คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 4 : Most Unforgettable Camp ค่ายนี้ไม่มีลืม
“ท่านอาเซอรัสคิดดีแล้วหรือที่ทำอย่างนั้นไปก่อนเวลาอันควร” เสียงอ่อนหวานหากทรงพลังของหญิงสาวดังขึ้น แม้นิ่งเฉยแต่ผู้ใดที่ฟังก็รู้ทันทีว่านางไม่พอใจนัก
“ก...กระหม่อมมั่นใจ เด็กคนนั้นจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ เพราะชะตาได้กำหนดไว้แล้วให้เขาผ่านเวลานั้นไปได้” ชายชรากล่าวเสียงสั่นแต่พยายามข่มให้นิ่ง
“นั่นสินะ... เวลานั้นก็ใกล้เข้ามาแล้วด้วย หากเขาได้เข้าใจอะไรมากขึ้นก่อนก็คงจะดี” เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็วางใจ
...อีกไม่นาน เราก็จะเจอกัน...
...ฉันรออยู่นะ องค์รัชทายาทแห่งฟาโรเนีย...
---
วันจันทร์มาเยือนอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนวันอื่น ๆ ที่ผ่านไป... แต่ไม่ใช่สำหรับเรอิส
เด็กหนุ่มเดินมาโรงเรียนพร้อมกับฟาร่าเหมือนทุกวัน เด็กสาวยังคงคุยกับเพื่อนอย่างร่าเริงเช่นเดิม ทว่าความรู้สึกของเขากลับไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะการพบกับอิคลีปส์ทำให้โลกของเขาเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเขาอายุเพิ่มขึ้นอีกปี
...แต่เพราะเขารู้สึกว่า หลังจากเหตุการณ์ดาบร้อนละลาย ต้องมีหายนะอะไรสักอย่างเกิดขึ้นในชีวิตอีกแน่นอน...
“ไงพ่อหนุ่มไฟแรงสูง สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ แก่ขึ้นอีกปีแล้ว”
เด็กหนุ่มผมสีเขียวนามกิลเบิร์ตย่างสามขุมเข้ามาทักทายพร้อมอวยพรวันเกิดย้อนหลังให้เรอิส อย่างที่ร้อยวันพันปีไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็ไม่ได้ทำให้เรอิสรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเลย
...กลับกัน เขายิ่งรู้สึกราวกับว่า หายนะกำลังคืบคลานเข้ามา...
เด็กหนุ่มร่างกำยำยื่นมาร์ชเมลโลว์ถุงโตให้เรอิส ทำเอาคนหน้าสวยถึงกับสะดุ้งที่จู่ ๆ เจ้าตัวกวนโอ๊ยประจำห้องจะมาทำตัวสุภาพบุรุษเช่นนี้
“ปิ้งให้หน่อยสิเรอิส แบบมังกรปิ้งดาบอ่ะ”
คำพูดยียวนตามปกติของกิลเบิร์ตทำเอาเด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงแทบฉุนขาด เขาพยายามข่มใจตนไม่ให้ไปตั๊นหน้าเจ้าคนกวนประสาทอย่างยากลำบาก เพราะเขารู้ดีว่าขืนชกต่อยไปยังไงก็สู้แรงไม่ได้
“น่านะพ่อมังกรพ่นไฟของลูเซีย”
“ยัยลูเซียบอกมาสินะ นายก็รู้ว่ายัยนั่นเชื่อถือได้ซะที่ไหนกัน” เรอิสซึ่งกำลังข่มอารมณ์อย่างถึงที่สุดตอบเสียงเย็น ๆ ทั้งที่ข้างในรู้สึกเหมือนร้อนวาบไปทั้งตัวอย่างหาเหตุผลไม่ได้
“ลูเซียเมียนายบอกว่า ทีเผาดาบยังได้เลย ทำไมจะปิ้งมาร์ชเมลโลว์ไม่ได้ น่านะ ๆ” กิลเบิร์ตไม่ละความพยายาม เขาอ้อนเสียงหงุงหงิงผิดกับสรีระและหนังหน้า จนเรอิสหมดความอดทน
“เดี๋ยวปั๊ดเผาศพเลยนี่!”
