ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [On hiatus] Legend of Quarderinn

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 : Most Unforgettable Camp ค่ายนี้ไม่มีลืม

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 56


    ท่านอาเซอรัสคิดดีแล้วหรือที่ทำอย่างนั้นไปก่อนเวลาอันควร เสียงอ่อนหวานหากทรงพลังของหญิงสาวดังขึ้น แม้นิ่งเฉยแต่ผู้ใดที่ฟังก็รู้ทันทีว่านางไม่พอใจนัก

    ก...กระหม่อมมั่นใจ เด็กคนนั้นจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ เพราะชะตาได้กำหนดไว้แล้วให้เขาผ่านเวลานั้นไปได้ ชายชรากล่าวเสียงสั่นแต่พยายามข่มให้นิ่ง

    นั่นสินะ... เวลานั้นก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย หากเขาได้เข้าใจอะไรมากขึ้นก่อนก็คงจะดี เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็วางใจ

    ...อีกไม่นาน เราก็จะเจอกัน...

    ...ฉันรออยู่นะ องค์รัชทายาทแห่งฟาโรเนีย...

    ---

    วันจันทร์มาเยือนอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนวันอื่น ๆ ที่ผ่านไป... แต่ไม่ใช่สำหรับเรอิส

    เด็กหนุ่มเดินมาโรงเรียนพร้อมกับฟาร่าเหมือนทุกวัน เด็กสาวยังคงคุยกับเพื่อนอย่างร่าเริงเช่นเดิม ทว่าความรู้สึกของเขากลับไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะการพบกับอิคลีปส์ทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเขาอายุเพิ่มขึ้นอีกปี

    ...แต่เพราะเขารู้สึกว่า หลังจากเหตุการณ์ดาบร้อนละลาย ต้องมีหายนะอะไรสักอย่างเกิดขึ้นในชีวิตอีกแน่นอน...

    ไงพ่อหนุ่มไฟแรงสูง สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ แก่ขึ้นอีกปีแล้ว

    เด็กหนุ่มผมสีเขียวนามกิลเบิร์ตย่างสามขุมเข้ามาทักทายพร้อมอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้เรอิส อย่างที่ร้อยวันพันปีไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรอิสรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเลย

    ...กลับกัน เขายิ่งรู้สึกราวกับว่า หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา...

    เด็กหนุ่มร่างกำยำยื่นมาร์ชเมลโลว์ถุงโตให้เรอิส ทำเอาคนหน้าสวยถึงกับสะดุ้งที่จู่ ๆ เจ้าตัวกวนโอ๊ยประจำห้องจะมาทำตัวสุภาพบุรุษเช่นนี้

    ปิ้งให้หน่อยสิเรอิส แบบมังกรปิ้งดาบอ่ะ

    คำพูดยียวนตามปกติของกิลเบิร์ตทำเอาเด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงแทบฉุนขาด เขาพยายามข่มใจตนไม่ให้ไปตั๊นหน้าเจ้าคนกวนประสาทอย่างยากลำบาก เพราะเขารู้ดีว่าขืนชกต่อยไปยังไงก็สู้แรงไม่ได้

    น่านะพ่อมังกรพ่นไฟของลูเซีย

    ยัยลูเซียบอกมาสินะ นายก็รู้ว่ายัยนั่นเชื่อถือได้ซะที่ไหนกัน เรอิสซึ่งกำลังข่มอารมณ์อย่างถึงที่สุดตอบเสียงเย็น ๆ ทั้งที่ข้างในรู้สึกเหมือนร้อนวาบไปทั้งตัวอย่างหาเหตุผลไม่ได้

    ลูเซียเมียนายบอกว่า ทีเผาดาบยังได้เลย ทำไมจะปิ้งมาร์ชเมลโลว์ไม่ได้ น่านะ ๆ กิลเบิร์ตไม่ละความพยายาม เขาอ้อนเสียงหงุงหงิงผิดกับสรีระและหนังหน้า จนเรอิสหมดความอดทน

    เดี๋ยวปั๊ดเผาศพเลยนี่!

