ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~* Vampire Twilight&Breaking Dawn* ~All อัปเดตจากหนังแวมไพร์

    ลำดับตอนที่ #52 : เรื่อง Midnight Sun; ตอนที่ 1: First Sight [credit by hs3puk@bloggang]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.13K
      1
      24 พ.ย. 52

    ช่วงเวลาแบบนี้เองที่ผมอยากจะหลับได้บ้าง

    เรียน ม. ปลาย

    หรือจะเรียกว่าที่ล้างบาปสำหรับคนตายดี? ถ้าจะมีอะไรให้ผมได้ชดใช้กรรมที่ทำมาล่ะก็โรงเรียนก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ช่วงเวลาที่อยู่โรงเรียนคือความเบื่อหน่ายที่ผมไม่มีวันจะคุ้นชิน แต่ละวันที่ผ่านไปก็ซ้ำซากขึ้นทุกวันๆ

    ผมเลยเหมาเอาว่านี่แหละคือเวลาหลับของผม ถ้าการหลับคือช่วงเวลาที่ปฏิกริยาโต้ตอบในรอบวันหายไป ตอนนี้ผมนั่งมองรอยแตกที่ผนังอีกด้านของโรงอาหาร พยายามหารูปแบบที่ให้รอยเหล่านั้น นี่ก็วิธีนึงล่ะครับ ที่ผมใชกันเสียงพูดฟังไม่ได้ศัพท์ ที่กำลังไหลผ่านหัวผมเหมือนสายน้ำ หลายร้อยเสียงเลยที่โดนผมกันออกไปเพราะมันน่าเบื่อ พอพูดถึงความคิดของพวกมนุษย์ล่ะก็ ผมเคยได้ยินมาแล้วทั้งนั้น จะมีก็มีวันนี้แหละ ที่บรรดาความคิดทั้งหลายที่นี่พากันคิดถึงนักเรียนใหม่ที่มาเพิ่มจำนวนประชากรที่นี่ ใช้เวลาแป๊บเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว ผมเห็นหน้าของเด็กใหม่ในทุกมุมมอง ผุดในความคิดของคนนั้นทีคนนี้ทีไม่ได้หยุดหย่อน ก็มนุษย์หน้าตาพื้นๆคนนึง อาการตื่นเต้นของคนแถวนี้ ที่ได้เห็นนักเรียนใหม่ก็เดาได้ล่ะครับ--ออกอาการเหมือนเด็กเห็นของสีสันสดใสๆ พวกผู้ชายที่ชอบทำอะไรตามๆกันกว่าครึ่งโรงเรียน พากันจินตนาการว่าตัวเองเป็นแฟนกับเด็กใหม่เรียบร้อย เพียงเพราะมีอะไรใหม่ๆให้มองบ้าง ไอ้พวกนี้โดนผมกันออกจากหัวก่อนเลย

    มีอยู่สี่เสียงที่ผมกันออกไปเพราะมารยาท ไม่ใช่เพราะไม่ชอบฟัง ครอบครัวผมเองครับ พี่ชายสองคนพี่สาวสองคน ที่คงพากันเลิกคิดถึงความเป็นส่วนตัวไปแล้วล่ะเวลามีผมอยู่ใกล้ๆ ผมพยายามไม่ฟังนะถ้าทำได้ ก็ พยายามล่ะครับ ... แต่ ก็นะ

    โรสซาลี่ กำลังคิดอยู่ เรื่องเดิมครับๆ คิดถึงแต่ตัวเอง เธอหันไปเจอเงาตัวเองสะท้อนในแว่นตาใครซักคน แล้วก็รำพึงรำพันถึงความเพอร์เฟ็คต์ของตัวเอง ความคิดของโรสซาลี่ตื้นเขินแต่ก็มีอะไรให้แปลกใจบ้าง

    เอ็มเม็ตต์กำลังฉุนๆ คิดถึงมวยปล้ำที่เขาแพ้แจสเปอร์เมื่อคืนนี้ วันนี้ความอดทนน้อยๆของเขาคงจะถูกใช้จนหมดล่ะครับ ที่ต้องรอจนเลิกเรียนเพื่อขอแก้แข่งมืออีกรอบ ผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองบุกรุกความเป็นส่วนตัวของเอ็มเม็ตต์เลยนะ เพราะไม่มีเลย ที่เขาจะคิดอย่าง แล้วพูดหรือทำอีกอย่าง บางทีผมว่า ผมรู้สึกผิดเวลาอ่านใจคนอื่นเพราะมันมีบางอย่างในใจที่พวกเขาไม่อยากให้ผมรู้ ถ้าความคิดของโรซาลี่ตื้นเิขิน ของเอ็มเม็ตต์ก็คงจะเหมือนทะเลสาบที่น้ำใสแจ๋ว

    ส่วนแจสเปอร์ ...เขากำลังเจ็บปวด
    ผมถอนหายใจเบาๆ

    'เอ็ดเวิร์ด' เสียงอลิสเรียกดังขึ้นในหัว ผมพร้อมฟังเธอทันที จริงๆมันก็เหมือนกับเรียกชื่อผมดังๆนั่นแหละ ผมดีใจนะที่ทุกวันนี้ชื่อผมมันล้าสมัยไปแล้ว เมื่อก่อนนี่น่ารำคาญมาก เวลามีใครคิดถึงคนอื่นๆที่ชื่อเอ็ดเวิร์ดเหมือนกัน ผมจะหันขวับโดยอัตโนมัติ
    ตอนนี้ผมไม่ัหันแล้ว ผมกับอลิสคุยกันแบบนี้เก่งครับ ยากที่ใครจะจับเราได้
    'เขายังไหวไหม?' เธอถามผม

    ผมทำหน้าบึ้ง ขยับปากนิดหน่อย ไม่มีอะไรพอทำให้ใครหันมาสนใจ แค่เบื่อๆผมก็หน้าบึ้งได้แล้วล่ะ ในความคิดของอลิส ตอนนี้เธอเริ่มกังวลหน่อยๆ ผมเห็นในความคิดเธอว่าเธอกำลังมองแจสเปอร์จากดวงตาพิเศษ
    'มีอันตรายอะไรหรือเปล่า?'
    เธอมองหา มองสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ มองหาว่าอะไรทำให้ผมบึ้ง

    ผมหันไปทางซ้ายช้าๆเหมือนกำลังมองก้อนอิฐบนผนัง ถอนหายใจทีนึง แล้วก็หันมาทางขวา แล้วกลับมาที่รอยแตกบนเพดาน มีแต่อลิสครับที่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังส่ายหน้า
    เธอผ่อนคลายลง
    'บอกด้วยนะุถ้าเริ่มแย่ลง'
    ผมขยับลูกตาขึ้นไปมองเพดาน แล้วมองลงมาที่เดิม
    'ขอบใจนะที่ช่วยดู'

    ผมดีใจนะที่ไม่ต้องพูดตอบ จะให้ตอบยังไงล่ะ “ด้วยความยินดีเหรอ?” พูดยังงั้นไม่ได้หรอก ผมไม่ยินดีเลยที่ต้องมารับรู้ว่าแจสเปอร์กำลังดิ้นรน เราจำเป็นไหมที่ต้องมาทดลองอะไรยังงี้? ไม่ปลอดภัยกว่าเหรอ ที่จะยอมรับว่าเขาอาจจัดการกับความกระหายแบบพวกเราไม่ได้ ทำไมต้องกดดันเขา ทำไมต้องมาเสี่ยงกับหายนะด้วย?

    เราไม่ได้ออกล่ามาสองสัปดาห์แล้ว ที่จริงเวลาเท่านี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเราหรอก ก็จะมีรู้สึกลำบากนิดหน่อย ถ้าพวกมนุษย์เดินเข้ามาใกล้เกินไป หรือถ้าลมดันพัดผิดทาง แต่พวกมนุษย์เขาก็ไม่ค่อยเดินเข้ามาใกล้ๆหรอก สัญชาตญานของพวกเขาคงบอกสิ่งที่สติของพวกเขาบอกไม่ได้ ว่าเราเป็นพวกอันตราย

    ตอนนี้แจสเปอร์กำลังอันตรายสุดๆ

    ผู้หญิงตัวเล็กๆมาหยุดอยู่ที่ปลายโต๊ะตัวที่ติดกับเรา เธอหยุดคุยกับเพื่อน สะบัดผมสั้นๆสีทอง แล้วก็เสยผม ลมจากฮีตเตอร์พัดกลิ่นเธอมาทางพวกเราพอดี ผมรู้ว่ากลิ่นแบบนี้ทำให้ผมรู้สึกยังไง—คอมันจะแห้งผาก ท้องไส้ร่ำร้อง กล้ามเนื้อตามตัวรัดตึงขึ้นโดยอัตโนมัติ รู้สึกได้ถึงกระแสพิษที่ไหลอยู่ในปาก...

    แต่ปกติแล้วก็ไม่ยากหรอกที่จะปล่่อยวางซะ แต่หนนี้มันยากกว่า ความรู้สึกมันแรงกว่า เท่าตัวแน่ะ ผมตรวจดูปฏิกริยาของแจสเปอร์ กระหายคู่นี่เรา ไม่ใช่ผมคนเดียว

    แจสเปอร์เริ่มจินตนาการ ภาพในหัวของเขาที่ผมเห็นคือ เขาลุกขึ้นแล้วไปยืนข้างเด็กสาวคนนั้น เขาค่อยๆเิอียงตัวไปทางเธอ ทำท่าเหมือนจะกระซิบที่หู ปล่อยให้ริมฝีปากแตะที่คอเธอ คิดถึงสัมผัสในปากจากกระแสเลือดอุ่นๆที่ไหลอยู่ใต้ผิวหนัง...