เรอิสตวาดเสียงแข็ง กิลเบิร์ตถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่เพราะกลัวคำพูดของเรอิส แต่เพราะเขาเหลือบไปเห็นประกายแสงประหลาดในมือเรอิสต่างหาก
ดูเหมือนว่าไม่ได้มีแค่กิลเบิร์ตที่เห็นประกายนั้นในมือเรอิส เพื่อน ๆ ทั้งห้องต่างก็มองมือของเด็กหนุ่มหน้าสวยไม่วางตา เมื่อเจ้าตัวยกมือขึ้นดูก็ถึงกับสะบัดมือยกใหญ่ราวกับโดนคางคกพิษ จนประกายนั้นหายไป
“ค่ายอาทิตย์หน้า ถ้าพวกเราจุดไฟไม่ติดก็ช่วยพวกเราจุดหน่อยนะ” เด็กหนุ่มผมสีเงินนามคลิฟฟอร์ดกล่าวพร้อมรอยยิ้มแปลก ๆ ชวนให้เรอิสร้อน ๆ หนาว ๆ ก่อนลากเจ้าหัวเขียวตัวแสบเดินจากไป
“ว่าไป นายเตรียมของไปค่าย The Epilogue เรียบร้อยหรือยังน่ะเรอิส ทั้งครีมกันแดด กางเกงว่ายน้ำ” ฟาร่าเปลี่ยนเรื่อง เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
...ฉันโตแล้วนะ ถ้าจะมีปัญหาก็คงมีแค่เรื่องเมาเรืออย่างเดียวแหละ...
---
“อีกไม่กี่วันแล้วสินะ... ฟินิกซ์หนุ่มจะคืนกลับรัง” เสียงหญิงสาวกล่าวเบา ๆ คล้ายกับว่ากำลังรำพันถึงคนที่ตนรักและคิดถึง
“แย่แล้วขอรับฝ่าบาท เจ้านั่นกำลังส่งคนไปทำร้ายเด็กคนนั้นเพิ่ม เจ้านั่นเหิมเกริมขนาดส่งคนข้าม ‘กำแพง’ ไปเล่นงานแล้ว เด็กคนนั้นจะตกอยู่ในอันตรายในไม่ช้า” ชายชราร้องอย่างตื่นตระหนก หากอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย ราวกับรู้อนาคตทุกอย่าง
“อย่าร้อนใจไปเลยท่านอาเซอรัส เด็กคนนั้นถูกชะตากำหนดไว้แล้วว่าต้องรอด ต้องกลับมาหาพวกเรา”
---
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปไวเหมือนโกหก แม้จะทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็ราบรื่นกว่าที่เรอิสคิด เพียงสามวันทุกคนก็ไม่สนใจเรื่องของเขาเท่าไรแล้ว
รถทัวร์คันใหญ่เคลื่อนย้ายนักเรียนทั้งชั้นม.6 มาถึงท่าเรือ ครูและนักเรียนทำเรื่องตั๋วเรือกันวุ่นวาย เด็กหนุ่มหน้าสวยเหลือบมองรถตู้ที่เพิ่งวิ่งจากไป แม้เขารู้ดีว่าอีกไม่กี่วันค่ายก็จบ หากเขากลับรู้สึกได้ถึงหายนะที่รออยู่ตรงหน้า ใจหนึ่งอยากกระโดดขึ้นรถกลับไป ไม่อยากไปค่ายแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าทำไม่ได้
...แปลกนัก ทั้งที่ค่าย Epilogue เป็นค่ายส่งท้ายม.6 ธรรมดา ๆ รุ่นพี่ทุกรุ่นก็เจอมาหมด แต่ทำไมครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนจะไปตายในสนามรบยังไงไม่รู้...