    เรอิสตวาดเสียงแข็ง กิลเบิร์ตถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่เพราะกลัวคำพูดของเรอิส แต่เพราะเขาเหลือบไปเห็นประกายแสงประหลาดในมือเรอิสต่างหาก

    ดูเหมือนว่าไม่ได้มีแค่กิลเบิร์ตที่เห็นประกายนั้นในมือเรอิส เพื่อน ๆ ทั้งห้องต่างก็มองมือของเด็กหนุ่มหน้าสวยไม่วางตา เมื่อเจ้าตัวยกมือขึ้นดูก็ถึงกับสะบัดมือยกใหญ่ราวกับโดนคางคกพิษ จนประกายนั้นหายไป

    ค่ายอาทิตย์หน้า ถ้าพวกเราจุดไฟไม่ติดก็ช่วยพวกเราจุดหน่อยนะ เด็กหนุ่มผมสีเงินนามคลิฟฟอร์ดกล่าวพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ ชวนให้เรอิสร้อน ๆ หนาว ๆ ก่อนลากเจ้าหัวเขียวตัวแสบเดินจากไป

    ว่าไป นายเตรียมของไปค่าย The Epilogue เรียบร้อยหรือยังน่ะเรอิส ทั้งครีมกันแดด กางเกงว่ายน้ำฟาร่าเปลี่ยนเรื่อง เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

    ...ฉันโตแล้วนะ ถ้าจะมีปัญหาก็คงมีแค่เรื่องเมาเรืออย่างเดียวแหละ...

    ---

    อีกไม่กี่วันแล้วสินะ... ฟินิกซ์หนุ่มจะคืนกลับรังเสียงหญิงสาวกล่าวเบา ๆ คล้ายกับว่ากำลังรำพันถึงคนที่ตนรักและคิดถึง

    แย่แล้วขอรับฝ่าบาท เจ้านั่นกำลังส่งคนไปทำร้ายเด็กคนนั้นเพิ่ม เจ้านั่นเหิมเกริมขนาดส่งคนข้าม กำแพง ไปเล่นงานแล้ว เด็กคนนั้นจะตกอยู่ในอันตรายในไม่ช้า ชายชราร้องอย่างตื่นตระหนก หากอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ราวกับรู้อนาคตทุกอย่าง

    อย่าร้อนใจไปเลยท่านอาเซอรัส เด็กคนนั้นถูกชะตากำหนดไว้แล้วว่าต้องรอด ต้องกลับมาหาพวกเรา

    ---

    หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนโกหก แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็ราบรื่นกว่าที่เรอิสคิด เพียงสามวันทุกคนก็ไม่สนใจเรื่องของเขาเท่าไรแล้ว

    รถทัวร์คันใหญ่เคลื่อนย้ายนักเรียนทั้งชั้นม.6 มาถึงท่าเรือ ครูและนักเรียนทำเรื่องตั๋วเรือกันวุ่นวาย เด็กหนุ่มหน้าสวยเหลือบมองรถตู้ที่เพิ่งวิ่งจากไป แม้เขารู้ดีว่าอีกไม่กี่วันค่ายก็จบ หากเขากลับรู้สึกได้ถึงหายนะที่รออยู่ตรงหน้า ใจหนึ่งอยากกระโดดขึ้นรถกลับไป ไม่อยากไปค่ายแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าทำไม่ได้

    ...แปลกนัก ทั้งที่ค่าย Epilogue เป็นค่ายส่งท้ายม.6 ธรรมดา ๆ รุ่นพี่ทุกรุ่นก็เจอมาหมด แต่ทำไมครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนจะไปตายในสนามรบยังไงไม่รู้...

    นักเรียนและครูทั้งหลายทยอยเดินขึ้นเรือ ทันทีที่เท้าของเรอิสก้าวขึ้นเรือ เขาก็รู้สึกได้ถึงคำร่ำลาจากพื้นดิน จากโลกเดิม ๆ ที่เขาคุ้นเคย ราวกับว่าค่าย Epilogue นี่จะเป็นค่ายส่งท้ายอะไรที่มากกว่าชีวิตม.6 ทั่วไป

    ความชุลมุนทั้งหลายยุติลงหลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือครบแล้ว หากความชุลมุนทั้งหลายในใจเรอิสเพิ่งจะเริ่มต้น เขาหันมองพื้นดินเป็นครั้งสุดท้ายราวกับว่าจะต้องจากลากันชั่วชีวิต

    เรือจะลาลับจากท่าไป สู่ค่าย Epilogue ส่งท้ายม.6 ที่ทุกคนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา กลับมาทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม แต่เด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงกลับรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์เลวร้ายว่าตนจะไม่มีวันกลับมามีชีวิตสงบสุขอย่างเดิมอีก

    ...นอกจากเรอิสแล้ว หามีใครรู้ไม่ว่าชีวิตของตนกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน... ชนิดที่ชีวิตจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก...