    ผมเตะเก้าอี้ที่แจสเปอร์นั่ง

    เขาสบตาผมครู่นึง แล้วก็ก้มหน้า ผมไ้ด้เสียงละอายแข่งกับเสียงอยากแหกกฎในหัวของเขา
    “โทษที” เขาพึมพำ
    ผมยักไหล่

    “เธอจะไม่ทำอะไรทั้งนั้น” อลิสพูดกับเขา ปลอบให้เขาเลิกเ็ซ็งตัวเอง “มันเกิดขึ้นได้”
    ผมต้องไม่ทำหน้าเศร้า เดี๋ยวคำโกหกของเธอจะไม่มีมีน้ำหนัก ผมกับอลิส เราต้องช่วยกัน ไม่ง่ายเลยนะที่เราคนนึงได้ยินเสียง กับอีกคนนึงมองเห็นอนาคต ประหลาดยกกำลังสองเลย เราทั้งคู่ช่วยกันรักษาความลับของอีกฝ่าย

    “ช่วยได้นะ ถ้าเธอคิดว่าพวกเขาก็เป็นคนเหมือนกัน” อลิสแนะ เสียงสูงไพเราะเหมือนเสียงดนตรีของอลิส เร็วเกินกว่าที่หูคนจะรับทัน ผมหมายถึงว่าถ้ามีใครซักคนอยู่ใกล้พอได้ยิน “แม่ของเด็กคนนี้ ชื่อวิทนี่ย์ไง เธอมีน้องสาวที่ยังเป็นทารกอยู่คนนึงที่เธอรักมาก แม่ของเธอเคยเชิญเอสเม่ไปงานปาร์ตี้ในสวนด้วย จำได้ไหม?”
    “ฉันรู้น่า ว่าเธอเป็นใคร?” แจสเปอร์ตอบ ก่อนหันมองออกนอกหน้้าต่าง น้ำเสียงของเขาบอกว่าหยุดคุยเรื่องนี้ได้แล้ว

    คืนนี้เขาคงต้องออกล่าแล้วล่ะ ตลกมากที่ต้องมาเสี่ยงยังงี้ เพียงเพราะอยากวัดว่าเขาเข้มแข็งแค่ไหน เพียงเพราะอยากให้เขาเพิ่มแรงต้านใ้ห้มากขึ้น แจสเปอร์ควรจะยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง แล้วก็อยู่กับมันให้ได้ นิสัยเก่าๆของเขาเข้ากับวิถีชีวิตแบบที่พวกเราเลือกไม่ได้ เขาไม่ควรกดดันตัวเองขนาดนี้

    อลิสถอนหายใจเบาๆ เธอหยิบถาดอาหาร—ซึ่งก็แค่เอามาประกอบฉาก แล้วก็เลิกตอแยเขา เธอรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะพอ รู้ว่าเขาไม่รับคำปลอบใดๆจากเธอแล้ว แม้ว่าโรสซาลี่กับเอ็มเม็ตต์จะแสดงความรักกันอย่างเปิดเผย แต่เป็นอลิสกับแจสเปอร์นะ ที่รับรู้อารมณ์ของอีกฝ่ายพอๆกับของตัวเอง เหมือนว่าพวกเขาเองก็อ่านใจกันได้ แต่ก็อ่านกันอยู่สองคน

    'เอ็ดเวิร์ด คัลเลน'

    ด้วยปฏิกริยาสนองตอบอัตโนมัติ ผมหันไปทางเสียงที่เรียกชื่อผม ไม่ได้เรียกออกมาหหรอก แต่อยู่ในความคิดของใครซักคน

    ช่วงเศษเสี้ยวของวินาทีนั้นเอง ที่ตาผมสบกับดวงตาเบิกกว้าง สีน้ำตาลช้อคโกแลต บนใบหน้าซีดๆรูปหัวใจของมนุษย์คนหนึ่ง ผมรู้จักใบหน้านี้ ถึงจะไม่เคยเจอตัวเป็นๆมาก่อน หน้านี้โผล่อยู่ในความคิดของทุกคนในวันนี้ หน้าของเด็กใหม่ อิซาเบลล่า สวอน ลูกสาวของหัวหน้าตำรวจ เบลล่า เธอบอกทุกคนที่เรียกเธอด้วยชื่อเต็ม ให้เรียกสั้นๆแบบนี้แทน...

    ผมมองไปทางอื่น...น่าเบื่อ

    วินาทีนึงผ่านไป ผมก็รู้ว่าเด็กใหม่ไม่ใช่คนที่นึกถึงชื่อผม

    'แหงล่ะ เธอต้องชอบพวกคัลเลนอยู่แล้ว' เสียงที่เรียกชื่อผมคิดต่อ

    ผมจำได้แล้ว นี่เสียงของ เจสสิก้า สแตนลี่ย์ – นานมาแล้วครับ ที่ความคิดเธอเริ่มรบกวนผม โชคดีที่ตอนหลังเธอเลิกหวังลมๆแล้งๆ ก่อนนี้ผมแทบจะหลบฝันกลางวันบ้าๆบอที่โผล่มาได้ตลอดเวลาของเธอไม่ได้ ตอนนั้นผมเคยหวังว่าจะบอกเธอได้ ว่าจริงๆแล้วมันจะเป็นไงแน่ ถ้าริมฝีปากของผม ซึ่งมีฟันคมๆอยู่ด้านหลัง ได้เข้าใกล้เธอ ถ้าตอนนั้นบอกได้นะ จินตนาการบ้าๆของเธอคงจะหายจ้อย แค่คิดว่าเธอจะทำหน้ายังไงถ้าได้รู้ ผมก็ขำแล้ว

    'คงจะได้หรอก' เจสสิก้าคิดต่อ 'หน้าตาก็ไม่สวย ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าทำไมอีริคถึงได้จ้องจัง ... ไมค์ด้วย'

    เธอออกแววเขินเล็กน้อยตอนคิดถึงชื่อหลัง รักใหม่สินะ ไมค์ นิวตั้น พ่อหนุ่มป๊อบปูล่าร์ผู้นี้ดันไม่เห็นเธออยู่ในสายตา แต่วันนี้เด็กใหม่อยู่ในสายตาเขานะ ก็เหมือนเด็กเห็นของสีแปร้ดๆนั่นแหละ สงสัยจะเพราะนี่ล่ะมั้ง เลยทำให้เจสสิก้ารู้สึกเคืองๆเด็กใหม่ แต่ถ้าดูจากภายนอก เธอก็โอภาปราศรัยดี นี่ยังบอกต่อความรู้สั่วๆของเธอเกี่ยวกับครอบครัวของเราให้เด็กใหม่ฟังด้วย
    'ใครๆก็มองฉันเหมือนกัน เจสสิก้าคิด ไม่ใช่โชคดีของเบลล่าหรอกเหรอที่ได้เรียนกับฉันตั้งสองวิชา..พนันเลยว่าไมค์จะถามฉันว่าเธอ...'

    ขอตัดเสียงก่อน ก่อนที่ผมจะบ้าตาย

    “เจสสิก้า แสตนลี่ย์กำลังใส่ความบ้านเราให้เด็กใหม่สวอนฟัง” ผมบอกเอ็มเม็ตต์เพื่อหันความสนใจไปทางอื่นเสีย
    เขาหัวเราะ 'หวังว่าจะแต่งเรื่องออกมาดีนะ' เขาคิด
    “ค่อนข้างไร้จินตนาการมากว่า ก็พวกข่าวลือ ไม่มีอะไรสยองๆเลย ฉันผิดหวังนะเนี่ย”
    'แล้วเด็กใหม่ผิดหวังด้วยไหมล่ะ?'

    ผมหันไปฟังว่าเด็กใหม่คิดยังไงพอได้ฟังที่เจสสิก้าบอก เธอคิดยังไงเวลามองพวกตัวประหลาด ครอบครัวผิวขาวเหมือนช้อล์ค ที่ใครๆก็พากันหลีกเลี่ยง

    เหมือนเป็นหน้าที่ครับ ที่ต้องรู้ว่าเธอคิดยังไง ผมทำหน้าที่ตรวจสอบเพื่อครอบครัว เพื่อปกป้องพวกเรา ถ้ามีใครเริ่มสงสัย ผมก็จะเตือน แล้วเราก็จะไปอยู่ที่อื่น บางทีมนุษย์ที่มีจินตนาการ ก็อาจนึกถึงหนังสือหรือตัวละครจากหนัง แต่ส่วนใหญ่มักจะคิดผิด ถึงกระนั้นพวกผมก็เลือกจะย้ายไปที่อืื่น ดีกว่าอยู่แบบเสี่ยงๆ มีน้อยหนมากๆที่มีคนเดาถูก แต่เราก็ไม่รอให้พวกเขาได้ทดสอบสมมุติฐานหรอกนะ เราหายหัวไปก่อนเลย ให้มันกลายเป็นแค่ความทรงจำที่น่ากลัวของพวกเขาไป...