นักเรียนและครูทั้งหลายทยอยเดินขึ้นเรือ ทันทีที่เท้าของเรอิสก้าวขึ้นเรือ เขาก็รู้สึกได้ถึงคำร่ำลาจากพื้นดิน จากโลกเดิม ๆ ที่เขาคุ้นเคย ราวกับว่าค่าย Epilogue นี่จะเป็นค่ายส่งท้ายอะไรที่มากกว่าชีวิตม.6 ทั่วไป
ความชุลมุนทั้งหลายยุติลงหลังจากที่ทุกคนขึ้นเรือครบแล้ว หากความชุลมุนทั้งหลายในใจเรอิสเพิ่งจะเริ่มต้น เขาหันมองพื้นดินเป็นครั้งสุดท้ายราวกับว่าจะต้องจากลากันชั่วชีวิต
เรือจะลาลับจากท่าไป สู่ค่าย Epilogue ส่งท้ายม.6 ที่ทุกคนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา กลับมาทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม แต่เด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงกลับรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์เลวร้ายว่าตนจะไม่มีวันกลับมามีชีวิตสงบสุขอย่างเดิมอีก
...นอกจากเรอิสแล้ว หามีใครรู้ไม่ว่าชีวิตของตนกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน... ชนิดที่ชีวิตจะไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก...
---
เรือเดินทางมาถึงเกาะโดยสวัสดิภาพ ฝนกระหน่ำเกาะราวกับฟ้ารั่ว กิจกรรมในห้องประชุมดำเนินอย่างเนิ่นนาน โดยเรอิสนั่งหลับอย่างสุขสันต์หลังจากที่เมาเรือมาหลายชั่วโมงจนเพลีย
กว่ากิจกรรมในห้องประชุมจะจบลงก็เย็นแล้ว ฝนหยุดตกสักที แต่ความสิ้นหวังก็มาเยือนเมื่อทุกคนพบว่าฟืนและต้นไม้ทั้งหลายเปียกชื้นจนจุดไฟไม่ได้
...ในเมื่ออาหารในค่ายนี้ ต้องก่อกองไฟทำกันเอง ไม่มีคนหุงหาให้แบบสำเร็จรูป แล้วเราจะกินอะไรกันล่ะ จะให้กินดิบ ๆ เหรอ...
ท่ามกลางความสิ้นหวังของคนอื่น ๆ ในค่าย คลิฟฟอร์ดที่อยู่กลุ่มเดียวกับเรอิสกระทุ้งเข้าที่สีข้างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีแดงเพลิงจนแทบเคล็ด
“ถึงเวลานายออกโรงแล้วสินะ พ่อหนุ่มไฟแรง” คำพูดของเจ้าคนผมสีเงินทำเอาคนหน้าสวยถึงกับแยกเขี้ยวขู่ แต่พ่อนักดนตรีก็ยังหน้าระรื่น
...เดี๋ยวปั๊ดจับเผานั่งยางพร้อมไอ้กิลเบิร์ตเลยนี่...
ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนอนท้องกิ่ว เรอิสจึงรวบรวมฟืนชื้น ๆ มากองไว้ในบริเวณสำหรับจุดไฟ เขาเอาไม้มาปั่นกับหินตามแบบโบราณเพราะไม่มีไม้ขีดหรือไฟแช็ค
“ถ้าไอ้เรื่องเมื่อวันเสาร์ไม่ใช่แค่ตลกฝืดของโชคชะตา ก็ขอให้มีไฟกินข้าวด้วยเถอะ”
เด็กหนุ่มพึมพำสบถต่อโชคชะตาของตนพลางพยายามจุดไฟ ทันใดนั้นเอง
ตูม!