    ---

    เรือเดินทางมาถึงเกาะโดยสวัสดิภาพ ฝนกระหน่ำเกาะราวกับฟ้ารั่ว กิจกรรมในห้องประชุมดำเนินอย่างเนิ่นนาน โดยเรอิสนั่งหลับอย่างสุขสันต์หลังจากที่เมาเรือมาหลายชั่วโมงจนเพลีย

    กว่ากิจกรรมในห้องประชุมจะจบลงก็เย็นแล้ว ฝนหยุดตกสักที แต่ความสิ้นหวังก็มาเยือนเมื่อทุกคนพบว่าฟืนและต้นไม้ทั้งหลายเปียกชื้นจนจุดไฟไม่ได้

    ...ในเมื่ออาหารในค่ายนี้ ต้องก่อกองไฟทำกันเอง ไม่มีคนหุงหาให้แบบสำเร็จรูป แล้วเราจะกินอะไรกันล่ะ จะให้กินดิบ ๆ เหรอ...

    ท่ามกลางความสิ้นหวังของคนอื่น ๆ ในค่าย คลิฟฟอร์ดที่อยู่กลุ่มเดียวกับเรอิสกระทุ้งเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแดงเพลิงจนแทบเคล็ด

    ถึงเวลานายออกโรงแล้วสินะ พ่อหนุ่มไฟแรงคำพูดของเจ้าคนผมสีเงินทำเอาคนหน้าสวยถึงกับแยกเขี้ยวขู่ แต่พ่อนักดนตรีก็ยังหน้าระรื่น

    ...เดี๋ยวปั๊ดจับเผานั่งยางพร้อมไอ้กิลเบิร์ตเลยนี่...

    ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนอนท้องกิ่ว เรอิสจึงรวบรวมฟืนชื้น ๆ มากองไว้ในบริเวณสำหรับจุดไฟ เขาเอาไม้มาปั่นกับหินตามแบบโบราณเพราะไม่มีไม้ขีดหรือไฟแช็ค

    ถ้าไอ้เรื่องเมื่อวันเสาร์ไม่ใช่แค่ตลกฝืดของโชคชะตา ก็ขอให้มีไฟกินข้าวด้วยเถอะ

    เด็กหนุ่มพึมพำสบถต่อโชคชะตาของตนพลางพยายามจุดไฟ ทันใดนั้นเอง

    ตูม!

    เปลวเพลิงกองใหญ่ลุกโชนขึ้นจากกองฟืนเปียก ๆ อย่างน่าเหลือเชื่อ เขม่าควันกระจายเต็มตัวเรอิสจนมอมแมมไปหมด พอคลิฟฟอร์ดเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งแจ้นทั่วค่ายทันที

    เจ้าข้าเอ้ย เรอิสพ่นไฟแล้ว ๆ ๆ ใครยังจุดไฟไม่ติดไปให้เรอิสพ่นให้ได้เลยขอรับพี่น้อง เจ้าคนผมสีเงินวิ่งโพนทะนาป่าวประกาศทั่วค่าย ทำเอาคนเดียวที่จุดไฟได้เหลืออด

    ปั๊ดจับย่างเฉาะเนื้อแจกทั้งค่ายเลยนี่ ไอ้คลิฟฟอร์ด!

    ---

    ตลอดมื้อเย็นวันนั้น เรอิสกลายเป็นขวัญใจชาวค่ายทันที เขาโดนเรียกตัวไปช่วยทุกกลุ่มจุดไฟจนได้กินข้าวเย็นกันอิ่มท้องทุกคน แต่เขากลับไม่ได้มีความสุขกับการเป็นชายหนุ่มเนื้อหอมที่ใคร ๆ ก็ต้องการตัวเลย

    ...นี่มันเกิดอะไรฉันถึงพ่นไฟได้ หรือว่าฉันเป็นตัวอะไรกันแน่...

    คุณเจ๊ผู้หญิงสวยกับตาแก่นั่นเป็นใคร เอาชีวิตสงบสุขแบบคนอื่น ๆ คืนมา...