    ผมไม่ได้ยินอะไรเลย ผมจูนฟังใกล้ๆเสียงไหลพล่ามของเจสสิก้า แต่มันเหมือนไม่มีใครนั่งขางๆเธอเลย แปลกชะมัด เด็กใหม่ย้ายที่นั่งแล้วเหรอ? ไม่น่าจะใช่ เพราะเจสสิก้ายังพูดกับเธออยู่ ผมรู้สึกตกใจเลยหันไปเช็ค หันไปเช็คสิ่งที่หูพิเศษของผมได้ยิน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องทำเลยซักนิด

    อีกครั้งที่ตาผมสบเข้ากับตากว้างๆสีน้ำตาลคู่นั้น เธอยังนั่งอยู่ที่เดิม และกำลังมองมาทางเรา ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจสสิก้ายังเล่าเรื่องซุบซิบของบ้านเราให้เธอฟังอยู่
    และเธอควรจะต้อง กำลังคิดถึงบ้านเราตามไปด้วยสิ

    แต่ผมไม่ได้ยินเลย แม้แต่เสียงกระซิบเบาๆ

    เธอเริ่มหน้าแดงเพราะโดนจับได้ว่ากำลังจ้องคนแปลกหน้า ก่อนจะก้มหน้าลง ดีนะที่แจสเปอร์ยังหันหน้าออกหน้าต่าง ไม่อยากคิดเลยว่ากระแสเลือดที่ทำให้เธอหน้าแดงจะทำให้แจสเปอร์เป็นยังไงบ้าง

    อารมณ์ที่ฉายบนใบหน้าเธอชัดมาก เธอกำลังแปลกใจ กับเรื่องราวแปลกๆที่เธอได้ยินเกี่ยวกับพวกเรา เธอกำลังอยากรู้เรื่องที่เจสสิก้าเล่า และเธอก็.... เธอกำลังชอบ งั้นเหรอ? แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกน่า พวกมนุษย์ เหยื่อของเรา มองว่าเราหน้าตาดีอยู่แล้ว และ อารมณ์สุดท้ายของเธอ .. คือ กำลังเขิน ที่โดนจับได้ว่ากำลังจ้องหน้าผมอยู่

    ถึงตาคู่แปลกของเธอจะสะท้อนความคิดออกมาชัดมาก แต่ผมกลับไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากความเงียบจากที่นั่งของเธอ ไม่มีเสียงอะไรเลย

    ผมรู้สึกอึดอัด

    แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อน มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับผมหรือเปล่า? ผมรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนทุกอย่างนะ ผมเริ่มกังวล ผมต้องตั้งใจฟังให้มากกว่าเก่า ตอนนั้นเอง ทุกเสียงที่ผมเคยกันออกไปตะโกนแข่งกันในหัวผม

    '...อยากรู้จังว่าเธอฟังเพลงแนวไหน...บางทีเราอาจจะพูดถึงเพลงใหม่...' ไมค์ นิวตั้นกำลังคิด เขานั่งห่างออกไป 2 โต๊ะ กำลังมองเบลล่า สวอน
    'ดูเขามองเธอสิ นี่เขายังไม่พออีกเหรอ สาวครึ่งโรงเรียนกำลังรอเขาอยู่นะ...' อีริค ยอร์กี้กำลังคิด เขาก็กำลังคิดถึงเธอเหมือนกัน
    '... น่าขยะแขยง เห็นเธอเป็นคนดังหรือไง...แม้แต่เอ็ดเวิร์ด คัลเลนก็มอง...' ลอเรน มัลลอรี่กำลังอิจฉา จนออกมาทางสีหน้า 'เจสสิก้าก็โม้อวดเพื่อนใหม่เสียเหลือเกิน ตลกสิ้นดี' เธอเสียดสีต่อไป
    '...พนันเลยว่าใครๆก็ถามเธอยังงั้น แต่ฉันอยากคุยกับเธอ หาคำถามธรรมดาๆ...' แอชลี่ย์ ดาวลิ่ง ครุ่นคิด
    '...บางทีเธออาจจะเรียนภาษาสเปนห้องเดียวกับเรา...' จูน ริชาร์ดสันหวัง
    '...มีอะไรให้ทำอีกบานเลยคืนนี้! ตรีโกณ แล้วก็สอบภาษาอังกฤษ หวังว่าแม่จะ...' แองเจลิน่า เวบเบอร์ เด็กสาวเงียบๆ เจ้าความคิดดีอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเป็นคนเดียวในโต๊ะนั้น ที่ไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับเบลล่าคนนี้

    ผมได้ยินทุกอย่าง ทุกสิ่งที่พวกเขาคิดขณะมันกำลังอยู่ในใจพวกเขา แต่ไม่มีอะไรทั้งสิ้นจากนักเรียนใหม่ที่มีดวงตาเล่าเรื่องราว

    แต่พอเธอพูดกับเจสสิก้า แน่นอนอยู่แล้วว่าผมได้ยิน ผมไม่ต้องอ่านใจก็ได้ยินเสียงต่ำๆแต่ชัดเจนจากอีกฟากนึงของห้องได้
    “คนที่ผมออกสีน้ำตาลแดงเป็นใครเหรอ?” ผมได้ยินเธอถาม พร้อมกับแอบมองผมจากหางตา ก่อนจะรีบหลบไปซะเพราะผมกำลังจ้องอยู่

    ผมหวังว่าการได้ยินเสียงของเธอ จะทำให้ผมจับความรู้สึกจากน้ำเสียงในความคิดของเธอได้ แต่ผมก็ผิดหวัง โดยปกติความคิดกับคำพูดจะให้น้ำเสียงโทนเดียวกัน แต่เสียงเบาๆ อายๆนี้ ไม่ปรากฎว่ามีอยู่ท่ามกลางความคิดเป็นร้อยๆที่สะท้อนไปมาในห้องนี้เลย เสียงนี้ใหม่เอี่ยม

    'โอ้ แม่เจ้า ขอให้หล่อนโชคดีเถอะ ปัญญาอ่อนเอ๊ย!' เจสสิก้าคิดก่อนจะตอบคำถาม “นั่นน่ะเอ็ดเวิร์ด คัลเลน เขาหล่อ แต่ก็นะ อย่าเสียเวลาเลย เขาไม่เดตหรอก ไม่มีสาวไหนในโรงเรียนนี้สวยพอสำหรับเขาหรอก” เธอหยาม

    ผมหันหน้าไปทางอื่นเพื่อแอบยิ้ม เจสสิก้ากับเื่พื่อนๆของเธอไม่รู้หรอกว่า ตัวเองโชคดีกันแค่ไหนที่ไม่ดึงดูดผม
    ระหว่างที่กำลังขำๆ ผมรู้สึกถึงแรงกระตุ้นบางอย่าง แรงที่ผมยังไม่แน่ใจ แต่มันน่าจะเกี่ยวกับความคิดร้ายๆในหัวของเจสสิก้าที่เด็กใหม่ไม่รู้... ผมรู้สึกว่าแรงนี้ ผลักดันให้ผมไปแยกพวกเธอออกจากกันซะ กันเบลล่าสวอนออกจากความชั่วร้ายในใจของเจสสิก้า แปลกนะที่รู้สึกยังงี้ ผมพยายามไล่ความรู้สึกนี้ออกไป ก่อนจะหันไปตรวจดูเด็กใหม่อีกรอบ

    ก็คงแค่สัญชาตญานป้องกันภัยที่ถูกฝังไว้นาน ผมคิด ที่ผู้แข็งแรงกว่ามักจะมีให้กับผู้ที่อ่อนแอกว่า เด็กใหม่คนนี้ดูบอบบางกว่าเพื่อนร่วมห้อง ผิวเธอบางใสจนแทบไม่อยากเชื่อว่าจะปกป้องเธอจากโลกภายนอกได้ ผมจับจังหวะการไหลของเลือดในเส้นเลือดใต้ผิวบางๆนั้นได้เลยด้วยซ้ำ.... แต่ผมจะไม่สนใจตรงนั้น ถึงผมทำได้ดีกับวิถีชีวิตที่พวกเราเลือก แต่ผมก็กระหายเหมือนอย่างที่แจสเปอร์เป็น ก็เลยไม่มีประโยชน์อะไร ที่จะนึกถึงเรื่องชวนให้อยากดื่มขึ้นมา

    ระหว่างคิ้วเธอมีรอยย่นบางๆที่เธอไม่รู้ตัว ตอนนี้เธอคงจะเซ็งจนบอกไม่ถูก ผมเห็นชัดๆเลยว่าเธอไม่อยากนั่งอยู่ตรงนั้น ต้องมานั่งสรรหาคำพูดคุยกับคนแปลกหน้า ต้องอยู่ท่ามกลางความสนใจของคนอื่น ผมเห็นความอายผ่านท่าทางของเธอ ไหล่ที่ห่อเล็กน้อย บอกว่าเธอคิดว่าจะโดนปฏิเสธตลอดเวลา แต่ผมก็ได้แค่ รู้สึกเอาเอง มองเห็นเอง คิดไปเอง ไม่มีเสียงใดๆเล็ดหลุดออกมาจากความคิดของมนุษย์ผู้หญิงที่ไม่เหมือนใครคนนี้เลย ผมไม่ได้ยินอะไรเลย เพราะอะไรนะ?
    “ไปกันยัง?” เสียงโรสซาลี่พึมพำ ขัดจังหวะผม

    ผมเลิกมองเด็กใหม่ด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ผมไม่อยากรู้สึกตกต่ำเพราะสิ่งนี้ .. มันรบกวนผม และผมก็ไม่อยากจะไปให้ความสนใจเพียงเพราะว่ามันถูกซ่อนจากผม ไม่ต้องสงสัยเลย ผมต้องไขความคิดเธอได้แน่ ผมหาทางได้แน่ แล้วความคิดก็คงจะต่ำช้าไม่สลักสำคัญอะไร เหมือนของมนุษย์คนอื่นๆนั่นแหละ ไม่คุ้มกับความพยายามที่ต้องอ่านให้ได้หรอก
    “ตกลงว่า เด็กใหม่กลัวพวกเราเรียบร้อย?” เอ็มเม็ตต์ถาม เขารอคำตอบตั้งแต่คำถามแรกแล้ว
    ผมยักไหล่ แล้วเขาก็ไม่สนใจจะรอฟังรายละเอียดเพิ่ม ผมเองก็ไม่สนใจเหมือนกัน
    เราลุกขึ้นแล้วเดินออกจากโรงอาหารไป

