่าฟัง
“มี ชายหนุ่มในสังฆมณฑลของข้าพเจ้า ป่วยเป็นไข้ไทฟอยด์อย่างหนัก ผู้ปกครองของชายหนุ่มคนนั้นจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ระทม และพวกเค้าได้มาขอร้องข้าพเจ้า ให้ฝากบุตรชายของเค้าในคำภาวนาถึงในกลุ่มภาวนาเพื่อวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์ใน ไฟชำระด้วย “มันเป็นวันเสาร์
ชายหนุ่มคนนั้นอาการทรุดหนักจนร่อแร่เจียนจะอยู่เบื้องหน้าประตูมรณะอยู่ แล้ว แพทย์ได้พยายามใช้ทุกวิถีทางทางการแพทย์ในการรักษาแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย
พวกเขาไม่สามารถคิดถึงสิ่งใดได้อีกเลยนอกจากความสิ้นหวัง “ในที่ นั่นตอนนั้น ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่มีความหวังอยู่ ข้าพเจ้าตระหนักถึงสิ่งอัศจรรย์มากมายที่บรรดาวิญญาณผู้ศักดิ์สิทธิ์สามารถ กระทำได้
เพราะข้าพเจ้าเคยพบเห็น้วว่า พวกเค้าสามารถทำอะไรได้บ้าง
” “มันเป็นวันอาทิตย์ ที่ข้าพเจ้าได้ขอร้องสมาชิกกลุ่มแห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้สวดเพื่อชายหนุ่มคนนี้อย่างเร่าร้อน
“มันเป็นวันจันทร์ ที่ภัยอันตรายทั้งหมดล่วงเลยผ่านไป ชายหนุ่มหายเป็นปกติ สุขภาพดีแข็งแรงและทั้งหมดก็จบลงด้วยดี”
สรุปง่ายๆแบบใจความของผม แปลว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หากคนดีตายไปต้องไปสวรรค์นั้นใช่ว่าจะได้ไปกันง่ายๆ แหะ เป็นคริสตชนแล้วหากทำบาปมีสิทธิ์ได้ไปยังไฟชำระเช่นกัน
แต่ระยะเวลาในการชำระล้างตนนั้นอาจหดสั้นลงได้ เวลาที่คนเราใกล้ตายควรจะเลือกนึกถึงพระผู้เป็นเจ้า
อย่าไปนึกเรื่องอื่นๆเด็ดขาด แล้วควรสารภาพบาปในช่วงเวลานั้นซะ เมื่อหมดสิ้นลมหายใจแล้วทีนี้คุณก็จะได้ไปยังพระวิหารบนสววรค์ ครับ คราวนี้ลองอ่านเรื่องนี้กันต่อ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น