    ---

    หวังว่านี่คงเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วนะ เรอิสกล่าวพลางปาดเหงื่อท่ามกลางเสียงปรบมือสรรเสริญจากเพื่อน ๆ ผู้หิวโหย ใบหน้ามอมแมมคราบเขม่าควันจนหมดสวย โดยหาได้รู้ตัวไม่ว่าลูเซียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มนี้ กำลังย่องเข้ามาด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่าง

    เรอิส นายนี่สุดยอดจังเลย

    จู่ ๆ ลูเซียกระโดดเข้ากอดเรอิสสุดแรง แต่โชคดีที่เขากลับยังยืนหยัดอย่างมั่นคงไว้ได้ จึงไม่หงายหลังล้มลงเข้ากองไฟให้เจ็บตัว

    เฮ้ย!!” เรอิสร้องลั่นอย่างตกใจที่โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัว เพื่อน ๆ ก็ตกใจไม่แพ้กันว่าลูเซียเกิดรักอะไรเรอิสขึ้นมา

    จะฆ่าจะแกงให้ตายเลยรึไง!! เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว!” เรอิสโวยวายอย่างหมดความอดทน พร้อมผลักลูเซียลงไปนั่งกับพื้นอย่างไร้เยื่อไย ก่อนเดินจากไปอย่างหัวเสีย

    เด็กสาวมองอีกฝ่ายอย่างผิดหวังจนเห็นได้ชัด ไม่แน่ชัดว่าไม่พอใจที่แผนล้มเหลว หรือเสียใจที่ถูกปฏิเสธ แต่ที่ชัดเจนคือใบหน้าของเธอที่แดงระเรื่ออย่างน่าประหลาด ด้วยความโกรธ เสียใจ หรือผิดหวังไม่ทราบได้ แต่ที่รู้คือแดงจนโดนเพื่อน ๆ ในกลุ่มแซว

    เรอิสเดินกลับกลุ่ม เพื่อน ๆ ที่เพิ่งหั่นผักเสร็จมองพากันมองตามหน้าละห้อย เพราะไม่มีใครทำอาหารเป็นนอกจากเรอิส

    เรอิส หิวข้าวแล้ว ทำให้กินหน่อยสิคลิฟฟอร์ดกล่าวทันทีที่เห็นคนหน้าสวยแต่มอมเดินกลับกลุ่ม

    ทำกินกันเอง เหนื่อยแล้วคนโดนทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในชีวิตตวาด

    ...คนกำลังอารมณ์เสียอยู่ เดี๋ยวปั๊ดจับมัดเผาศพพร้อมกันทั้งสามคนนั่นแหละ...

    ---

    วันแรกและวันที่สองของค่ายผ่านไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ค่ายดำเนินมาถึงเย็นวันที่สองแล้ว เป็นช่วงเวลาสำหรับพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ก็พร้อมใจกันไปเล่นน้ำทะเล รวมทั้งฟาร่า มาร์คัส และลูเซียด้วย

    ฟาร่ากับลูเซียว่ายน้ำและเล่นลูกบอลอย่างคล่องแคล่วไม่ต่างจากบนบก พลางหัวเราะสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ส่วนเรอิสเดินเล่นตามชายหาด พลางหาที่นอนเล่นอ่านหนังสือไม่ก็คุยเรื่อยเปื่อยอย่างเบื่อหน่ายที่ถูกฟาร่าชวนมาเรียนว่ายน้ำ แต่พอเขาไม่เรียนก็กลับปล่อยให้นั่งกร่อยอยู่กับบรรดาคนอื่น ๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น

    ...รู้ทั้งรู้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะชวนมาทำไม...

    เด็กหนุ่มนอนอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ก่อนความสงบสุขจะถูกพรากไปจากชีวิตครั้งใหญ่รอบที่เท่าไรไม่ทราบได้

    ไง เรอิส มาเล่นน้ำกับฉันกับฟาร่าไหมลูเซียถามมาจากด้านหลัง ทำเอาเรอิสถึงกับผงะ

    ไม่ล่ะ ว่ายน้ำไม่เป็น

    ฟาร่าไม่สอน ฉันสอนแทนได้นะลูเซียรบเร้าอีก ก่อนฉุดกระชากลากถูลงน้ำ โดยไม่ถามความสมัครใจและสุขภาพเลยสักคำ

    ไม่เอา ฉันไม่เรียนว่ายน้ำ ไม่เอา ๆ ๆ ไม่ต้องมายุ่งกับฉันเลยคนโดนลากโวยวายจนคนอื่น ๆ หันมองว่าเกิดอะไรขึ้น แม้เรอิสพยายามดิ้นเท่าไรแต่ก็ไม่หลุดจากมือเล็กบางของลูเซีย

    ไม่ได้นะลูเซีย เรอิสว่ายน้ำไม่เป็น

    เด็กสาวตัวน้อยลากคนผมสีแดงเพลิงลงน้ำทะเลหน้าระรื่น ไม่สนคำทัดทานใด ๆ ไม่ว่าจะมาจากเรอิส ฟาร่า หรือใครก็ตาม