    เอ็มเม็ตต์ โรสซาลี่และแจสเปอร์ทำเป็นว่าเรียนอยู่ปีสุดท้าย พวกเขาแยกไปเข้าห้องเรียน ผมเล่นบทเด็กกว่านั้น ผมดิ่งไปที่ห้องเรียนชีวะของชั้นปีสอง ก่อนเตรียมตัวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความเบื่อหน่าย อาจารย์แบนเนอร์ฉลาดแค่ระดับปานกลาง เขาไม่อาจทำอะไรให้ผมซึ่งเรียนจบหมอมาแล้วสองใบ ให้แปลกใจได้หรอก

    ในห้องเรียน ผมนั่งลงที่เก้าอี้แล้วก็วางหนังสือ --ของประกอบอีกเหมือนกัน หนังสือพวกนี้ไม่มีอะไรที่ผมยังไม่รู้-- วางกระจายทั่วโต๊ะ ผมเป็นคนเดียวที่ใช้ทั้งโต๊ะไม่ได้แชร์กับคนอื่น พวกมนุษย์ไม่ฉลาดพอหรอกที่จะรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงกลัวผม แต่สัญชาตญานการเอาชีวิตรอดลึกๆของพวกเขาบอกว่า จงอยู่ให้ห่างพวกเรา

    นักเรียนเริ่มทยอยๆเข้ามาใ่นห้อง ผมเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ แล้วก็เริ่มนับเวลาถอยหลัง อยากจะหลับได้จริงๆ

    เพราะผมกำลังคิดถึงเธอ ตอนที่แองเจลิน่า เวบเบอร์พาเธอมาส่งที่ห้อง ชื่อของเธอเลยรุกเข้ามาในความคิดของผม

    'เบลล่าดูเป็นคนขี้อายเหมือนเราเลย วันนี้คงจะหนักกับเธอน่าดู อยากบอกเธออะไรๆกับเธอจัง ... แต่มันอาจจะฟังดูโง่ๆ..'
    'เยส!' เสียงไมค์ นิวตันดังขึ้น เขาหมุนเก้าอี้ไปมองขณะเธอคนนั้นเดินเข้ามา

    เหมือนเดิม จากจุดที่เธอยืนอยู่นั้นมันเงียบกริบ ความเงียบรบกวนผมและทำให้ผมเซ็ง

    เธอใกล้เข้ามา เดินมาตามทางเดินข้างๆผมเพื่อไปพบอาจารย์ที่โต๊ะ น่าสงสารจริงๆ ที่เดียวที่ยังว่างอยู่ในห้องนี้คือข้างๆผม ผมเก็บข้าวของกระจัดกระจายทั่วโต๊ะให้เรียบร้อย วางหนังสือซ้อนกัน ได้นั่งตรงนี้คงจะนั่งสบายหรอกนะ แต่บางทีการได้นั่งใกล้ๆอาจจะทำให้ผมอ่านเธอออกก็ได้ ... ไม่ใช่ว่าผมต้องอยู่ใกล้ถึงจะอ่านใจได้... ไม่ใช่ว่าจะมีอะไรให้ค้นหาซักหน่อย...

    เบลล่า สวอนเดินผ่านลมร้อนๆของฮีตเตอร์ที่กำลังพัดมาทางผม กลิ่นของเธอโดนผมอย่างจัง เหมือนโดนลูกปืนใหญ่กระแทก เหมือนประตูถูกไม้ท่อนใหญ่กระทุ้งให้เปิดเวลาทำสงคราม ไม่มีภาพความรุนแรงใดๆ แรงพอจะเอามาอธิบายสิ่งที่ผมกำลังโดนอยู่ในตอนนี้ได้

    ขณะนั้น ผมกลายเป็นสิ่งที่ห่างไกลกับมนุษย์มาก ไม่เหลือร่องรอยความเป็นมนุษย์ที่ผมพยายามสวมมาตลอด ผมกลายเป็นสัตว์นักล่า เธอคือเหยื่อ นี่คือความจริงเดียวที่ผมคิดถึงในตอนนั้น ไม่ได้คิดเลยว่าในห้องมีพยานตั้งมากมาย ผมลืมไปหมดว่าความคิดของเธอน่าค้นหา ความคิดของเธอไม่มีความหมายใดๆแล้ว เพราะเธอจะไม่ได้ใช้มันคิดอีกต่อไป

    ผมเป็นแวมไพร์ แล้วเธอก็มีเลือดที่กลิ่นหอมหวนที่สุดเท่าที่ผมเคยได้กลิ่นมาตลอดแปดสิบกว่าปีนี้ ผมไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการว่า มีกลิ่นหอมแบบนี้อยู่ในโลกด้วย ถ้าผมรู้ว่ามี ผมคงออกไปตามล่าตั้งนานแล้ว ผมคงแหวกดูทุกหย่อมหญ้า ผมสามารถจินตนาการรสชาดของมันได้เลย....

    ความกระหายผลาญคอผมเหมือนไฟลน ปากผมแห้งผาก ท้ิองไส้บิดประสานรับกับความกระหายอยากที่ปาก กล้ามเนื้อผมก็เริ่มเขม็งเกลียว

    เศษเสี้ยววินาทีผ่านไป เธอยังคงเดินมาตามเส้นทางเดิม จังหวะที่เท้าแตะพื้น เธอเหลือบตามาทางผม ท่าทางของเธอเหมือนอยากหายตัวได้ ตาเธอสบกับผม ผมมองเห็นหน้าตัวเองสะท้อนอยู่ในแก้วตาของเธอ

    สีหน้าที่กำลังช้อคของเธอช่วยชีวิตเธอไว้ในวินาทีนั้น เธอทำให้มันยากขึ้น พอเธออ่านสีหน้าของผม เลือดฝาดก็เปลี่ยนสีแก้มเธอให้แดงก่ำ เปลี่ยนสีผิวให้ดูน่ากินอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน กลิ่นนั้นก็เหมือนหมอกหนาปกคลุมสมอง ผมคิดอะไรแทบไม่ออก ผมทั้งโกรธ ทั้งพยายามอดกลั้น ความคิดไปกันคนละทิศละทาง

    ตอนนี้เธอเริ่มเดินไวขึ้น เหมือนกับรู้ตัวว่าได้เวลาหนีแล้ว พอรีบเธอก็ซุ่มซ่าม เดินสะดุดแล้วก็เซไปด้านหน้า เกือบล้มทับเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่หน้าผม ช่างเปราะ แล้วก็อ่อนแอ ยิ่งกว่ามนุษย์คนอื่นเสียจริงๆ

    ผมพยายามนึกถึงหน้าตัวเองที่ผมเห็นในตาเธอเมื่อกี้นี้ สีหน้าที่น่าขยะแขยง ใบหน้าของปีศาจที่ผมเคยเอาอยู่หมัดมาตลอดด้วยความพยายามบวกกับวินัยที่บ่มเพาะมาเป็นสิบๆปี ทำไมตอนนี้ถึงไอ้ปีศาจตนนั้นถึงได้กลับมาง่ายดายอย่างนี้!

    กลิ่นลอยกรุ่นรอบๆตัวผม ทำเอาความคิดผมแตกกระเจิง ทำเอาผมแทบเด้งออกจากเก้าอี้

    ไม่ได้!

    ผมคว้าขอบโต๊ะด้านล่าง พยายามดึงตัวเองให้นั่ง ไม้เอาไม่อยู่หรอก มือผมกดแรงจนถึงไม้โครงโต๊ะ ก่อนปล่อยมือพร้อมกับมีเศษไม้หลุดติดมือมาด้วย ทิ้งรอยนิ้วเป็นรอยกดบนเนื้อไม้

    ทำลายหลักฐาน คือกฎข้อที่หนึ่ง ผมใช้ปลายนิ้วเขี่ยขอบๆของรอยนั้น จนเหลือเป็นรูไม่เป็นรูปเป็นร่าง กับเศษไม้กองบนพิ้น ก่อนผมใช้เท้าเขี่ยให้เศษไม้กระจายออกไป

    ทำลายหลักฐาน และความเสียที่ตามมา....

    ตอนนี้ผมรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เด็กคนนั้นต้องมานั่งข้างผมแน่ และผมก็จะต้องฆ่าเธอ แล้วคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ในห้องนี้อีกล่ะ เด็ก 18 คนกับผู้ใหญ่อีกหนึ่งคนต้องออกจากห้องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะพวกเขาจะเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

    ผมผงะ เมื่อคิดว่าผมต้องทำอะไรบ้าง ถึงจะเป็นวันที่เลวร้่ายสุดๆที่เคยผ่านมา ผมก็ไม่เคยทำอะไรชั่วร้ายเท่านี้ ผมไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์ ไม่ได้ฆ่ามา 80 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ผมกำลังจะสังหารหมู่ 20 คนในคราวเดียว

    หน้่าปีศาจที่สะท้อนในกระจกตาทำหน้าล้อเลียนผม

    ถึงส่วนหนึ่งของผมจะพยายามออกห่างจากปีศาจร้าย แต่อีกส่วนกลับกำลังวางแผน

    ถ้าผมฆ่าเธอคนนี้ก่อน ผมจะมีเวลา 15-20 วินาทีก่อนคนอื่นจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อาจมีเวลานานกว่านั้นหน่อย ถ้าตอนแรกพวกเขาไม่รู้ว่าผมทำอะไรอยู่ เธอจะไม่มีเวลาได้ร้อง ผมจะไม่ให้เธอต้องทรมานเลย เท่านี้แหละที่ผมจะพอทำให้ได้ เพื่อแลกกับการมีเลือดที่น่าหลงไหลอย่างนี้

    จากนั้นผมก็ต้องกันไม่ให้พวกที่เหลือหนี หน้าต่างไม่น่าจะมีปัญหา มันอยู่สูงเกินไปแล้วก็แคบเกินไปด้วย ประตูเท่านั้น ถ้าผมปิดประตูซะ พวกนี้ก็ไปไหนไม่รอด

    คงจะช้า แล้วก็ยากกว่า ที่จะจัดการคนที่กำลังแตกตื่น แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เสียงคงจะดังลั่น คงจะมีคนได้ยิน... และผมก็คงต้องฆ่าคนบริสุทธิ์เพิ่มอีก

    พอคนอื่นตายหมด เลือดเธอก็คงจะเย็นแล้ว..