เปลวเพลิงกองใหญ่ลุกโชนขึ้นจากกองฟืนเปียก ๆ อย่างน่าเหลือเชื่อ เขม่าควันกระจายเต็มตัวเรอิสจนมอมแมมไปหมด พอคลิฟฟอร์ดเห็นเช่นนั้นจึงวิ่งแจ้นทั่วค่ายทันที
“เจ้าข้าเอ้ย เรอิสพ่นไฟแล้ว ๆ ๆ ใครยังจุดไฟไม่ติดไปให้เรอิสพ่นให้ได้เลยขอรับพี่น้อง” เจ้าคนผมสีเงินวิ่งโพนทะนาป่าวประกาศทั่วค่าย ทำเอาคนเดียวที่จุดไฟได้เหลืออด
“ปั๊ดจับย่างเฉาะเนื้อแจกทั้งค่ายเลยนี่ ไอ้คลิฟฟอร์ด!”
---
ตลอดมื้อเย็นวันนั้น เรอิสกลายเป็นขวัญใจชาวค่ายทันที เขาโดนเรียกตัวไปช่วยทุกกลุ่มจุดไฟจนได้กินข้าวเย็นกันอิ่มท้องทุกคน แต่เขากลับไม่ได้มีความสุขกับการเป็นชายหนุ่มเนื้อหอมที่ใคร ๆ ก็ต้องการตัวเลย
...นี่มันเกิดอะไรฉันถึงพ่นไฟได้ หรือว่าฉันเป็นตัวอะไรกันแน่...
คุณเจ๊ผู้หญิงสวยกับตาแก่นั่นเป็นใคร เอาชีวิตสงบสุขแบบคนอื่น ๆ คืนมา...
---
“หวังว่านี่คงเป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วนะ” เรอิสกล่าวพลางปาดเหงื่อท่ามกลางเสียงปรบมือสรรเสริญจากเพื่อน ๆ ผู้หิวโหย ใบหน้ามอมแมมคราบเขม่าควันจนหมดสวย โดยหาได้รู้ตัวไม่ว่าลูเซียซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มนี้ กำลังย่องเข้ามาด้วยจุดประสงค์อะไรสักอย่าง
“เรอิส นายนี่สุดยอดจังเลย”
จู่ ๆ ลูเซียกระโดดเข้ากอดเรอิสสุดแรง แต่โชคดีที่เขากลับยังยืนหยัดอย่างมั่นคงไว้ได้ จึงไม่หงายหลังล้มลงเข้ากองไฟให้เจ็บตัว
“เฮ้ย!!” เรอิสร้องลั่นอย่างตกใจที่โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัว เพื่อน ๆ ก็ตกใจไม่แพ้กันว่าลูเซียเกิดรักอะไรเรอิสขึ้นมา
“จะฆ่าจะแกงให้ตายเลยรึไง!! เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว!” เรอิสโวยวายอย่างหมดความอดทน พร้อมผลักลูเซียลงไปนั่งกับพื้นอย่างไร้เยื่อไย ก่อนเดินจากไปอย่างหัวเสีย
เด็กสาวมองอีกฝ่ายอย่างผิดหวังจนเห็นได้ชัด ไม่แน่ชัดว่าไม่พอใจที่แผนล้มเหลว หรือเสียใจที่ถูกปฏิเสธ แต่ที่ชัดเจนคือใบหน้าของเธอที่แดงระเรื่ออย่างน่าประหลาด ด้วยความโกรธ เสียใจ หรือผิดหวังไม่ทราบได้ แต่ที่รู้คือแดงจนโดนเพื่อน ๆ ในกลุ่มแซว
เรอิสเดินกลับกลุ่ม เพื่อน ๆ ที่เพิ่งหั่นผักเสร็จมองพากันมองตามหน้าละห้อย เพราะไม่มีใครทำอาหารเป็นนอกจากเรอิส
“เรอิส หิวข้าวแล้ว ทำให้กินหน่อยสิ” คลิฟฟอร์ดกล่าวทันทีที่เห็นคนหน้าสวยแต่มอมเดินกลับกลุ่ม
“ทำกินกันเอง เหนื่อยแล้ว” คนโดนทุกอย่างประดังประเดเข้ามาในชีวิตตวาด
...คนกำลังอารมณ์เสียอยู่ เดี๋ยวปั๊ดจับมัดเผาศพพร้อมกันทั้งสามคนนั่นแหละ...