    เด็กสาวร่างเล็กลากเรอิสมาจนถึงน้ำลึกที่เท้าเรอิสเหยียบพื้นไม่ถึง เร็วจนฟาร่าว่ายน้ำตามมาแทบไม่ทัน

    เรอิส นายตีมือตีขานะ ลูเซียปล่อยมือก่อนสาธิตให้เด็กหนุ่มดู แต่เขาแทบจะจมน้ำทันทีที่เธอปล่อยมือ จึงได้เพียงตีมือตีขาสะเปะสะปะให้ตัวเองพอหายใจได้ แต่ก็ไม่ได้ผล

    ดวงตาสีแดงมองคนกำลังจมน้ำด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเป ก่อนเอื้อมมือดึงเขาขึ้นมา

    นายใจเย็น ๆ แล้วก็ตีมือตีขาอย่างฉันลูเซียสอนอีก แต่เด็กหนุ่มก็แทบจะจมน้ำทันทีอีกรอบ

    ...ไม่สิ รอบนี้เขาตีได้แต่มือต่างหาก ส่วนขาเป็นตะคริวไปแล้ว...

    ย...ยัยบ... คนกำลังจะจมน้ำพยายามเงยหน้าขึ้นมาด่า ก่อนจะจมน้ำไปจริง ๆ หากลูเซียกลับนิ่งเฉย ไม่ได้เอื้อมมือไปช่วยดึง ท่าทางเธอสับสนไม่น้อย

    ทันทีที่ฟาร่าเห็นเช่นนั้นก็รีบดำน้ำลงไปช่วยเรอิสทันที โดยไม่ได้สนใจลูเซียเลยแม้แต่น้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็ช่วยชีวิตเพื่อนรักขึ้นจากน้ำได้อย่างปลอดภัย

    เธอวางร่างของเด็กหนุ่มหน้าสวยที่กำลังสลบไสลไม่ไหวติงบนพื้นทราย ก่อนเรียกคนมาช่วยสุดเสียง

    คลิฟฟอร์ด! เรอิสจมน้ำ!”

    เด็กหนุ่มผมสีเงินถึงกับวิ่งสุดฝีเท้าไปหาฟาร่าทันทีที่เธอเรียก เขาลงมือปฐมพยาบาลเรอิสอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ

    คนกำลังแย่ อย่ามุงแย่งอากาศหายใจ

    ฟาร่า ไปเอาผ้าเช็ดตัวมา

    คลิฟฟอร์ดสั่งการเสียงเครียด ดวงตาสีมรกตยามนี้จริงจังจนน่าตกใจ ผิดกับมาดขี้เล่นยามปกติอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน

    ฟาร่ายืนมองเด็กหนุ่มผมสีเงินพยาบาลเพื่อนของตน จากที่กังวลในตอนแรกก็ค่อย ๆ เบาใจขึ้นมา เธอยิ้มอย่างมั่นใจว่าคลิฟฟอร์ดช่วยเรอิสได้อย่างแน่นอน

    ---

    เด็กคนนั้น... ผู้ที่ตำนานไม่ยอมให้ตาย...ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ที่นั่นด้วยหญิงสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

    ชะตาได้กำหนดให้เด็กคนนั้นอยู่ข้างเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังเมื่อวันวานครั้งก่อน...

    ---

    เวลาผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากที่ปฐมพยาบาลเสร็จสิ้น เวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยผ่านพ้นไป ถึงเวลากิจกรรมค่ายแล้ว

    ดวงตาสีน้ำตาลปนแดงเปิดขึ้นอย่างงุนงง เด็กหนุ่มหน้าสวยมองซ้ายมองขวา ตัวเขายังนอนอยู่บนชายหาดแต่ไม่มีใครอยู่แล้ว ฟาร่ากับคลิฟฟอร์ดก็ไม่อยู่เฝ้าเพราะโดดกิจกรรมไม่ได้

    พอเรอิสจำได้ว่าตอนนี้มีกิจกรรมอะไรก็รีบเดินไปห้องประชุมทันที ทว่าระหว่างทางนั้นเอง เขาเดินผ่านมุมตึก ได้ยินเสียงเย็น ๆ ของฟอลคอนกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลูเซียดังเล็ดลอดออกมา

    ทำอะไรไม่คิดตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว โง่!”

    เรอิสแอบฟังอยู่ครู่สั้น ๆ เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่ได้ยินลูเซียร้องไห้เป็น แต่ก็ไม่สนใจเป็นพิเศษ

    ...ครูฟอลคอนก็อาจจะเป็นครูที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร... มั้ง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×