    กลิ่นทำร้ายผม คอตีบตันแห้งผาก...

    งั้นก็ต้องฆ่าคนอื่นก่อนแล้วล่ะ

    ผมเริ่มนึกถึงผังห้องเรียน ผมนั่งกลางห้อง แถวไกลสุดอยู่ด้านหลัง ผมจัดการด้านขวาก่อน กัดคอซักสี่ห้าคนได้ภายในหนึ่งวินาทีอยู่แล้ว ผมกะ เสียงก็ไม่น่าจะดังหรอก พวกด้านขวานี่ถือว่าโชคดีสุด เพราะจะตายแบบที่ยังไม่ทันรู้ตัว จากนั้นก็ไล่ไปทางแถวหน้า แล้วก็ลงมาทางซ้าย หมดห้องก็น่าจะซักห้าวินาที นานพอที่เบลล่า สวอนจะได้เห็นว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ นานพอจะทำให้เธอกลัว บางทีอาจจะนานพอ ทำให้เธอร้อง ถ้าเธอไม่ขาแข็ง ร้องไม่ออกไปซะก่อนนะ แต่ต่อให้ได้ร้องซักหน ก็คงไม่ทำให้คนแห่มาหรอกน่า

    ผมหายใจเข้าลึกๆ ไฟลามเข้าไปถึงเส้นเลือดแห้งๆของผม เผาผลาญทรวงอก กัดกินแรงกระตุ้นดีๆทั้งหลายที่ผมพอจะมีเหลืออยู่บ้างไปจนหมดสิ้น

    เธอกำลังเดินวกกลับมาแล้ว อีกไม่กี่วินาทีนี้ เธอจะมานั่งลงห่างจากผมไม่กี่นิ้ว

    ปีศาจในตัวผมยิ้มรอรับแล้ว

    มีเสียงปิดแฟ้มเอกสารแรงๆจากคนที่นั่งทางซ้าย ผมไม่ได้เงยหน้าไปมองว่ามนุษย์เคราะห์ร้ายคนนั้นเป็นใคร แต่การเคลื่อนไหวนั้นทำให้เกิดลมธรรมดาๆ อากาศที่ไม่มีกลิ่นของเธอพัดผ่านหน้าผมไป

    ช่วงเวลาสั้นๆนั้นแหละ ที่ผมได้คิด วินาทีนั้นผมเห็นสองใบหน้าในหัวผม

    หน้าแรกคือหน้าของผมเอง หรือที่เีคยเป็นของผม หน้าปีศาจ ตาสีแดง ที่ฆ่าคนมามากเสียจนเลิกนับไปแล้ว ผมเป็นฆาตกรที่มีเหตุผลนะ นักฆ่าของพวกนักฆ่า นักฆ่าที่ฆ่าปีศาจที่พละกำลังน้อยกว่า เล่นบทพระเจ้า นั่นแหละผม ผมตัดสินว่าใครสมควรตาย ผมใช้วิธีนี้ประีนีประนอมกับตัวเอง ผมเคยอยู่ได้เพราะเลือดมนุษย์ แต่เหยื่อผมล้วนแต่เป็นพวกชั่วร้าย พวกที่มีความเป็นคนมากกว่าผมนิดหน่อยเท่านั้น

    อีกหน้าคือของคาร์ไลส์

    สองหน้าไม่มีอะไรเหมือนกันเลย เทียบได้กับวันที่สว่างที่สุดกับคืนที่มืดมิดที่สุด ไม่แปลกที่เราสองคนไม่เหมือนกัน เพราะคาร์ไลส์ไม่ใช่พ่อแท้ๆของผม สีผิวที่เหมือนกันคือผลิตผลของสิ่งที่เราเป็น แวมไพร์ทุกคนมีสีผิวซีดๆเหมือนกันหมด สีตาที่เหมือนกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งที่บอกว่าเราเลือกเดินทางเดียวกัน

    แม้เราจะไม่เหมือนกัน ผมคิดเอาเอง ว่าผมเริ่มจะเหมือนเขามากขึ้น จากช่วงกว่า 70 ปีที่ผมเลือกเดินตามรอยของเขา หน้าตาผมไม่เปลี่ยน แต่ดูเหมือนความรอบรู้ของเขาจะแทรกซึมอยู่ในสีหน้าท่าทางของผม ความเห็นใจเพื่อนมนุษย์สะท้อนที่ปาก ความอดทนของเขาสะท้อนบนคิ้ว

    ไม่มีความเปลี่ยนแปลงในการแสดงสีหน้าเหล่านี้อยู่บนหน้าของปีศาจ อีกไม่ช้า หน้าของผมจะไม่เหลือความเปลี่ยนแปลงใดๆที่ผมได้จากการใช้ชีวิตกับผู้ที่สร้างผมมา พี่เลี้ยงของผม พ่อในทุกๆรูปแบบที่ผมจะนึกออก ตาของผมจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนปีศาจ ความเหมือนต่างๆจะหายไปตลอดกาล

    ภาพคาร์ไลส์ในหัวผมไม่ได้กำลังตัดสินผม ผมรู้ว่าเขาจะให้อภัยในสิ่งที่ผมกำลังจะทำ เพราะเขารักผม เพราะเขาเชื่อว่าผมเป็นคนดีกว่าที่ผมเป็นจริงๆ แล้วเขาก็จะยังรักผม ถึงผมจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเขาคิดผิด

    เบลล่า สวอน นั่งลงข้างๆผม เธอนั่งเกร็งและขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัด เพราะกลัวเหรอ? กลิ่นของเธอช่างก่อกวนผม ไม่ยอมอ่อนข้อให้เลย

    ผมจะทำให้พ่อเห็นว่าเขาเข้าใจผิด ความคิดนี้ทำร้ายผมได้รุนแรงเกือบเท่าไฟที่กำลังผลาญคอผมในตอนนี้

    ผมเอนตัวออกห่างจากเธอด้วยความขยะแขยง ในขณะที่ปีศาจร้ายในตัวผมซึ่งอยากจัดการเธอซะขัดขืน

    ทำไมเธอต้องมาที่นี่? ทำไมคนอย่างเธอถึงต้องมีอยู่? ทำไมเธอต้องมาทำลายชีวิตสงบๆของคนที่ไม่มีชีวิตด้วย? ทำไมมนุษย์ที่น่าโมโหคนนี้ต้องเกิดมาด้วย? เธอมาทำลายผม ผมหันหน้าหนีจากเธอ ขณะที่ความเกลียดอย่างรุนแรงถาโถมใส่ผม

    สิ่งมีชีวิตคนนี้เป็นใครกัน? ทำไมต้องผม? ทำไมต้องตอนนี้? ทำไมต้องทำให้ผมยอมเสียสละทุกอย่างเพียงเพราะเธอดันเลือกมาอยู่เมืองที่ไม่น่าจะมานี้? ทำไมเธอต้องมาโผล่ที่นี่!

    ผมไม่อยากเป็นปีศาจ! ผมไม่อยากฆ่าเด็กไม่มีทางสู้ในห้องนี้ ผมไม่อยากเสียอะไรที่ได้รับมาจากชีวิตที่ยอมทรมานตัวเอง

    ผมจะไม่ทำเด็ดขาด เธอทำให้ผมเป็นแบบนั้นไม่ได้

    กลิ่นคือตัวปัญหา ถ้ามีซักทางที่จะหนีพ้นมันได้... ได้อากาศดีดีซักหน่อยผมน่าจะดีขึ้น

    เบลล่า สวอนปัดผมยาวหนาสีมะฮอกกานีของเธอมาทางด้านผม

    จะบ้าไปแล้วหรือไง? อยากให้ปีศาจจัดการหรือไง!

    ไม่มีลมดีๆผ่านมาเป่ากลิ่นเธอออกไปเลย อีกไม่นานผมคงจะแพ้

    ไม่สิ ถึงจะไม่มีลมดีๆ แต่ผมไม่้ต้องหายใจเลยก็ได้นี่นา

    ผมหยุดหายใจ อาการของผมดีขึ้นทันที แต่ก็ยังไม่หายไปซะทั้งหมด ผมยังจำกลิ่นได้ ผมยังจินตนาการถึงรสชาดของมันได้ ผมคงจะทนได้อีกไม่นาน แต่ซักชั่วโมงนึงน่าจะำพอได้ ชั่วโมงเดียวก็พอหนีจากห้องนี้แล้ว หนีจากเหยื่อเหล่านี้ เหยื่อที่อาจจะไม่ต้องเป็นเหยื่อ ถ้าผมทนได้หนึ่งชั่วโมง ร่างกายผมจะรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ถ้าไม่ได้หายใจ ผมไม่ต้องการออกซีเจน เราหายใจโดยสัญชาตญาน ถ้าอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน กลิ่นเป็นสิ่งที่ผมไว้ใจที่สุด ผมใช้มันนำทางเวลาออกล่า ถ้ามีอันตรายเราก็จะได้กลิ่นก่อน ผมไม่เคยต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเท่ากับที่ตัวผมอันตราย แต่การป้องกันตัวของพวกเราก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วๆไป

    ไม่สบายตัวเท่าไหร่แต่ก็ำพอทนได้ ดีกว่าได้กลิ่นเธอแต่ต้องหักห้ามไม่ให้กัดเธอ กัดบนผิวบางๆที่มองทะลุถึงเส้นเลือดอุ่นๆ เปียกๆ ที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ....