---
วันแรกและวันที่สองของค่ายผ่านไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ค่ายดำเนินมาถึงเย็นวันที่สองแล้ว เป็นช่วงเวลาสำหรับพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ก็พร้อมใจกันไปเล่นน้ำทะเล รวมทั้งฟาร่า มาร์คัส และลูเซียด้วย
ฟาร่ากับลูเซียว่ายน้ำและเล่นลูกบอลอย่างคล่องแคล่วไม่ต่างจากบนบก พลางหัวเราะสนุกสนานกับเพื่อน ๆ ส่วนเรอิสเดินเล่นตามชายหาด พลางหาที่นอนเล่นอ่านหนังสือไม่ก็คุยเรื่อยเปื่อยอย่างเบื่อหน่ายที่ถูกฟาร่าชวนมาเรียนว่ายน้ำ แต่พอเขาไม่เรียนก็กลับปล่อยให้นั่งกร่อยอยู่กับบรรดาคนอื่น ๆ ที่ว่ายน้ำไม่เป็น
...รู้ทั้งรู้ว่าว่ายน้ำไม่เป็น แล้วจะชวนมาทำไม...
เด็กหนุ่มนอนอ่านหนังสือฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ก่อนความสงบสุขจะถูกพรากไปจากชีวิตครั้งใหญ่รอบที่เท่าไรไม่ทราบได้
“ไง เรอิส มาเล่นน้ำกับฉันกับฟาร่าไหม” ลูเซียถามมาจากด้านหลัง ทำเอาเรอิสถึงกับผงะ
“ไม่ล่ะ ว่ายน้ำไม่เป็น”
“ฟาร่าไม่สอน ฉันสอนแทนได้นะ” ลูเซียรบเร้าอีก ก่อนฉุดกระชากลากถูลงน้ำ โดยไม่ถามความสมัครใจและสุขภาพเลยสักคำ
“ไม่เอา ฉันไม่เรียนว่ายน้ำ ไม่เอา ๆ ๆ ไม่ต้องมายุ่งกับฉันเลย” คนโดนลากโวยวายจนคนอื่น ๆ หันมองว่าเกิดอะไรขึ้น แม้เรอิสพยายามดิ้นเท่าไรแต่ก็ไม่หลุดจากมือเล็กบางของลูเซีย
“ไม่ได้นะลูเซีย เรอิสว่ายน้ำไม่เป็น”
เด็กสาวตัวน้อยลากคนผมสีแดงเพลิงลงน้ำทะเลหน้าระรื่น ไม่สนคำทัดทานใด ๆ ไม่ว่าจะมาจากเรอิส ฟาร่า หรือใครก็ตาม
เด็กสาวร่างเล็กลากเรอิสมาจนถึงน้ำลึกที่เท้าเรอิสเหยียบพื้นไม่ถึง เร็วจนฟาร่าว่ายน้ำตามมาแทบไม่ทัน
“เรอิส นายตีมือตีขานะ” ลูเซียปล่อยมือก่อนสาธิตให้เด็กหนุ่มดู แต่เขาแทบจะจมน้ำทันทีที่เธอปล่อยมือ จึงได้เพียงตีมือตีขาสะเปะสะปะให้ตัวเองพอหายใจได้ แต่ก็ไม่ได้ผล
ดวงตาสีแดงมองคนกำลังจมน้ำด้วยความรู้สึกหลายอย่างผสมปนเป ก่อนเอื้อมมือดึงเขาขึ้นมา
“นายใจเย็น ๆ แล้วก็ตีมือตีขาอย่างฉัน” ลูเซียสอนอีก แต่เด็กหนุ่มก็แทบจะจมน้ำทันทีอีกรอบ
...ไม่สิ รอบนี้เขาตีได้แต่มือต่างหาก ส่วนขาเป็นตะคริวไปแล้ว...