    ชัวโมงเดียว! แค่นั้นเอง ผมต้องหยุดคิดถึงกลิ่นและรสชาดของมัน

    เธอนั่งเงียบๆและใช้เส้นผมกั้นระหว่างเราไว้ เธอโน้มตัวไปข้างหน้าจนเส้นผมแผ่คลุมบนแฟ้มของเธอ ผมมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ ผมเลยไม่สามารถอ่านอารมณ์ของเธอจากตาคู่นั้นได้ ที่เธอเอาผมมาบังอย่างนี้เพราะอยากหลบหรือเปล่านะ? ไม่ให้ผมมองเห็นตาได้? เพราะกลัว? อาย? เพื่อไม่ให้ผมรู้ความลับ?

    ปัญหาที่รบกวนผมก่อนหน้านี้ จากที่ไม่สามารถอ่านความคิดเธอได้ ช่างเบาหวิวเมื่อเทียบกับความอยาก ความเกลียด ที่กำลังรุมเร้าผมในตอนนี้ ผมเกลียดผู้หญิงบอบบางคนนี้ เกลียดที่ทำให้ผมนึกถึงสภาพปีศาจที่ผมเคยเป็น ความรักของครอบครัว ความฝันที่อยากจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่ผมคยเป็น... เกลียด โกรธที่เธอทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ ช่วยได้แฮะ ใช่ ที่ความรู้สึกก่อนหน้านี้ไม่มีน้ำหนักแล้ว แต่มันก็ช่วยได้ ผมพยายามนึกถึงทุกอารมณ์ที่ผมมีในตอนนี้ เพราะมันทำให้ผมเขวจากจินตนาการ ว่าเธอจะมีรสชาดเป็นยังไงได้...

    ความโกรธและเกลียด แทบทนไม่ไหว ชั่วโมงนี้จะไม่มีวันผ่านพ้นไปหรือไง?

    แล้วพอหมดชั่วโมง... เธอก็จะออกจากห้องนี้ แล้วผมทำไงต่อ? เข้าไปแนะนำตัวเอง 'หวัดดี ฉันชื่อเอ็ดเวิร์ด คัลเลน ให้ฉันเดินไปส่งที่ห้องเรียนคาบต่อไปนะ?' เธอคงจะตกลง ก็ดีนะ ดูสุภาพดีด้วย ผมคิดว่าเธอคงจะทำตามธรรมเนียมด้วยการเดินข้างๆผม จากนั้นผมก็พาเธอไปที่อื่นซะ หลังลานจอดรถก็มีป่าแล้ว ผมบอกเธอก็ได้ว่าผมลืมหนังสือไว้ในรถ...

    คนอื่นจะรู้ไหมนะว่าผมคือคนสุดท้ายที่อยู่กับเธอ? ฝนกำลังตก เหมือนทุกวัน คนใส่ชุดกันฝนสีเข้มๆสองร่างเดินไปอีกทาง ไม่น่าจะทำให้คนสนใจซักเท่าไหร่หรอกน่า นอกเสียจากว่าวันนี้ไม่ได้มีแค่ผมคนเดียวที่จะตามเธอทุกที่ ไม่น่ามีใครเป็นได้ขนาดผมแล้ว แต่ไมค์ นิวตั้นเอง ก็ดูเหมือนจะรู้ทุกจังหวะการขยับตัวของเธอ เธอกำลังไม่สบายตัวอย่างแรงที่นั่งอยู่ใกล้ๆผมในตอนนี้ ซึ่งก็เหมือนคนอื่นๆนั่นแหละ ก็เหมือนที่ผมคิดไว้ก่อนหน้าที่กลิ่นของเธอจะทำลายความคิดดีๆไปหมด
    ไมค์ นิวตั้น คงจะรู้ว่าเธอออกไปจากห้องเรียนกับผม

    ถ้าผมทนได้หนึ่งชั่วโมง แล้วซักสองชั่วโมงล่ะ จะไหวไหม?
    ผมรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กำลังรุมเร้า

    ตอนกลับถึงบ้าน เธอคงจะอยู่คนเดียวเพราะหัวหน้าตำรวจทำงานเต็มวัน ผมรู้จักบ้านเขา รู้จักบ้านทุกหลังในเมืองเล็กๆนี้อยู่แล้ว บ้านเขาอยู่ชายป่าพอดี ไม่มีเพื่อนบ้านใกล้เคียงด้วย ถึงเธอจะร้อง แต่คงจะไม่มีเวลาพอได้อ้าปากหรอก เพื่อนบ้านคงไม่มีใครได้ยิน แบบนี้น่าจะดีสุดแล้ว ผมอยู่ได้มา 70 ปีโดยไม่แตะเลือดมนุษย์ ถ้าผมกลั้นหายใจไว้ ผมก็ต้องอยู่ได้ แค่สองชั่วโมงเอง พอเธออยู่คนเดียวเมื่อไหร่ คนอื่นๆก็จะไม่เจ็บตัวด้วย
    'แล้วก็ไม่ต้องรีบร้อนด้วย มีเวลา ค่อยๆละเลียดดื่ม' ปีศาจร้ายในตัวผมเห็นด้วยกับความคิดนี้

    ดูเป็นไปได้มากขึ้นที่ไม่ต้องทำร้ายคนอีก 19 คนในห้องนี้ด้วย ผมจะได้ดูเป็นปีศาจน้อยลงที่ฆ่าคนบริสุทธิ์แค่คนเดียว

    ถึงผมจะเกลียดเธอ ผมก็รู้ว่าความเกลียดนั้นมันไม่ถูกนัก จริงๆแล้วผมรู้ว่าที่ผมเกลียดคือตัวผมเองต่างหาก และผมก็จะเกลียดเราทั้งคู่หนักเข้าไปอีก หลังจากที่เธอตายไปแล้ว

    การหาทางฆ่าเธอด้วยวิธีการต่างๆ ทำให้ผมทนอยู่ทั้งชั่วโมง ผมพยายามไม่นึกถึงภาพรายละเอียดของการฆ่า ภาพชัดๆอาจจะมากเกินไป อาจจะทำให้ผมลุกขึ้นมาฆ่า 19 คนเอาได้ง่ายๆ ผมเลยคิดแต่วิธีการ ไม่มากไปกว่านั้น นี่แหละทำให้ผมผ่านพ้นชั่วโมงนั้นไปได้

    เมื่อใกล้ถึงเวลาจะเลิก เธอเหลือบตามามองผมผ่านม่านผมของเธอ ผมรู้เลยว่าสายตาที่ผมมองสบกับเธอนั้น เต็มไปด้วยความเกลียด -- ตาเธอเองก็สะท้อนความกลัวออกมาอย่างชัดเจน แก้มเธอแดงก่ำก่อนจะหลบหน้าหายไปหลังม่านผมอีกครั้ง ตัวผมเองก็กำลังจะหมดความอดทน

    แล้วระฆังก็ช่วยชีวิต เราทั้งคู่ปลอดภัย เธอรอดตาย ส่วนผม รอดจากกลายการเป็นสัตว์ร้ายที่ผมกลัวและเกลียดชัง

    ผมเดินช้าๆไม่ไหวแล้ว ผมรีบบึ่งออกจากห้องไปทันที ถ้ามีใครมองอยู่ เขาคงสังเกตเห็นว่ามีอะไรแปลกๆกับวิธีการเคลื่อนที่ของผม แต่ก็ไม่มีใครทันมองหรอก ความคิดของคนเหล่านี้ยังคงวุ่นวายถึงแต่เด็กใหม่ที่คงเอาชีวิตไม่รอดในอีกชั่วโมงกว่าข้างหน้านี้

    ผมไปแอบอยู่ในรถ

    ผมไม่อยากคิดว่าตัวเองแอบหรอกนะ มันฟังดูขี้ขลาด แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมเป็นยังงั้นในตอนนี้

    ผมไม่มีวินัยใดๆเหลือพอควบคุมตัวเองได้ถ้าอยู่ใกล้มนุษย์ พอผมทุ่มทุกอย่างเพื่อไม่ฆ่าคนๆเดียวไปแล้ว ทำให้ผมไม่เหลืออะไรที่จะมาห้ามตัวเองไม่ให้ฆ่าพวกที่เหลือ ไร้สาระสิ้นดี ถ้าผมต้องยอมแพ้ปีศาจ ผมก็น่าจะทำให้มันคุ้มค่ากับชัยชนะไปเลย

    ผมเปิดซีดีที่ปกติแล้วจะทำให้ผมสงบลงได้ แต่มันไม่มีผลอะไรเลยในวันนี้ สิ่งที่ช่วยผมตอนนี้คือความเย็น ความชื้น อากาศบริสุทธิ์ ที่ลอยฝ่าฝนพรำๆเข้ามาทางหน้าต่างรถ ถึงผมจะจำกลิ่นเลือดของเบลล่า สวอนได้เป็นอย่างดี แต่การได้สูดอากาศบริสุทธิ์ก็เหมือนได้ล้างพิษออกไปจากตัว

    ผมกลับมามีสติอีกครั้ง ผมคิดได้อีกครั้ง และผมตัดสินใจว่าจะสู้อีก สู้เพื่อไม่กลายเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะเป็น ผมไม่จำเป็นต้องตามเธอกลับบ้าน ผมไม่จำเป็นต้องฆ่าเธอ แหงล่ะ ผมเป็นคนมีเหตุผล เป็นสัตว์มีความคิด และผมมีทางเลือก ทางเลือกน่ะมีเสมอแหละ

    ผมคิดไม่ได้แบบนี้ตอนที่อยู่ในห้อง... แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ใกล้เธอแล้ว บางที ถ้าผมเลี่ยงเธอได้ ผมก็ไม่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรเลย ชีวิตผมเข้ารูปเข้ารอยดีอยู่แล้ว ทำไมผมถึงจะปล่อยให้ความโกรธและคนอื่นที่ก็แค่น่ากินมาทำลายมันล่ะ?