“ย...ยัยบ...” คนกำลังจะจมน้ำพยายามเงยหน้าขึ้นมาด่า ก่อนจะจมน้ำไปจริง ๆ หากลูเซียกลับนิ่งเฉย ไม่ได้เอื้อมมือไปช่วยดึง ท่าทางเธอสับสนไม่น้อย
ทันทีที่ฟาร่าเห็นเช่นนั้นก็รีบดำน้ำลงไปช่วยเรอิสทันที โดยไม่ได้สนใจลูเซียเลยแม้แต่น้อย แม้จะทุลักทุเลไปบ้าง แต่ก็ช่วยชีวิตเพื่อนรักขึ้นจากน้ำได้อย่างปลอดภัย
เธอวางร่างของเด็กหนุ่มหน้าสวยที่กำลังสลบไสลไม่ไหวติงบนพื้นทราย ก่อนเรียกคนมาช่วยสุดเสียง
“คลิฟฟอร์ด! เรอิสจมน้ำ!”
เด็กหนุ่มผมสีเงินถึงกับวิ่งสุดฝีเท้าไปหาฟาร่าทันทีที่เธอเรียก เขาลงมือปฐมพยาบาลเรอิสอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
“คนกำลังแย่ อย่ามุงแย่งอากาศหายใจ”
“ฟาร่า ไปเอาผ้าเช็ดตัวมา”
คลิฟฟอร์ดสั่งการเสียงเครียด ดวงตาสีมรกตยามนี้จริงจังจนน่าตกใจ ผิดกับมาดขี้เล่นยามปกติอย่างเห็นได้ชัด ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน
ฟาร่ายืนมองเด็กหนุ่มผมสีเงินพยาบาลเพื่อนของตน จากที่กังวลในตอนแรกก็ค่อย ๆ เบาใจขึ้นมา เธอยิ้มอย่างมั่นใจว่าคลิฟฟอร์ดช่วยเรอิสได้อย่างแน่นอน
---
“เด็กคนนั้น... ผู้ที่ตำนานไม่ยอมให้ตาย...ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ที่นั่นด้วย” หญิงสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ชะตาได้กำหนดให้เด็กคนนั้นอยู่ข้างเราตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังเมื่อวันวานครั้งก่อน...”
---
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่หลังจากที่ปฐมพยาบาลเสร็จสิ้น เวลาพักผ่อนตามอัธยาศัยผ่านพ้นไป ถึงเวลากิจกรรมค่ายแล้ว
ดวงตาสีน้ำตาลปนแดงเปิดขึ้นอย่างงุนงง เด็กหนุ่มหน้าสวยมองซ้ายมองขวา ตัวเขายังนอนอยู่บนชายหาดแต่ไม่มีใครอยู่แล้ว ฟาร่ากับคลิฟฟอร์ดก็ไม่อยู่เฝ้าเพราะโดดกิจกรรมไม่ได้
พอเรอิสจำได้ว่าตอนนี้มีกิจกรรมอะไรก็รีบเดินไปห้องประชุมทันที ทว่าระหว่างทางนั้นเอง เขาเดินผ่านมุมตึก ได้ยินเสียงเย็น ๆ ของฟอลคอนกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของลูเซียดังเล็ดลอดออกมา
“ทำอะไรไม่คิดตั้งหลายครั้งหลายคราแล้ว โง่!”
เรอิสแอบฟังอยู่ครู่สั้น ๆ เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่ได้ยินลูเซียร้องไห้เป็น แต่ก็ไม่สนใจเป็นพิเศษ
...ครูฟอลคอนก็อาจจะเป็นครูที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร... มั้ง...
ความคิดเห็น