    ผมไม่จำเป็นต้องทำให้พ่อผิดหวัง ไม่ต้องทำให้แม่เครียด เป็นห่วง.. เจ็บปวด ใช่ แม่เลี้ยงผมต้องเจ็บปวดมากกับสิ่งที่ผมคิดจะทำ เอสเม่อ่อนโยน จิตใจดี ทำให้คนอย่างเอสเม่เจ็บปวดถือว่าให้อภัยไม่ได้

    เหมือนตลกร้ายที่ผมอยากปกป้องมนุษย์ผู้หญิงคนนี้จากความคิดเลวๆของเจสสิก้า ผมคงจะเป็นคนสุดท้ายที่จะปกป้องเธอได้ เพราะเธอคงไม่ต้องการคนคุ้มครองจากอันตรายที่ไหนอีกแล้ว นอกจากอันตรายที่มาจากตัวผมเอง

    อลิสไปไหนนะ ผมเริ่มสงสัย? เธอจะเห็นผมฆ่าสวอนด้วยวิธีการนั้นวิธีการนี้ไหมนะ? ทำไมเธอไม่ยอมมาช่วยหรือหยุดผม? หรือช่วยทำลายหลักฐาน หรืออะไรก็ตามแต่ หรือว่าเธอมัวแต่ดูแจสเปอร์ จนทำให้เธอพลาด ไม่เห็นความเป็นไปได้ที่ผมจะฆ่าสวอน หรือว่าจริงๆแล้วผมมีพลังต่อต้านมากกว่าที่ผมคิดเหรอ? ผมจะไม่ทำอะไรเธอคนนั้นจริงเหรอ?

    ไม่ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ยังงั้น อลิสคงจะพุ่งสมาธิไปที่แจสเปอร์ ผมหันหน้าไปด้านที่เธอกำลังอยู่ ตึกเล็กๆที่ใช้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผมใช้เวลานิดเดียวก็ระบุตำแหน่งความคิดอลิสได้ ผมคิดถูกจริงๆ ความคิดทุกอย่างของเธออยู่ที่แจสเปอร์ พินิจพิเคราะหฺ์ทางเลือกของเขาทุกๆนาที

    อยากปรึกษาเธอได้จัง แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็ดีใจที่เธอไม่รู้ว่าผมอาจทำอะไรลงไป เธอไม่รู้ว่าผมเกือบฆ่าหมู่มนุษย์เมื่อชั่วโมงก่อน

    ผมรู้สึกร้อนรุ่ม ความละอายกำลังเผาผลาญตัวผม ผมไม่อยากให้ครอบครัวรู้เรื่องนี้ ถ้าผมเลี่ยงเบลล่า สวอนได้ ถ้าผมไม่ต้องฆ่าเธอ (แค่คิดแค่นี้ปีศาจในตัวผมก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความไม่พอใจแล้ว) คนในครอบครัวของผมก็ไม่ต้องรู้ ถ้าผมอยู่ให้ห่างกลิ่นของเธอได้...

    ไม่มีเหตุผลว่าทำไมผมถึงจะไม่ลองดู เลือกทางออกที่ดีที่สุด พยายามเป็นคนที่คาร์ไลส์คิดว่าผมเป็น

    ชั่วโมงเรียนสุดท้ายใกล้เลิกแล้ว ผมตัดสินใจทำตามแผนการสุดท้ายที่คิดได้ทันที ดีกว่านั่งอยู่ในรถรอให้เธอเดินผ่านมาแล้วทำให้ผมหลุดอีก อีกครั้งที่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ ที่ผมเกลียดตัวเธอ ผมเกลียดที่เธอมีพลังเหนือผมทั้งที่เธอไม่รู้ตัว หรือที่เธอสามารถทำให้ผมกลายเป็นสิ่งที่ผมสาปแช่งมาตลอดได้

    ผมเดินเร็วๆไปที่สำนักงาน คงจะเร็วเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่มีใครเห็น และก็คงไม่จ๊ะเอ๋กับเบลล่า สวอนตอนนี้หรอกนะ

    สำนักงานกำลังว่าง มีเลขาอยู่คนเดียว คนที่ผมอยากเจอพอดี เธอไม่ได้สังเกตว่าผมเข้ามาเงียบๆ
    "มิสซิส โคป?"

    ผู้หญิงผมแดงแบบไม่ใช่สีธรรมชาติเงยหน้าขึ้นมาแล้วทำท่าตกใจ เวลาพวกเขาเจอผมมักจะมีอาการแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม
    "โอ้" เธอพูด ดูงงๆเล็กน้อย เธอดึงเสื้อให้เรียบ 'อย่าโง่ไปหน่อยเลย' เธอคิดกับตัวเอง 'เขาเด็กพอจะเป็นลูกได้เลย เด็กเกินกว่าจะคิดถึงยังงั้น...'
    "หวัดดี เอ็ดเวิร์ด มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?" เธอกระพริบตาถี่ๆใต้แว่นตาหนา

    อึดอัดชะมัด แต่ผมก็เล่นตามน้ำได้ ถ้าอยากทำ ง่ายด้วย เพราะผมรู้ทันทีว่าน้ำเสียงหรือท่าทางที่ผมทำออกไปนั้นน่ะ เขาคิดกันยังไง
    ผมโน้มตัวไปข้างหน้า มองตาเธอเหมือนว่าผมจ้องลึกเข้าไปในตาเล็กๆสีน้ำตาล ความคิดเธอกำลังระส่ำหนัก งานนี้คงจะไม่ยากแล้วล่ะ

    "ผมสงสัยว่าคุณจะพอช่วยเรื่องตารางเรียนของผมได้ไหมครับ?" ผมพูดด้วยเสียงนุ่มๆ ที่เก็บเอาไว้ใช้เวลาไม่อยากทำให้มนุษย์กลัว
    ผมได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นถี่ขึ้น
    "แน่นอนจ้ะ เอ็ดเวิร์ด เธอจะให้ฉันช่วยยังไง?" 'เด็กไป เด็กไป' เธอร้องบอกตัวเอง
    ผิด! ผมน่ะแก่ยิ่งกว่าปู่ของเธอซะอีก แต่ถ้าดูจากใบขับขี่ ก็ถูกของเธอล่ะ
    "ผมอยากรู้ว่า จะเลิกเรียนชีวะแล้วไปเรียนวิทยาศาสตร์ของปีสามแทนได้ไหมครับ? ฟิสิกส์ก็ได้?"
    "มีปัญหาอะไรกับมิสเตอร์แบนเนอร์หรือเปล่า เอ็ดเวิร์ด?"
    "ไม่มีอะไรเลยครับ เพียงแต่ผมเรียนพวกนี้แล้ว..."
    "ที่พวกเธอไปเรียนหลักสูตรเร่งรัดที่อลาสก้า ใช่" เธอทำปากเหมือนกำลังคิด 'พวกเขาน่าจะเรียนระดับมหาลัยแล้วด้วยซ้ำ เคยได้ยินพวกอาจารย์บ่นกัน เกรด 4.00 ไม่เคยอึกอักเวลาตอบ ไม่เคยทำข้อสอบผิด เหมือนจะหาทางโกงได้ทุกวิชา อีตาแวเนอร์คิดว่านักเรียนโกงแทนที่จะยอมรับว่านักเรียนฉลาดกว่าตัวเอง.. ฉันว่าแม่เขาคงจะติวให้ที่บ้านแน่ๆ'
    "ตอนนี้ฟิสิกส์เต็มแล้วล่ะเอ็ดเวิร์ด อาจารย์เขาไม่อยากรับเกิน 25 คนต่อห้อง--"
    "ผมไม่มีปัญหา"
    'แหงอยู่แล้ว ไม่ใช่กับพวกเพอร์เฟ็คต์คัลเลนอยู่แล้ว'
    "ฉันรู้เอ็ดเวิร์ด แต่มันไม่มีที่นั่งเรียนแล้ว เพราะว่ามัน.."
    "งั้นผมดรอปวิชาชีวะได้ไหมฮะ? ผมจะเอาเวลานั้นไปเรียนด้วยตัวเอง"
    "ดรอปชีวะเนี่ยนะ?" เธออ้าปากค้าง 'บ้าไปแล้ว มันจะยากแค่ไหนเชียวที่จะนั่งฟังสิ่งที่ตัวเองเรียนมาแล้ว? เขาต้องมีปัญหากับตาแบนเนอร์แน่ๆ ฉันน่าจะต้องคุยกับบ้อบ'
    "หน่วยกิตเธอก็จะไม่พอจบสิ"
    "ผมจะเรียนใหม่ปีหน้า"
    "ฉันว่าเธอต้องไปคุยกับพ่อแม่ก่อนนะ"

    ประตูที่ด้านหลังผมถูกเปิดออก คนที่กำลังเดินเข้ามาไม่ได้คิดถึงผม ผมเลยไม่สนใจว่าใครเดินเข้ามา แล้วก็หันมาสนใจมิสซิสโคปต่อ ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้อีก เธอจ้องตาผม ตาเธอโตขึ้นอีก ถ้าตอนนี้ตาขิงผมเป็นสีทองไม่ได้ดำสนิท ทำท่าทางแบบนี้น่าจะได้ผลกว่านี้อีก ตาดำๆทำให้คนกลัว
    "ขอร้องล่ะครับ?" ผมทำเสียงให้เรียบและแกมบังคับให้มากที่สุด น่าจะออกบังคับเยอะเอาการ "ไม่มีกลุ่มอื่นให้ผมไปเรียนแทนได้เลยเหรอครับ? ผมว่าน่าจะพอมีที่ว่างนะ ไม่น่าจะมีแค่ชีวะคาบหก..."
    ผมยิ้มให้เธอเพื่อให้หน้าตาผมอ่อนโยนขึ้น พยายามไม่ให้ฟันโผล่ออกมา เดี๋ยวเธอจะตกใจ เสียงหัวใจเธอเหมือนคนกำลังรัวกลอง 'เด็กไป' เธอเตือนสติตัวเองตื่นๆ "งั้นฉันจะลองคุยกับบ้อบ เผื่อว่า..."

    วินาทีนั้นที่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทุกอย่าง บรรยากาศของห้อง สิ่งที่ผมกำลังพยายามทำ เหตุผลที่ผมต้องโน้มตัวหาผู้หญิงผมแดงคนนี้... สิ่งที่เคยเป็นเป้าหมายตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว
    วินาทีนั้นที่ซาแมนต้า เวลส์เปิดประตูเข้ามาแล้วก็วางกองเอกสารที่เซ็นแล้วลงในถาดใกล้ประตู แล้วก็รีบร้อนออกไป รีบออกจากโรงเรียน
    วินาทีนั้นที่ลมวูบนึงพัดจากข้างนอกเข้ามาข้างในห้อง ลมปะทะตัวผม
    วินาทีนั้นที่ผมรู้ว่าทำไมคนแรกที่เปิดประตูถึงไม่ทำให้ผมเขวเพราะความคิดชองเธอ

    ผมตั้งใจหันไปมองข้างหลัง ที่จริงผมไม่จำเป็นต้องเช็คเลย ผมค่อยๆหัน พยายามควบคุมกล้ามเนื้อที่เริ่มทรยศผมอีกครั้ง
    เบลล่า สวอนยืนพิงกำแพงข้างๆประตู เธอถือกระดาษหนึ่งแผ่นในมือ ตาเธอเบิกกว้างยิ่งกว่าเก่าเมื่อเห็นว่าผมกำลังจ้องเธออย่างดุร้าย

    กลิ่นของเธอกรุ่นทั่วทุกอณูของอากาศในห้องเล็กๆห้องนี้ คอผมลุกไหม้เป็นจุล
    ปีศาจร้ายจ้องมองผมจากภาพสะท้อนในตาเธออีกครั้ง มือของผมที่อยู่เหนือเค้าน์เตอร์เริ่มขยับ ผมต้องไม่หันกลับไปที่เดิม ผมกลัวจะจับหัวมิสซิสโคบโขกโต๊ะ ซึ่งคงแรงพอทำใหเธอตายได้
    แต่ก็แค่สองคนนะ ดีกว่า 20 คนเป็นไหนๆ แลกกันไง

    ปีศาจรออย่างจดจ่อ อย่างหิวโหย ให้ผมจัดการซะ

    แต่ มันมีทางเลือกอื่นเสมอสิ ต้องมีสิ

    ผมกลั้นหายใจ แล้วพยายามนึกถึงคาร์ไลส์ ผมหันกลับมาที่เค้าน์เตอร์ แล้วก็ได้ยินเสียงความคิดเธอตกใจที่ผมเปลี่ยนสีหน้าได้ไวขนาดนี้ เธอถอยกรูดจากผมโดยอัตโนมัติ โดยคำว่ากลัวยังไม่ทันผุดขึ้นในความคิดเธอ

    ด้วยการปฏิเสธตัวเองที่ผมฝึกมากว่า 70 ปี ผมสามารถพูดด้วยเสียงเรียบๆได้ ในปอดผมยังพอมีลมเหลือให้เปล่งเสียงออกมาได้
    "งั้นก็ไม่เป็นไรครับ เข้าใจว่าคงไม่มีทางจริงๆ ของคุณนะครับ"
    ผมกลับตัวแล้วก็พุ่งออกจากห้องนั้นไป พยายามไม่นึกถึงความอุ่นจากเลือดในร่างของเธอคนนั้นที่ผมเพิ่งเดินเฉียดแบบห่างไม่ถึงหนึ่งนิ้ว

    ผมไม่หยุดจนกระทั่งมาถึงรถ เดินเร็วเกินไปแน่นอน แต่พวกมนุษย์ส่วนใหญ่กลับไปแล้ว ก็เลยไม่มีคนเห็นมาก ผมได้ยินเด็กปีสอง ดี.เจ.กาเร็ตต์ สังเกตเห็นแล้วก็ไม่สนใจอะไร...
    'คัลเลนไปไหนมา ยังกะหายตัวได้... เอาอีกแล้ว ชอบจินตนาการอยู่เรื่อย แม่ชอบว่า...'

    พอเข้าไปนั่งในวอลโว่ ผมก็เจอคนอื่นๆนั่งรออยู่แล้ว ผมพยายามควบคุมการหายใจ แต่ผมก็หายใจถี่ๆสูดอากาศบริสุทธิ์เหมือนเพิ่งโดนบีบคอ
    "เอ็ดเวิร์ด?" อลิสถาม ด้วยน้ำเสียงตื่น
    ผมส่ายหน้าตอบ
    "เกิดอะไรขึ้นวะ?" เอ็มเม็ตต์ถาม เขาเขวจากความหงุดหงิดชั่วครู่ หงุดหงิดที่แจสเปอร์ไม่มีอารมณ์จะแข่งกับเขาอีกรอบ
    แทนที่จะตอบ ผมหักรถออกไป ต้องออกจากที่นี่ก่อนที่เบลล่า สวอนจะตามมาทัน ผมกลับรถแล้วเร่งเครื่อง เริ่งถึง 40ไมล์ ก่อนที่จะถึงถนนเสียอีก แล้วพอขึ้นถนนได้ผมก็ขึ้นไปที่ 70 ก่อนจะเลี้ยว

    ผมรู้ว่าตอนนี้ เอ็มเม็ตต์ แจสเปอร์ โรสซาลี่หันไปจ้องอลิส โดยที่ผมไม่ต้องหันไปมอง อลิสยักไหล่ เธอมองไม่เห็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เธอเห็นแต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ตอนนี้เธอมองอนาคตของผม เราทั้งคู่รู้ว่าอะไรกำลังอยู่ในหัวเธอตอนนี้ แล้วเราก็แปลกใจทั้งคู่
    "จะทิ้งพวกเราเหรอ?" อลิสพูดเบาๆ
    คนอื่นๆหันมามองผมแทนแล้วตอนนี้
    "ฉันน่ะ?" ผมพึมพำ

    จากนั้นเธอก็เห็น พอทางเลือกต่างๆของผมเริ่มไม่แน่นอน และทางเลือกหนึ่งที่ดำมืดโผล่เข้ามา
    "โอ้"
    เบลล่า สวอนเป็นศพ ตาผม ลุกโชนเป็นสีแดงเพราะเลือดสดๆ การค้นหาต้องเกิดขึ้น จังหวะเหมาะที่ต้องรอ ก่อนจะถึงเวลาอันควร
    "โอ้"
    อลิสพูดอีกครั้ง คราวนี้ภาพในหัวเธอชัดขึ้น ผมเห็นภาพภายในบ้านของหัวหน้าสวอนเป็นครั้งแรก เห็นเบลล่าอยู่ในครัวที่มีตู้สีเหลืองเธอหัวหลังให้ผมซึ่งกำลังเดินเข้าไปหาเธอจากความมืด... ให้กลิ่นนำทางผมไปหาเธอ...

    "หยุด!" ผมร้อง ผมทนไม่ไหวแล้ว
    "ขอโทษ" เธอกระซิบ ตาอลิสทำโตด้วยความตกใจ
    ปีศาจเริงร่า

    แล้วภาพในหัวเธอก็เปลี่ยนอีกครั้ง ภาพถนนหลวงในตอนกลางคืน ต้นไม้ที่หิมะปกคลุมข้างทางวิ่งถอยหลังด้วยความเร็วเกิน 200 ไมล์ต่อชั่วโมง
    "ฉันคงคิดถึงเธอ" อลิสพูด "แม้ว่าเธอจะไปไม่นาน"
    เอ็มเม็ตต์กลับโรสซาลี่มองตากันหวั่นๆ
    เราเกือบถึงบ้านแล้วในตอนนี้
    "ปล่อยพวกเราลงที่นี่" อลิสบอก "เธอควรจะบอกคาร์ไลส์เอง"
    ผมพยักหน้า ก่อนจะจอดรถ
    เอ็มเม็ตต์ โรสซาลี่ และแจสเปอร์ลงจากรถเงียบๆ พวกเขาคงให้อลิสเล่าให้ฟังหลังจากที่ผมไปแล้ว อลิสแตะไหล่ผม
    "เธอจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง" เธอพูดเบาๆ จากนั้นก็ไม่ใช่ภาพ แต่เป็นคนคำสั่ง
    "เธอเป็นคนเดียวที่ชาร์ลี สวอนเรียกว่าครอบครัว เขาก็ต้องเหมือนตายไปด้วย"
    "ใช่" ผมพูด เห็นด้วยกับประโยคหลังเท่านั้น
    เธอก้าวลงจากรถไปรวมกับคนอื่นๆ เธอขมวดคิ้วด้วยความกังวล พวกเขาหายเข้าไปในป่า ก่อนที่ผมจะกลับรถเสร็จ
    ผมเร่งรถกลับเข้าเมือง และผมรู้ว่าภาพในหัวของอลิสจะเปลี่ยนจากดำมืดเป็นสว่างสดใสในไม่ช้า ผมขับ 90 ไมล์ต่อชั่วโมงกลับเข้าฟอร์ค ผมไม่แน่ใจว่ากำลังจะไปไหน บอกลาพ่อ? หรือปลุกปีศาจในตัวขึ้นมาอีก?

     

    Create Date : 04 พฤษภาคม 2552
    Last Update : 24 พฤษภาคม 2552 15:05:12




    พี่เค้าแปลเองนะคะ

    เก่งมากมาย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×